Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

‘กองทุนดีอี’ ติดตามโครงการรถโมบายสโตรคยูนิต ช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้รักษารวดเร็ว

กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามผลการดำเนินงานในโครงการพัฒนาการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โดยใช้รถโมบายสโตรคยูนิตเชื่อมต่อกับระบบปรึกษาทางไกลและการส่งต่อผู้ป่วยแบบครบวงจรสำหรับทุกคน ของศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีประกาศ พ.ศ. 2564 ตามมาตรา 26(1)

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 กองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำโดยคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลโครงการ ผู้แทนจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองพิจารณาโครงการ และเจ้าหน้ากลุ่มติดตามและประเมินผล ได้ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน “โครงการพัฒนาการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โดยใช้รถโมบายสโตรคยูนิตเชื่อมต่อกับระบบปรึกษาทางไกลและการส่งต่อผู้ป่วยแบบครบวงจรสำหรับทุกคน” ของ ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

โครงการมีวัตถุประสงค์ ในการพัฒนาแพลตฟอร์มต้นแบบที่ใช้ในการรักษาบนรถโมบายสโตรคยูนิตรวมทั้งระบบการปรึกษาทางไกลของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองผ่านระบบ Telestroke ให้กับพื้นที่เป้าหมายใน 6 จังหวัดนำร่อง คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ราชบุรี กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงราย และนครพนม และพัฒนาระบบส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์ ก่อนนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล หรือหน่วยรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ในเขตพื้นที่บริการ ให้เป็นต้นแบบในการให้บริการการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันโดยใช้รถโมบายสโตรคยูนิตและการส่งต่อผู้ป่วยแบบครบวงจร เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและลดอัตราความพิการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจุบันมีผลการดำเนินงานในโครงการในการพัฒนาระบบเสร็จสิ้นและอยู่ระหว่างการเก็บผลการให้บริการจริงในพื้นที่เป้าหมายต่าง ๆ พบว่า ผลเป็นที่น่าพอใจ การดำเนินการให้บริการของรถโมบายสโตรคยูนิตในการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานกับหน่วยส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน สพฉ. ในการนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉินมาที่รถโมบายสโตรคยูนิต ที่สามารถให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที ในวินิจฉัยโรคและการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบ Telestroke ตลอดจนการส่งต่อข้อมูลภาพถ่ายผลการสแกนสมองที่แม่นยำเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยในการใส่สายสวนหรือการให้ยาสลายลิ่มเลือดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อลดอัตราการสูญเสียชีวิตและลดอัตราความพิการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ ก่อนนำส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลเครือข่ายต่อไป 

‘เฒ่าสามนิ้ว’ ลั่น!! บัดนี้เลิกใส่ ‘เสื้อสีน้ำเงินเข้ม’ แล้ว โลกนี้มีเสื้อสีอื่นให้เลือกอีกเยอะ จะไปแคร์ทำไม?

(5 ก.ย. 66) นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Suchart Sawadsri’ ระบุว่า…

“กองทัพมีผลงานอะไร? กองทัพมีผลงาน 99 ศพ!!”

“ครั้งหนึ่งมี ‘หญิงเสื้อแดง’ คนหนึ่งถามผมว่า เมื่อตอนเขาฆ่าคนเสื้อแดง ปี 53 ปัญญาชนคนชั้นกลางเช่นผมทำอะไรอยู่ ผมตอบไปด้วยความจริงใจว่า ผมกำลังวาดรูปอยู่ และนี่คือความจริง ผมไม่ใส่ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อส้ม แต่ใส่เสื้อ ‘นํ้าเงินเข้ม’ มาตลอด ในแทบทุกวาระ และบัดนี้ ผมคิดว่าผมจะเลิกใส่ ‘นํ้าเงินเข้ม’ แล้ว ใส่ ‘นํ้าเงินเข้ม’ มานานก็เบื่อ โลกนี้มีสีต่างๆ ให้เลือกมากมาย จะไป Care ทำไม ไม่มีหลานให้เลี้ยง อยากแบกอะไรก็แบก”

‘ดร.พร้อมพงศ์’ ปลื้มใจ!! ‘แดง-เหลือง’ ร่วมโต๊ะชื่นมื่น เปรย!! ยุคศิวิไลซ์ กลิ่นความสุข ความเจริญมาถึงแล้ว

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 66) บนโซเชียลฯ แชร์ภาพจากเฟซบุ๊ก ‘ดร.พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ - Dr. Prompong Nopparit’ ทีมงานพรรคเพื่อไทย โพสต์ภาพแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ หรือ ศชอ. นำโดย นายนพดล พรหมภาสิต และนางกัลยาณี จูปรางค์ หรือป้าอยุธยา นัดกินข้าวกับมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นายสมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดกลุ่มคนเสื้อแดง และนายนิยม นพรัตน์ หรือ เค สามถุยส์ ที่ร้านอาหารแซ่บไบรท์ ย่านถนนบางกรวย-ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี โดยมีข้อความระบุว่า "รัฐบาลสลายขั้ว ประชาชนสลายสี ยุติขัดแย้ง แดง เหลือง ทานข้าวกระชับมิตร บรรยากาศที่ดี กลิ่นความสุข ความเจริญ มาแล้วครับ"

นายพร้อมพงศ์ระบุอีกด้วยว่า "ศึกระหว่างสีเกือบ 20 ปี ที่บาดเจ็บ เสียชีวิต สูญเสียทรัพย์สิน เสียเวลาทำมาหากิน เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ หมดยุคการค้าความขัดแย้ง ถึงยุคศิวิไลซ์ คนไทยรักกัน เพื่อนๆ คิดว่าอย่างไรครับ"

ปส. ลุยกวาดล้าง จับกุม 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,470 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.พรศักดิ์  สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 และ พล.ต.ต.ธรรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นโดยเร็ว ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) ได้จับกุมขบวนการค้า  ยาเสพติด 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,320 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

โดยรายแรก ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายแสง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ใช้แอปพลิเคชันไลน์ชื่อ “โอปอ” จะทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไอซ์ และคีตามีน จำนวนมาก โดยซุกซ่อนมากับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ฒธ 52xx กรุงเทพมหานคร จากพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ จึงได้เฝ้าติดตาม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค.66 เวลาประมาณ 18.30 น. ตำรวจชุดสืบสวนเข้าทำการตรวจสอบในพื้นที่ ถนนหมายเลข 1 บ้านสันทรายปู่ยี่ หมู่ 4 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบรถยนต์เป้าหมายจอดอยู่บริเวณไหล่ทาง จึงได้เข้าทำ การตรวจสอบไม่พบบุคคลแสดงตัวเป็นเจ้าของรถยนต์ ตรวจค้นเบื้องต้น พบว่าภายในรถกระบะบรรทุกมีแม็กไลน์เนอร์ ซึ่งมีลักษณะได้รับการติดตั้งใหม่ พบรอยเชื่อมของกระบะบรรทุกมีระดับความสูงของกระบะผิดปกติ จึงตรวจสอบโดยละเอียด พบไอซ์ 22 กิโลกรัม และคีตามีน 50 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในช่องลับดัดแปลงสำหรับซุกซ่อนยาเสพติดใต้กระบะบรรทุกของรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด  ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 2 ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายสุรพงษ์ ซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากเครือข่าย กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ในพื้นที่ อ.ภูซาง และ อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยใช้วิธีการซุกซ่อนไปกับพืชผลทางการเกษตรและสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำพรางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ส่งให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และปริมณฑล โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาวเทาน้ำเงิน ทะเบียน 70-86xx ลำปาง ในการลำเลียงยาเสพติด ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 03.00 น. ตำรวจ ปส.3 พบรถเป้าหมาย ขับมาจากทาง อ.เชียงคำ จ.พะเยา มุ่งหน้าไปทาง อ.เมือง จ.พะเยา สังเกตมีผ้าใบคลุมส่วนท้าย และใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจ ต่อมาเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันเดียวกัน พบรถยนต์เป้าหมายได้ขับไปจอดที่บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่ง บนถนนสายเอเชีย อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จึงได้แสดงตัวและขอทำการตรวจค้น พบกระดาษแข็งมัดอัดเป็นก้อนอยู่เต็มภายในกระบะบรรทุก พบช่องลับมีถุงพลาสติก สีดำบรรจุกระดาษแข็งปิดไว้ สอบถามนายสุรพงษ์ รับสารภาพว่า มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ จึงควบคุมตัวนายสุรพงษ์ พร้อมรถบรรทุก 6 ล้อ ไปที่ด่านตรวจ พยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ตรวจค้นโดยละเอียดพบยาบ้าจำนวน 30 กระสอบ ประมาณ 6,000,000 เม็ด ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 3 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส.บช.ปส. ได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมนายสือ กับพวก พร้อมของกลางยาบ้า 4,000,000 เม็ด เมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา  จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบว่ายังมีกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นชาติพันธุ์ม้ง ชื่อนายสัตยา กับพวก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม มีพฤติการณ์รับจ้างกลุ่มนายทุนยาเสพติดลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงราย ส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลางเช่นเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 10.30 น. สามารถจับกุมนายสัตยา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน บร 74XX กำแพงเพชร ซึ่งใช้ในการลำเลียงยาเสพติด ได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.บ้านใหม่สุขเกษม อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย พร้อมของกลางยาบ้า 1,000,000 เม็ด และ ไอซ์ 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะและภายในห้องโดยสารด้านหลัง ต่อมา เวลา 10.40 น. สามารถจับกุมนายวิวัฒน์ และนางดี พร้อมรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 74XX ตาก ซึ่งใช้ในการขับขี่นำทาง/ สำรวจเส้นทาง/คุ้มกัน ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 4 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายจิตวัต มีพฤติการณ์ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงใหม่ มาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้างในเขตพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่งวันที่ 18 ส.ค.66  เวลาประมาณ 02.45 น. พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ CHEVROLET สีเทา ทะเบียน 1ฒบ 76XX กทม. จอดรถทิ้งไว้ข้างทางบริเวณถนนในหมู่บ้าน ม.7 ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ไม่พบผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จากการตรวจค้น พบยาบ้า 1,900,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณภายในห้องโดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ ต่อมา เวลา 16.30 น. ของวันเดียวกัน สามารถติดตามจับกุมนายจิตวัต ได้ที่บริเวณ ริมคลอง ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และสามารถยึดรถยนต์ ISUZU สีขาว หมายเลขทะเบียน กฉ 31XX อุทัยธานี ได้ที่บริเวณบ้านแห่งหนึ่ง ม.8 ต.บางปะมุง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวได้หลบหนีการจับกุม ของเจ้าหน้าที่ระหว่างทำการจับกุม ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีและขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 5 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายชาญชัย และนายบุญหลา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน กับพวก มีพฤติการณ์ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ นำมาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่ง วันที่ 18 ส.ค.66 เวลาประมาณ 17.00 น. สามารถจับกุมนายชาญชัย พร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในกระบะบรรทุกด้านหลังรถบรรทุก ยี่ห้อ HINO สีขาว ทะเบียน 70-73XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการซุกซ่อนและลำเลียง ยาเสพติด และสามารถขยายผลจับกุมนายบุญหลา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน ผธ 81XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการคุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และขยายผลจับกุมนายโจ ขับรถยนต์ HONDA สีขาว ทะเบียน 3กพ 45XX กทม. ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายธนพนธ์ นั่งมาด้วย  และน.ส.ภาณุมาศ ขับขี่รถยนต์ TOYOTA สีดำ ทะเบียน 3ขถ 61XX กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายเสกสรร และนายภูมินันท์ นั่งมาด้วย ได้ที่บริเวณทางคู่ขนาน ถ.พหลโยธินขาออก ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมาย ยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 6 ตำรวจ ปส.4 ได้ทำการสืบสวนขยายผลกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติด กระทั่งทราบว่าวันที่ 13 ส.ค.66 จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้รถกระบะแบบมีตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. ซุกซ่อนยาเสพติด ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เฝ้าติดตาม จนพบว่ามีการนัดส่งมอบยาเสพติด ด้านหลังตลาดไอยรา จ.ปทุมธานี จากการเฝ้าสังเกตการณ์พบมีผู้ชาย 3 คน ช่วยกันยกกล่องลังโฟมสีขาวจากรถบรรทุก ทะเบียน 70-xxxx ลำปาง ไปใส่รถกระบะแบบตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. หลังจากนั้น ได้ขับมุ่งหน้าออกไปทางถนนคลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และจอดส่งนายศิรากร ที่บริเวณปาก ซ.เทศบาล 3 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน 9กล xxxx กทม. ขับมารับ ต่อมารถยนต์กระบะตู้ทึบยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายอนุชาติ เป็นคนขับ และนายนคเรศ นั่งโดยสารมาด้วย ได้ขับเข้าไปจอด หน้าธนาคารกรุงเทพ อ.คลองหลวง  จ.ปทุมธานี ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัวขอตรวจสอบสิ่งของหลังรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในถุงชาสีเขียวภายในกระสอบสีขาวในกล่องลังโฟม สีขาว และได้ติดตามจับกุมนายศิรากร ได้ที่บริเวณร้านค้าในพื้นที่  อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ 8 ก.ย.นี้ ภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ หวังคนไทยมีชีวิตดีขึ้น

(5 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมแถลง ‘นโยบายรัฐบาล’ ครม.เศรษฐา 1 ต่อรัฐสภา โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงต่อรัฐสภา มีนโยบายสำคัญภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ โดยมีความมุ่งหมายให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างโอกาสในการหารายได้ ดังนี้

>> นโยบายรัฐบาล 1 กระตุ้น 

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป สำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ในร้านค้าชุมชนและบริการที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่

>> นโยบายรัฐบาล 3 เร่ง

1. นโยบายเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลยังคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน

2. นโยบายเร่งลดหนี้ประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อลดภาระเกษตรกรในการชำระหนี้จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ 3 ปี และพักหนี้ธุรกิจที่เกิดร้อนจากโควิด 1 ปี รวมทั้งสนับสนุน Pico Finance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

3. นโยบายเร่งลดราคาพลังงาน ลดค่าครองชีพประชาชน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า แนวทางการดำเนินการในเรื่องราคาพลังงานนั้นมีเรื่องหลัก ๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และ ราคาไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน อีกทั้งยังช่วยค่าครองชีพอื่น ๆ เพราะพลังงานเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค 

>>นโยบายรัฐบาล 3 สร้าง

1. นโยบายสร้างรายได้ อาทิ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยการขับเคลื่อนท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ฟรีวีซ่า, การบริหารจัดการ (Operations)ของสนามบินเอง, การจัดการเที่ยวบิน (Flight), การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โดยตั้งเป้าหมายประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567

ขณะเดียวกันก็จะเร่งการสร้างรายได้จากการค้าการลงทุน ด้วยการใช้นโยบาย ‘การต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ’ ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทย เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ให้ได้มาซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก

นอกจากยังมีนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกร และราคาสินค้าเกษตร ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร แปรรูป ลดต้นทุน ปรับวิธีการผลิต ใช้ตลาดนำการผลิต ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมากที่จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้ง มาเป็นการปลูกพืชเพื่อการปศุสัตว์ หรือพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ แทนการนำข้าจากต่างประเทศ ควบคู่กับการการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่นการเลี้ยงโคเพื่อส่งออก รวมไปถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท

2. นโยบายสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การแจกโฉนดที่ดินให้แก่เกษตรกร แก้กฎหมายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้นำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเปลี่ยนมือได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าหาแหล่งทุนของเกษตรกร

ส่งเสริมการปลูกพืชยืนต้น เพื่อเป็นคาร์บอนด์เครดิต นโยบายส่งเสริม SME ด้วยการสนับสนุนและอุดหนุนภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ ผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ลดการผูกขาดทางธุรกิจอันเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของ SME

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพ 30 บาท ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมายกระดับการให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนมากขึ้น รวมทั้งจะเร่งผลักดันรัฐบาลดิจิทัล ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนได้บริการที่ดีขึ้น ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

3. นโยบายสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด ด้วยการจัดกลุ่มผู้เสพ คือ ผู้ป่วย ต้องดูแลรักษา ฟื้นฟูให้มีอาชีพกลับเข้าไปทำงานให้ได้ แต่จะจัดการกับผู้ค้า ผู้ผลิต ด้วยการนำกฎหมายยึดทรัพย์มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหยุดยั้งยาเสพติด รวมถึงนโยบายแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ

นอกจากนี้ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ภายใต้หลักปรัชญา ‘เรียนรู้เพื่อรายได้’ ด้วยการปรับหลักสูตรต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการสร้างรายได้ สร้างกลไกพิเศษให้ภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน ควบคู่กับการผลักดันนโยบาย soft power ในด้านต่าง ๆ

‘พาณิชย์’ เร่งแก้วิกฤต ‘มังคุด’ คุณภาพลด-ราคาตก กก.ละ 8 บาท พร้อมรับฟังปัญหาเกษตรกร-หารือผู้ประกอบการ ร่วมกันหาทางออก

(5 ก.ย. 66) ‘พาณิชย์’ ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ติดตามสถานการณ์มังคุด และรับฟังข้อเรียกร้องจากเกษตรกร พร้อมประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อผลผลิตในช่วงนี้เพิ่มขึ้น และเร่งกระจายออกไปยังตลาดปลายทาง ทั้งห้างท้องถิ่น โมบายพาณิชย์ ช่วยระบายผลผลิตอีกทาง เผยช่วงนี้เป็นปลายฤดู ผลผลิตคุณภาพลด ดอกดำ หรือแข็ง มีมากขึ้น ด้านประธานแปลงใหญ่นครศรีธรรมราชยัน มังคุด กก.ละ 8 บาท เป็นเกรดคัดทิ้ง

นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ลงพื้นที่ กลุ่มมังคุดชะอวดพูนผล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อรับฟังปัญหากรณีเกษตรกรชาวสวนมังคุดได้รับความเดือดร้อน จากราคามังคุดตกต่ำ ว่า กรมยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด จึงได้ลงพื้นที่มาเพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังข้อเรียกร้องของพี่น้องเกษตรกร และยังได้ประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อผลผลิตในช่วงนี้เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งเปิดจุดปลายทางเพิ่มขึ้นทั้งห้างท้องถิ่น และโมบายพาณิชย์ เพื่อช่วยระบายผลผลิต และให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจว่าราคามังคุดจะมีเสถียรภาพจนจบฤดูกาล

ส่วนการตรวจสอบมังคุดที่เกษตรกรส่วนหนึ่งนำมาเททิ้งนั้น ได้รับรายงานจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า เป็นมังคุดช่วงปลายฤดูกาลผลิต ที่ผลผลิตมีคุณภาพลดลง มังคุดตกเกรด ดอกดำ หรือแข็ง และเป็นเกรดที่ส่วนใหญ่ต้องคัดทิ้ง ซึ่งมีปริมาณมากขึ้น และส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง แต่กรมยืนยันว่าจะเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่ต่อไป

ทั้งนี้ จากการเข้ามาดูแลพี่น้องเกษตรกร ส่งผลให้ราคารับซื้อมังคุดยังคงมีเสถียรภาพ โดยราคารับซื้อปัจจุบันราคานอกกลุ่มประมูล เกรดมันรวม 30-35 บาท/กิโลกรัม (กก.) เกรดคละ 20-25 บาท/กก. ขณะที่ราคากลุ่มประมูล เกรดมันใหญ่ 35-40 บาท/กก. เกรดมันเล็ก 20-28 บาท/กก. เกรดลายใหญ่ 25-30 บาท/กก. เกรดตกไซส์ บวกดอก 17-20 บาท/กก. และเกรดดำ 15-15.10 บาท/กก.

ก่อนหน้านี้ ในช่วงฤดูการผลิตมังคุดภาคใต้ กรมได้ดำเนินการประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อมังคุดใต้ผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่ ทำสัญญาข้อตกลงปริมาณ 27,450 ตัน เปิดจุดจำหน่ายทั่วประเทศ 220 จุด ที่ห้างท้องถิ่น และ 100 จุดที่โมบายพาณิชย์ มีการรับซื้อปริมาณรวม 1,000 ตัน และในช่วงราคาปรับตัวลดลง ก็ได้ประสานผู้ประกอบการ ผู้รวบรวม และผู้ส่งออกเข้าไปรับซื้อมังคุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับราคาในกลุ่มประมูลและจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งผลดำเนินการ ทำให้ราคามังคุดยังคงมีเสถียรภาพจนถึงปัจจุบัน

ร้อยตรีอรุณ บุญวงศ์ ประธานแปลงใหญ่มังคุดจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ปีนี้คุณภาพมังคุดมีปัญหา จากสภาพลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย อากาศแล้งมาก มังคุดที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ลูกเกรด A B มาก กลายเป็นลูกมังคุดตกเกรด คิดเป็น 20% ของผลผลิตทั้งหมด จากเดิมมีเพียงแค่ 5% ซึ่งต้องขอบคุณกรมการค้าภายในที่พาผู้ประกอบการเข้ามาช่วยซื้อตั้งแต่แรกถึงตอนนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่เลยช่วงระยะพีคแล้ว เป็นช่วงปลายฤดูสุดท้ายแล้ว

“ที่มีข่าวเกษตรกรที่ไปเทมังคุดทิ้ง เพราะเหลือ กก.ละ 8 บาท เป็นมังคุดตกเกรด คือ รวมลูกทุกชนิด คุณภาพไม่ได้ ถ้าคัดก็ได้แค่ครึ่งเดียว ซึ่งเคยเสนอไปแล้วให้ระมัดระวัง เพราะถ้ามีการนำมังคุดที่เก็บลูกหล่น หรือที่กินไม่ได้ ใส่ไปขายด้วย คนซื้อที่ซื้อไปส่งล้ง ก็โดนคัดออกเยอะ เมื่อคุณภาพไม่ได้ ราคามันก็ลง และพาราคาลูกที่ดีลงไปด้วย ส่วนราคาในกลุ่มประมูลตอนนี้ เกษตรกรยังรับได้ ส่วนที่ราคาต่ำลงบ้าง ก็เป็นไปตามกลไกตลาด ที่ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดู ผลผลิตอาจคุณภาพไม่ดี โดยที่ประมูลในกลุ่มไม่มีปัญหา ส่วนที่มีปัญหาเป็นพ่อค้ารายย่อยที่ไม่เข้าร่วมกลุ่ม แต่กรมการค้าภายใน ก็พยายามเข้ามาช่วยตลอด ตอนนี้ก็เข้ามาช่วยดูแลแล้ว” ร้อยตรีอรุณ กล่าว

‘Universal Music Group’ โพสต์ภาพ ‘ลิซ่า’ ในไอจี ตอกย้ำกระแสข่าวลือ ‘ลิซ่า’ ไม่ต่อสัญญาต้นสังกัดเดิม

ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการเคป็อป รวมถึงอุตสาหกรรมวงการบันเทิงทั่วโลกต่างจับตามองกันเป็นอย่างมาก หลังวงเกิร์ลกรุ๊ปไอคอนแห่งยุค BLACKPINK กำลังจะหมดสัญญากับทางค่าย YG Entertainment ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีประกาศอะไรอย่างเป็นทางการออกมา แต่คาดว่าน่าจะไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อสัญญาของเมมเบอร์แต่ละคน รวมไปถึงสมาชิกชาวไทย ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ที่เป็นข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องสัญญาต่าง ๆ มากมาย

ล่าสุด ค่ายเพลงชื่อดังระดับโลก UMG หรือ Universal Music Group ได้ทำการโฟสต์รูปภาพของไอดอลสาวสุดฮอตที่กำลังเที่ยวทะเลอยู่ พร้อมระบุข้อความสั้น ๆ ว่า Lalisa พร้อมอิโมจิรูปหัวใจสีฟ้า ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกลาวได้ปรากฏออกไปนั้น ได้กลายเป็นที่ถูกล่าวถึงทันที เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำกระแสข่าวลือว่า สาวลิซ่าอาจจะไม่ต่อสัญญากับค่าย YG Entertainment

ซึ่งหากใครไม่คุ้นชื่อค่ายนี้ แต่น่าจะรู้จักศิลปินระดับโลกอย่าง เทยเลย์ สวิฟต์, เลดี้ กาก้า, มารูนไฟว์ และ จัสติน บีเบอร์ ศิลปินระดับโลกเหล่านี้อยู่ค่ายนี้ทั้งหมด โดยค่าย UMG มีเจ้าของคือ Vivendi สื่อชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส ที่ผลิตคอนเทนต์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ โฆษณา เพลง และเกม

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ ลิซ่า ยังเคยทำงานกับ Interscope Records ค่ายในเครือ Universal Music Group ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายงานของ BLACKPINK นอกทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตาม รูปที่โพสต์ไปนั้น นอกจากจะมีการแท็กไอจีลิซ่าแล้ว ยังมีการแท็กไอจีวง BLACKPINK อีกด้วย แถมที่ผ่านมาค่ายดังกล่าวก็ยังโพสต์ภาพของสาวลิซ่าอยู่เรื่อย ๆ ทั้งนี้อนาคตของสาวลิซ่า จะไปในทิศทางไหน คงต้องรอติดตามกันต่อไป

ผบ.ตร. เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษาต่อเนื่องแก่บุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และทุนการศึกษาของมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว มากกว่า 1,200 ทุน มุ่งส่งเสริมการศึกษาให้เยาวชน และสร้างขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจ

วันนี้ (5 ก.ย.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษามูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และทุนการศึกษาตามโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ณ ห้องประชุม ศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บังคับบัญชาระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี

สำหรับทุนการศึกษาตามโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ที่ ผบ.ตร.เป็นประธานมอบในวันนี้ ประกอบด้วย 2 ประเภททุนการศึกษา ได้แก่ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี สายวิชาชีพอนุปริญญา (ต่อเนื่องไม่เกิน 2 ปี) จำนวน 3 ทุนๆ ละ 25,000 บาท เป็นเงิน 150,000 บาท และทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี ระดับอุดมศึกษา (ต่อเนื่องไม่เกิน 4 หรือ 6 ปี) จำนวน 113 ทุนๆ ละ 40,000 บาท เป็นเงิน 19,440,000 บาท 

ในปี 2566 นี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดทำโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนซึ่งเป็นบุตรข้าราชการตำรวจ โดยแบ่งประเภททุนเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 
1. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพ จากการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 10 ทุนๆ ละ 50,000 บาท เป็นเงิน 500,000 บาท
2. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจประพฤติดี ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งทุนประเภทนี้ จำนวน 2,201 ทุนๆ ละ 3,000 บาท เป็นเงิน 6,603,000 บาท
ซึ่งทุนการศึกษาประเภทที่ 1-2 ผบ.ตร.เป็นประธานมอบทุนการศึกษา เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงิน  7,103,000 บาท
3. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี สายวิชาชีพอนุปริญญา (ต่อเนื่องไม่เกิน 2 ปี) จำนวน 3 ทุนๆ ละ 25,000 บาทต่อปี เป็นเงิน 150,000 บาท
4. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี ระดับอุดมศึกษา (ต่อเนื่องไม่เกิน 4 หรือ 6 ปี) จำนวน 113 ทุนๆ ละ 40,000 บาทต่อปี เป็นเงิน 19,590,000 บาท 

ซึ่งทุนประเภทที่ 3 และ 4 มีการมอบในวันนี้ รวมเป็นเงิน  19,590,000 บาท โดยในปี 2566 นี้ ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจได้เพิ่มทุนการศึกษา 2 ประเภทนี้ จากปี 2565 จำนวน 81 ทุน ปี 2566 เพิ่มอีกจำนวน 35 ทุน รวมเป็น 116 ทุน เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจได้มากขึ้น โดยมีบุตรข้าราชการตำรวจได้รับทุนการศึกษา จำนวน 18 หน่วย 3 ลำดับแรกที่ได้รับทุนการศึกษา เป็นบุตรข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 3, กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจภูธรภาค 5 ทั้งนี้ รวมทั้ง 4 ประเภททุนการศึกษาที่สมาคมแม่บ้านตำรวจมอบให้กับบุตรข้าราชการตำรวจในปี 2566 จำนวน 2,327 ทุนรวมมูลค่า 26,693,000 บาท

นอกจากนี้ ในวันนี้ ผบ.ตร.ได้มอบทุนการศึกษามูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว ให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจตั้งแต่ชั้นยศร้อยตำรวจเอกลงมา ที่กำลังศึกษาระดับประถมศึกษาถึงปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 1,173 ทุน จำนวน 8,554,000 บาท โดยในวันนี้มีผู้แทนหน่วยงานที่รับทุนการศึกษา จำนวน 11 หน่วย และบุตรของข้าราชการที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นตัวแทนรับทุนครั้งนี้ จำนวน 11 ราย ส่วนที่เหลือจะดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีของหน่วย จำนวน 37 หน่วยงาน ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามจำนวนที่ได้รับจัดสรร เพื่อนำไปจ่ายให้แก่บุตรของข้าราชการตำรวจในสังกัดต่อไป 

คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจดำเนินการตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญด้านสวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยเหลือด้านการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่เป็นกำลังพลส่วนใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้การสนับสนุนเงินจากมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ที่เห็นคุณค่าของการศึกษา และมีเจตนารมณ์ที่จะให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า  ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว สมาคมแม่บ้านตำรวจ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ที่ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา และยินดีกับผู้ได้รับทุนการศึกษาและครอบครัวทุกท่าน ตนดีใจที่ได้เห็นความร่วมมือและน้ำใจจากทุกฝ่าย ที่สนับสนุนโอกาสทางการศึกษา เป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ข้าราชการตำรวจ นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากทางราชการ พร้อมขอฝากถึงเด็กๆ ทุกคนว่า เมื่อได้รับโอกาสที่ดีนี้แล้ว ขอให้รักษาโอกาสนี้ไว้ ตั้งใจเรียน รักษามาตรฐานผลการเรียนให้สม่ำเสมอ ให้เป็นผู้ที่เรียนดีด้วย และประพฤติดีด้วย ฝักใฝ่ในสิ่งที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทางที่ถูกที่ควร ให้เป็นที่ภาคภูมิใจว่า เราเป็นลูกตำรวจที่น่าชื่นชม เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ เป็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติ

OR เล็งธุรกิจโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน วางเฟสแรก 20 แห่ง รายได้ 1,000 บาท /ห้อง/คืน

เมื่อเช้านี้ มีกระแสข่าวว่า OR กำลังสนใจเข้าลงทุนในธุรกิจโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อเปิดบริการในสถานีบริการน้ำมัน แบบราคาประหยัด 1,000 บาทต่อคืน

โดยผู้บริหารให้ข้อมูลว่าอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในสถานีบริการน้ำมัน โดนคาดว่าระยะแรกจะเปิดให้บริการ 20 แห่ง แต่ละแห่งมีห้อง 60-80 ห้อง คาดว่า จะมีรายได้ราว 1,000 บาทต่อห้องต่อคืน

รวมถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจ Health & Beauty โดยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย

คำถาม คือ ถ้าเราเห็นธุรกิจโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน PTT จริงๆจะถือเป็น New S Curved มากแค่ไหนต่อกลุ่ม OR

คำตอบคือ ไม่ได้เยอะมาก ...

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า มองว่าธุรกิจโรงแรมในช่วงระยะเริ่มต้น น่าจะสร้างรายได้ให้ OR ราว ๆ 200 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่า 1% ของรายได้ทั้งรวมทั้งหมด ทำให้ไม่มีนัยสำคัญอะไรมากนักในระยะสั้น จนถึงกลางต่อภาพรวมธุรกิจ

อีกทั้ง ธุรกิจนำเข้าสินค้าประเภท Health & Beauty ก็มีคู่แข่งจำนวนมาก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นไม่สูง ไม่น่าจะสร้างกำไรที่มีนัยสำคัญอะไรให้กับ OR

ดังนั้น มีความเป็นไปได้ไหมที่เราจะเห็นโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน แต่ในภาพของธุรกิจ ไม่น่าจะส่งผลเชิงบวกมากนักในระยะแรก

‘โฆษกสภาความมั่นคง สหรัฐฯ’ ขู่คว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หลัง ‘ผู้นำคิม’ จ่อพบ ‘ปูติน’ หารือหนุนอาวุธสู้ศึกยูเครน

(5 ก.ย. 66) สื่อสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ‘นายคิม จอง อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ มีแผนที่จะเดินทางเยือนรัสเซียในเดือนกันยายนนี้ เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่เกาหลีเหนือจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน

อย่างไรก็ดี บีบีซีระบุว่า ยังไม่มีการแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว และสถานที่ของการพบกันที่แน่นอนก็ยังคงไม่มีความชัดเจนเช่นกัน แต่นิวยอร์กไทม์สรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า มีแนวโน้มสูงมากที่สุดที่ผู้นำคิมจะเดินทางด้วยรถไฟหุ้มเกราะ

นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า นายเซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย พยายามที่จะโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือขายกระสุนปืนใหญ่ให้กับรัสเซีย ระหว่างที่เขาเดินทางเยือนเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด

นายซอยกูซึ่งถือเป็นผู้แทนต่างชาติคนแรกที่นายคิม จอง อึน ให้การรับรองนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อเข้าชมการจัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลเหนือ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธฮวาซอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวปตัวแรกของเกาหลีเหนือ ที่ขับเคลื่อนโดยใช้เชื้อเพลิงแข็ง

เคอร์บีกล่าวว่า นับตั้งแต่การเยือนของซอยกู ผู้นำคิมและปูตินได้แลกเปี่ยนจดหมายกัน เพื่อให้คำมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

“เราขอเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการเจรจาด้านอาวุธกับรัสเซีย และปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่จัดหาหรือขายอาวุธให้กับรัสเซีย” นายเคอร์บีกล่าว และเตือนว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตร หากเกาหลีเหนือจัดหาอาวุธให้กับรัสเซียด้วย

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลทั้งในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เกี่ยวกับสิ่งตอบแทนที่เกาหลีเหนือจะได้รับจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียมากขึ้น

ความกลัวอีกประการหนึ่งคือรัสเซียจะสามารถจัดหาอาวุธให้กับเกาหลีเหนือได้ในอนาคต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือต้องการอาวุธเหล่านี้มากที่สุด และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ‘คิม จอง อึน’ อาจขอให้ปูตินจัดหาเทคโนโลยีหรือความรู้เกี่ยวกับอาวุธ ที่มีความก้าวหน้าสูงให้กับเกาหลีเหนือ เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการสำคัญในโครงการอาวุธนิวเคลียร์

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า การพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองอาจเกิดขึ้นที่เมืองวลาดิวอสต็อก ริมชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของรัสเซีย โดยมีรายงานว่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านา เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือได้เดินทางไปยังวลาดิวอสต็อกและมอสโก ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอภัยที่ดูแลเกี่ยวกับการเดินทางของผู้นำเกาหลีเหนือ จึงเป็นสัญญานที่ชัดเจนถึงการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือและรัสเซียเคยออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เปียงยางไม่ได้จัดหาอาวุธให้กับรัสเซียเพื่อใช้ในสงครามยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top