Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

'ชลน่าน' ปลื้มใจ!! หลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เผย 'ในหลวง' ทรงยิ้มแย้ม ตรัสชม ‘เศรษฐา’ เป็นคนเก่ง

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นครั้งที่ 2 ของตนเอง ต้องเรียนด้วยความเคารพว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปฏิสันถารที่ทำให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจอย่างมาก ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้กำลังใจ หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จสิ้นพระองค์ได้เดินเข้ามาหานายกฯ ด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม และพูดให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อมั่นว่านายกฯ จะทำหน้าที่ได้ดี พระองค์ท่านยังทรงชมนายกฯ ว่าเชื่อมั่นว่าเป็นคนเก่งอยู่แล้ว และทรงมีพระสรวล เราเองก็มีความปิติตามที่เราได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประเทศชาติและบ้านเมือง และปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกประการ

นพ.ชลน่าน กล่าวถึงแนวทางการเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุขหลังจากนี้ว่าส่วนตัวมั่นใจในการทำงาน เพราะนายเศรษฐา ได้มอบนโยบายชัดเจนว่าเราคือรัฐบาลของประชาชน เราคำนึงถึงประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ดังนั้น กลไกในการบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงสาธารณสุข อะไรที่ยึดโยงกับประชาชนดีอยู่แล้วเราก็ทำต่อไป อะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อตอบสนองของประชาชนได้ดีขึ้นก็ต้องดำเนินการ ดังนั้นจึงมุ่งอยู่ที่ประชาชน ทั้งสุขภาวะร่างกายจิตใจ รวมถึงสติปัญญา เราตั้งใจมุ่งมั่นที่จะใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ รวมถึงต้องวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไอที จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

สืบ ตม. ร่วมกับสำนักงานปราบปรามยาเสพติด บุกคริสตจักรย่านสะพานสูง พบหนุ่มผิวสีหลบหนีเข้าเมือง 

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับการประสานงานจากสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ขอความอนุเคราะห์สนับสนุนชุดร่วมปฏิบัติการตรวจสอบพฤติการณ์ชาวแอฟริกาตะวันตก ภายในคริสตจักรแห่งหนึ่ง เขตสะพานสูง กทม. ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวพบปะกันของชายสัญชาติไนจีเรีย จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ต.จงชนะ ประสพสุข สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. เข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว จากการสืบสวนเชื่อว่าสถานที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบกิจกรรมศาสนพิธีทางศาสนา แต่ยังเป็นสถานที่เจรจา ตกลง ซื้อขาย ส่งมอบยาเสพติด เมื่อไปถึงพบนายโอเคซี่ (นามสมมติ) สัญชาติไนจีเรีย แสดงตนเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว และสมัครใจพาเข้าไปตรวจสอบภายในสถานที่ดังกล่าว จากการตรวจสอบไม่พบยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงชายลักษณะคล้ายคนต่างด้าว 4 ราย คือ นายเอ็มมานูเอล (นามสมมติ) อายุ 34 ปี สัญชาติไนจีเรีย, นายพอล (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติไนจีเรีย, นายเดวิด (นามสมมติ) อายุ 37 ปี สัญชาติไนจีเรีย และนายเอเคเน (นามสมมติ) อายุ 38 ปี กำลังทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่ จึงขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง นายเอ็มมานูเอลและนายพอลมีภาพถ่ายหนังสือเดินทางในโทรศัพท์มือถือ ส่วนนายพอล, นายเดวิด และนายเอเคเน ไม่มีหนังสือเดินทางและภาพถ่ายหนังสือเดินทางแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจึงตรวจสอบในระบบสารสนเทศ ตม. ผลปรากฏว่า ไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของชายชาวไนจีเรียทั้ง 4 รายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และแจ้งสิทธิให้ทราบ จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ชวนเที่ยว ‘งานตักบาตรขนมครก’ 22 ก.ย.นี้ สืบสานประเพณีเก่าแก่ มีเพียงแห่งเดียวที่วัดแก่นจันทร์เจริญ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม

สมุทรสงคราม แห่งเดียวของไทย อบจ.แม่กลอง ชวนเที่ยวงานตักบาตรขนมครก ‘ขนมคู่รักกัน’ 22 ก.ย. นี้ เพื่อสืบสานประเพณีเก่าแก่เกือบร้อยปี

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 น.ส.กาญจน์สุดา ปานะสุทธะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ) สมุทรสงคราม เปิดเผยว่า ประเพณีตักบาตรขนมครก เป็นประเพณีที่เก่าแก่ของจังหวัดสมุทรสงคราม ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี 2473 ปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียวที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ตำบลบางพรม อำเภอบางคนที

โดยจัดกันในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยเลียนแบบการจัดงานมาจากขนมเบื้องของพระราชพิธีในวัง ที่สืบทอดกันมาจนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี

โดยญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ จะซื้อขนมครก และน้ำตาลทราย จากพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาขายหน้าวัดแก่นจันทร์เจริญ ถวายพระสงฆ์ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวบ้านจึงเกรงว่าประเพณีตักบาตรขนมครกจะสูญหายไปด้วย

จึงได้ช่วยกันลงแรงและร่วมกันบริจาคเงินซื้อข้าวสารมาหมักค้างคืนไว้ พอเช้าตรู่ของวันใหม่ก็ไปรวมตัวกันที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ช่วยกันโม่แป้ง คั้นกะทิ ทำขนมครก เพื่อนำไปตักบาตรถวายพระสงฆ์ พร้อมกับน้ำตาลทรายถวายคู่กัน เนื่องจากพระบางรูปชอบหวาน จึงมีน้ำตาลทรายให้มาด้วย

นายก อบจ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า ตามตำนานบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่เล่าว่า ประเพณีตักบาตรขนมครกนั้น เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชายหญิงคู่หนึ่งชอบพอกัน ฝ่ายชายชื่อ ‘กะทิ’ ส่วนฝ่ายหญิงชื่อ ‘แป้ง’ แต่พ่อของแป้ง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ชอบกะทิ จึงหาทางขัดขวางไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับลูกสาว และยังยกลูกสาวให้แต่งงานกับปลัดอำเภอหนุ่มจากกรุงเทพฯ

เมื่อพ่อของแป้ง รู้ว่ากะทิ จะมาขัดขวางงานแต่งงานลูกสาว จึงขุดหลุมพรางไว้เพื่อดักฝังกะทิทั้งเป็น จนกลางคืนกะทิกับแป้งได้นัดพบกัน และเกิดพลัดตกลงไปในหลุมพรางของพ่อแป้งทั้งคู่ ลูกน้องของผู้ใหญ่บ้านนึกว่ากะทิตกหลุมพรางคนเดียว จึงนำดินมาฝังกลบทั้งคู่จนตายทั้งเป็น รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจึงเกิดความเศร้าโศกเสียใจ จึงสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์แด่คนทั้งสอง

ต่อมาชาวบ้านรู้ข่าวจึงเห็นใจในชะตาชีวิตของหนุ่มสาวคู่นี้ จึงนำขนมที่ทำจากกะทิและแป้ง และเรียกว่า ‘ขนมคู่รักกัน’ มาเซ่นไหว้ ต่อมาได้มีผู้เห็นว่าชื่อเรียกยาก จึงตัดเอาตัวอักษรแต่ละคำคือเอาตัว ค.ควาย, ร.เรือ และ ก.ไก่ มารวมกันจึงอ่านว่า ‘ครก’ หรือ ‘ขนมครก’ นั่นเอง

และเพื่ออนุรักษ์ประเพณีตักบาตรขนมครก ที่สืบทอดกันมานานเกือบ 100 ปี อบจ.สมุทรสงคราม จึงร่วมกับ จ.สมุทรสงคราม, อบต.บางพรม, ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม, สำนักงานวัฒนธรรม จ.สมุทรสงคราม และชาวตำบลบางพรม จัดงานตักบาตรขนมครกขึ้นที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566

โดยจะมีเตาขนมครกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเตาถ่านกว่า 20 เตา มีการสาธิตการขูดมะพร้าวจากกระต่ายแบบโบราณ การโม่แป้งด้วยโม่หินแบบโบราณ การหยอดและการแคะขนมครกจากเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดแก่นจันทร์เจริญ เริ่มงานตั้งแต่เวลา 07.00 น.เป็นต้นไป

โดยเวลา 09.30 น. มีพิธีเปิดงานโดยนายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม จากนั้นเป็นการตักบาตรขนมครก โดยมีพระสงฆ์วัดแก่นจันทร์ทุกรูปมารับบาตร

ส่วนขนมครกที่เหลือจากพระฉันแล้ว ทางวัดจะแจกจ่ายให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านนำกลับบ้านฝากญาติพี่น้องรับประทาน เพื่อความเป็นสิริมงคล จึงขอเชิญนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจไปร่วมงานดังกล่าวได้ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ตามวันและเวลาดังกล่าว

‘สมจิตร’ เปิดใจทั้งน้ำตา ภรรยาป่วย ลูกสมาธิสั้น สุดท้ายพยายามคิดบวก อนาคตมันอาจจะดีขึ้น

(5 ก.ย.66) ‘บอย พิษณุ’ เผยคลิป ‘ไม่ได้สู้แค่บนสังเวียน แต่ ‘พี่สมจิตร’ คือเซียนชีวิตจริง!’ เปิดใจ ‘สมจิตร จงจอหอ’ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก เล่าเรื่องราวชีวิตครอบครัวตอนหนึ่งกลั้นน้ำตาไม่ไหวร้องไห้ออกมา โดยเผยถึงอาการป่วยหนักก่อนหน้านี้ของ ‘อุ๋ม ศศิธร’ ภรรยาที่ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) รักษามา 2 ปีกว่าแล้ว ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการอยู่ ออกโรงพยาบาลมาก็ต้องดูแลเรื่องอาหาร การหลับนอน ใส่ใจเรื่องจิตใจเขา ฟื้นฟูเร็ว กินยาเป็นกำๆ ก็ลดน้อยลง ดูแลเขาเต็มที่เป็นปี ยิมปิดไปเลย โฟกัสที่ภรรยา เรื่องราวสะสม เราดูแลฟื้นฟูเร็ว ตอนนี้กลับมา 80-90 เปอร์เซ็นต์

การแต่งงานกันต้องอยู่กันไปจนแก่ตาย แม้ระหว่างทางจะมีทะเลาะกัน แต่สุดท้ายเราปรับความเข้าใจกันหักลบกันไป มันต้องอยู่จนแก่เฒ่า จนมีใครคนหนึ่งตายไป ต้องอยู่กันให้ได้ในความรักที่มีต่อกันทุกวัน มีกำลังใจให้กันทุกวัน

ถามถึง ‘กำปั้น’ ลูกชาย อยู่ปี 3 แล้ว เรียนสาขาอะไร ‘สมจิตร’ ตอบว่า ผมไม่ค่อยจะบอกรายการไหน กำปั้นเขาอายุ 22 ปี แต่ไอคิวเขาประมาณเด็ก 10 กว่าขวบ 15-16 เหมือนเด็กสมาธิสั้น แต่เขาเรียนพูดภาษาอะไรได้เก่ง แต่บวกลบคูณหารเลขไม่ได้เลย ความจำตรงนั้นไม่ได้เลย เรียนอยู่ได้เกรด 1 กว่า ไม่ถึง 2 เป็นคนร่าเริง เพื่อนเยอะ แต่สุดท้ายพอปี 3 จะขึ้นปี 4 ครูบอกว่าเรียนไม่ได้เพราะสมองน้องไปไม่ได้ ก็เลยต้องดรอป

นักชกเหรียญทองในตำนานสุดกลั้นน้ำตา เผยว่า “เมียก็ป่วย ลูกก็เป็นยังงี้ แต่สุดท้ายผมคิดบวก สุดท้ายมันอาจจะดีก็ได้ ถ้ากำปั้นเป็นเด็กเหมือนธรรมดา อายุ 22 ป่านนี้กำปั้นดื่มเหล้า ขับรถซิ่ง ขี่มอเตอร์ไซค์แว้น ดูดบุหรี่ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมอายุ 22 เหมือนเขาผ่านมาแล้ว แต่เขาอายุ 22 สมองเขาเป็นเด็กเขาอยู่กับพ่อกับแม่ รอพ่อเหมือนเด็ก เป็นเด็กดีร่าเริง อัธยาศัยดี ทุกคนรักเขาหมด”

“แสดงว่าสิ่งที่เป็นโชคร้ายสำหรับผม ก็เป็นโชคดีสำหรับผมส่วนหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวที่เขาอาจจะกำหนดมา แต่สิ่งที่มันเจอเนี่ย อยู่ที่เราจะปรับมันยังไง เราจะอยู่กับมันยังไง อยู่กับครอบครัวที่เมียป่วย ลูกก็ได้เท่านี้ คิดไปแล้วได้อะไร เราคิดแง่บวกดีกว่า ถ้าเราคิดลบ ผมว่าชีวิตมันก็จะลบไปเรื่อยๆ เราก็จะท้อแท้ การงานที่เราทำก็ไม่มีสมาธิ เวลาไปทำงานต่างจังหวัดหรือเล่นละครถ้าคิดเรื่องครอบครัว เรื่องทุกข์จะทำงานไม่ได้”

‘สมจิตร’ บอกอีกว่า ผมจริงจังกับการทำงานปลูกฝังจากการเป็นนักมวย พอครอบครัวเป็นแบบนี้ เรารู้สึกว่าเราโอเค เราตัดเรื่องนี้เอาไว้ สุดท้ายเราก็จะมีเรื่องอื่นมาทดแทน ไม่เสียใจ ไม่เสียดายเลยที่เป็นแบบนี้ มีลูกสาวอีกคน ‘จันทร์เจ้า’ ที่เขาก็เก่ง คนนี้เก่ง

“สิ่งที่เราได้คือได้ลูกอยู่กับเรา กำปั้นเรียนไม่จบไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องของการเอาใบปริญญามาให้พ่อแล้วพ่อจะภูมิใจ แต่เราภูมิใจที่เขาเป็นคนที่รักครอบครัว ส่วนจันทร์เจ้า เก่งหลายเรื่อง หัวไว เรียนเก่งเลย ระดับท็อปๆ ของห้องเลย แต่ว่าขี้เกียจ ขี้เกียจทำความสะอาดห้อง แต่ทำไมมันเรียนได้ ยังงง”

‘แบงค์ แคลช’ โชว์ภาพสวมแหวนนิ้วนางสาวปริศนา ‘นานา ไรบีนา’ โผล่ยินดี พร้อมเปิดวาร์ปเบาๆ

เรียกได้ว่าเป็นโพสต์เซอร์ไพรส์ที่ทำเอาเหล่าคนบันเทิงและแฟนคลับแซ่ซ้องแห่กรี๊ด แห่ยินดีกันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว สำหรับโพสต์ล่าสุดบนอินสตาแกรมของนักร้อง-นักแสดงหนุ่ม ‘แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์’ หรือ ‘แบงค์ แคลช’

ที่วันนี้ (5 ก.ย. 66) หนุ่มแบงค์ได้ออกมาโพสต์ภาพสุดหวานสวมแหวนเพชรเม็ดงามอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของสาวปริศนา พร้อมกับเขียนแคปชันซึ้งปนโรแมนติกว่า “แหวนวงหนึ่งที่ผมทำไว้ เผื่อจะใส่ให้ใครสักคน...”

ซึ่งหลังจากที่หนุ่มแบงค์ได้เผยโพสต์ดังกล่าวไปแล้วนั้น ก็มีบรรดาเพื่อนพ้องและแฟน ๆ แห่คอมเมนต์แสดงความยินดีพร้อมกับชมแหวนสวยกันอย่างคับคั่ง

นอกจากนี้เพื่อนรักอย่าง ‘นานา ไรบีนา’ ก็ยังได้เข้ามาแสดงคาวมยินดี พร้อมกับแอบเปิดวาร์ปเจ้าของมือปริศนาผ่านทางคอมเมนต์ด้วยว่า... “Follow อยู่คนเดียวเลยนะ ยินดีด้วยเพื่อน”

เจอสาวนานาชี้เป้ามาขนาดนี้แล้ว ทางเราก็ไม่พลาดเข้าไปส่องดูสักหน่อย แล้วก็พบว่าเจ้าของหัวใจหนุ่มแบงค์นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่า ‘กุ๊กกิ๊ก มรกต’ แถมออร่าความสวยก็มาเต็มแบบ 10 เต็ม 10 สุดๆ

Wongnai ผนึก LINE เข้าซื้อ Rabbit LINE Pay จากผู้ถือหุ้นเดิม ปั้นบริการคลุม ‘สั่งอาหาร’ จนถึง ‘กู้เงิน’ พร้อมท้าชน ‘e-Wallet-เป๋าตัง’

(5 ก.ย. 66) นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai และ ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย ได้ร่วมเปิดเผยภายหลังจาก LINE MAN Wongnai และ LINE ได้เข้าซื้อ Rabbit LINE Pay (RLP) จากผู้ถือหุ้นเดิม และทำให้ LINE MAN Wongnai กลายเป็นถือหุ้นสูงสุดใน RLP ว่า...

หากเป็นคนกรุงเทพฯ ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS บ่อยๆ เชื่อว่าก็คงจะใช้บริการ Rabbit LINE Pay (RLP) แน่นอน ซึ่ง Rabbit LINE Pay นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เกิดจาก LINE Thailand ร่วมมือกับทาง Rabbit Card และ mPay แพลตฟอร์มบริการทางการเงินของ AIS เข้ามาลงทุนร่วมกันเมื่อปี 2018 โดยทั้ง 3 พาร์ตเนอร์นั้นถือหุ้นเท่าๆ กัน

โดยจุดเด่นของ Rabbit LINE Pay ก็คือ การใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม LINE ได้เลยโดยไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋ว BTS, ซื้อสินค้าใน LINE เช่น สติกเกอร์ รวมไปถึงร้านค้าชั้นนำต่าง ๆ ทั้งนี้ ตัวเลข ณ ปี 2022 Rabbit LINE Pay มีจำนวนผู้ใช้กว่า 10 ล้านราย

แม้จะไม่มีการเปิดเผยถึงมูลค่าการเข้าซื้อหุ้น RLP ต่อจาก แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด และ บริษัท แรบบิทเพย์ ซิสเทม จำกัด แต่ ยอด เผยว่า LINE MAN Wongnai เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเชื่อว่า RLP นั้นเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจของ LINE MAN Wongnai โดยเปรียบเสมือน น้ำมันหล่อลื่น ให้กับธุรกิจ เพราะในทุกบริการต้องใช้ระบบเพย์เมนต์ นอกจากนี้ ยอด ยังมองว่า ตลาดอีเพย์เมนต์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

“ทุกบริการของ LINE MAN Wongnai ไม่ว่าจะเป็น Food, Taxi Messengers หรือ LINE เองก็มีบริการอีคอมเมิร์ซอย่าง LINE Shopping และทุกอย่างต้องใช้ระบบเพย์เมนต์ทั้งหมด ดังนั้น RLP จะมาช่วยให้บริการต่างๆ มันไร้รอยต่อ (Seamless) มากขึ้น” ดร.พิเชษฐ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ ในแง่ขององค์กร RLP ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งออฟฟิศและพนักงาน ในส่วนของผู้ใช้ก็เช่นเดียวกัน บริการไหนที่เคยใช้ได้ก็ยังใช้ได้ตามเดิม ไม่ว่าจะเติมเงินขึ้นรถไฟฟ้า BTS หรือการใช้จ่ายผ่านร้านค้าพันธมิตร ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคอยากรู้คือ บริการใหม่ที่จะได้เห็น

โดย ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ได้กล่าวเสริมว่า จะมีบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยที่จะได้เห็นก็คือ สิทธิพิเศษที่มากขึ้น หากใช้งาน RLP ผ่าน LINE หรือ LINE MAN รวมถึงความเป็นไปได้ของบริการ กู้เงินออนไลน์ เพราะทาง LINE เองก็มี LINE BK บริการทางการเงินแบบ Social Banking ของบริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด (บริษัทในเครือของธนาคารกสิกรไทย) และบริษัท ไลน์ ไฟแนนเชียล เอเชีย (LINE Financial Asia) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนชัดเจนว่าจะเห็นบริการใหม่ ๆ เร็วสุดเมื่อไหร่

“อาจยังไม่ชัดเจนว่าจะมีบริการอะไรใหม่ ๆ แต่เราจะพยายามดันทรานซ์แซ็คชั่นของทั้ง LINE MAN Wongnai และ LINE เข้าไปใช้ใน RLP ให้ได้มากที่สุด แต่เราอยากให้คนเข้ามาในแพลตฟอร์มของเราแล้วทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สั่งอาหารจนถึงกู้เงิน” ดร.พิเชษฐ กล่าว

ด้าน ยอด ได้กล่าวด้วยว่า แม้ว่าตลาดอี-วอลเลตปีนี้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ดอลฟิน วอลเลต จะหายไป แต่การแข่งขันก็ไม่ได้ลดน้อยลง โดยตลาดอีเพย์เมนต์ยังมีความท้าทายจาก พร้อมเพย์ ที่ทำให้ทุกอย่างใช้งานได้อย่างเปิดกว้าง นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม เป๋าตัง ของรัฐบาล ดังนั้น การแข่งขันจึงกว้างมากเพราะมีทั้งธนาคารและแพลตฟอร์มอีวอลเลต ซึ่ง RLP ก็อยากจะเป็นผู้เล่นหลักของตลาดไทย ดังนั้น การมีบริการต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคยังใช้งานเป็นโจทย์ที่สำคัญ

“อย่างเป๋าตังเขาก็มีบริการซื้อสลากออนไลน์เพื่อดึงดูดให้ใช้งาน นี่ก็เป็นโจทย์ของเราว่านอกจากบริการที่มีที่ผู้บริโภคใช้อยู่แล้ว เราจะเพิ่มอะไรเข้าไปได้อีก”

อย่างไรก็ตาม ทิศทางของตลาดอีเพย์เมนต์ มีแต่ขาขึ้นไม่มีทางลง ตลาดจะใหญ่ขึ้นอีกเพราะผู้บริโภคใช้งานชินตั้งแต่เกิดโควิดระบาด คนใช้เงินสดน้อยลง เพียงแต่ตลาดยังไม่มาชัวร์ เพราะยังมีผู้เล่นที่ออกจากตลาดไปและยังมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามา

ปัจจุบัน แม้บริการ RLP จะยังไม่ทำกำไร โดยในปี 2565 รายได้รวม 319.63 ล้านบาท ขาดทุน 156.65 ล้านบาท แต่ในส่วนของผู้ใช้ยังคงเติบโต โดย ยอด เชื่อว่า ต้องทำให้ RLP มีกำไร และเติบโตในฐานะ STAND ALONE COMPANY ที่แข็งแกร่งให้ได้

“ชมรมลมวิเศษ” จับมือ “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” จัดโครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว สู่ลมหายใจวิเศษ ชิงถ้วยพระราชทาน “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

นับวันฝุ่นควันพิษจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและภายหน้าอย่างต่อเนื่องและรุนแรง “ชมรมลมวิเศษ” หนึ่งในโครงการอุ่นใจ ภายใต้ แพทยสมาคมฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตระหนักดีว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าปัจจัย 4 คือ “ลมหายใจและอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์” จึงร่วมกับ “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” จัด “โครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว สู่ลมหายใจวิเศษ” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงไอเดียที่สร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจิ่ว PM2.5 เพื่อเป็นเวทีในการคิดค้น พัฒนา และ ต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว หรือ PM2.5 ในประเทศไทย พร้อมเปิดให้ส่งเอกสารนำเสนอแนวคิดหรือผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2566 เวลา 12.00 น. ที่อีเมล [email protected]

งานแถลงข่าวครั้งนี้ นำโดย สุพัตรา จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานชมรมลมวิเศษ และ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ กลุ่มเซ็นทรัล, รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ประธานที่ปรึกษาชมรมลมวิเศษ และ รศ.ดร. สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมแถลงรายละเอียดโครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว พร้อมเปิดประเด็น “ความสำคัญของปัญหา PM2.5” โดย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย นายกแพทยสมาคมฯ 

สุพัตรา จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานชมรมลมวิเศษ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การประกวดว่า “โครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋วสู่ลมหายใจวิเศษ ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (The Magic Breath Innovation Contest-MBIC) ครั้งที่ 1” จัดขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและสุขภาพในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อเป็นเวทีให้เยาวชนไทยและผู้ที่สนใจได้ใช้เป็นเวทีในการคิดค้น พัฒนา และต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋วหรือ PM2.5 ในประเทศไทย โดยนวัตกรรมที่จะสามารถนำมาใช้ในการประกวดอาจเป็นได้ทั้ง “นวัตกรรมด้านสังคมหรือนโยบาย” และ “นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” โอกาสนี้จึงขอเชิญชวนให้มาช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นด้วยกัน” 

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย นายกแพทยสมาคมฯ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ชมรมวิเศษ กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพคนไทยไม่สามารถแก้ไขได้เพียงคนเดียว แต่เราต้องร่วมมือกันและแก้ไขปัญหาผ่านนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้จริง เช่น ให้คนในชุมชนในจังหวัดร่วมมือกัน โครงการลมวิเศษเราทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง โครงการประกวดนวัตกรรมนี้เราจัดขึ้นเพราะเราเห็นว่าเรามีบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาเพียงผู้เดียวได้ จึงต้องอาศัยนโยบายที่ช่วยกันคิดสร้างสรรค์ เมื่อได้นโยบายที่ดีมาแล้วจึงผลักดันสู่การแก้ปัญหาระดับประเทศและนานาชาติต่อไป การแก้ไขปัญหาก็จะเกิดความสำเร็จ

รศ.ดร. สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึง บทบาทของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมีพันธกิจที่ชัดเจนที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมเป็นอันดับหนึ่ง จึงได้รวบรวมนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ ทั้งในด้านวิศวกรรมศาสตร์และด้านสังคม และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมในการจัดการประกวดนี้ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยคาดหวังว่า โครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้คนไทยและสังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาจากฝุ่นละอองชนิดต่างๆ ในอากาศที่ทุกคนต้องหายใจ และหันมาร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืนต่อไป

รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรมลมวิเศษ กล่าวว่า ลมหายใจเป็นของทุกคน การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่จึงเป็นเวทีในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ร่วมกัน ถ้าเราคิดแบบเดิมและแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ ปัญหานี้ก็จะวนกลับมาเรื่อยๆ ไม่รู้จบ นวัตกรรมในการแก้ปัญหาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเลยอยากเปิดเวทีให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมกันคิดนวัตกรรมนอกกรอบแบบสร้างสรรค์ มาร่วมแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษารวมถึงคนวัยทำงาน ตั้งแต่ 1-5 คน จะมีที่ปรึกษาหรือไม่มีก็ได้ โดยให้เขียนบทความสื่อสารสิ่งที่อยากทำลงมาในกระดาษ 1 หน้า A4 พร้อมภาพหรือคลิปประกอบแนวคิด โดยมี 2 หัวข้อให้เลือกทำตามความถนัด ได้แก่ “นวัตกรรมด้านนโยบาย” และ “นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ที่ e-mail: [email protected] ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2566 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง “ชมรมลมวิเศษ” แพทยสมาคมอาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี เลขที่ 2 ซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 02-318-8170 หรือ FB Fan Page : ชมรมลมวิเศษ - Magic Breath Thailand

'ดร.ภูมิวรินทร์' ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา รับโล่ศิษย์เก่าดีเด่น 'วันสถาบันพระปกเกล้า'

วันที่ 5 กันยายน 2566 ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า จัดงาน “5 กันยา วันสถาบันพระปกเกล้า” โดยวันที่ 5 กันยายน ถือเป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับศิษย์สถาบันพระปกเกล้า เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541 และยังเป็นวันที่มีการอนุมัติให้จัดตั้งสมาคมเเห่งสถาบันพระปกเกล้าขึ้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 อีกด้วย 

ดร.ธิติมา หล่อพิพัฒน์ นายกสมาคมฯ กล่าวว่า “งาน 5 กันยา วันสถาบันพระปกเกล้า เป็นงานประเพณี ที่จัดสืบเนื่องกันตลอดมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเเสดงมุทิตาจิตเเด่คณาจารย์สถาบันพระปกเกล้า เพื่อเชิดชูเกียรติองค์กร และศิษย์เก่าดีเด่น ที่สร้างคุณูปการต่อประเทศชาติ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในด้านการพัฒนาประชาธิปไตย และเพื่อเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคีของชาวสถาบันพระปกเกล้าทุกรุ่นทุกหลักสูตรในโอกาสเดียวกัน โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา มาเป็นประธานในพิธี และเป็นองค์ปาฐกในการปาฐกถาพิเศษ”

ภายในงานจัดให้มีพิธีแสดงมุทิตาจิตแด่คณาจารย์ การปาฐกถาพิเศษ พิธีมอบรางวัลองค์กรดีเด่นและศิษย์เก่าดีเด่น การแสดงจากตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า และกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย

สำหรับรางวัลองค์กรดีเด่นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในปีนี้ ได้แก่ คุณบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน), คุณเกียรติศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด และคุณสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 

รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในปีนี้ ได้แก่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, สว.ประยูร เหล่าสายเชื้อ สมาชิกวุฒิสภา, คุณกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน), นายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้อำนวยการ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ Chersery Home International, คุณวุฒิพงศ์ วนากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอกยงวงศ์จำกัด, ดร.ภูมิวรินทร์ ชุณหะวงษ์วริศ ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา, คุณภารดี วรเกริกกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเวอร์ซีส์ คาร์บอน ไรเซอร์ จำกัด, คุณธันยลักษณ์ พรหมมณี  เจ้าของกิจการ บริษัท พรหมมณี ฟาร์มาซูติคอล จำกัด, คุณอรรฆยา พลตื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิชั่นกลาส แอนด์ ดอร์ อินดัสเทรียล จำกัด และคุณรุ่งทิพย์ สูงสว่าง กรรมการบริหาร บริษัทนิวเทคโนโลยีอินฟอร์เมชั่น จำกัด

ภายในงาน มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของสถาบันพระปกเกล้าทุกรุ่น ทุกหลักสูตร มาร่วมงานประเพณีสำคัญประจำปี ในฐานะศิษย์สถาบันพระปกเกล้าอันทรงเกียรติแห่งนี้ 

ดร.ภูมิวรินทร์ ชุณหะวงษ์วริศ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทางสถาบันพระปกเกล้า คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า ที่คัดเลือกผมได้รับรางวัล "ศิษย์เก่าดีเด่น" อันทรงเกียรติ ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์สถาบันพระปกเกล้า และก็ทำคุณประโยชน์ให้กับสถาบัน ในด้านของการพัฒนากีฬาและการเมือง จนถึงทุกวันนี้ยังสนับสนุนงานของสมาคม และสถาบันพระปกเกล้าอยู่ตลอด อยากให้พี่ๆ ที่จบไปแล้ว หรือน้องๆ ที่ศึกษาอยู่ นำองค์ความรู้มาร่วมกันช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุด

'สุปรีย์' เร่งผลักดัน Brand Province ทุกจังหวัด หลังนั่งประธานสภาเอสเอ็มอีคนใหม่ มุ่งนำพา SMEs สู่ BCG Model

วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME BANK สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 โดยมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมการประชุมกว่า 50 องค์กร

ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก คุณสุปรีย์ ทองเพชร นายกสมาคมการค้าวัสดุอุปกรณ์การพิมพ์ไทย เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสภาเอสเอ็มอี วาระปี 2566–2568 ซึ่งมีนโยบายที่จะผลักดันเรื่อง Brand Province ทุกจังหวัด และการนำพา SMEs เข้าสู่ BCG Model ซึ่งเป็น Mega Trend ของโลก รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับศักยภาพของ SMEs ต่อไป ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย มาร่วมเป็นสักขีพยานในการประชุม

โดยในวันดังกล่าว ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย กับ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดย ท่านเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย โดย นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย และสถาบันพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อสังคม โดย ดร.ภูชิสส์ ศรีเจริญ ประธานสถาบันพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อสังคม ในการการสร้างการรับรู้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท บูรณาการและยกระดับความร่วมมือของวิสาหกิจกับภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีท่าน ดร.โฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษากรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นพยาน

รวมทั้งพิธีประกาศเจตนารมย์เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน สถาบันพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อสังคม และสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย แขวงคลอง 12 (04) เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร และมอบป้ายศูนย์ โดยท่านเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานมอบ ซึ่งมีท่าน ดร.ธปภัค บูรณะสิงห์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และท่านไพโรจน์ จันทรอด ผู้อำนวยการเขตหนองจอก สำนักงานเขตหนองจอก เป็นพยาน

จากนั้น เป็นพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย กับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ด้านการส่งเสริม SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและการพัฒนา SMEs

ซึ่งงานดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายสภาเอสเอ็มอีในการจัดงาน และหน่วยงานภาครัฐที่ส่งผู้แทนมาให้ข้อมูลด้านการส่งเสริม SMEs ได้แก่ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) โดย คุณพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดย คุณโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร โดย ว่าที่ร้อยตรี อัครเดช เทียมเจริญ นักวิชาการภาษี ชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร และ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดย ว่าที่ร้อยโท ชีวีวัฒน์ หวานอารมณ์ นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการพิเศษ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งสภาเอสเอ็มอีเป็นองค์กรที่มีภาคีเครือข่ายกว่า 100 องค์กร มีสมาชิกรวมกันกว่า 8,000 กิจการ ในทุกธุรกิจและพันธมิตรหลายหลายองค์กร อีกทั้งมีประธานจังหวัดทุกจังหวัดเป็นผู้แทนในการประสานงานจากส่วนกลางไปยังภูมิภาคเพื่อขับเคลื่อนนโยบายจากสภาเอสเอ็มอีไปยัง SMEs ทั่วประเทศ

สอ.รฝ. จัดกำลังพล 100 นาย ร่วม ไทยออยล์ ตรวจสอบคราบน้ำมันชายหาดบางพระ

วันที่ 5 ก.ย.66 เวลา 13.00 - 17.00 น. กองทัพเรือ โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) จัดกำลังพลจากกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 12 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 จำนวน 100 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทยออยล์ ดำเนินการตรวจสอบคราบน้ำมัน และเก็บขยะบริเวณชายหาดบางพระ ระยะทาง 4 กม.  จากกรณีเหตุน้ำมันดิบชนิด ARUB Light Crude รั่วไหล บริเวณทุ่นรับน้ำมันของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ผลการตรวจสอบไม่พบคราบน้ำมันบริเวณชายหาดบางพระ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top