Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

'นายกฯ' เผย 'พิพัฒน์' ดึงกลับขึ้น 'ค่าแรงขั้นต่ำ' หวังให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น ยัน!! ทันปีใหม่

(12 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ว่า เรื่องของแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.โดยนายพิพัฒน์ได้สรุปเอง บอกว่าจะต้องนำกลับไปตั้งข้อสังเกตและพิจารณาสูตรการคิดค่าแรงใหม่ ท่านนำมาเสนอและดึงกลับไปเอง จึงแจ้งเพื่อทราบ

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายกฯ กล่าวว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่และต้องให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคี พูดได้แค่นี้ เมื่อถามว่าจะทันช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าอาทิตย์หน้าอาจจะนำเข้าที่ประชุมครม.หรือไม่เกิน 2 อาทิตย์อาจจะเป็นวันที่ 25 ธ.ค.หรืออะไรสักอย่างตรงนั้น น่าจะเอาเข้ามาทันได้

เมื่อถามว่า ตัวเลขที่นายกฯ ตั้งใจไว้อยู่ที่เท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ไม่ใช่ตัวเลขปัจจุบันนะ แต่ก็ต้องฟังเขาก่อน มันมีข้อกฎหมายอะไรหลายๆ อย่าง ที่ทักท้วงเข้ามา แต่สิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่ตัวเลขจำนวนนี้

เมื่อถามว่า จะได้ตัวเลข 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศหรือไม่ นายเศรษฐา ไม่ตอบคำถามพร้อมกับกล่าวว่า “คำถามต่อไปครับ”

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.วันนี้ มีมติรับทราบมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือบอร์ดไตรภาคี ที่เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท หรือเฉลี่ย 2.37% แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น กระทรวงแรงงานจึงขอเสนอกลับไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง คาดว่าจะนำกลับเข้ามาในครม.ก่อนสิ้นปี 2566 นี้

“วันนี้กระทรวงแรงงาน เสนอมติของคณะกรรมการค่าจ้างเข้ามาครม.ตามกำหนด แต่ในการประชุมก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตและขอนำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เพราะส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำหลักการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ โดยใช้ฐานปี 2563-2564 มาเป็นสูตรคำนวณ โดยจะเสนอไปยังคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาเพิ่มเติมใหม่อีกครั้ง” นายพิพัฒน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบนี้เมื่อนำกลับไปพิจารณาใหม่ จะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวยอมรับว่า การดำเนินการจะทำให้เร็วที่สุดและจะได้ข้อสรุปให้เดือนธันวาคม 2566 เพื่อให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

‘รมว.พาณิชย์สหรัฐ’ เล็งกีดกัน ‘Huawei - SMIC’ ขั้นสุด อ้าง!! ความมั่นคงของชาติ หลัง Huawei ผลิตชิปล้ำหน้า

(12 ธ.ค.66) นางจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐกล่าวว่า สหรัฐจะดำเนินการอย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ หลังจากถูกผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงพาณิชย์สหรัฐมีแผนจะจัดการกับความก้าวหน้าล่าสุดในเทคโนโลยีการผลิตชิปของจีนอย่างไร

“เมื่อใดก็ตามที่พบเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าเป็นกังวล เราก็จะตรวจสอบเรื่องนั้นอย่างจริงจัง” นางไรมอนโด กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.) พร้อมเสริมว่าความคืบหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของจีนนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับสหรัฐ

ความคิดเห็นของนางไรมอนโดมีขึ้นหลังจากที่หัวเว่ย เทคโนโลยีของจีน ประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงในการพัฒนาสมาร์ตโฟนที่ใช้โปรเซสเซอร์ขั้นสูง โดยหัวเว่ย ซึ่งถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ ได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนอย่างบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (SMIC) ซึ่งเป็นผู้ชิปชั้นนำของจีน ในการผลิตโปรเซสเซอร์ดังกล่าว โดยสมาร์ตโฟนหัวเว่ย Mate Pro 60 ที่วางจำหน่ายเมื่อเดือนส.ค. นับเป็นความท้าทายต่อสมาร์ตโฟนไอโฟน (iPhone) ของบริษัทแอปเปิ้ล และแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการผลิตของหัวเว่ยนั้นมีความก้าวหน้ามากกว่าที่คาดคิดไว้

ทั้งนี้ นางไรมอนโดกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นจากบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งกล่าวว่าชิปที่ SMIC ผลิตให้กับหัวเว่ยนั้น นับเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่อหัวเว่ยอย่างชัดเจน และสหรัฐควรดำเนินการตอบโต้อย่างเด็ดขาดด้วยการกีดกันทั้งสองบริษัทไม่ให้เข้าถึงซัพพลายเออร์ทั้งหมดในอเมริกาได้โดยสิ้นเชิง

'พีระพันธุ์' เผย!! ไม่มีอดีตคน ปชป.ย้ายซบ รทสช.  บอก!! ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แง้ม!! ยังไม่มีแพลนเปิดรับ

(12 ธ.ค. 66) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักการเมืองหลายคนลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีใครจะย้ายมาร่วมกับพรรค รทสช. บ้างหรือไม่ ว่า “ไม่รู้ ไม่มี ไม่เห็นมีใครติดต่อมา เขาคงอยู่พรรคมั้ง ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว มันคนละพรรคแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามยํ้าว่า ถ้ามีจะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ยิ้มและกล่าวว่า “ยังไม่มี”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการ และผู้บังคับการ สร้างวิสัยทัศน์ของผู้บริหารหรือผู้นำหน่วยงานให้กว้างไกล นำไปสู่การแก้ไขปัญหา และพัฒนาการทำงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

วันนี้ (12 ธ.ค.66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการ หรือเทียบเท่าและผู้บังคับการ หรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช 2567 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ , พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. / พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข , พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา , พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการศึกษา ร่วมพิธี

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 13 ธันวาคม 2566 มีผู้เข้าร่วมโครงการสัมมนา ประกอบด้วยผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า จำนวน 44 คน และผู้บังคับการ หรือเทียบเท่า จำนวน 292 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและทักษะทางการบริหาร , มีความรู้ทัศนะที่กว้างไกลในการบริหารหน่วย , มีเหตุผล มีทักษะที่ดีในการบริหารหน่วย , มีภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เข้าสัมมนาในฐานะผู้นำหน่วย เพื่อให้รู้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันและอนาคต สามารถปรับระบบการบริหารองค์กรให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ในการปฏิบัติงานของตำรวจ บทบาทในการบริการประชาชน ให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ และพิทักษ์รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง 

ในการสัมมนาได้เชิญ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. บรรยายพิเศษ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวถึงประสบการณ์และการรับราชการในหน้าที่ ผบ.ตร. ใช้หลักการปฏิบัติ 12 ข้อ ได้แก่ มียุทธศาสตร์ จัดทำแผนปฏิบัติการ , ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ , สร้างเอกภาพ-บูรณาการ , กระจายอำนาจ/โครงการ/งบประมาณ , สร้างองค์ความรู้/พัฒนาบุคลากร , พัฒนาสถานีตำรวจ , ให้ทฤษฎีสร้างความเข้มแข็งจากภายใน , สร้างขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา , บูรณาการทุกภาคส่วน , เน้นภาวะผู้นำ และประเมินผล-ตอบแทน

จากนั้นเป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 โดย พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย อดีต รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ต.ปรีดา สถาวร รอง ผบช.สกพ. / เรื่อง นโยบายการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน โดย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. / เรื่องนโยบายการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปราม โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./ และเรื่อง แนวคิดด้านการบริหารจัดการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ ชอบเพื่อน รอง ผบช.งป. 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวว่า โครงการสัมมนาในลักษณะเช่นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้นำหน่วยงาน ระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ  โดยมีเป้าหมายในการสร้างวิสัยทัศน์ของผู้บริหารหรือผู้นำหน่วยงานให้กว้างไกล ให้ได้รับฟัง รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในด้านต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาล , ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้ใหม่ ทั้งในด้านการปฏิบัติหน้าที่และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการบริหารงานตามแนวพระราชดำริ และหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนสามารถนำไปปรับใช้ในการบริหารหน่วยงาน กำกับติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยในความรับผิดชอบได้ รวมถึงมีการระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์การปฏิบัติงานของทุกท่านในกระบวนการสัมมนากลุ่มย่อย เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำไปสู่การแก้ไขปัญหา และพัฒนาการทำงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

สตม. รวบนาย Khum คนร้ายก่อเหตุยิงปืนในสนามฟุตบอล พื้นที่ สภ.คูคต ปทุมธานี 

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม. รวบนาย Khum (นามสมมุติ-ทราบชื่อภายหลัง) คนร้ายก่อเหตุยิงปืนในสนามฟุตบอล พื้นที่ สภ.คูคต ปทุมธานี ขณะเตรียมหลบหนีอยู่บริเวณท่ารถ ใกล้กับด่านพรมแดนด่านบ้านแหลม อ.เทพนิมิตร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี สืบเนื่องจากเหตุคนร้ายก่อเหตุยิงปืนในสนามฟุตบอล พื้นที่ สภ.คูคต ปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.66 นั้นพล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด สตม. ตลอดจน ด่าน ตม. ทั่วประเทศ ดำเนินมาตรการเข้มเพื่อป้องกันเหตุร้าย สร้างความเชื่อมั่น สร้างความปลอดภัย แก่พี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุ ให้ทุกหน่วยตื่นตัว ขับเคลื่อน ประสานข้อมูล จับกุมคนร้ายให้ได้ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.66 ได้เกิดเหตุคนร้าย สัญชาติกัมพูชา ก่อเหตุยิงปืนในสนามฟุตบอลแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี ทำให้ผู้มาใช้บริการ รวมถึงการแข่งกีฬากระชับมิตรของแรงงานกัมพูชากว่า 200 คน ต้องหนีตายโกลาหล หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ “บก.สส.สตม. , ตม.จว. , ด่าน ตม. ชายแดน ในสังกัด บก.ตม.3” ตลอดจนด่าน ตม.ชายแดนทั่วประเทศ เร่งสืบสวน ติดตามจับกุมตัวคนร้าย ประสานข้อมูลกับทุกภาคส่วน ทุกภาคีเครือข่าย ผู้ประกอบการรถขนส่ง พี่น้องประชาชน เพื่อแจ้งเบาะแส ขึงทุกพื้นที่ กดดันไม่ให้คนร้ายหลบหนีได้ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลทราบว่า คนร้ายคือ นาย Khum (นามสมมุติ) สัญชาติกัมพูชา

ซึ่งหลังก่อเหตุได้หลบหนีไป “ตำรวจ ภ.1” และ ”สตม.“ ได้ร่วมกันติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาโดยตลอด ต่อมาวันนี้ เวลาประมาณ 10.00 น. ตม.จว.จันทบุรี บก.ตม.3 ซึ่งได้รับการประสานข้อมูลจาก ภ.1 , บก.สส.สตม., กก.สส.บก.ตม.3, ตม.จว.ปทุมธานีตม.จันทบุรี จึงได้ประชาสัมพันธ์กับหน่วยงานและภาคเอกชนในพื้นที่ ว่าหากพบบุคคลต้องสงสัยมีสัญลักษณ์รอยสัก BK ที่แขน และมีลักษณใกล้เคียงตามภาพ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ต่อมา พบชายต้องสงสัยอยู่บริเวณท่ารถ จึงเข้าตรวจสอบ จากการซักถามรับว่าจะหลบหนีข้ามแดน แต่เนื่องจากไม่มีเอกสารจึงไม่สามารถข้ามได้ จนท.ตม. คาดว่าผู้ต้องหาน่าจะรออยู่บริเวณด่านเพื่อหาโอกาสข้ามแดนตามช่องทางธรรมชาติหลบหนีเจ้าหน้าที่ ตม.จันทบุรี จึงได้ซักถาม นาย Khum (นามสมมุติ-ทราบชื่อภายหลัง) รับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยหลังเกิดเหตุได้มี นาย Heng (นามสมมุติ) สัญชาติกัมพูชา เป็นคนพาหลบหนี ส่วนอาวุธปืน ทิ้งไว้บริเวณที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังพบว่า นาย Khum ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด อีกด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวดำเนินคดี ตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 938/2566 ลงวันที่ 11 ธ.ค.66 ฐานความผิด ”ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควร ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่ บ้านหรือที่ชุมนุมชนและเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุดหรือถูกเพิกถอน“ทั้งนี้ ได้จัดทำบันทึกซักถามและรายงานการควบคุมตัวตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายพ.ศ.2565 และนำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.คูคต จว.ปทุมธานี เจ้าของคดีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

จังหวัดร้อยเอ็ด MOU ซื้อ-ขายข้าว กว่า 3,000 ล้านบาท ในงานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 23

วันนี้( 12 ธันวาคม 2566 ) เวลา 11.00 น. นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อ ตกลงความร่วมมือการซื้อขายข้าวผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว กิจกรรมเจรจาการค้าข้าวหอม มะลิ ในงานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลก ครั้งที่ 23 โดยมี นายชูศักดิ์ ราชบุรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย พาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการ ผู้ค้าข้าว ตลอดจนพี่น้องเกษตรกร เข้าร่วม ณ โดมเวทีกลางบึงพลาญชัย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด

โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดร้อยเอ็ด ได้เชิญผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศและผู้ส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการชมรมโรงสีข้าว กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวของจังหวัดร้อยเอ็ดรวม จำนวนกว่า 55 ราย เข้าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการซื้อขายข้าว เป็นจำนวนเงินกว่า 3,100 ล้านบาท 

เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายข้าวหอมมะลิและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวหอมมะลิให้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันของข้าวหอมมะลิ และร่วมกันพัฒนาการผลิตการสร้างมูลค่าเพิ่มการตลาดข้าวหอมมะลิของจังหวัดร้อยเอ็ด 

ทั้งนี้จังหวัดร้อยเอ็ดได้กำหนดจัดงานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลก จังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 23 ในระหว่างระหว่างวันที่ 11 - 13 ธันวาคม 2566 ซึ่งในงานมีการนำเสนอเทคโนโลยีนวัตกรรมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดี พร้อมสร้างเครือข่ายการผลิตข้าวอินทรีย์ รวมถึงเชื่อมโยงช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน

‘คุณหญิงแอ๋ว’ ประกาศพา ปชป.กลับสู่อ้อมกอดของปชช. ชูธงเชียร์ ‘มาดามเดียร์’ สู้ต่อ อนาคตไม่พ้นผู้บริหารพรรค

อดีตรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งประชาธิปัตย์ ‘สุพัตรา มาศดิตถ์’ ชูธงเชียร์ ‘มาดามเดียร์’ สู้ต่อไปในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งอุดมการณ์บรรพชน มั่นใจในอนาคตได้เป็นผู้บริหารพรรคหญิงที่มีคุณภาพคับแก้ว ประกาศพร้อมนำพรรคกลับสู่ ‘วิถีธรรม’ และอ้อมกอดของประชาชน

(12 ธ.ค. 66) คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของพรรคหลังได้ผู้บริหารชุดใหม่ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์เชิงลบอย่างหนักหน่วงว่า ตนพร้อมจะนำพรรคประชาธิปัตย์กลับสู่อ้อมกอดของประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนอีกครั้ง ในวันข้างหน้าที่มีโอกาส 

พร้อมกันนี้ ตนก็พร้อมและยินดีสนับสนุนบทบาททางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่คำนึงถึงความชอบธรรม โดยเฉพาะบทบาทฝ่ายบริหารสำหรับผู้หญิงที่มีคุณภาพ 

“ดิฉันพร้อมสนับสนุนให้ มาดามเดียร์ มีโอกาสทำหน้าที่บริหารพรรค รวมทั้งคนรุ่นใหม่ทุกคนที่มีความพร้อม มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ถูกต้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน เทิดไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง” 

คุณหญิงสุพัตรา ยังส่งกำลังใจถึง ‘มาดามเดียร์’ และเลือดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “ขอให้คนรุ่นใหม่ได้สู้ต่อไป วันหน้าเราอาจมีเลขาธิการพรรคเป็นสุภาพสตรีที่แข็งแกร่งที่ชื่อ วทันยา บุนนาค ก็เป็นไปได้”

“ดิฉันจึงขอยืนหยัดสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในมิติคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งแนวอุดมการณ์ของบรรพชนประชาธิปัตย์ เราจะช่วยกันนำประชาธิปัตย์กลับคืนมาสู่วิถีธรรม เพื่อยืนเคียงข้างประชาชนต่อไป” อดีตรัฐมนตรีหญิงแกร่งแห่งประชาธิปัตย์ กล่าว

สำหรับคุณหญิงสุพัตรา หรือที่สื่อมวลชนรุ่นใหญ่รู้จักกันดีในชื่อ ‘คุณหญิงแอ๋ว’ เป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยที่มาจากการเลือกตั้ง โดย คุณหญิงสุพัตรา เป็น สส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย สืบต่อจากบิดา คือ นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ อดีตสื่อมวลชนและนักการเมืองชื่อก้องของภาคใต้ และเป็นนักการเมืองหญิงที่มีบทบาทสูงมากในช่วงที่การเมืองไทยผลัดใบจากประชาธิปไตยครึ่งใบสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ

‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ขึ้นแท่นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 1 ปี 66 ครองแชมป์ 5 ปีซ้อน มั่งคั่งกว่า 1.9 แสนล้านบาท!!

(12 ธ.ค. 66) วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ 30 แล้ว โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสูงสุด 10 อันดับแรกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดภายในวันที่ 30 กันยายน 2566

สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ปรากฏว่า แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ยังคงเป็นของ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ ‘GULF’ ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยถือหุ้นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 รวม 190,828,06 ล้านบาท ลดลง 28,153.53 ล้านบาท หรือ 12.86% นอกจากสารัชถ์ จะถือหุ้น GULF สูงเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 35.67% คิดเป็นมูลค่า 190,421.51 ล้านบาทแล้ว ในปีนี้ยังถือหุ้น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) บริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยนที่ทำธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกทั่วโลกอีก 0.67% มูลค่า 406.55 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้ความมั่งคั่งจะลดลงไป แต่ตลอด 5 ปีของการครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย มูลค่าหุ้นที่สารัชถ์ ถือครองก็อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาททุกปี ซึ่งนับเป็นมูลค่าสูงสุดในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน

โดยในปี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกที่ก้าวขึ้นครองแชมป์ สารัชถ์มีความมั่งคั่งรวม 120,959.99 ล้านบาท ต่อมาในปี 2563 ความมั่งคั่งลดลงไปเล็กน้อยที่ 115,289.99 ล้านบาท ก่อนทะยานสู่ 173,099.73 ล้านบาท ในปี 2564 และพุ่งทะลุไปถึง 218,981.58 ล้านบาท ในปี 2565 จนล่าสุดลดลงมาที่ 190,828.06 ล้านบาท ในปี 2566

เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ ‘นิติ โอสถานุเคราะห์’ นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 61,790.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,666.61 ล้านบาท หรือ 6.31% ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่มีชื่อนิติเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกในปีนี้ยังคงอยู่ใน 8 บริษัท โดยถือหุ้นในสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ได้แก่ ‘นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ’ หรือ ‘หมอเสริฐ’ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือครองหุ้น บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) และ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มูลค่ารวม 57,001.68 ล้านบาท ลดลง 5,734 ล้านบาท หรือ 9.14%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ ‘ปณิชา ดาว’ โดยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 41,595.20 ล้านบาท ลดลง 40,035.38 ล้านบาท หรือ 49.04% สำหรับ PSG ได้มีกลุ่มทุนจาก สปป.ลาว นำโดย ‘เดวิด แวน ดาว’ สามีของปณิชา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ ในนาม บริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) เจ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ที่ สปป.ลาว เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ในปี 2564

เศรษฐีอันดับ 5 ได้แก่ ‘ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ’ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ทายาทหมอเสริฐ โดยยังคงถือหุ้น BDMS ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ 5.18% และถือหุ้น BA ในสัดส่วนเดิมที่ 6.49% ส่วน บมจ.เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) ปีนี้ได้ลดการถือหุ้นจาก 40.04% เหลือ 25.05% ส่งผลให้มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 26,634.59 ล้านบาท ลดลง 8,367.28 ล้านบาท หรือ 23.91%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 6 และอันดับ 7 ได้แก่ สองเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) หรือชื่อเดิมคือ ‘เมืองไทยลิสซิ่ง’ โดย ‘ชูชาติ เพ็ชรอำไพ’ อยู่ในอันดับ 6 รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 25,933.90 ล้านบาท ลดลง 584.17 ล้านบาท หรือ 2.20% โดยถือหุ้น MTC 33.49% และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) 3.12% ส่วน ‘ดาวนภา เพ็ชรอำไพ’ อยู่ในอันดับ 7 ถือหุ้น MTC 33.96% มูลค่า 25,920 ล้านบาท ลดลง 180 ล้านบาท หรือ 0.69%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ ‘นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี’ นักลงทุนรายใหญ่ที่ปีนี้มีพอร์ตการลงทุนมูลค่ารวม 22,462.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,181.71 ล้านบาท หรือ 99.12% ความมั่งคั่งในพอร์ตหุ้นของหมอพงศ์ศักดิ์ที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยเมื่อคลี่พอร์ตหุ้นออกมาดูพบว่า หุ้นที่หมอพงศ์ศักดิ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก เพิ่มขึ้นเป็น 14 บริษัท จาก 7 บริษัทเมื่อปีที่แล้ว

เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ ‘อนันต์ อัศวโภคิน’ บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ แบรนด์ ‘แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์’ ถือหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) สูงเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 23.93% มูลค่า 22,308 ล้านบาท ลดลง 3,146 ล้านบาท หรือ 12.36%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ ‘สุระ คณิตทวีกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอมเซเว่น (COM7) เจ้าของธุรกิจค้าปลีกสินค้าด้านไอที โดยถือหุ้นรวมมูลค่า 21,387.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,381.50 ล้านบาท หรือ 94.33% ซึ่งปีนี้พอร์ตหุ้นที่สุระเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกเพิ่มขึ้นเป็น 17 บริษัทจาก 11 บริษัทเมื่อปีที่แล้ว โดยสุระเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ในสัดส่วน 25.05% และ บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล (WAVE) ในสัดส่วน 7.56% ส่วน บมจ.เอ็ม วิชั่น (MVP) สุระถือหุ้น 9.30% สูงเป็นอับดับ 2 รองจากผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือ Capital Asia Investment ที่ถือหุ้น 14.62%

สำหรับความมั่งคั่งของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้ หดหายไปตามการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยในปี 2566 โดยตระกูลรัตนาวะดี ยังคงครองแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 มีความมั่งคั่งรวม 190,828.06 ล้านบาท ลดลง 28,153.53 ล้านบาท หรือ 12.86% จากการถือหุ้น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) ของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย สารัชถ์ รัตนาวะดี

อันดับ 2 ตระกูลปราสาททองโอสถ โดย 6 เครือญาติในตระกูล ได้แก่ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และ 5 ทายาท พุฒิพงศ์ สมฤทัย, อาริญา ปรมาภรณ์ และ พลตำรวจโทวิสนุ ปราสาททองโอสถ ที่ถือครองหุ้นรวมกันเป็นมูลค่า 96,820.59 ล้านบาท ลดลง 11,161.75 ล้านบาท หรือ 10.34%

อันดับ 3 ตระกูลโอสถานุเคราะห์ โดย 6 เครือญาติในตระกูลโอสถสภา ได้แก่ นิติ, คฑา, ธัชรินทร์, นาฑี, เกสรา และภาสุรี โอสถานุเคราะห์ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 72,721.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 650.12 ล้านบาท หรือ 0.90%

อันดับ 4 ตระกูลเพ็ชรอำไพ โดยเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) ดาวนภา-ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 51,853.90 ล้านบาท ลดลง 764.17 ล้านบาท หรือ 1.45%

และอันดับ 5 ตระกูลดาว ของปณิชา ดาว กลุ่มทุนจาก สปป.ลาว ที่เข้ามาถือหุ้น บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ความมั่งคั่งของตระกูลดาวปรับลดลงไป 49.04% โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 41,595.20 ล้านบาท

‘จีน’ รับอานิสงส์ ‘ไทย’ สั่งซื้อ ‘แอปเปิลเวยไห่’ กว่าพันตัน หลังศุลกากรเปิดช่องพิเศษ ลดปัญหาผลิตภัณฑ์เน่าเสียง่าย

เมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การส่งออกสินค้าเกษตรของเมืองเวยไห่ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2023 มีมูลค่า 1.22 หมื่นล้านหยวน (ราว 6.03 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยในจำนวนนี้เป็นการส่งออกแอปเปิลไปยังตลาดทั่วโลกทั้งสิ้น 14,000 ตัน

ชุยชิงซาน ผู้จัดการทั่วไปของหรู่ซาน พริ้นเซส ฟรุต แอนด์ เวจตา จำกัด (Rushan Princess Fruit and Vegetable Co., Ltd) บริษัทผู้ส่งออกแอปเปิลในเมืองเวยไห่กล่าวว่า แอปเปิลเวยไห่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากตลาดประเทศต่างๆ ในกลุ่มประเทศสมาชิกของแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) รวมถึงไทย เวียดนาม เนปาล และศรีลังกา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสดที่เน่าเสียง่าย คุณภาพของแอปเปิลจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการขนส่งเป็นอย่างมาก

เพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นเฉพาะตัวของธุรกิจแอปเปิล และเพื่อการดำเนินพิธีการทางศุลกากรอย่างมีประสิทธิภาพ ศุลกากรเวยไห่จึงเปิดช่องทางพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เน่าเสียง่าย โดยกำหนดช่องทางบริการเฉพาะเพื่อให้บริการต่างๆ อาทิ การนัดหมายเพื่อตรวจสอบ โดยระยะเวลาพิธีการทางศุลกากรโดยเฉลี่ยสำหรับแอปเปิลนั้นจะใช้เวลาสั้นลงราวร้อยละ 60

ชุยกล่าวว่ามาตรการเหล่านี้ของศุลกากรเวยไห่ส่งผลให้คำสั่งซื้อในต่างประเทศของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมว่าในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดส่งออกแอปเปิลของบริษัทฯ ไปยังประเทศไทยเพียงแห่งเดียวสูงถึง 1,400 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพื่อรับมือกับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังได้ใช้อุปกรณ์คัดแยกอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งด้วย

หยางหลงเชา หัวหน้าแผนกตรวจสอบของศุลกากรเวยไห่กล่าวว่า ปัจจุบัน มีสินค้าจำนวน 2,540 กลุ่มที่ได้รับบริการจากช่องทางพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ซึ่งช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรอันเป็นเอกลักษณ์ของเวยไห่ได้อย่างมาก

'เครือสหพัฒน์ฯ' ร่วมทุน 'Zhen Ding Tech' ปักหมุดสร้างโรงงาน PCB ในไทย ดึงเงินลงทุนเข้าประเทศ 'เฟสแรกหมื่นล้าน-มากกว่า 5 หมื่นล้าน' ภายในปี 2573

(12 ธ.ค. 66) นายวิชัย กุลสมภพ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI เปิดเผยว่า เครือสหพัฒน์ โดยบมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง  ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ กับ กลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech ตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาผลิตและจำหน่ายแผงวงจรพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงหลายชั้น (Multi-layer PCB) โดยเริ่มก่อสร้างโรงงานในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีเมื่อเดือนธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา

เครือสหพัฒน์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech ดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิต PCB ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น เป็นฐานการผลิต PCB ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน สร้างโอกาสการจ้างงานที่มีคุณภาพ และเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ในกระบวนการผลิตมายังประเทศไทย รวมทั้งสร้างโอกาสการดึงดูดผู้ประกอบการรายใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้เพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับการร่วมทุนระหว่างเครือสหพัฒน์ และกลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech ในครั้งนี้ เครือสหพัฒน์คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในเฟสแรก และมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 โดยอุตสาหกรรม PCB เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลส่งเสริม และได้รับการสนับสนุนจาก BOI (The Board of Investment of Thailand)

นายชาร์ล เสิ่น ประธานกลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech โดย บริษัท Zhen Ding Technology Holding Limited กล่าวว่า กลุ่ม Zhen Ding Tech เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทย และมีความเชื่อมั่นที่ได้ร่วมมือทางธุรกิจกับเครือสหพัฒน์ พร้อมที่จะเข้ามาขยายการลงทุนสร้างความเติบโต ผลักดันธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย นับเป็นโอกาสเติบโตที่ยิ่งใหญ่เพราะ PCB ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด

สำหรับกลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech เป็นผู้ดำเนินธุรกิจออกแบบ ค้นคว้าวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายแผงวงจร (Printed Circuit Board, PCB) รายใหญ่อันดับ 1 ของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วน 7% มีฐานการผลิตที่สำคัญ 6 แห่งตั้งอยู่ในเมืองเซิ่นเจิ้น (Shenzhen) เมืองหฺวายอาน (Huai’an) เมืองฉินหวงเต่า (Qinhuangdao) เขตเถา-ยฺเหวียน (Taoyuan) และเกาสฺยง (Kaohsiung) และเมืองเจนไน (Chennai) ทางตอนใต้ของอินเดีย โดยคาดว่าภายในปี 2573 ส่วนแบ่งทางการตลาดของกลุ่มบริษัท Zhen Ding Tech จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 10% ของตลาดทั้งหมด

“เครือสหพัฒน์มีความพร้อมในการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความตั้งใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เรามีที่ดินเพียงพอ มีเครือข่ายที่พร้อมช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและดูแลครบวงจร ครอบคลุม 4 ทำเลยุทธศาสตร์ได้แก่ 1.อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 2.อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 3.อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 4.อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ใช้ที่ดินกว่า 300 ไร่ เป็นการเปิดประตูเข้าสู่อุตสาหรรมใหม่และเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญในการปูรากฐานสู่อนาคต ให้กับบริษัทในเครือสหพัฒน์เข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่เน้นเทคโนโลยี  สร้างงานที่พัฒนาทักษะด้านวิศวกรรมมากกว่าหนึ่งพันตำแหน่ง เชื่อว่าการขยายการลงทุนภายใต้แนวความคิด ECO-TECH INDUSTRIAL PARK นอกจากจะเป็นประโยชน์โดยตรง ต่อชุมชนแล้วยังส่งผลช่วยยกระดับขีดความสามาถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมในประเทศอีกด้วย” นายวิชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top