Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

ยอดนำเข้า ‘ทุเรียนเวียดนาม’ สู่ ‘จีน’ พุ่งทะยานต่อเนื่อง หลังศุลกากรเปิดช่องทางพิเศษ หนุนการค้าทวิภาคีเติบโต

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, หนานหนิง รายงานข่าว ‘ด่านโหย่วอี้กวน’ ซึ่งเป็นด่านนำเข้าทุเรียนขนาดใหญ่ที่สุดของจีนในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ และคุ้นเคยกับการนำเข้าทุเรียนจาก ‘ไทย’ เป็นหลัก ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนจาก ‘เวียดนาม’ นับตั้งแต่มีการอนุญาตทุเรียนเวียดนามเข้าถึงตลาดจีนเมื่อปีก่อน

‘หนงหลี่ชิง’ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเข้าและส่งออกแห่งหนึ่งในเมืองผิงเสียงของกว่างซี ซึ่งเป็นที่ตั้งของด่านบกโหย่วอี้กวน สามารถประสานงานขนส่งทุเรียนสดใหม่ถึงมือลูกค้าในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ที่อยู่ใกล้เคียง และมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีนอย่างรวดเร็ว

“ปีนี้เรานำเข้าทุเรียนมากกว่า 1,600 ตู้คอนเทนเนอร์แล้วเมื่อนับถึงเดือนธันวาคม โดยนอกจากไทย เราได้เริ่มนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามด้วย” หนงกล่าว พร้อมเสริมว่าปัจจุบันมีการนำเข้าทุเรียนหลายสิบตู้คอนเทนเนอร์ในแต่ละวัน

อนึ่ง จีนนำเข้าทุเรียนในปี 2022 รวม 825,000 ตัน โดยข้อมูลศุลกากรระบุว่าการนำเข้าทุเรียนครองอันดับหนึ่งในหมู่ผลไม้นำเข้าของจีน คิดเป็นมูลค่า 4.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.43 แสนล้านบาท)

สำหรับทุเรียนเวียดนาม ซึ่งเป็นที่รู้จักว่ามีฤดูเก็บเกี่ยวยาวนานกว่าและราคาถูกกว่า ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงตลาดจีน ภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในปี 2022 โดยปัจจุบันจีนกลายเป็นตลาดส่งออกทุเรียนแห่งหลักของเวียดนาม

“สักสิบกว่าปีก่อน ผลไม้จากประเทศอาเซียนอย่างทุเรียน มังคุด และมะพร้าว ถือเป็นของหายากในจีน แต่ตอนนี้พบเจอได้ตามแผงขายผลไม้ในแทบทุกเมืองใหญ่และมีราคาย่อมเยามากขึ้น” หวังเจิ้งโป๋ ประธานบริษัทผลไม้ในกว่างซี กล่าว

บริษัทของหวังก้าวเข้าแวดวงการนำเข้าทุเรียนเวียดนาม และลงนามสัญญากับสวนทุเรียนหลายแห่งในเวียดนาม ซึ่งมีพื้นที่รวมเกือบ 3,000 เฮกตาร์ (ราว 18,750 ไร่) เมื่อปีก่อน โดยหวังเผยว่าปีนี้มีแผนนำเข้าทุเรียนเวียดนามมากกว่า 3,000 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือ 60,000 ตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดจีน

‘ด่ง กวาง หาย’ นักธุรกิจชาวเวียดนามที่ทำธุรกิจเพาะปลูกทุเรียนในเวียดนามมานานนับสิบปี กล่าวว่าทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในจีน มีความต้องการจากผู้บริโภคและศักยภาพทางการตลาดสูงมาก

ปัจจุบันด่านโหยวอี้กวนกลายเป็นด่านบกสำหรับการแลกเปลี่ยนทางพรมแดน ระหว่างจีนและเวียดนามที่คึกคักและสะดวกมากที่สุด โดยสถานีตรวจสอบชายแดนขาเข้า-ขาออกที่ด่านโหยวอี้กวนได้รับรองยานพาหนะเข้าและออกในปีนี้ 400,000 คัน เมื่อนับถึงวันอังคารที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 122 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘ถังซาน’ หัวหน้าศุลกากรด่านโหยวอี้กวน ระบุว่า ด่านโหยวอี้กวนเป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับส่งออกผลไม้เวียดนามสู่จีน มีรถบรรทุกขนส่งทุเรียน แก้วมังกร ขนุน และผลไม้อื่นๆ ของเวียดนามเข้าทำพิธีศุลกากรช่วงในฤดูกาลวันละเกือบ 300 คัน และมีการขนส่งทุเรียนเวียดนามช่วงนอกฤดูกาลวันละมากกว่า 30 ตู้คอนเทนเนอร์

“เราเริ่มนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเมื่อปีก่อน ทุเรียนเป็นหนึ่งในสินค้าผลไม้นำเข้าที่ขายดีที่สุด มีการจัดจำหน่ายทางออฟไลน์และออนไลน์ทั่วประเทศ” ‘ฟางช่วงเฉวียน’ ผู้ค้าผลไม้ในเมืองผิงเสียงกล่าว

โดยข้อมูลจากศุลกากรหนานหนิง ระบุว่า มูลค่าสินค้านำเข้าจากเวียดนามผ่านด่านโหยวอี้กวน ช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคมของปีนี้ รวมอยู่ที่ 9.14 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.47 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 271.8 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการนำเข้าผลไม้เวียดนาม 1.17 หมื่นล้านหยวน (ราว 5.73 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 637.9 โดยมูลค่าการนำเข้าทุเรียนรวมอยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านหยวน (ราว 5.43 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3,084.2

การค้าทวิภาคีด้านผลิตภัณฑ์การเกษตรบนพรมแดนจีน-เวียดนาม ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยอานิสงส์จากการอนุมัตินำเข้าผลิตภัณฑ์การเกษตรหลายรายการจากเวียดนามสู่จีน กอปรกับการส่งออกผักผลไม้ที่มีคุณภาพจากกว่างซีสู่ตลาดเวียดนาม

นอกจากด่านโหยวอี้กวนแล้ว ด่านเหอโข่วในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ยังกลายเป็นด่านนำเข้าทุเรียนยอดนิยมของจีน นับตั้งแต่มีการอนุมัตินำเข้าทุเรียนผ่านด่านเหอโข่วเมื่อเดือนเมษายนปีนี้

‘ฟู่จิง’ ผู้ค้าผลไม้จากมณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงการค้าผลไม้นำเข้ามานานมากกว่า 10 ปี ได้เริ่มนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเมื่อไม่นานนี้เช่นกัน โดยฝูบอกว่าขั้นตอนพิธีการศุลกากรที่สะดวกรวดเร็วของด่านเหอโข่วเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเลือกนำเข้าทุเรียนเวียดนาม

‘เหยาฉี’ ตำรวจหญิงประจำสถานีตรวจสอบชายแดนขาเข้า-ขาออกเหอโข่ว เผยว่า การนำเข้าทุเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากดึงดูดผู้คนมายังด่านเหอโข่วเพิ่มขึ้น มีบริษัทจำนวนมากเข้ามาตั้งสาขา หรือสำนักงานในอำเภออันเป็นที่ตั้งของด่านเหอโข่ว

ปัจจุบันด่านเหอโข่วรับรองยานพาหนะเข้าและออกเฉลี่ยวันละราว 700 คัน และจัดตั้งช่องทางด่วนสำหรับการทำพิธีการศุลกากร ของผลิตภัณฑ์การเกษตรและผลิตภัณฑ์ปลีกย่อย รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพของขั้นตอนพิธีการศุลกากรอย่างต่อเนื่อง

'รมว.ท่องเที่ยว' เผย!! จีนเริ่มกลับมาเที่ยว สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าไทยทะลุ 1 แสนคน ชี้!! แรงหนุนจาก 'คอนเสิร์ต เจย์ โจว' ส่วนภาพรวม นทท.แตะ 25.7 ล้านคนแล้ว

(13 ธ.ค.66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา เผยในสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 1 จำนวน 100,704 คน หรือเพิ่มขึ้น 23,861 คน จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากการจัดคอนเสิร์ต เจย์ โจว ที่ดึงดูดแฟนคลับจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน อีกทั้งการมีวันหยุดต่อเนื่องในรัฐสลังงอร์ของมาเลเซีย ส่งผลให้ในภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 655,653 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 31.05 ร้อยละ 22.98 ร้อยละ 9.25 และร้อยละ 7.51 ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียปรับตัวลดลง ร้อยละ 0.64

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าสื่อไต้หวันได้นำเสนอข่าวการปฏิเสธการรักษานักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่ถูกรถชนระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย จนเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวรายดังกล่าวเสียชีวิต ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ TAC และตำรวจท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานงานกับญาติผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังได้เร่งการหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อจัดหาประกันภัยอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว และแนวทางการป้องกันเหตุดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 11 ธ.ค. 66 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งสัปดาห์ (4 ธ.ค. - 10 ธ.ค. 66) จำนวนทั้งสิ้น 655,653 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 61,619 คน คิดเป็นร้อยละ 10.37 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 93,665 คน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 25,736,865 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,098,082 ล้านบาท โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดจำนวน 100,704 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย (94,513 คน) รัสเซีย (42,166 คน) เกาหลีใต้ (40,572 คน) และอินเดีย (39,053 คน)

‘นายกฯ เศรษฐา’ ยัน!! กดค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บ./หน่วย เร่งดูเรื่องโครงสร้าง-แผนบูรณาการ ‘ลดค่าไฟ’ ระยะยาว

(13 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ตอบคำถามเวที Dailynews Talk 2023 ที่ส่วนหนึ่งจากคำถามคนไทย : ความคืบหน้ามาตรการนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท, เงื่อนไขมีอย่างไรบ้าง, แจกแบบถ้วนหน้าหรือเฉพาะกลุ่ม, งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท เอามาจากไหน?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ตามที่ได้ออกแบบผ่านกลไกให้ตรวจสอบได้ ผ่านทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา ผ่านสภาฯ เพื่อให้ฝ่ายบริหารถูกซักถาม และให้สังคมหมดข้อกังวล โดยจะเริ่มอย่างเร็วที่สุดในเดือนพ.ค.67 แต่ในความคิดของผมอยากให้เร็วกว่านี้ แต่เพื่อให้ถูกต้อง และสบายใจ จะเริ่มเงินดิจิทัลได้คือ เดือนพ.ค.67

ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ในโครงการเงินดิจิทัลนั้น นายกฯ ตอบว่า จะออกเป็นพ.ร.บ.เงินกู้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว โดยจะมีการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยอีก 100,000 แสนล้านบาท เพื่อนำไปดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย และทำควบคู่กันไปกับดิจิทัลวอลเล็ต

ขณะที่เงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ตที่ออกมา คือ ต้องไม่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท และเงินเดือนต้องไม่เกิน 70,000 บาท เป็นข้อคิดเห็นโดยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ควรได้ทั้งหมด คนรวยไม่ควรได้ ซึ่งตอนนี้ล่าช้าออกไปเพราะกำลังดูว่า คนรวยคืออะไร แค่ไหนถึงรวย ยังไม่มีใครบอกได้ ถึงจุดหนึ่งต้องฟันธงใครได้หรือไม่ได้อย่างไร

ด้านหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นนั้น ยอมรับว่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง จากหนี้สาธารณะ 62% เป็น 64.8% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยจะเป็นหนี้สาธารณะส่วนหนึ่ง มีการใช้หนี้ต่อไป แต่ก็มีเรื่องการกระตุ้นลงทุนต่างประเทศ เปิดการลงทุน การค้า เพื่อให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) สูงขึ้น และทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะลดลงได้ เป็นหนึ่งในอีกหลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

“เงินดิจิทัลกว่า 5 แสนล้านบาท ตัวคูณทางเศรษฐกิจ ทางผู้ว่าการธปท.ได้ให้ความเห็น ผมก็เห็นด้วยและถูกต้อง ถ้ามีเงินเยอะ ถ้าแจกคนรวยไป ผลคูณต่อเศรษฐกิจจะต่ำ ถ้าคนรายได้น้อยจะมีตัวคูณต่อเศรษฐกิจสูง แต่อีกมิติหนึ่งคือ ถ้าเริ่ม 1 พ.ค.67 มีกว่า 5 แสนล้านบาท จะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมเพราะจะเร่งการผลิต มีรายได้เพิ่ม มีผลิตผลเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน จำกัดพื้นที่ จะมีความเจริญในพื้นที่ ภายใน 1 อำเภอ ซึ่งจากที่ลงพื้นที่มั่นใจว่าประชาชนต้องการส่วนนี้”

คนไทยถาม : ชาวบ้านอยากให้รัฐบาลลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำมัน / ค่าก๊าซหุงต้ม / ค่าไฟฟ้า มากกว่าในปัจจุบันได้หรือไม่ / เพราะอะไร?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ในเรื่องราคาน้ำมันปรับตามราคาตลาดโลกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่าไฟในเวลานี้กำลังดูแลด้านพลังงานให้ประชาชนอยู่ จะดูแลให้ค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วย เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมจะพอใจ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลพี่น้องประชาชน จะทำอย่างเต็มที่ ในเบื้องต้นค่าไฟจะต่ำกว่าหน่วยละ 4.20 บาท และในระยะยาวต้องดูเรื่องโครงสร้างทั้งหมดและต้องบูรณาการร่วมกัน

“ไม่ใช่แค่เรื่องค่าไฟ โดยต้องสนับสนุนให้เกิดพลังงานสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ ต้องการสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำโซลาร์รูฟ ทำแล้วสามารถนำมาขายได้ และทำให้พลังงานสะอาดขึ้นด้วย ในเรื่องพลังงานไม่ใช่แค่ค่าไฟ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย”

สุดท้ายในเรื่องสำคัญที่ทุกคนตั้งตารอ คือ ใกล้จะปีใหม่แล้ว ท่านนายกฯ มี ‘ของขวัญพิเศษ’ ให้กับคนไทยทั้งประเทศได้เซอร์ไพรส์ไหม?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ผมว่ารัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้น ความสุขของพี่น้องประชาชน สิ่งที่ประชาชนอยากได้ ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ จริง ๆ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าแรง ราคาพืชผล อากาศสะอาด เท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องทำให้ได้

“ให้คำมั่นว่ารัฐบาลนี้จะเอาความต้องการของพี่น้องประชาชน จะเอาปัญหาพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ครม.ทุกท่านจะทำงานอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ จะนำปัญหาต่าง ๆ ที่พูดคุยกันในพื้นที่เอามาแก้ไขทุกปัญหาของพี่น้องประชาชนให้ได้”

‘ชัชชาติ’ ชี้ ‘ร้านอาหารปิ้งย่าง’ ทำค่าฝุ่นหนาแน่นเฉพาะจุด เร่งหามาตรการควบคุม

(13 ธ.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงมาตรการควบคุมและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพฯ แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดก็เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้เกิดจากรถยนต์เท่านั้น กทม.จึงพยายามทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ เตรียมร่วมกับกระทรวงพลังงาน ทำโครงการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองรถยนต์ โดยให้ส่วนลดเป็นแรงจูงใจสำหรับรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งาน 7 ปีขึ้นไป เพราะควันรถเป็นส่วนหนึ่งที่ปล่อย PM 2.5 เนื่องจากเผาไหม้ไม่หมด ซึ่งรถประเภทนี้มีกว่า 1 ล้านคันที่วิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ

“เราไม่สามารถไปบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ จึงร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องทำโครงการนี้ขึ้น และหาความร่วมมือจากเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุน จุดหมายคือให้ PM 2.5 ลดลง” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติกล่าวเพิ่มว่า รวมถึงองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ได้ประสานให้กรมการขนส่งทางบก เข้าไปตรวจควันดำของรถ ขสมก.ถึงอู่รถเมล์ ทั้งนี้การตรวจวัดค่าควันดำ ถึงแม้จะไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ปล่อยฝุ่น PM 2.5 

นอกจากนี้การเกิดฝุ่น PM 2.5 ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การเผาชีวมวล การควบคุมรถที่เข้าไซต์ก่อสร้าง ปัจจุบันนี้หากตรวจเจอรถควันดำในไซต์ก่อสร้างใดก็จะสั่งปิดไซต์งาน 3 วัน การตรวจสอบโรงงาน ซึ่งยังคงต้องทำอย่างเข้มข้นถึงแม้ในกรุงเทพฯ จะมีโรงงานไม่มากก็ตาม รวมทั้งฝุ่นที่ค้างอยู่ในอากาศซึ่งมาจากรถยนต์ที่ปล่อยออกมา ทำให้ในบางวันที่เป็นวันหยุดหรือไม่มีการจราจรที่คับคั่ง ก็ทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้นได้

“อีกเรื่องที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่คือ ร้านจำหน่ายอาหารประเภทปิ้งย่าง อาจไม่ได้มีผลในภาพรวม แต่มีผลเฉพาะพื้นที่ทำให้มีค่าฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นขึ้น หลังจากนี้ก็ต้องไปดูว่าต้องมีที่ดักควันหรือไม่ ไม่ได้ห้ามปิ้งย่างแต่ต้องมีตัวดูด หรือเก็บควันก่อนปล่อยออกมาไม่ใช่ปล่อยอิสระ เพราะหากช่วงที่อากาศปิดก็จะทำให้ค่า PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น” นายชัชชาติกล่าว

‘เยอรมนี’ เปลี่ยนท่าทีถอยห่าง ‘อิสราเอล’ วอน!! ให้ปกป้องชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์

(13 ธ.ค.66) ‘เยอรมนี’ หวังว่า ‘อิสราเอล’ จะปรับยุทธวิธีทางทหาร หาทางป้องกันความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพลเรือนปาเลสไตน์ได้ดีกว่าเดิม” ความเห็นจากรัฐมนตรีต่างประเทศ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ (Annalena Charlotte Alma Baerbock) เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา 

คำพูดดังกล่าวถือเป็นการสะท้อนต่อการปรับเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยของเบอร์ลิน จากเดิมจุดยืนที่ผ่านมา เยอรมนี ออกมาปกป้องอย่างหนักแน่นต่อสิทธิของอิสราเอล ในการป้องกันตนเอง นับตั้งแต่ถูกพวกนักรบฮามาสโจมตีนองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยเน้นย้ำว่า พวกเขามีหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล เพื่อไถ่โทษต่อกรณีกระทำผิดในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) ซึ่งพบเห็นชาวยิวมากกว่า 6 ล้านคนถูกสังหารโดยนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนภายหลังรัฐบาลเยอรมนีก็ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ซึ่งในนั้นรวมถึงพลเรือนชาวยิวคนดังที่พำนักอยู่ในเยอรมนีเอง ต่อกรณีให้สัญญาณผิดๆ เปิดทางให้อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ ซึ่งก่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมในกาซาด้วย

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนตอนนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเยอรมนี ต่างหันมาส่งเสียงเน้นย้ำดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงความจำเป็นที่อิสราเอลต้องยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ในการตอบโต้การโจมตีของพวกฮามาส แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงหลีกเลี่ยงวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาต่อพฤติกรรมต่างๆ นานาของอิสราเอลในฉนวนกาซา ดินแดนของปาเลสไตน์

โดยท่าทีที่ว่านี้ถือเป็นการเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว “เราคาดหมายอิสราเอล จะเปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตอนเหนือ เพื่อรับประกันว่าปฏิบัติการทางทหารของพวกเขา จะเจาะจงเป้าหมายมากกว่าเดิมและก่อความสูญเสียแก่พลเรือนน้อยลง" รัฐมนตรีเยอรมนีรายนี้กล่าวระหว่างแถลงข่าวในดูไบ รอบนอกการประชุมโลกร้อนของสหประชาชาติ

ทั้งนี้ พลเรือนส่วนใหญ่จากประชากรทั้งหมด 2.3 ล้านคนของกาซา ต้องหลบหนีออกจากบ้านพักอาศัย และพวกชาวบ้านบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะหาที่หลบภัยในฉนวน ที่มีพลเรือนพลุกพล่านแห่งนี้ ในขณะที่ความขัดแย้งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ได้สังหารผู้คนในกาซาไปแล้วกว่า 18,000 ราย

ขณะที่ด้าน โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเรียกร้องให้ อิสราเอล เปิดทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เข้าสู่กาซาเพิ่มเติม และประณามการใช้ความรุนแรงของพวกผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเวสต์แบงก์ ในนั้นรวมถึงระหว่างที่เขาพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวันเสาร์ (9ธ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี แสดงความยินดีในกรณีที่สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรพวกผู้ตั้งถิ่นฐานอิสราเอลจำนวนหนึ่ง ต่อเหตุโจมตีชาวปาเลสไตน์ ในดินแดนยึดครองเวสต์แบงก์ และเรียกร้องให้อียู ทำการพิจารณาออกมาตรการคว่ำบาตรแบบเดียวกัน

‘นายกฯ’ ลั่น!! 4 ปี ปัญหายาเสพติดต้องหมดไป เตรียมประกาศเผายาบ้าครั้งใหญ่ 26 ธ.ค.นี้

(13 ธ.ค.66) ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงานเสวนาหัวข้อ ‘คนไทยถาม นายกฯ เศรษฐาตอบ’ ในงาน เดลินิวส์ ทอล์ก 2023 (Dailynews Talk 2023) 

เมื่อถามถึงมาตรการปราบปราม ทำไมยาบ้าราคาถูกปราบปรามไม่หมดและหาได้ง่าย และบางพื้นที่ขายเม็ดละ 30 บาท? นายกฯ กล่าวว่า “เป็นคำถามที่เราคาดหวังอยู่แล้วว่าต้องมีมาตลอดเวลาที่ลงพื้นที่เรื่องปัญหายาเสพติดแบ่งเป็น 2 ทาง คือ เรื่องซัพพลาย ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องตัดซัพพลายให้ได้ก่อน โดยทหารและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตัดซัพพลายตรงนี้ หลังจากนั้นเมื่อจับและยึดได้ ตามกฎหมายเก่ามีประเด็นว่ากว่าจะเผาได้ใช้เวลานานมาก ต้องมีการพูดคุย จับมาได้ก็มีการย้ายถิ่นฐานการเก็บรักษายาบ้าไปอย่างน้อย 2 - 3 สเต็ป สังคมจึงมีข้อกังขาว่าระหว่างที่มีการย้ายมีการรั่วไหลออกไปอีกหรือไม่ ก็มีการพูดคุยกันว่าต่อไปนี้จับได้พิสูจน์ได้ให้เก็บไว้แล้วเผาทันที...

“โดยในวันที่ 26 ธ.ค.จะมีการประกาศเผายาเสพติดครั้งใหญ่ หลังจากที่เราได้ประกาศไปแล้ว และได้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศลาวและกัมพูชา ได้มีการพูดคุยกันอย่างซีเรียสว่าทุกคนเห็นพ้องกันว่าต้องขจัดออกไป เราจะมีแผนงานอย่างไรให้ทำไปแล้วเท่าไหร่ ทั้งนี้ ผู้ที่ติดคุก 85% เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเห็นใจและเราต้องบูรณาการในการที่ผู้เสพ เป็นผู้ป่วยและไม่ใช่คืนเขากลับบ้านจะต้องมีวิธีการที่เราจะจะต้องให้เขามีอาชีพที่เหมาะสมและพูดคุยกับครอบครัวเขาว่าจะดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เขากลับไปเสพใหม่อย่างไร”

เมื่อถามต่อว่า การจัดการกับปัญหายาเสพติดมี KPI ว่าอีก 4 ปีรัฐบาลเศรษฐาจะพลิกโฉมการแก้ปัญหายาบ้าอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “ที่บอกว่าปัญหาลดไป 50% หรือหมดไปพบว่าความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องให้เคพีไอว่าภายใน 4 ปีนี้จะต้องหมดไป”

เมื่อถามถึงนโยบายปราบผู้มีอิทธิพลและอาวุธเถื่อนกระบวนการถึงไหนแล้ว? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องอาวุธเถื่อน ตนว่าเรื่องนี้ถ้าไปดูที่ต่างประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเคสตัวอย่างที่จริง เขามีธุรกิจขายอาวุธปืนหรือผลิตอาวุธปืนเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก หลายรัฐบาลของสหรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาอาวุธปืนและการยิงกันได้ เพราะภาคธุรกิจใหญ่กว่า เช่นที่เท็กซัสมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ถ้าใครบอกว่าจะแบนเรื่องการเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย รับรองว่าคนนั้นไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ที่ประเทศไทย ตนมองว่าเป็นปัญหาที่ง่ายมาก เพราะเราไม่อยู่อุตสาหกรรมปืน... 

“ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นวาระหนึ่งที่เรามีการพูดคุยกันว่าให้มีการเข้าถึงอาวุธปืนทั้งเหตุการณ์ที่ พารากอน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ได้ออกกฎหมายช่วยจัดการในเรื่องนี้ หลายคนมองว่า นักท่องเที่ยวจีนที่หลายท่านบอกว่าเดินทางเข้ามาในประเทศประเทศไทย เพราะการเข้าถึงอาวุธปืนของเรายังสูงอยู่เราก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้และต้องแก้ไข ซึ่งเรื่องของอาวุธเถื่อนเป็นอะไรที่เรายอมรับไม่ได้ต้องไปดูที่กฎหมาย และเรื่องของผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องที่มีมาหลาย 10 ปีแล้ว ซึ่งก็หลายคนก็บอกว่าเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบ เรื่องยาเสพติดก็มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังชัดเจนการที่เราแถลงนโยบายไปแล้ว โดย รมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ประกาศชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับของการมีผู้มีอิทธิพล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐมเราก็มีการบริหารจัดการ เราไม่ยอมรับอยู่แล้ว”

‘สนค.’ เผย ภาคเหนือครองใจประชาชน อันดับ 1 หลังคนไทยแห่เที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 30.28%

(13 ธ.ค. 66) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเดือนพฤศจิกายน 2566 ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวในประเทศช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลเฉลิมฉลอง และเป็นการสำรวจต่อเนื่องจากเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยพบว่า ประชาชนมีแผนท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ภาคเหนือยังเป็นจุดหมายที่ครองใจประชาชนอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ภาคกลาง และภาคใต้ และคาดว่าจะใช้จ่าย 5,001-10,000 บาท/คน/ทริป เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก

อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายและยังไม่มีแผนการท่องเที่ยว

โดยแผนการท่องเที่ยวในภาพรวม พบว่ามีผู้ตอบ 32.19% ที่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจในปี 2565 (30.28%) ซึ่งผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นพนักงานของรัฐ 43.10% พนักงานบริษัท 41.85% นักศึกษา 40.25% โดยมีรายได้ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ พบว่า กลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแผนท่องเที่ยวในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง คือ 52.91% ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะกำลังซื้อที่สูงตามระดับรายได้ของครัวเรือนที่สูงกว่าภาคอื่นๆ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่ไม่มีแผนท่องเที่ยวยังคงมีความกังวลใน 3 เรื่องหลักเช่นเดียวกับปี 2565 คือ ภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ และไม่ชอบการเดินทาง อย่างไรก็ดี มีผู้ตอบบางส่วน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ พนักงานของรัฐฯ และมีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป ให้เหตุผลว่าจะมีแผนท่องเที่ยวหลังจากนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567

“การท่องเที่ยวในประเทศช่วง 2 เดือนสุดท้ายปี 2566 มีแนวโน้มคึกคัก โดยเฉพาะในภาคเหนือ และการท่องเที่ยวภายในภูมิลำเนา ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น หน่วยงานและสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน” นายพูนพงษ์ กล่าว

‘โรคไอกรน’ ระบาดหนักในปัตตานี ป่วยทะลุ 108 ทารกดับ 1 ‘แพทย์’ แนะ ปชช.ฉีดวัคซีนป้องกัน ลดอัตราการเสียชีวิตได้

(13 ธ.ค.66) สถานการณ์ไอกรนจังหวัดปัตตานี วันที่ 12 ธันวาคม 2566 ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่องในหลายอำเภอ รวม 108 ราย เสียชีวิตเด็กเล็กอายุ 18 วัน จากอำเภอเมือง จำนวน 1 ราย อำเภอเมืองปัตตานีเกิดมากที่สุด จำนวน 27 ราย รองลงมาอำเภอยะรัง จำนวน 24 ราย และ อำเภอแม่ลาน 12 ราย อำเภอมายอ 9 ราย อำเภอทุ่งยางแดง 8 ราย อำเภอสายบุรี กับอำเภอไม้แก้น อำเภอละ 6 ราย อำเภอยะหริ่ง 5 ราย อำเภอปะนาเระกับอำเภอหนองจิก อำเภอละ 4 ราย อำเภอกะพ้อ 3 ราย ส่วนอำเภอโกโพธิ์ ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ  

ทางด้านนายแพทย์อนุรักษ์ สารภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี กล่าวยืนยัน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการติดเชื้อไอกรนกระจายในหลายอําเภอ ที่ผ่านมามีทารกที่ติดเชื้อจากคนในบ้านเสียชีวิตด้วย ขณะที่แนวโน้มการติดเชื้อยังคงสูงขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากอัตราการรับวัคซีนของเด็กในพื้นที่จังหวัดปัตตานีน้อย ทั้งที่โรคไอกรนและอีกหลายๆ โรคเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองนําบุตรหลานรับวัคซีนพื้นฐานตามเกณฑ์อายุ ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

>> อาการของโรคแบ่งได้เป็น 3 ระยะ

ระยะแรก เด็กจะเริ่มมีอาการ มีน้ำมูก และไอ เหมือนอาการเริ่มแรกของโรคหวัดธรรมดาอาจมีไข้ต่ำๆ ตาแดง น้ำตาไหล จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ระยะนี้ส่วนใหญ่ยังวินิจฉัยโรคไอกรนไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้งๆ

ระยะที่สอง มีอาการไอเป็นชุดๆ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ไม่มีเสมหะจะเริ่มมีลักษณะของไอกรน คือ มีอาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้ง ในช่วงที่ไอผู้ป่วยจะมีหน้าตาแดง น้ำมูกน้ำตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เส้นเลือดที่คอโป่งพองการไอเป็นกลไกที่จะขับเสมหะที่เหนียวข้นในทางเดินหายใจออกมาผู้ป่วยจึงจะไอติดต่อกันไปเรื่อยๆ 

ระยะฟื้นตัว กินเวลา 2-3 สัปดาห์ อาการไอเป็นชุดๆ จะค่อยๆ ลดลง ทั้งความรุนแรงของการไอและจำนวนครั้ง แต่จะยังมีอาการไอหลายสัปดาห์ระยะของโรคทั้งหมดถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์

‘ทรู-ดีแทค’ ขานรับ ‘กสทช.’ ผนึกกำลังสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพิ่มมาตรการระงับเบอร์โทรต้องสงสัย เสริมเกราะป้องกันให้ลูกค้า

(13 ธ.ค. 66) จากกรณีภัยคอลเซ็นเตอร์และกลโกงทางไซเบอร์ ทำความเสียหายให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ มีความห่วงใยและพร้อมเดินหน้าร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ กับทุกภาคส่วน โดยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ ‘กสทช.’ สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของรัฐบาล โดยมุ่งไปที่เบอร์โทรต้องสงสัยที่โทรออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดปกติ โดยจะดำเนินการส่ง SMS ไปยังหมายเลขต้องสงสัยทั้ง ‘ทรูมูฟ เอช’ และ ‘ดีแทค’ พร้อมระงับการใช้เบอร์ทันที เพื่อให้ติดต่อกลับยืนยันตัวตน ว่าเป็นผู้ใช้งานจริงและดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบในการใช้บริการ โดยสามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ทรู 1242 ดีแทค 1678 หรือทรูชอป และศูนย์บริการดีแทค

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยภัยคุกคามจากมิจฉาชีพที่มาในหลากหลายรูปแบบ สร้างความเดือดร้อนในวงกว้าง จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันขจัดภัยอย่างจริงจัง ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม ตระหนักถึงภารกิจสำคัญในการดูแลลูกค้าทุกคนให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามที่มาจากยุคดิจิทัล และต้องการร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนกับทุกภาคส่วน จึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐฯ ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของของภาครัฐ ที่กำหนดให้ระงับการใช้เบอร์โทรต้องสงสัยที่มีการใช้งานโทรออกมากผิดปกติ ซึ่งทั้งดีแทค และทรูมูฟ เอช มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ จะดำเนินการส่ง SMS และระงับการใช้งานเบอร์ที่ต้องสงสัยทันที ซึ่งเป็นเลขหมายแบบเติมเงินเท่านั้น ไม่รวมถึงเลขหมายแบบรายเดือน หรือเบอร์ที่ลงทะเบียนภายใต้หน่วยงานหรือองค์กร

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้บริการ พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว โดยกรณีที่เป็นผู้ใช้งานจริงและใช้งานอย่างถูกต้อง สามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ดีแทค 1678 หรือทรู 1242 และ ทรูชอป หรือศูนย์บริการดีแทค เพื่อยืนยันตัวตน ให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับความมุ่งมั่นตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่จะเดินหน้ายกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที เสริมเกราะป้องกันลูกค้าและคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”

เปิดตัว ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย 2567’ ขยายฐานสู่ ‘เกาะสมุย-สุราษฎร์ธานี’

(13 ธ.ค.66) ในงานเปิดตัว ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 (The MICHELIN Guide Thailand 2024) ซึ่งเป็นคู่มือแนะนำร้านอาหารและที่พัก ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับที่ 7 ของประเทศไทย มิชลินได้ประกาศรายชื่อร้านอาหารที่คว้ารางวัล ‘ดาวมิชลิน’ (MICHELIN Star) และรางวัลพิเศษอื่น ๆ พร้อมทั้งฉลองความสำเร็จให้แก่บุคลากรมืออาชีพในแวดวงร้านอาหารของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้

คู่มือฉบับล่าสุดบรรจุรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรรวมทั้งสิ้น 447 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับรางวัล ‘2 ดาวมิชลิน’ 7 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘1 ดาวมิชลิน’ 2 ร้าน), รางวัล ‘1 ดาวมิชลิน’ 28 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 3 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 3 ร้าน), รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 196 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 29 ร้าน และมาจาก MICHELIN Selected 3 ร้าน) และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 216 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 37 ร้าน)

ในจำนวนร้านหน้าใหม่ที่ได้รับการตีพิมพ์ในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 7 ของไทย 23 ร้านตั้งอยู่ในเกาะสมุย (ร้านระดับ ‘บิบ กูร์มองด์’ 4 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected 7 ร้าน) และสุราษฎร์ธานี (ร้านระดับ ‘บิบ กูร์มองด์’ 8 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected 4 ร้าน) ซึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’ ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก

เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า บรรยากาศโดยรวมของภาคธุรกิจอาหารที่มีชีวิตชีวาและหลากหลายของเกาะสมุยและสุราษฎร์ธานีซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามฝั่งอ่าวไทย มีผลิตผลท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอาหารทะเลที่ได้คุณภาพและสดใหม่ ผสานหลากวัฒนธรรมที่รุ่มรวย ช่วยเสริมให้รายชื่อร้านอาหารของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย มีสีสันน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

“ผู้ตรวจสอบของมิชลิน ไกด์ ได้สัมผัสความหลากหลายในแวดวงร้านอาหารของไทย ทั้งร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นที่พยายามก้าวข้ามขอบเขตและขีดจำกัดเดิม ๆ ไปจนถึงแผงขายอาหารริมทางที่พบได้ทั่วไป ความหลากหลายที่โดดเด่นเช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทย คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 ไม่เพียงสะท้อนถึงประสบการณ์สุดพิเศษดังกล่าวที่ผู้ตรวจสอบของเราได้สัมผัส แต่ยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มและทิศทางล่าสุดในแวดวงอาหารของประเทศไทยด้วย” มร.ปูลเล็นเนค กล่าวเสริม

ผู้ตรวจสอบของมิชลิน ไกด์ ซึ่งเดินทางสำรวจและคัดสรรร้านอาหารทั่วประเทศไทย พบว่ามีร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้านเหล่านี้ดำเนินการโดยเชฟรุ่นใหม่อายุน้อยที่ทุ่มเทพลังสร้างสรรค์เพื่อก้าวข้ามขอบเขตและขีดจำกัดของการประกอบอาหารแบบเดิมสู่รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘อาหารไทยสไตล์โมเดิร์น’ นอกจากนี้ จำนวนร้านอาหารอีกประเภทที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ร้านอาหารประเภทที่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น (Reservation Only) และร้านที่จัดที่นั่งหันหน้าเข้าครัวเพื่อให้นักชิมได้เพลิดเพลินกับการชมทุกขั้นตอนการเตรียมอาหารของเชฟอย่างใกล้ชิด (Counter Dining) ซึ่งนำเสนออาหารเชิงนวัตกรรมและอาหารสไตล์โมเดิร์นเป็นคอร์สประเภท ‘เมนูชวนลิ้มลอง’ หรือ Tasting Menu

กระแสความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารมังสวิรัติยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในไทย โดยความต้องการที่มีต่ออาหารออร์แกนิก (Organic) และอาหารจากพืช (Plant-Based) เพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคใส่ใจในพฤติกรรมการทานอาหารมากขึ้น กระแสรักสุขภาพเช่นนี้ส่งผลให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและอาหารออร์แกนิกสูงขึ้น ร้านอาหาร...โดยเฉพาะร้านอาหารระดับหรู...จึงเลือกใช้วัตถุดิบที่ปลูกเองหรือปลูกในท้องถิ่นและให้ความสำคัญกับการผลิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือมีเชฟและผู้ประกอบการผู้หญิงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและผลักดันวงการอาหารทั่วประเทศ

ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 มีร้านอาหารคว้ารางวัล ‘2 ดาวมิชลิน’ เพิ่มขึ้น 2 ร้าน โดยได้รับการเลื่อนระดับจาก ‘1 ดาวมิชลิน’ ได้แก่ บ้านเทพา ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่นำแนวคิด Farm to Table มาใช้รังสรรค์อาหารชุด Tasting Menu ซึ่งจัดแต่งอย่างพิถีพิถันสวยงาม โดยเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลทั้งที่ปลูกเองและที่ปลูกโดยผู้ผลิตที่คำนึงถึงความยั่งยืน และ กา ร้านอาหารอินเดียร่วมสมัยที่ผสานศาสตร์การทำอาหารแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคนิคและการนำเสนอแบบสมัยใหม่ เสิร์ฟอาหารที่ผ่านการปรุงโดยใช้ทักษะและความประณีต ใส่เครื่องเทศอย่างพอเหมาะ ให้รสชาติที่ลุ่มลึกด้วยเนื้อสัมผัสที่แตกต่างและการควบคุมอุณหภูมิที่ดี

เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสองร้านล้วนดำเนินงานโดยเชฟผู้หญิง คือ เชฟตาม - ชุดารี เทพาคำ แห่งร้านบ้านเทพา และ เชฟการิมา อโรรา แห่งร้านกา ทั้งนี้ บ้านเทพาได้รับรางวัล ‘2 ดาวมิชลิน’ จากคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 เพียงปีเดียวหลังจากขึ้นแท่นร้านหน้าใหม่ที่คว้ารางวัล ‘1 ดาวมิชลิน’ จากคู่มือฯ ฉบับประจำปี 2566 ไปครอง ขณะที่กาเป็นร้านอาหารอินเดีย 1 ใน 2 แห่งทั่วโลกที่ครองสถานะ ‘2 ดาวมิชลิน’ อยู่ในปัจจุบัน

>> สำหรับรางวัล ‘1 ดาวมิชลิน’ ซึ่งมีร้านใหม่ติดโผ 6 ร้าน ในจำนวนนี้ 3 ร้านได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย’ เป็นครั้งแรก ส่วนอีก 3 ร้านได้รับการเลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected

ร้านใหม่ระดับ ‘1 ดาวมิชลิน’ ที่ติดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย’ เป็นครั้งแรก ได้แก่ อินดี ร้านอาหารอินเดียสมัยใหม่ที่นำเสนอรายการอาหารชุด (Set Menu) ซึ่งจะพานักชิมท่องไปตามแคว้นต่าง ๆ ของอินเดียผ่านเมนูย่างเตาถ่านเป็นหลัก, นว ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่นำเสนออาหารภายใต้แนวคิดนวัตกรรม โดยใช้เทคนิคใหม่ในการรังสรรค์อาหารไทยแต่ยังคงรสชาติอาหารภาคกลางดั้งเดิมที่เรียบง่ายทว่าซับซ้อน ร้านนี้เสิร์ฟ Tasting Menu ตามฤดูกาล ซึ่งประกอบด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยขนาดพอดีคำ (Finger Food) และอาหารจานหลักแบบสำรับหลายรายการ และ สำรับสำหรับไทย ร้านอาหารไทยที่นำเสนอ Tasting Menu จากการพลิกแพลงสูตรตำราอาหารหายากให้มีความเป็นไทยโบราณใหม่ตามยุคสมัย ได้รสชาติไทยแท้กรุ่นกลิ่นหอมระคนกัน โดยเมนูของร้านจะปรับเปลี่ยนทุกสองเดือน

ร้านใหม่ระดับ ‘1 ดาวมิชลิน’ ที่เลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected ได้แก่ มีอา ร้านอาหารที่นำเสนออาหารยุโรปสไตล์โมเดิร์นเปี่ยมกลิ่นอายความเป็นเอเชียแบบ 5 หรือ 8 คอร์ส ผ่านเมนู ‘Taste of Mia’ ตามฤดูกาลที่โดดเด่นด้วยรสชาติกลมกล่อมซับซ้อน นอกจากนี้ ยังมีเมนูวีแกนและมังสวิรัติให้เลือก พร้อมทั้งให้บริการจับคู่อาหารกับค็อกเทล ม็อกเทล หรือไวน์, เรโซแนนซ์ ร้านอาหารที่นำเสนอ Tasting Menu ตามฤดูกาล และนำนักชิมเดินทางผ่านอาหารจานพิเศษซึ่งรังสรรค์ขึ้นด้วย แรงบันดาลใจที่เชฟได้รับจากการเดินทางไปทำงานในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่นี่ยังมีบริการจับคู่อาหารกับชา (Tea Pairing) เมื่อแจ้งล่วงหน้าเท่านั้นด้วย และ วรรณยุค ร้านอาหารที่เสิร์ฟ Tasting Menu อาหารไทยร่วมสมัยตามฤดูกาลซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ข้าวแกง’ หรือ ‘ข้าวราดแกง’ โดยแต่ละคอร์สเลือกใช้พันธุ์ข้าวจากหลากหลายท้องถิ่นทั่วประเทศ

>> รางวัล MICHELIN Green Star หรือ ‘ดาวมิชลินรักษ์โลก’ เพิ่มขึ้น 1 ร้าน รวมเป็น 4 ร้าน

นอกจาก พรุ, Haoma และ จำปา ซึ่งครองรางวัล MICHELIN Green Star หรือ ‘ดาวมิชลินรักษ์โลก’ ที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการและมีแนวปฏิบัติประจำวันด้านการประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีร้านอาหารร่วมครองรางวัลนี้อีก 1 ร้านในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 ได้แก่ เเฌม บาย ฌอง-มิเชล โลรองต์ ร้านอาหารฝรั่งเศสสุดสร้างสรรค์ที่เชฟและทีมงานให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยไม่เพียงเสริมสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ผลิตในไทย แต่ยังตรวจสอบแนวทางปฏิบัติงานในครัวอย่างเข้มงวดสม่ำเสมอ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการขยะ การรีไซเคิล ไปจนถึงโครงการริเริ่มอื่น ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย’ มอบรางวัลพิเศษรวม 4 รางวัล ให้กับบุคลากรมืออาชีพจากร้านอาหารที่ติดอันดับในคู่มือฯ ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นและมีบทบาทในการยกระดับประสบการณ์ด้านอาหารให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น อันเป็นการส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมด้านอาหารและบริการเป็นที่น่าสนใจและน่าทำงานด้วย

>> รางวัล MICHELIN Young Chef Award: เชฟ ‘ตาม’ ชุดารี เทพาคำ จากร้านบ้านเทพา

MICHELIN Young Chef Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดย ‘บลองแปง’ (Blancpain) แบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ รางวัลนี้มอบให้กับสุดยอดเชฟรุ่นใหม่ของร้านอาหารระดับดาวมิชลินที่มีทักษะความสามารถโดดเด่น โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2567 คือ เชฟ ‘ตาม’ ชุดารี เทพาคำ จากร้านบ้านเทพา เชฟตามเป็นเชฟหญิงไทยที่ถือเป็นดาวรุ่งที่มาแรงและมีอนาคตไกล หลังสั่งสมประสบการณ์จากร้านอาหารชั้นนำอย่าง Gaggan, Water Library Group และทำงานในตำแหน่ง Chef de Partie ณ ร้าน Blue Hill at Stone Barns ในนครนิวยอร์ก เธอได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยและสร้างปรากฏการณ์น่าทึ่งให้กับแวดวงร้านอาหารในไทยเมื่อร้านบ้านเทพาของเธอก้าวขึ้นคว้ารางวัล ‘1 ดาวมิชลิน’ มาครองในฐานะร้านหน้าใหม่ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2566 และล่าสุดในปีถัดมายังสามารถเลื่อนระดับสู่รางวัล ‘2 ดาวมิชลิน’ ได้สำเร็จ

>> รางวัล MICHELIN Opening of the Year Award: วิชชุพล เจริญทรัพย์ เจ้าของร้านนว

MICHELIN Opening of the Year Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารยูโอบี (UOB) รางวัลนี้มอบให้กับบุคลากรและทีมงานซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดร้านอาหารใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดที่โดดเด่นในการนำเสนออาหารอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากวงการอาหารในประเทศ สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2567 คือ วิชชุพล เจริญทรัพย์ เจ้าของร้านนว ร้านอาหารซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2566 และติดอันดับร้านระดับรางวัล ‘1 ดาวมิชลิน’ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ฉบับล่าสุด โดยคุณณพล จันทรเกตุ หรือ เชฟโจ และคู่ชีวิตของเขา เชฟซากิ ฮาชิโนะ ดูแลในครัว ขณะที่คุณเนย์ วิชชุพล เจริญทรัพย์ ทำหน้าที่ดูแลหน้าร้าน ทั้งสามคนเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ร้านนวจึงเป็นร้านที่โดดเด่นและได้รับเลือกให้ครองรางวัล Opening of the Year Award ด้วยการรังสรรค์อาหารไทยภาคกลางรสชาติดั้งเดิมที่ผ่านการตีความใหม่ออกมาในแบบที่ทันสมัยและน่าสนใจ

>> รางวัล MICHELIN Service Award: หลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgeois) จากร้านเชฟส์เทเบิล

MICHELIN Service Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รางวัลนี้มอบให้สุดยอดบุคลากรของร้านอาหารที่ทุ่มเทให้กับการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2567 คือ หลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgeois) จากร้านเชฟส์เทเบิล มิสบูร์ชัวส์ ผู้จัดการร้านเชฟส์เทเบิล ให้การต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างอบอุ่นและดูแลให้บริการอย่างใส่ใจ ความสุภาพและเป็นกันเองของเธอสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นมิตร ขณะเดียวกันบุคลิกความเป็นผู้นำที่โดดเด่นในฐานะผู้จัดการร้านยังส่งผลต่อการให้บริการของทีมงานอย่างมืออาชีพด้วย

>> รางวัล MICHELIN Sommelier Award: ธนากร บอทอร์ฟ จากร้านอินดี

MICHELIN Sommelier Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับ ‘ซอมเมอลิเยร์’ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น โดยให้บริการอย่างมืออาชีพ และมีความชำนาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับไวน์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหาร เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านอรรถรสสูงสุด โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2567 คือ ธนากร บอทอร์ฟ จากร้านอินดี คุณธนากรเป็น ‘ซอมเมอลิเยร์’ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น สามารถนำเสนอและแนะนำไวน์ที่คัดสรรมาให้เลือกมากถึง 600 ประเภท ซึ่งรวมถึงไวน์ที่เสิร์ฟเป็นแก้วเกือบ 60 ประเภท โดยจัดทำรายการไวน์พร้อมตั้งคำถามสนุก ๆ ให้ได้ทายและเรียนรู้เกี่ยวกับไวน์ เขาไม่เพียงให้บริการอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่ยังเป็นนักสื่อสารที่ดีในเรื่องไวน์ ทั้งยังไม่เพียงจับคู่ไวน์ได้เหมาะกับอาหาร แต่ยังแนะนำไวน์อย่างใส่ใจและคำนึงถึงรสนิยมของลูกค้า

>> สรุปจำนวนร้านอาหารที่ได้รับรางวัลจากคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ประเทศไทย 2567’

ร้านอาหาร 2 ดาวมิชลิน จำนวน 7 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘1 ดาวมิชลิน’ 2 ร้าน)
ร้านอาหาร 1 ดาวมิชลิน จำนวน 28 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 3 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 3 ร้าน)
ร้านอาหาร ดาวมิชลินรักษ์โลก จำนวน 4 ร้าน (ติดอันดับเพิ่มขึ้น 1 ร้าน)
ร้านอาหารรางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จำนวน 196 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 28 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 4 ร้าน)
ร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected จำนวน 216 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 37 ร้าน)

นอกจากรายชื่อร้านอาหารแล้ว คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ยังบรรจุข้อมูลโรงแรมที่พักทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งผ่านการคัดสรรว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นเอาไว้ด้วย ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งยังสามารถสำรองโรงแรมที่พักผ่านช่องทางดังกล่าวได้โดยตรง อนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญของ ‘มิชลิน ไกด์’ ดำเนินการคัดสรรโรงแรมที่พักทุกแห่งโดยพิจารณาจากอัตลักษณ์เฉพาะตัว บริการ และสไตล์ที่โดดเด่น สำหรับรายชื่อโรงแรมที่พักในประเทศไทยซึ่งผ่านการคัดสรรและตีพิมพ์ไว้ในคู่มือฉบับล่าสุดครอบคลุมทั้งโรงแรมสไตล์บูติกสุดหรูดีไซน์ทันสมัยและโรงแรมที่พักเหนือระดับในกลุ่ม Plus Collection ทั้งนี้ คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ไม่เพียงได้รับยกย่องว่าเป็นบรรทัดฐานของวงการอาหาร แต่ยังมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจโรงแรมที่พัก คลิกดูข้อมูลร้านอาหารและโรงแรมที่พักซึ่งผ่านการคัดสรรทั้งหมด ตลอดจนสำรองที่นั่งและที่พักผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ ‘มิชลิน ไกด์’ ที่มีให้ดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อสัมผัสประสบการณ์สุดประทับใจ

สามารถดูรายชื่อร้านอาหารที่ได้รับการคัดสรรในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำ พ.ศ. 2567 ทั้งหมดได้ทางเว็บไซต์มิชลิน ไกด์ และแอปพลิเคชันคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ (ดาวน์โหลดได้แล้วทั้งระบบ iOS และ Android) ที่ช่วยให้คุณค้นหาโรงแรมและร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกที่คัดสรรโดย ‘มิชลิน ไกด์’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top