Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

ดร.หิมาลัย ชู ‘ยิ้มสยาม มีน้ำใจ ห่วงใยเอื้ออาทร’ สะท้อนคุณค่า ‘Soft Power’ ไทยที่สะกดใจคนทั่วโลก

ดร.หิมาลัย ชู ‘ยิ้มสยาม มีน้ำใจ ห่วงใยเอื้ออาทร’ สะท้อนคุณค่า ‘Soft Power’ ไทยที่สะกดใจคนทั่วโลก พร้อมชวนคนไทยใช้จุดแข็งนี้ ดึงดูดชาวต่างชาติ พลิกฟื้นการท่องเที่ยว สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย

(13 ธ.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับ ‘Soft Power’ ของไทย ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามผลักดันศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ความเป็นไทยในหลากหลายมิติ เพื่ออวดสายตาชาวโลก พร้อมกับดึงดูดให้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย 

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย กล่าวว่า คำว่า ‘Soft Power’ มีการตีความที่หลากหลาย แต่โดยส่วนตัวของตนนั้น มองว่า เอกลักษณ์ของไทยที่เป็น ‘Soft Power’ สะกดให้คนทั่วโลกหลงรักประเทศไทยและคนไทยหากได้มาเยือน ที่นั่นก็คือ ยิ้มสยาม, มีน้ำใจ, เอื้ออาทรห่วงใย, ช่างโอภาปราศรัย และ ใจรักในการบริการ หรือ Service Mind ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวคนไทยมาช้านาน  

“อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ยิ้มสยาม คนต่างชาติล้วนนึกประเทศไทยและคนไทย ซึ่งเป็นการสะท้อนความมีไมตรีจิต และการยิ้มของคนไทยนั้นเป็นภาษากายสากลที่ทุกคนเมื่อได้เห็นล้วนสัมผัสได้ถึงความจริงใจและไมตรีของคนไทย แน่นอนว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์สนับสนุนในเรื่อง Soft Power ที่รัฐบาลกำลังผลักดันในหลายๆ มิติ เพื่อสร้างแรงดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยพลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายให้กับประเทศไทยเร็ว”

ดร.หิมาลัย อธิบายว่า ประเทศไทยนั้น มีสิ่งที่เกื้อหนุนด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรม ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจอยากจะมาสัมผัสและศึกษาค้นคว้าอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่พร้อมให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่มองว่า ควรเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือน

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนไทยทุกคนพร้อมที่จะให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกคนอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายเลือดคนไทยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มิตรไมตรี และยิ้มสยาม ที่ตราตรึงใจคนทั่วโลก รวมไปถึงการมีน้ำใจของคนไทย ซึ่งเห็นได้ชัดช่วงโควิดที่ผ่านมา มีชาวต่างชาติหลายคนที่ติดอยู่ในเมืองไทย กลับประเทศตนเองไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ได้แม้ไม่มีเงิน ด้วยความเอื้ออาทรของคนไทย สามารถพึ่งพิงอาศัยได้ ทั้งวัดไทย, สุเหร่า และโบสถ์คริสต์ มีการทำอาหารแจกจ่าย เป็นการสะท้อนความมีน้ำใจของคนไทย ที่หาได้ยากในต่างประเทศ

นอกจากนี้ คนไทยยังมีความเอื้ออาทรห่วงใย พร้อมถามไถ่ให้คำแนะนำ และเตือนภัยหากเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ จะมีอันตราย ด้วยความเป็นคนช่างเจรจาปราศรัย ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต่างชาติประทับใจ และอีกหนึ่งอย่างที่ชาวโลกยกย่อง คือ Service mind การบริการด้วยใจ ที่ไม่เป็นรองใครในโลก ยกตัวอย่าง สายการบินของไทย ที่ดูแลผู้โดยสารด้วยความใส่ใจและนอบน้อม จนได้รางวัลอันดับต้นๆ ของโลก แม้แต่สายการบินต่างชาติยังต้องทำตาม หลังจากนั้นเขาก็ได้รางวัลสายการบินยอดเยี่ยมไป ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า ช่วงหนึ่งเราละเลยสิ่งเหล่านี้ไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถกลับมาสร้างความประทับใจให้กับชาวโลกได้อย่างแน่นอน ผ่านสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง ‘Soft Power’ ที่อยู่ในตัวคนไทยอยู่แล้วนั่นเอง

พล.ต.อ พัชรวาท สั่งผู้ช่วย รมว.ทส. ลงพื้นที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ด่วนเร่งช่วยเหลือ ประชาชนจากโขลงช้างป่าร้อยตัว สั่งตั้งวอร์รูมระดมกำลัง 200 คน ร่วมกับอาสาสมัครชุมชน 50 คน ผลักดันเข้าป่าให้ได้

จากกรณีที่มีเหตุการณ์ช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน กว่า 100 ตัว ออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เข้ามาในพื้นที่ทำกินของชาวบ้านซึ่งเป็นไร่อ้อย บริเวณหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 11 ตำบลวังท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้รอ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับนายเผด็จ  ลายทอง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า นายธานนท์ โสภิตชา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 นายก้องเกียรติ  เต็มตำนาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 นายสมเกียรติ สุสัณพูลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมกันลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี และเข้าร่วมประชุมที่องค์การบริหารส่วนตำบลวังท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อรับทราบข้อมูลจากหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่ ประกอบด้วย นางสาวภัทริน ภู่มณี นายกองค์การบริการส่วนตำบลวังท่าช้าง นายธนุวัฒน์ เมืองจันทร์  ปลัดอำเภอกบินทร์บุรี นายวัชรธรรม พรมสามสี กำนันตำบลท่าช้าง และนายแอ็ด ตะเภาพงษ์ ตัวแทนราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ ที่ประชุมได้ร่วมกันวางแผนเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น รอ.รชฎฯได้ให้กำลังใจชุมชนและเจ้าหน้าที่ ในการแก้ไขปัญหาและผลักดันช้างป่าให้กลับคืนสู่พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ผลการร่วมประชุมหารือ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการระดับพื้นที่ เพื่ออำนวยการแก้ไขปัญหาและกำหนดมาตรการในการผลักดันช้างป่ากลับคืนสู่พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน โดยเป็นการบูรณาการสนธิกำลังร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดปราจีนบุรี และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น

โดยใช้ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลวังท่าช้าง เป็นสถานที่ตั้งศูนย์บัญชาการ มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 เป็นผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า  เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (ปราจีนบุรี) จำนวน 100 คน สำนักบริหารที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) จำนวน 100 คน และจังหวัดปราจีนบุรี อำเภอกบินทร์บุรี องค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว และองค์การบริหารส่วนตำบลวังท่าช้างจำนวน  50 คน รวมทั้งสิ้น 250 คน ในการจัดตั้งชุดปฏิบัติการเพื่อดำเนินการเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า ให้กลับคืนสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป โดยให้มีการรายงานผลเป็นประจำทุกวัน ออกปฏิบัติงานในทันทีอย่างต่อเนื่องจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ

‘ไอซ์ รักชนก’ เฮ!! ศาลให้ประกันตัววงเงิน 5 แสนบาท ยังไม่หลุดตำแหน่ง สส. พร้อมเงื่อนไขห้ามกระทำผิดซ้ำ

(13 ธ.ค. 66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก หลังศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.683/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง ไอซ์ รักชนก หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล จำเลยมีความผิดจากการทวีตและรีทวิตข้อความ ที่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันเบื้องสูง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และมาตรา 14 ให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา

ภายหลังฟังคำพิพากษา ไอซ์ รักชนก ยังมีสีหน้ายิ้มเเย้มเเละถูกพาไปห้องควบคุมตัว

บ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล เดินทางกลับมาศาลอาญาเพื่อยื่นประกันตัว ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศาลมีคำสั่งในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 683/2565 หมายเลขแดงที่ อ 3739/2566 น.ส.รักชนก ศรีนอก ไอซ์ จำเลย ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว

และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ระหว่างอุทธรณ์วงเงิน 500,000 บาท (เงินสด 300,000 บาท ตำแหน่ง 200,000 บาท) กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้องและหรือมีพฤติการณ์ใดๆ ในลักษณะและข้อหาเดียวกัน

หลังจาก ไอซ์ รักชนก ได้ประกันตัว จึงไม่หลุดจากสถานะ สส.ก้าวไกล ขั้นตอนหลังจากนี้ ก็จะไปสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป

GISTDA จับมือ สำนักงานฯ นโยบายที่ดินแห่งชาติ ใช้ข้อมูลจากอวกาศช่วยชุมชนจัดการที่ดินทำกิน

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ สคทช. สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายและแผน ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ณ ห้องวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมในการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลแปลงที่ดินในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนอันจะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนผ่านการจัดทำระบบฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้มีภูมิสารสนเทศ (Geo- Informatics) ที่มีความพร้อมสำหรับใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ ตลอดจนใช้ประโยชน์ในการวางแผนการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองหน่วยงาน

การนำข้อมูลจากดาวเทียมมาใช้ในครั้งนี้จะเน้นการใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมรายละเอียดสูงมากของประเทศไทยมาสนับสนุนในการจัดทำแผนที่ในโครงการ one map รวมถึงจะมีการบูรณาการข้อมูลจากดาวเทียมดวงอื่นของหน่วยงานพันธมิตรมาใช้ในการวิเคราะห์การใช้ประโยชน์ที่ดิน และติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากข้อมูลดาวเทียมมีคุณสมบัติในการจำแนก วิเคราะห์ข้อมูลบนพื้นโลก สามารถแยกแยะการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดให้มีระบบภูมิสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในการบริหารจัดการที่ดินของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังช่วยติดตามความเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ให้เป็นไปตามแนวทางของนโยบายของรัฐบาล 

MOU ในวันนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างกัน หลังจากที่ปัจจุบัน สคทช. และ GISTDA อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ คทช. นับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานอย่างเป็นทางการ เพื่อยกระดับการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศบนพื้นฐานของข้อมูลเชิงพื้นที่จากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมที่มีประสิทธิภาพสูงจากการลงทุนของประเทศไทย เนื่องจากการขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญของ สคทช. ทั้งการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000 (One Map) การพิสูจน์สิทธิในเขตที่ดินของรัฐ การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน และการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง ด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ต้องอาศัยการมีข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และน่าเชื่อถือ ซึ่ง สคทช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรมของ GISTDA มาใช้ในการบริหารจัดการที่ดินของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสำหรับเป็นฐานของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพลิเคชัน Dragonfly ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจวางแผนและบริหารจัดการแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรในพื้นที่ คทช. ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูกจนถึงจำหน่ายผลผลิตอย่างครบวงจร

คณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ เร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นและสื่อสารสู่สาธารณะ 

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2566 โดยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่อนุกรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน พิจารณาให้ข้อเสนอแนะและเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานตามมาตรการเร่งด่วนที่จะรับมือในช่วงวิกฤตสถานการณ์ฝุ่นละอองและการสื่อสารประชาสัมพันธ์สู่สาธารณะ

นายจตุพร กล่าวว่า การเตรียมการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปีนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และท่านกล่าวว่าได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติ คือ การมีแนวปฏิบัติเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นที่ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมถึงข้อเสนอจากภาคประชาสังคม การมีโครงสร้างคณะกรรมการแต่ละชุดที่กำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และการมีกฏหมาย พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ...ซึ่ง ครม.อนุมัติหลักการไปแล้ว ทั้งหมดนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมกันปฏิบัติอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถทำให้ฝุ่นละอองหมดลงไปได้ แต่จะทำให้ลดน้อยลงอย่างมาก

นายจตุพร กล่าวว่า ในการประชุม คณะอนุกรรมการฯ ได้เร่งรัดดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนการลดไฟในป่า 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวนแห่งชาติ ลง 50% กำชับจัดทำแผนที่แสดงจุดตรวจ/จุดสกัด จุดเฝ้าระวังไฟป่า จัดชุดลาดตะเวน และหารือร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง หารือกรมปศุสัตว์ไม่ให้มีการเลี้ยงปศุสัตว์ในพื้นที่ป่า สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ให้ชัดเจน การลดไฟในพื้นที่เกษตรกรรม ลง 50 % มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควบคุมการเผาในพื้นที่ปลูกข้าวโดยเฉพาะจังหวัดปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานคร การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูง เสนอแผนการปรับเปลี่ยนชนิดพืชปลูกเป็นแบบไม่เผาให้ชัดเจน แต่ละจังหวัดต้องมีการลงทะเบียนเกษตรกรและจำนวนพื้นที่เพาะปลูกทั้งในพื้นที่เกษตรและพื้นที่ป่าเพื่อทำปฏิทินและเงื่อนไขในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง หากไม่ลงทะเบียนให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ และจะขอความร่วมมือภาคเอกชนไม่รับซื้อพืชผลการเกษตรจากการเผา มอบกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายลดอ้อยไฟไหม้เข้าหีบให้น้อยที่สุด เพิ่มความเข้มงวดโดยเฉพาะ 5 จังหวัดที่มีปริมาณอ้อยไฟไหม้สูงสุด กรณีเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่ง กอ.รมน. ได้วางแผนการจัดตั้งศูนย์รับซื้อ ขอให้พิจารณาที่ตั้งใกล้พื้นที่ป่า/พื้นที่เกษตรเผาไหม้ซ้ำซาก เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง การควบคุมฝุ่นในเขตเมือง นอกจากตรวจจับควันดำอย่างเข้มงวด ให้พิจารณาการตรึงพื้นที่ลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นในในช่วงวิกฤต การจัดหาพื้นที่จอดแล้วจรใกล้สถานีรถไฟฟ้าเพื่อลดปริมาณการจราจร

ในการดำเนินงานจะมีศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ทำหน้าที่สื่อสารสถานการณ์ การคาดการณ์ฝุ่นละออง ข้อแนะนำการปฏิบัติตน และผลการดำเนินงานสู่สาธารณะให้ประชาชนรับทราบ และยังทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อรายงานข้อมูลและแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละออง แหล่งกำเนิด พื้นที่วิกฤต ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาให้แก่ศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดและหน่วยงานต่างๆ ให้ยกระดับการกำกับดูแลควบคุมแหล่งกำเนิดและจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) 

ในเรื่องงบประมาณ ได้มอบหมายให้หน่วยงานเสนอโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดงบกลาง ปี 2567 และตั้งแต่ปี 2568 จะเสนอโครงการในลักษณะแผนงานยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้มีการหารือเพื่อให้เอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองโดยการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกิดความรวดเร็วทันกับสถานการณ์ นายจตุพรฯ กล่าว

‘เยอรมัน’ ขาดแคลน ‘ครู’ อย่างหนัก จนต้องลดคลาส ทำ นร.เกรดร่วง หลังคนหนุ่ม-สาวหันเมินอาชีพนี้ เหตุค่าตอบแทนต่ำ สวนทางภาระงาน

‘นักการศึกษาเยอรมัน’ จี้!! รัฐบาลแก้ปัญหาขาดแคลนครูอย่างหนักทั่วประเทศด่วน โดยชี้ข้อมูลจากผลสอบวิชาคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการอ่านของนักเรียนระดับเกรด 9 ในเยอรมันร่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดครูในโรงเรียน

‘รีเบคก้า’ ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในฮัมบูร์ก ผู้มีประสบการณ์สอนในวิชาภาษาอังกฤษ และ ประวัติศาสตร์มานานกว่า 30 ปี เปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อเยอรมันว่า โดยทั่วไปแล้ว วิชาภาษาเยอรมัน, อังกฤษ และ คณิตศาสตร์ ถือเป็นวิชาหลักที่ต้องเน้นเป็นอันดับแรก แต่เมื่อครูขาดแคลน ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องงดคลาสวิชาอื่นๆ เพื่อเทครูมาสอนวิชาหลักก่อน ซึ่งหลายครั้งที่ชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของเธอต้องถูกยกเลิกไปเป็นเดือนก็มี

โดย ครูรีเบคก้า เล่าว่า ปัญหาการขาดแคลนครูมีมานานแล้ว แม้ว่าทางโรงเรียนพยายามประกาศรับสมัครครูมาตลอด แต่ก็ยังได้จำนวนครูมาไม่พอ และยังทำให้ครูที่ยังเหลืออยู่ต้องแบกรับภาระการสอนที่เพิ่มมากขึ้นจนป่วยจากการทำงานหนัก

ปัญหานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่โรงเรียนของครูรีเบคก้า แต่เป็นปัญหาของโรงเรียนทั่วเยอรมัน จนหลายโรงเรียนต้องลดทอนหลักสูตรให้สั้นลง บางโรงเรียนเปิดการสอนได้แค่ 4 วันต่อสัปดาห์ ที่ไม่ใช่เหตุผลเรื่อง Work life balance แต่เพราะไม่มีครูมาสอน

สื่อเยอรมันชี้ว่า โรงเรียนในเยอรมันอาจขาดแคลนครูหลายหมื่นตำแหน่ง และเนื่องจากการกำหนดรูปแบบหลักสูตร และสวัสดิการครู อยู่ในอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละ 16 แคว้น ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ก็ยิ่งทำให้การจัดการหาผู้สอนมีความยากขึ้นไปอีก

ด้านรัฐมนตรีศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง และหน่วยงานของแต่ละแคว้น พยายามหาแนวทางร่วมกันในการแก้ปัญหา ซึ่งได้ประเมินว่าทั่วประเทศน่าจะขาดแคลนครูอยู่ประมาณ 14,000 ตำแหน่ง

แต่ทว่า นักเศรษฐศาสตร์, นักวิชาการด้านการศึกษา และ กลุ่มสหภาพแรงงานครูออกมาค้านว่ารัฐบาลประเมินตัวเลขต่ำเกินไป ไม่สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต

หากประเมินจากตัวเลขนักเรียนในโรงเรียนของปีนี้ (2023) ที่มีอยู่ประมาณ 830,000 คน บางส่วนมาจากกลุ่มชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเยอรมันมากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าอัตราเด็กเกิดใหม่ในเยอรมันน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ในขณะที่เยอรมัน จำนวนครูกลับลดลงเรื่อยๆ ทุกปี หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ป้ญหาในวันนี้ คาดว่าในปี 2035 เยอรมันอาจขาดแคลนครูมากกว่า 56,000 ตำแหน่ง

ในขณะที่เยอรมันกำหนดให้ครูต้องจบวุฒิขั้นต่ำปริญญาตรีที่ตรงสาย แต่เพราะปัญหาการขาดแคลนครู ทำให้รัฐบาลเยอรมันอนุโลมให้ผู้ที่จบสาขาอื่นๆ ที่เข้าอบรมหลักสูตรด้านการสอนฉบับเร่งรัดสามารถบรรจุเป็นครูได้ แต่ก็เหมือนเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน เนื่องจากผลสำรวจพบว่า หนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจอาชีพครูกันแล้ว

เหตุผลเพราะว่า อาชีพครูในความคิดของหนุ่ม-สาวยุคนี้ถูกมองว่าเป็นงานหนัก ค่าตอบแทนน้อย รับผิดชอบสูง มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน แม้รัฐบาลจะกำหนดให้ครูมีชั่วโมงการสอนเฉลี่ย 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ส่วนใหญ่มักพบว่าสอนเกินเกณฑ์มาตรฐานไปไกลมาก ถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มิหนำซ้ำ หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐเสนอแนะให้เพิ่มชั่วโมงการเรียนของนักเรียน ยืดอายุวัยเกษียณของครู เพิ่มจำนวนนักเรียนในชั้น และคาดหวังเทคนิคการสอนที่หลากหลาย

ด้วยอุปสรรคหลายปัจจัยจนปวดใจ เลยทำให้เยอรมันหาครูมาสอนได้ยาก และครูหลายคนเลือกที่จะรับงานสอนแบบ Part-time มากกว่าทำงานแบบประจำเต็มเวลา เพราะมีความยืดหยุ่นในชั่วโมงการสอนได้มากกว่า

ร่ายยาวมาถึงตรงนี้ เราจึงเข้าใจ และเห็นภาพของวิกฤติครูในเยอรมัน และปัญหาที่ครูสาวรีเบคก้ากำลังเผชิญอยู่ ว่าทำไมครูในเยอรมันถึงขาดแคลน และต้องทำงานหนัก ทำไมบางโรงเรียนในเยอรมันถึงไม่สามารถเปิดสอนได้เต็ม 5 วันต่อสัปดาห์ และต้องตัดวิชาเสริม เน้นสอนแต่วิชาหลัก จนส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนโดยรวมของนักเรียนเยอรมันไปในที่สุด

‘เวียดนาม’ ยัน!! ยึดมั่นหลักการจีนเดียว ค้านแทรกแซงกิจการภายในของจีน

(13 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ฮานอย เผยว่า ‘สี จิ้นผิง’ เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีจีน ได้กล่าวถึงการประกาศสร้างประชาคม ‘จีน-เวียดนาม’ ที่มีอนาคตร่วมกัน ซึ่งมีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ได้ส่งสัญญาณเชิงบวกของความมุ่งมั่นของสองประเทศสังคมนิยมในความสามัคคี มิตรภาพ และการพัฒนาร่วมกัน โดยคำกล่าวนี้ สี จิ้นผิง ได้กล่าวขณะพบปะหารือกับ ‘เวือง ดิ่งห์ เหวะ’ ประธานสภาแห่งชาติเวียดนาม ณ กรุงฮานอย

ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานถึงการพบปะพูดคุยกันระหว่างผู้นำจีน กับ ‘เหงียน ฟู้ จ่อง’ เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดย จ่อง ได้กล่าวว่า เวียดนามยึดมั่นหลักการจีนเดียวอย่างหนักแน่น และคัดค้านกองกำลังใดๆ เข้าแทรกแซงกิจการภายในของจีน และกล่าวอีกว่าเวียดนามรับรองไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแบ่งแยกของดินแดนจีน สนับสนุนกิจการรวมชาติของจีน และคัดค้านกิจกรรมแบ่งแยกดินแดนเพื่อ ‘เอกราชไต้หวัน’ ในทุกรูปแบบ

จ่อง กล่าวเสริมอีกว่า ประเด็นเกี่ยวกับฮ่องกง, ซินเจียง และทิเบต (ซีจ้าง) ล้วนเป็นกิจการภายในของจีน ซึ่งเวียดนามหวังและเชื่อว่าจีนจะรักษาเสถียรภาพ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองไว้ได้

หลังจากนั้น สี จิ้นผิง ได้กล่าวถึง ความพร้อมของจีนในการทำงานร่วมกับเวียดนาม เพื่อส่งเสริมพหุภาคีนิยมที่แท้จริง โดยฝ่ายจีนยินดีจะร่วมเพิ่มการส่งเสียงและอิทธิพลของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในกิจการระหว่างประเทศกับเวียดนาม

'รมว.ปุ้ย' เตรียมชง ครม.พิจารณายกร่างฯ ตั้ง 'อกฮช.' ระดมหัวกะทิ 4 กระทรวง ขับเคลื่อนฮาลาลไทยเชื่อมโลก

(13 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้คณะผู้บริการ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เข้าพบ โดยมี นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, นายพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้บริหาร ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาล โดยล่าสุดได้จัดทำร่างข้อเสนอกลไกในการบริหารจัดการ 'องค์การอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ' หรือ อกฮช. ซึ่งมีประเด็นสำคัญ อาทิ การเสนอแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทย การกำหนดอำนาจหน้าที่ และบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าฮาลาลระหว่างประเทศ ส่งเสริมการผลิตและการขอรับมาตรฐานฮาลาล โดยเบื้องต้นกำหนดใช้พื้นที่ของสถาบันอาหารในระยะเริ่มต้นดำเนินการ และเสนอของบประมาณจัดตั้ง จำนวน 630 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ เตรียมเสนอขอสนับสนุนบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมฮาลาลจาก 4 กระทรวงหลัก ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 27 อัตรา เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น 

ทั้งนี้ สำหรับการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งว่าจะเป็นองค์การมหาชน หรือ หน่วยงานระดับกรม ให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. เป็นผู้ประเมินต่อไป

สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศมุสลิมในฐานะผู้บริโภค กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED เตรียมจัดงาน Thailand International Halal Expo 2024 เพื่อเชื่อมโยงตลาดสินค้าฮาลาลทั่วโลก และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศจำนวน 57 ประเทศ ซึ่งจะมีเวทีสำหรับการจับคู่ธุรกิจ การให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและการขอรับมาตรฐานฮาลาล การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการจัดแสดงสินค้าฮาลาลในธุรกิจอาหาร ธุรกิจบริการ และธุรกิจโรงแรม เพื่อแสดงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทย รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการลงทุนจากประเทศมุสลิมในอนาคต

‘รัฐบาล’ ตั้ง ‘คณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติ’ แก้ปัญหาฝุ่นพิษ รอ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ผ่านสภาฯ

เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค. 66) ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ซึ่งได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีให้แถลงข่าวประเด็น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งค่าฝุ่นพิษสูงมากในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงภาคเหนือว่า นายกรัฐมนตรีให้ความใส่ใจและตั้งใจในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ โดยทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศจะมีวาระหนึ่งที่นำเข้าที่ประชุม คือ การให้ความร่วมมือกันในกลุ่มหมอกควันข้ามพรมแดน พร้อมกับพูดคุยกับกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) เพื่อยกระดับการพูดคุยเรื่องหมอกควันข้ามพรมแดน รวมถึงพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ฉบับของคณะรัฐมนตรี ที่ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้บรรจุผ่านเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว 

ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกาในการหารือและนำเข้าวิปรัฐบาลก่อนจะนำเข้าสู่รัฐสภาต่อไป ซึ่งจะทำงานควบคู่กับพระราชบัญญัติอากาศสะอาดของพรรคเพื่อไทยในแง่ของนิติบัญญัติ ส่วนฝ่ายบริหารจะเป็นพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ฉบับของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความครบถ้วนมากที่สุดในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ระหว่างการแก้กฎหมายจนแล้วเสร็จนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาฝุ่นพิษอย่างยั่งยืน คือ คณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบ Quick Win ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ระหว่างที่กฎหมายหรือพระราชบัญญัติกำลังพิจารณาอยู่ในสภา

นายจักรพล กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าว่ากรุงเทพมหานครติดอันดับ 12 ของโลก เชียงใหม่ติดอันดับ 23 ของโลก ค่า AQI ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index) อยู่ที่ 154 - 156 อยู่ในโซนสีแดง ทั้งนี้ ทุกปีประเทศไทยจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะวางแผนที่จะทำการรับมืออย่างครบถ้วนและครบทุกมิติ ด้วยการเพิ่มมาตรการภาษีบริเวณเขตชายแดนของการนำเข้าสินค้า การใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV การเพิ่มโทษ (Polluters Pay Principle: PPP) ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มาตรการเหล่านี้จะเป็นการปลุกระดมให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกร ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคสังคม ที่ทำการศึกษาและพยายามจะฝ่าฟันปัญหาฝุ่นพิษให้ลุล่วงไปอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นระหว่างการเดินทางช่วงเช้าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยกับภาวะ PM 2.5 จะรุนแรงขึ้นอีกในปลายปีนี้ รวมถึงไตรมาสหนึ่งของปีหน้า อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำทุกวิถีทางให้ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ค่า AQI ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index) จะสูงระดับนี้ และอยากให้เป็นปีสุดท้ายที่จะทำให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องเผชิญฝุ่นพิษนี้ เราตระหนักดีถึงพิษทางเศรษฐกิจและพิษทางสุขภาพ ยืนยันรัฐบาลจะตั้งใจแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

นายจักรพล กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเปิดแนวกั้นไฟที่จังหวัดเชียงใหม่ และประชุมร่วมผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมทั้งประชุมกับภาคภาคีสังคม พร้อมทั้งมอบนโยบายการดูแลป่า 11 แปลงใหญ่ รวมถึงการเผาพืชผลทางการเกษตรหรือเผาเพื่อเอาผลิตผลต่าง ๆ และการเพิ่มโทษของ Contract Farming ในการที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่จะนำมาซึ่งฝุ่นควัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการพูดถึงค่าฝุ่นพิษที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากการเผาไร่อ้อยในปริมณฑล ซึ่งได้มีการเฝ้าระวัง และติดตามอย่างเข้มข้นแล้ว ขณะที่ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เดินทางไปร่วมการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ที่นครดูไบ ได้มีการใส่สารัตถะในการให้ความสำคัญเรื่อง PM 2.5 เพื่อจะนำมาเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการพูดคุยกับกรอบประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเผาและเกิดมลพิษข้ามพรมแดน ตรงนี้จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับปัญหา PM 2.5 เป็นอย่างมาก โดยมอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุข เข้ามากำกับดูแลปัญหา PM 2.5 รวมทั้งในส่วนฝ่ายนิติบัญญัติได้มีการพูดคุยพรรคร่วมกับรัฐบาลที่จะพยายามขับเคลื่อนพระราชบัญญัติอากาศสะอาดในภาคของนิติบัญญัติอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งมีการหารือกับนักวิชาการและนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยในวันพรุ่งนี้ (14 ธันวาคม 2566) จะเดินทางไปที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อทำโมเดลในเรื่องของการเลี่ยงการเผา เปลี่ยนจากการเผาให้เป็นฟางให้เป็นมูลค่าทางหน้าดินให้เกิดนวัตกรรมทางการเกษตรที่ยั่งยืนต่อไป

นอกจากนั้น นายจักรพล ได้ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนถึงปัญหาฝุ่นพิษที่สูงในวันนี้ว่าไม่ได้เกิดจากจังหวัดปทุมธานี แต่เป็นเขตปริมณฑล โดยฝุ่นพิษที่สูงในวันนี้เกิดจากการเผาเพื่อเตรียมหน้าดินในเรื่องของการทำไร่อ้อย โดยจะมีมาตรการของ ธกส. ในการที่จะเปลี่ยนการเผาให้เป็นทุน รวมถึงมีการพิจารณาเรื่อง คาร์บอนเครดิต คาร์บอนฟุตพริ้นท์ การเปลี่ยนจากการเผามาเป็นการรับซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าจากการเผาให้มาเป็นมูลค่าแทน ทั้งนี้ สิ่งที่ทำได้ทันทีนั้น คือ ใครเผาหรือก่อมลพิษ เจ้าหน้าที่รัฐสามารถจับได้เลยซึ่งมีโทษอยู่แล้ว หากเป็นในต่างจังหวัดก็จะมีเกษตรจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการซึ่งจะทำงานร่วมกับนายอำเภอของแต่ละจังหวัด โดยได้มีการเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำงานอย่างเข้มข้นในการตรวจจับ ตรวจสอบ เฝ้าระวัง นอกจากนั้นต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยยังไม่เด็ดขาด โดยในการผลักดันครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย ทั้งในเรื่องของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติให้ความเข้าใจและมีความเห็นตรงกันในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมาปัญหา PM 2.5 ไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างจริงจัง หากเราไม่ขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหานี้ในทุกมิติก็จะสร้างผลกระทบเป็นอย่างมากเพราะฉะนั้นครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

อุดรธานี -ประธานสภาเวียดนามและคณะเยือนอุดรฯ เพื่อกระชับสัมพันธ์ไมตรี พร้อมเปิดถนนอาหารวัฒนธรรมเวียดนาม "เวียดนามทาวน์"

ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและคณะเยือนจังหวัดอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับนายเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและคณะในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี พร้อมเปิดถนนอาหารวัฒนธรรมเวียดนาม"เวียดนามทาวน์ สัญลักษณ์ของการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและเวียดนาม ที่จังหวัดอุดรธานี

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่ท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ และนายสุทิน พัชระนาคิน นายกสมาคมชาวไทยเชื้อสายเวียดนามแห่งประเทศไทย ชุมชนชาวเวียดนามในไทย ให้การต้อนรับนายเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และคณะในโอกาสเดินทางมาเยือนจังหวัดอุดรธานี เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี หารือข้อราชการ ในประเด็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย-เวียดนาม, การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องอุดรธานี-ท้ายเงวียน การดูแลชาวไทยเชื้อสานเวียดนามที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งจังหวัดอุดรธานีมีชาวเวียดนามอาศัยอยู่มากที่สุด และถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาจังหวัดอุดรธานี นอกจากนี้จังหวัดอุดรธานียังมีการส่งเสริมความร่วมมือสามเหลี่ยมมรดกโลก (บ้านเชียงอุดรธานี-หลวงพระบาง-ฮาลองเบย์ กวางนิงส์) มาตั้งแต่ 30 สิงหาคม 2547 และเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานประธานาธิบดี โฮจิมินห์ในไทยแห่งที่ 3 (แหล่งศึกษาและท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์โฮจิมินห์ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดรธานี)

จากนั้นนายเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พร้อมด้วยนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และคณะ ได้เดินทางไปที่ทำการสำนักงานชาวเวียดนามจังหวัดอุดรธานี เลขที่ 23/41 ถนนศรีสุข ซอย 2 เพื่อเยี่ยมชุมชนชาวเวียดนามในไทย และเปิดถนนอาหารวัฒนธรรมเวียดนาม "เวียดนามทาวน์" ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี ซึ่งเวียดนามทาวน์ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ระหว่างไทยและเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดอุดรธานี โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแขกผู้มีเกียรติ พี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจังหวัดอุดรธานี สมาคมชาวเวียดนามจังหวัดอุดรธานี สมาคมนักธุรกิจไทย-เวียดนามแห่งประเทศไทย ชมรมนักธุรกิจชาวเวียดนามจังหวัดอุดรธานี เทศบาลนครอุดรธานี และภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมบูรณาการความร่วมมือทำให้เกิดขึ้น โดยสำนักงานชาวเวียดนามจังหวัดอุดรธานี และเวียดนามทาวน์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืนต่อกันของพี่น้องชาวอุดรธานี และชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจังหวัดอุดรธานี

นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2519 ซึ่งนับเป็นเวลา 47 ปี ที่ทั้งสองประเทศได้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ในฐานะมิตรประเทศที่ดีต่อกัน และในปีนี้ยังเป็นปีที่สำคัญ เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี แห่งการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและเวียดนาม อันจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและเวียดนามเกิดขึ้นในทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ของไทย และยุทธศาสตร์การพัฒนาสีเขียวของเวียดนาม เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและอนุภูมิภาค

โอกาสนี้นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยนายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคเอกชนของจังหวัดอุดรธานี ได้ร่วมหารือข้อราชการ กับ นายเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และคณะรัฐสภา ณ โรงแรมเซ็นทารา อุดรธานี และในโอกาสเดินทางเยือนจังหวัดอุดรธานีครั้งนี้ นายเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) ตำบลบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top