Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

'ทวี' ลุยจัดระเบียบ 'กระท่อม-กัญชา' รัฐมนตรียุติธรรม เตรียมวางมาตรการคุมเข้ม 'กระท่อม - กัญชา' แม้ไม่ใช่ยาเสพติดตามกฎหมาย แต่ประขาชนไม่ไว้ใจ ลั่นต้องไม่มีวางขายเกลื่อน

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในประเด็นนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติด ว่า  นโยบายของรัฐบาล ของกระทรวงยุติธรรม และ ป.ป.ส. ที่ดูแล คือ เราจะแก้ปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนเป็นผู้ประเมินว่าการแก้ปัญหายาเสพติดเราได้ทำอย่างจริงจัง  

1.ปริมาณการค้ายาเสพติดต้องลดลง หมดได้ยิ่งดี 

2.ลดจำนวนผู้เสพ ผู้ใช้ และลดผู้ติดใหม่ 

มันมีเทคนิคที่สำคัญ คือปัจจุบัน ถึงจะแก้ไขตรงนั้นเกือบหมด แค่ปรากฏว่า มีพืชบางชนิด เช่นกระท่อม กับ กัญชา เป็นวาระทางกฎหมาย ในส่วนของกัญชา รัฐมนตรีสาธารณสุขกำลังดำเนินการเรื่องกฎหมาย

ส่วนของกระท่อม ได้คุยเลขาธิการ ป.ป.ส. คงต้องมีมาตรการ ไม่ใช่ให้วางขายเกลื่อน แม้ว่าเราจะจัดการยาเสพติดที่เป็นยาบ้า หรือตัวอื่นๆแล้ว ซึ่งตอนนี้รู้สึกลงลด แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในกระท่อม ประชาชนยังเห็นว่าเป็นอันตราย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มขึ้น

เป็นวาระร่วมกันที่จะเอาลูกหลาน เอาคนที่มีคุณภาพกลับเข้ามาสู้สังคม ปัญหายาเสพติดจึงเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน จึงเป็นวาระ แห่งชาติที่จะต้องเร่งการแก้ไข้ ในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ใช่พื้นที่ผลิตยาเสพติด แต่เป็นพื้นที่ของการแพร่ระบาดแล้วก็เป็นทางผ่านของยาอีหรือยาเสพติดที่ไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปริมาณ การแพร่ระบาด ตัวเลขที่เราค้นพบค่อนข้างสูง จึงเป็นปัญหา สำคัญที่ต้องมาแก้ไข

ต้องการจัดการนักค้า ซึ่งนักค้ารายสำคัญ ต้องคุยกับเพื่อนข้าราชการว่า ต้องไม่มีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปส่งเสริม ข้าราชการหมายถึงทุกระดับ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องทางด้านอิทธิพล ครั้งนี้เราจะใช้มาตราการทางด้านการป้องกัน การดำเนินการ สุดท้ายเราจะติดตามทางการเงิน แล้วเราจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ พื้นที่ชายแดน สงขลา นราธิวาส เขตติดต่อชายแดนทั้งหมด จะเป็นพื้นที่ที่มีการผสมทั้งแพร่ระบาดและการค้ายาเสพติด ต้องดูอย่างเคร่งครัดแล้วคงต้องมีมาตรการจับกุม ดำเนินคดีกับผู้สนับสนุน แม้จะเป็นข้าราชการ หรือทางการเมือง ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

'น้องใบบุญ' เด็ก 5 ขวบ ขอบวชจนนิพพาน เผยสาเหตุ ทำเอาแม่ช็อก ฟากชาวเน็ตชื่นชม

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 น.ส.นิคม (ขอสงวนนามสกุล) และ ด.ช.รัชพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ น้องใบบุญ เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ หลังจากที่เรื่องราวของน้องใบบุญโด่งดังในโลกโซเชียล เด็กน้อยอายุเพียง 5 ขวบ แต่ขอบวชจนนิพพาน ทำให้ชาวเน็ตแห่ชื่นชม

น.ส.นิคม กล่าวว่า ตอนที่น้องใบบุญอายุประมาณ 5 ขวบ น้องได้เดินมาบอกว่าอยากจะขอบวชจนนิพพาน ยอมรับว่าตอนแรกรู้สึกเฉย ๆ เพราะคิดว่าลูกน่าจะพูดเล่น แต่พอเวลาผ่านไป น้องใบบุญกลับพูดบ่อยมากขึ้น จนทำให้เราต้องมาตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากอะไรกันแน่

น.ส.นิคม กล่าวต่อว่า โดยครอบครัวของเรามีลูกชายทั้งหมด 3 คน น้องใบบุญเป็นคนเล็กสุด และพี่เณรฟอร์ดเป็นพี่ชายคนที่ 2 ก็กำลังบวชอยู่ แม่ไม่รู้ว่าเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้วพูดอะไรกันบ้าง ตนคิดว่าน้องใบบุญอาจจะเห็นว่าพี่ชายบวช ก็เลยอยากจะบวชด้วย

น.ส.นิคม กล่าวอีกว่า เวลาที่ไปเยี่ยมพี่เณรฟอร์ดและกลับมาที่บ้าน ลูกชายพูดตลอดว่า “แม่จ๋า หนูอยากไปบวช ไม่อยากอยู่ทางโลก เพราะทางโลกมันเป็นทุกข์” ซึ่งครอบครัวก็พยายามถามน้องตลอดว่าทำไมถึงอยากบวช เขาก็เล่าขึ้นมาว่า “การที่หนูเกิดมาครั้งหนึ่งหนูก็เป็นทุกข์ เพราะหนูต้องกลับมานั่งเป็นเด็กอีก เกิดทุกครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ใบบุญอยากไปนิพพาน” เราเป็นแม่ก็ตกใจที่ได้ยินลูกพูดแบบนี้

น.ส.นิคม กล่าวด้วยว่า โดยที่ผ่านมาครอบครัวของเราก็ไม่เคยพูดปลูกฝังลูกให้บวชเลย เพียงแต่เป็นครอบครัวที่เดินทางสายธรรมะ มักจะนั่งสมาธิ สวดมนต์ และสอนธรรมะให้กับลูก ๆ เสมอตลอด ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้ลูกซึมซับ และโตมากับสิ่ง ๆ นี้ ที่รู้จักการให้และรู้จักบาปบุญคุณโทษ

น.ส.นิคม กล่าวต่อว่า ตนพยายามสังเกตพฤติกรรมของลูกชาย พบว่าไม่ค่อยอยากได้ของเล่นอะไร อยากจะไปบวชอย่างเดียว ซึ่งทุกวันนี้ลูกก็ขอบวชอย่างเดียว ตนคิดว่าถ้าหากปิดเทอมใหญ่จะให้ลูกไปบวชอีก แต่ต้องตั้งข้อตกลงกันว่าบวชเพียงแค่ 9 วันเท่านั้น เพราะตนมองว่าตอนนี้ลูกยังเด็ก อยากให้เรียนรู้ทางโลกไปก่อนว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าลูกโตขึ้นอีก ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นแล้ว และอยากจะบวชเหมือนเดิมตนก็ไม่ห้าม

“หลายคนมองว่าน้องใบบุญเหมือนคนกลับชาติมาเกิด ส่วนตัวแม่ไม่ได้ลบหลู่หรือเชื่ออย่าง 100% แต่แม่เชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะผลบุญเก่าที่สะสมมา และมาชาตินี้เขาก็อยากจะทำต่อ ซึ่งที่ผ่านมาเวลาที่มีใครไม่สบายใจก็มักจะขอให้น้องใบบุญช่วยเหลือ แม่ดีใจและภูมิใจมาก ๆ ที่อย่างน้อย ๆ อายุแค่นี้เขาใช้ความคิดของเขาในการช่วยเหลือคนอื่นด้วย” น.ส.นิคม กล่าว

ด้าน น้องใบบุญ กล่าวว่า สาเหตุที่อยากบวชเพราะว่า อยากแบ่งบุญให้ผู้ใหญ่ใจดีและแบ่งบุญให้พ่อกับแม่ และอยากบวชจนนิพพาน ซึ่งก็อยากขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่มาชื่นชอบ ก็ขอให้ทุกท่านสุขภาพร่างกายแข็งแรง

‘เจ้าหน้าที่จีน’ ยกระดับการอนุรักษ์ ‘กำแพงเมืองจีน’ งัดเทคโนโลยีช่วยคุ้มครอง-ตรวจจับความเสียหายที่เกิดขึ้น

เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์ติดตามมรดกทางวัฒนธรรมจากสถาบันวิจัยวัฒนธรรมเส้นทางสายไหมเจียอวี้กวน (กำแพงเมืองจีน) พากันลาดตระเวนบริเวณจุดชมวิวกำแพงเมืองจีน ด่านเจียอวี้กวน ในเมืองเจียอวี้กวน มณฑลกานซู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เพื่อใช้เครื่องมือตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลจากกำแพงเมืองจีน

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถาบันคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมหลายแห่งได้เพิ่มการลงทุนด้านการคุ้มครองทางเทคโนโลยีของกำแพงเมืองจีน โดยใช้อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ตัวชี้วัด และตรวจจับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น วิธีการเหล่านี้ช่วยรับประกันการดำเนินมาตรการอนุรักษ์และฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพอย่างทันท่วงที รวมถึงรับรองว่ากำแพงเมืองจีนถูกอนุรักษ์ให้คงอยู่ในสภาพที่ดี

‘ผปค.’ หาครูสอนพิเศษอังกฤษให้ลูก 7 ขวบ ย้ำ!! ‘ขอคนไม่จบราชภัฏ’ ทำชาวเน็ตเสียงแตก 2 ฝั่ง ‘เข้าใจเป็นสิทธิ-ควรใช้วิธีโพสต์ที่ดีกว่านี้’

(11 ธ.ค.66) กลายเป็นประเด็นในโลกออนไลน์จำนวนมาก หลังจากที่ผู้ปกครองรายหนึ่ง โพสต์ข้อความลงในกลุ่ม ‘หาครูสอนพิเศษเด็กตามบ้าน’ ที่มีสมาชิกมากกว่า 7.8 พันคน ระบุว่า

“หาครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษ เด็ก 7 ขวบครับ พิกัดศรีราชา ขอคนที่ไม่จบจากราชภัฏนะครับ นอกนั้นได้หมด”

หลังจากโพสต์ไปไม่นานมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก นอกจากนี้มีเพจหลายเพจ แคปข้อความนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก เช่น

- “จบราชภัฏแล้วมันทำไมคะ?”
- “เขาจ้าง เขาก็มีสิทธิเลือกนะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เขาไม่เอา แค่นั้น”
- “ไม่เห็นว่าเจ้าของโพสต์ผิดอะไรนะ ถ้าเจ้าตัวสะดวกมีเงินจะจ้าง คนเราไม่มีสิทธิเลือกเหรอวะ”
- “ขออนุญาตนะคะ… คือไม่ต้องโพสต์ว่าไม่รับจบราชภัฏก็ได้ ค่อยไปเลือกทีหลัง ส่วนคนจบราชภัฏก็ไม่ได้เสียหายนะคะ ไม่เลือกก็ไม่ต้องประกาศ ให้มีความต่างก็ได้ค่ะ”
- “เป็นพ่อคนได้ไง ชอบดูถูกคนอื่นแบบนี้ แล้วจะสอนให้ลูกไม่ดูถูกคนได้หรอ สงสารเด็ก”
- “แยกให้ออกนะ ระหว่างมีสิทธิเลือกกับเหยียด คนเรามีสิทธิเลือกโดยไม่ต้องเหยียดได้นะ เผื่อไม่รู้”
- “เอาตรงๆ นะครับ ทุกคนทุกที่ทุกสถาบันมีสิทธิเลือกคนที่จะมาทำงานด้วยครับ ต้องยอมรับว่าชื่อมหาลัยสำคัญครับโดยเฉพาะในวงการครูสอนพิเศษ แต่ถ้าผู้สอนสามารถพิสูจน์ทางอื่นได้ว่าคุณมีศักยภาพ เช่น ผลงานลูกศิษย์สอบติดม.ดัง ผลคะแนนสอบที่ดีมาก ประสบการณ์สอนเยอะมีผลงานมากมาย อันนั้นก็จะเป็นอีกประเด็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พอขอคุณสมบัติเรื่องมหาลัยมา เรทการสอนก็จะขึ้นไปตามนั้นด้วยครับ ผมว่าถ้าเป็นไปตามนี้ คุณจขพเค้าก็แฟร์ๆ นะครับผม”
- “ให้กำลังใจคุณพ่อค่ะ เขาอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกตนเอง ส่วนอันไหนที่ ‘ไม่ดี’ ไม่มีคุณภาพก็ไม่ต้องใส่ไปให้ลูก”
- “อยากรู้เหมือนกัน ทำไมถึงดูถูกกับราชภัฏกันจัง”

‘52 จังหวัด’ อ่วม!! ค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 เกินมาตรฐาน วอนปชช.เฝ้าระวังสุขภาพ ใส่แมสก์ป้องกันอย่างมิดชิด

(11 ธ.ค.66) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า-GISTDA รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชัน ‘เช็คฝุ่น’ พบ 52 จังหวัดของประเทศไทย มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) ที่ส่งผลต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง อาทิ สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง ลพบุรี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ กาฬสินธุ์ อุดรธานี หนองคาย และมหาสารคาม ที่มีค่าคุณภาพอากาศระดับสีแดง

ในขณะที่กรุงเทพมหานคร พบค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงสูงสุดเพียง 1 เขต คือที่เขตหนองแขม 82.3 ไมโครกรัม ส่วนพื้นที่เขตอื่นอยู่ระดับสีส้ม ซึ่งยังเกินมาตรฐานกว่า 40 เขต

ขณะเดียวกัน กรมควบคุมมลพิษ รายงานสถานการณ์ฝุ่นเช้านี้เช่นกัน โดยระบุว่า

ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ในช่วง 27.3-65.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) และพบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) อยู่ในระดับสีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 71 พื้นที่ ได้แก่

1.แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 49.4 มคก./ลบ.ม.
2.ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 50.5 มคก./ลบ.ม.
3.แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.7 มคก./ลบ.ม.
4.แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.1 มคก./ลบ.ม.
5.ช่องนนทรี เขตยานาวา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 44.0 มคก./ลบ.ม.
6.ริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.4 มคก./ลบ.ม.
7.ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.2 มคก./ลบ.ม.
8.ริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./ลบ.ม.
9.ริมถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 48.8 มคก./ลบ.ม.
10.แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 56.6 มคก./ลบ.ม.
11.เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 48.3 มคก./ลบ.ม.
12.เขตจอมทอง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 44.4 มคก./ลบ.ม.
13.ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 49.7 มคก./ลบ.ม.
14.เขตบางแค กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.4 มคก./ลบ.ม.
15.ริมถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 48.4 มคก./ลบ.ม.
16.เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.2 มคก./ลบ.ม.
17.สวนหลวง ร.9 เขตประเวศ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.1 มคก./ลบ.ม.
18.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.7 มคก./ลบ.ม.
19.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.2มคก./ลบ.ม.
20.สวนธนบุรีรมย์ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.4มคก./ลบ.ม.

21.สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 44.2 มคก./ลบ.ม.
22.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.4 มคก./ลบ.ม.
23.สวนบางแคภิรมย์ เขตบางแค กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.9 มคก./ลบ.ม.
24.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.
25.สวนหนองจอก เขตหนองจอก กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 42.7 มคก./ลบ.ม.
26.สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 43.0 มคก./ลบ.ม.
27.ริมถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.
28.ริมถนนสุขุมวิท เขตพระโขนง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./ลบ.ม.
29.ริมถนนราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 47.2 มคก./ลบ.ม.
30.ริมถนนพระราม 5 เขตดุสิต กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม.
31.ริมถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.6 มคก./ลบ.ม.
32.ริมถนนตรีมิตร วงเวียนโอเดียน์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 47.5 มคก./ลบ.ม.
33.ริมถนนพระราม 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม.
34.ริมถนนลาดพร้าว ซอยลาดพร้าว 95 เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 54.2 มคก./ลบ.ม.
35.ริมถนนพระรามที่ 4 หน้าสามย่านมิตรทาวน์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 37.6 มคก./ลบ.ม.
36.ริมถนนนราธิวาส เขตบางรัก กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 54.2 มคก./ลบ.ม.
37.แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 49.1 มคก./ลบ.ม.
38.ริมถนนซอยสุขุมวิท 63 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 43.0 มคก./ลบ.ม.
39.ริมถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.
40.ริมถนนบางนา-ตราด เขตบางนา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 55.3 มคก./ลบ.ม.

41.ริมถนนพหลโยธิน แยก ม.เกษตรศาสตร์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.2 มคก./ลบ.ม.
42.เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.4 มคก./ลบ.ม.
43.ริมถนนสุขาภิบาล5 เขตสายไหม กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 43.8 มคก./ลบ.ม.
44.แยกสวนสยาม-รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.4 มคก./ลบ.ม.
45.ริมถนนลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 51.9 มคก./ลบ.ม.
46.ริมถนนสีหบุรานุกิจ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.8 มคก./ลบ.ม.
47.ริมถนนเลียบวารี เขตหนองจอก กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 51.3 มคก./ลบ.ม.
48.ริมถนนศรีนครินทร์ เขตประเวศ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 54.6 มคก./ลบ.ม.
49.ริมถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 47.5 มคก./ลบ.ม.
50.ริมถนนเจริญนคร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 51.9 มคก./ลบ.ม.

51.ริมถนนแยกท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 51.5 มคก./ลบ.ม.
52.ริมถนนซอยนิคมบ้านพักรถไฟธนบุรี 5 เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 57.7
53.ริมถนนพุทธมณฑล 1 เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 50.0 มคก./ลบ.ม.
54.ริมถนนคลองทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 59.1 มคก./ลบ.ม.
55.ริมถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 51.1 มคก./ลบ.ม.
56.ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 59.3 มคก./ลบ.ม.
57.ริมถนนเอกชัย เขตบางบอน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 50.7 มคก./ลบ.ม.
58.ริมถนนประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 40.6 มคก./ลบ.ม.
59.ริมถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 41.8 มคก./ลบ.ม.
60.แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 47.8 มคก./ลบ.ม.

61.แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 44.0 มคก./ลบ.ม.
62.แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 46.2 มคก./ลบ.ม.
63.ริมถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 48.9 มคก./ลบ.ม.
64.เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ : มีค่าเท่ากับ 39.5 มคก./ลบ.ม.
65.ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี : มีค่าเท่ากับ 55.9 มคก./ลบ.ม.
66.ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี : มีค่าเท่ากับ 55.9 มคก./ลบ.ม.
67.ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : มีค่าเท่ากับ 48.5 มคก./ลบ.ม.
68.ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ : มีค่าเท่ากับ 56.2 มคก./ลบ.ม.
69.ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ : มีค่าเท่ากับ 65.9 มคก./ลบ.ม.
70.ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร : มีค่าเท่ากับ 56.4 มคก./ลบ.ม.
71.ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร : มีค่าเท่ากับ 47.8 มคก./ลบ.ม

'นิคมฯ อุดรธานี' วอนรัฐ หนุนเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ NeEC เชื่อ!! เปิดประตู 'เศรษฐกิจ-การลงทุน' สู่พื้นที่ 'CLMVT-จีนตอนใต้'

นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี วอนภาครัฐขยายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคายครอบคลุมถึงพื้นที่นิคมฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่า ชงส่งเสริม Logistics Park ในนิคมฯ ให้เป็น One Stop Service เชื่อมโยงการบริการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ และพิธีศุลกากรในจุดเดียวเบ็ดเสร็จ หวังจูงใจการลงทุนในพื้นที่ CLMVT

(11 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชน ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเสนอปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการต่างๆ ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย 

ทั้งนี้ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี และเป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ กนอ. ได้ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้ยกระดับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ NeEC เทียบเท่าเขตเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ตั้งอยู่ในยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังเป็นประตูสู่ประเทศ CLMVT และจีนตอนใต้อีกด้วย

สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกิจการ A4 (กิจการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย) ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ตามประเภทกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากได้รับการยกระดับให้เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ NeEC ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมอีก 5 ปี รวมเป็น 8 ปี 

นอกจากนี้ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ยังมีแผนพัฒนาพื้นที่กว่า 400 ไร่ ที่อยู่ติดกับทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-หนองคาย เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์ Logistic Park ในระยะที่ 1 ก่อสร้างอาคารคลังสินค้าให้เช่า และขออนุญาตจัดตั้งโรงพักสินค้าพร้อมลานกองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (CY) เพื่อบรรจุและตรวจปล่อยสินค้าขาเข้าและขาออก 

ระยะที่ 2 ขออนุญาตจัดตั้งเขตศุลกากร พร้อมลานฝากตู้คอนเทนเนอร์ภายในประเทศ Inland Container Depot : ICD ที่สามารถเชื่อมระบบรางเข้ามาภายในพื้นที่เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าทางรางเต็มรูปแบบ

นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ตั้งเป้าพัฒนาให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีสะอาด สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 

นอกจากนี้ ยังเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ไทย-ลาว-จีน จึงเป็นโอกาสดึงดูดนักลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในนิคมฯ มากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างเป็นรูปธรรม

"ข้อเสนอที่บริษัทฯ ได้นำเสนอต่อที่ประชุมนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะนวัตกรรม ICD Logistic Park ที่น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่ง กนอ.จะประสานกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกรมศุลกากรให้ ขณะที่เรื่องการยกระดับให้เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ NeEC เทียบเท่าเขตเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย เพื่อเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้เป็นแรงจูงใจในการดึงดูดการลงทุนในพื้นที่นั้น คงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ต่อไป" นายวีริศ กล่าว

นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ตั้งอยู่ที่ตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 2,170 ไร่ ดำเนินการโดย บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบันมีลูกค้า 8 ราย พื้นที่ประมาณ 145 ไร่ ประเภทกิจการ ได้แก่ 1.ผลิตอาหารแปรรูป (ไตปลา,ปลาร้าต้มสุก) 2.คลังสินค้า คลังสินค้าแช่เย็น 3.ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้า 4.โรงพักสินค้า (Warehouse) 5.สร้างโรงงานมาตรฐานให้เช่า และ 6.ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ รวมถึงชิ้นส่วนโลหะและผลิตภัณฑ์พลาสติก หรือเคลือบด้วยพลาสติก

‘โตโต้’ โพสต์ปม ‘ผกก.สน.พระโขนง’ โดนเด้งไม่มีปี่มีขลุ่ย เชื่อ!! เป็นคำสั่งย้ายไม่ปกติ หลังเพิ่งถกส่วยรถบรรทุกด้วยกันมา

(11 ธ.ค.66) นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. (พระโขนง-บางนา) พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีคำสั่งย้ายผู้กำกับการ สน.พระโขนง ว่า ทราบข่าวล่าสุดว่า พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผู้กำกับ สน.พระโขนง ได้รับคำสั่งย้ายด่วนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย และได้ให้ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ทำหน้าที่ผู้กำกับ สน.พระโขนง แทน  

ซึ่งผมเองก็เพิ่งได้มีโอกาสคุยกับ พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ล่าสุดที่ห้องกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เนื่องจากผมและทางผู้กำกับได้รับเชิญจาก กมธ. เพื่อเข้าชี้แจงรายละเอียดเรื่องส่วยรถบรรทุก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (7/12/66) 

คิดว่าคำสั่งย้ายนี้ให้มีผลวันนี้ แต่จะออกคำสั่งวันไหนผมไม่ทราบได้ แต่เชื่อว่าไม่ใช่การย้ายแบบปกติทั่วไป เนื่องจาก พ.ต.อ.โอภาส เพิ่งมาทำหน้าที่ที่ สน.พระโขนง ไม่ถึงปี

'มหาวิทยาลัยในจีน' ออกแบบคอร์สเรียนสำหรับ 'ผู้สูงวัย' สอนใช้ 'เทคโนโลยี-ดนตรี' ให้เท่าทันเทรนด์ยุคใหม่

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 มหาวิทยาลัยฮาร์บินจัดคอร์สสอนดนตรีและเทคโนโลยีแก่นักศึกษาผู้สูงอายุ โดยแรกเริ่มคอร์สใหม่นี้ถูกใช้เพื่อสอนร้องเพลงคาราโอเกะสำหรับผู้สูงอายุ ก่อนที่จะเสริมวิชาอื่นๆ ให้ตามทันยุคสมัยปัจจุบัน เช่น การตัดต่อวิดีโอ จนคอร์สนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในวิทยาเขตซงซานของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน ในมณฑลเฮยหลงเจียง

ทางมหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อตามทันเทรนด์โลกอยู่เสมอ โดยเพิ่มวิชาใหม่อีกมากมาย อาทิ เช่น วิชาสำหรับสอนการตัดต่อวิดีโอ การออกกำลังกาย จิตวิทยาสำหรับผู้สูงวัย การเต้นแนวสตรีตแดนซ์ และการใช้โดรน เป็นต้น

คุณฉีซิน ผู้อำนวยการวิทยาเขตซงซาน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของคอร์สเรียนนี้ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามักจะเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากไปร้องคาราโอเกะ (KTV) เพื่อร้องเพลงร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ จึงเกิดความคิดเริ่มผลิตหลักสูตรนี้

สำหรับคอร์สเรียนนี้เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา และเปิดสอนคอร์สที่สองในวันที่ 4 พ.ย. โดยแต่ละคอร์สมีนักเรียน 42 คน อายุระหว่าง 48-73 ปี ขณะที่ค่าเรียนหนึ่งคอร์สอยู่ที่ 90 หยวน (ราว 444 บาท) สำหรับการเรียนรวม 16 ครั้ง

หวังจินเฟิง หญิงวัย 69 ปี หนึ่งในผู้สมัครเรียน กล่าวว่า แม้เธอจะอายุมากแต่ก็ต้องตามเทรนด์ยุคใหม่เสมอ อย่างเช่นการเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ซึ่งหลังจากลงเรียนคอร์สนี้ ตอนนี้เธอใช้แอปตัดต่อวิดีโอพื้นฐานในโทรศัพท์เป็นแล้ว 

แถมในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า มีผู้สนใจลงทะเบียนเรียนคอร์สนี้มากถึง 39,000 รายในวิทยาเขตทั้ง 8 แห่งของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน โดยนักศึกษามีอายุตั้งแต่ 45 ไปจนถึง 90 ปี และคอร์สใหม่ในภาคเรียนปีหน้า จะเปิดสอน 118 หลักสูตร ครอบคลุมอีกหลายสาขา ทั้งศิลปะการใช้ชีวิต การเขียนอักษรวิจิตร วรรณกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นต้น

ก้าวต่อไป 'ประชาธิปัตย์' จะฝ่ามรสุมไปอย่างไร? หลังวิกฤติเลือดไหลออกซัดโถม โซเชียลถล่มเละ

พรรคประชาธิปัตย์จะเดินต่อไปท่ามกลางกระแสคลื่นลมแรงอย่างไร หลังการประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทนชุดของ 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' อดีตหัวหน้าพรรคที่ลาออกหลังผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม นำพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยิน ได้มาแค่ 25 ที่นั่ง จากเป้าที่ตั้งไว้ 60-70 ที่นั่ง

ที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์เลือก 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' เป็นหัวหน้าพรรค มี 'เดชอิศม์ ขาวทอง' สส.สงขลา เป็นเลขาธิการพรรค โดยไม่มีคู่แข่ง ซึ่งคู่แข่งอย่าง 'มาดามเดียร์ วทันยา บุนนาค' ถูกตัดออกด้วยคุณสมบัติที่ไม่ครบ เป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี แต่ในทางปฏิบัติถ้าจะให้สง่างามในสไตล์ประชาธิปัตย์ ต้องเปิดช่องให้มาดามเดียร์ได้ลงแข่งขัน เพียงแค่งดเว้นการบังคับใช้ข้อบังคับพรรคข้อนี้ ทุกอย่างก็จะสง่างาม และมาดามเดียร์ก็ยากจะชนะอยู่แล้ว เพราะโหวตเตอร์ส่วนใหญ่ถูกล็อกไว้หมดแล้ว

การประชุมยังไม่แล้วเสร็จ สมาชิกบางคนเริ่มทยอยลาออก ประเดิมด้วย 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ที่ปิดห้องคุยกับเฉลิมชัย 10 นาที แต่ไม่มีอะไรลงตัว ทั้งสองยังยืนยันในจุดยืนของตัวเอง 'อภิสิทธิ์' จึงถอยออกไปนั่งดู ให้ 'เฉลิมชัย' เป็นตัวแสดงบทนำต่อไป

สาธิต ปิตุเตชะ เป็นอีกคนที่ลาออกตามอภิสิทธิ์ไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง 'ติ๊งต่าง' แฟนพันธุ์แท้ของประชาธิปัตย์ ก็ลาออก พร้อมวลี “ยกพรรคให้เขาไป” เราอยู่กันไม่ได้กับคนไร้สัจจะ และสีเทา

สัจจัง เว อมตะ วาจา วาจาจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย คำขวัญใต้พระแม่ธรณีบีบมวยผม ใต้โลโก้พรรคถูกหยิบขึ้นมากล่าวขานเหน็บแนมไปยังเฉลิมชัยอย่างแหลมคม ทิ่มเข้าไปเต็มอก เหตุเพราะเฉลิมชัยเป็นลั่นวาจาไว้เองในหลากหลายเวทีว่า ถ้าผลการเลือกตั้งได้น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ถอนกลับไปอยู่บ้านประจวบคีรีขันธ์ แต่การกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ต่างให้ความหมายที่ตรงกับว่า 'ตระบัดสัตย์'

สิ่งที่ไม่ควรลืม คือการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือผู้ที่จะเป็น 'แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี' ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหมายถึงตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศ นักการเมืองสำคัญคือ คือต้องรักษาคำพูด ไม่กลับกลอกไปมา เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน การรักษาสัจจะ รักษาคำพูด และใจถึงพึ่งได้ จนนักการเมืองหลายคนนำมาใช้เป็นคำขวัญประจำตัวว่า "ใจถึงพึ่งได้ คำไหนคำนั้น"

สถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้เหมือน 'คนป่วยวิกฤติ' มีแต่เลือดไหลออก ล่าสุด 'อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์' ก็โพสต์เฟซบุ๊กอำลาไปอีกคนหนึ่งแล้ว และคิดว่า ยังจะมีอีกไม่น้อยที่ถอยออกไป

จับกระแสจากโซเชียลกับการเปลี่ยนแปลงในพรรค ยิ่งน่ากลัวกว่า พลันที่พรรคประชาธิปัตย์โพสต์รายชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ลงบนเพจของพรรค ก็โดนถล่มเละ พูดได้ว่า 'เละเป็นโจ๊ก' เกิน 95% ตำหนิด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และโบกมือลา กระแสใน x (ทวิตเตอร์) ก็ไม่แตกต่างกัน

สิ่งที่เป็นคำถามคือ คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าฟื้นฟูพรรค ฟื้นหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคได้อย่างไร เพราะแค่ก้าวแรกก็โดนเตะตัดขาจนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว

3 เดือนจะต้องเห็นผล และจะมีการประเมินผลงานกรรมการบริหารพรรคทุกคน...นี่คือ วาจาของเฉลิมชัยที่ลั่นไว้ในวันที่ได้รับเลือกตั้ง ในวันที่ยังไม่เห็นทิศทาง แนวทาง ว่าจะหยิบอะไรขึ้นมาเป็นจุดขาย ท่ามกลางการถูกถล่ม 'พรรคสีเทา ไม่ใช่สีฟ้า' แม้เฉลิมชัยจะบอกว่า กรีดออกมาเลือดก็เป็นสีฟ้า ไม่แตกต่างจากอภิสิทธิ์

77 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 78 พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องไปหยิบเอกสารอุดมการณ์ของพรรคมานั่งอ่านทบทวนกันใหม่ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นก้าวเดินไปข้างหน้า หันกลับมาหัวเราะใส่พรรคเก่าแก่ ที่บอกกับสังคมว่าเป็น สถาบันทางการเมือง

‘เขตชิบูย่า’ กรุงโตเกียว สั่งห้าม 'เคานต์ดาวน์-ดื่มแอลกอฮอล์' เหตุกังวลคนแห่ฉลองส่งท้ายปีมากเกินไป จนเกิดอันตราย

(11 ธ.ค.66) เขต 'ชิบูย่า' ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่มีงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งจะมีคนมารวมกันที่นี่จนแน่นขนัด แต่ช่วงหลังๆ เจ้าหน้าที่เริ่มมีความกังวลด้านความปลอดภัยจากการที่มีคนมารวมตัวกันจำนวนมากในช่วงงานเทศกาล จึงมีคำสั่งห้ามไม่ให้ประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวมารวมตัวฉลองกันที่นี่ ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ประกาศ ไม่ให้มีการรวมตัวกันในเขตชิบูย่า เพื่อฉลองการ 'เคานต์ดาวน์' นับถอยหลังเข้าสู่วันปีใหม่ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ในวันส่งท้ายปีเก่า วันที่ 31 ธ.ค.เขตชิบูย่า ห้ามไม่ให้มีการดื่มเครื่องดื่ม 'แอลกอฮอล์' ในพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 18:00 น. ไปจนถึงเวลา 05:00 น. ของวันที่ 1 ม.ค.2567 โดยเจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือจากร้านค้าในเขตชิบูย่า ไม่ให้ขายเครื่องดื่ม 'แอลกอฮอล์' ในช่วงเวลานั้น และจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเดินตรวจรักษาความเรียบร้อย

นอกจากนี้ ทางการยังตัดสินใจยกเลิกกิจกรรมเคานต์ดาวน์ ซึ่งปกติแล้วจะจัดที่ด้านหน้าสถานีรถไฟชิบูย่า โดยให้เหตุผลเรื่องความกังวลด้านความปลอดภัย และยอมรับว่า หากมีประชาชนเดินทางมาเฉลิมฉลองจำนวนมาก ทางการมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลความปลอดภัยได้ และหากใครคิดจะไปชิบูย่า เพื่อต้องการถ่ายภาพแสงสีสวยๆ ตรงห้าแยกชิบูย่า ในช่วงคืนส่งท้ายปีเก่า ก็อาจจะต้องรีบไปกันหน่อย เพราะทางเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ร้านค้าตรงห้าแยกชิบูย่า ปิดไฟทั้งหมดตอน 23:00 น. เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวกันในเขตชิบูย่า ในช่วงเคานต์ดาวน์ใกล้วันปีใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top