Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘ลุงตู่’ ขอบคุณ ครม. - ข้าราชการที่ร่วมมือทำงาน จากนี้ขอพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มากขึ้น

(29 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เห็นสื่อมวลชนได้กล่าวว่า “สื่อเยอะจริง ๆ เลยวันนี้” พร้อมเดินมาที่โพเดียมและกล่าวอีกว่า “ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า เพราะพูดมาเยอะแล้ว”

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าวันนี้เป็นการประชุม ครม. นัดสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะพูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สุดท้ายอะไร ฉันยังอยู่ตรงนี้อีกตั้งหลายวัน จะรีบเร่งให้ฉันไปไหน แต่วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ครม. โดยประเมินจากสถานการณ์กำหนดการ ขั้นตอน และวิธีการในการดำเนินการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสิ้น โดยถือเป็นไปตามกระบวนการปกติ ขอเรียนว่าวันนี้ยังคงต้องดูแลตามหน้าที่ตามหน้าที่ของของรัฐบาลรักษาการ และนายกฯ รักษาการ ในส่วนที่ทำได้ตามกฎหมาย ต้องขอบคุณทุกคน สื่อมวลชนที่รักทุกคนเราไม่ได้มีอะไรเราไม่ได้มีอะไรกันอยู่แล้ว เรารักกันหลายปีที่ผ่านมา อยู่ด้วยกันมาก็เข้าใจ เป็นการทำงานของสื่อ ตนก็พยายามไม่ไปก้าวล่วงอยู่แล้ว และต้องขออภัยหากดุไปสักนิด นิดเดียวเนอะ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “การประชุม ครม. วันนี้ไม่มีอะไร เป็นการเสนอมาตามกระบวนการปกติในการพิจารณา เรื่องก็ค่อนข้างจะน้อยลง เพราะต้องระวังในการใช้อำนาจของ ครม. ตามมาตรา 169 ซึ่งทุกคนทราบดี สื่อมีอะไรจะถามหรือไม่”

เมื่อถามว่าก่อนจะเปลี่ยนไปรัฐบาลใหม่อยากจะฝากอะไรไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงไม่ต้องฝาก ต้องปล่อยให้รัฐบาลใหม่เขาดำเนินการ นายกฯ ก็มี ครม.ใหม่ก็มี เป็นเรื่องของคนต่อไป และเป็นเรื่องของมารยาท ตนไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเข้ามาแล้วก็อยู่ในกระบวนการ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากพวกเราทุกคนด้วยต้องช่วยกันดูแลด้วย”

เมื่อถามต่อว่าห่วงอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี”

เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะทำอะไร พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็พักผ่อน ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น”

เมื่อถามอีกว่านายกฯ ได้อะไรจากการเมืองบ้างในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่ได้อะไร แต่ต้องถามว่าประเทศชาติได้อะไร ตนทำมาทุกวันก็เพื่อตรงนั้นแหละ เพื่อประเทศชาติและประชาชน พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และวันหน้าก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่จะดำเนินการ”

เมื่อถามต่อว่าทราบว่าในอนาคตนายกฯ จะมีงานที่ใหญ่กว่านี้ทำต่อ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบทั้งสิ้น เพราะตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยธรรมดา ไม่ได้มียศอย่าง หรือเจ้ายศ เจ้าอย่าง หรือเกียรติยศอะไรต่าง ๆ ตนก็กลายเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกท่านนั่นแหละ ตนตั้งใจมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องพักผ่อนหรือหยุด ตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งธรรมดา ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ที่จะต้องมาเคารพยกย่องไม่ต้องหรอก”

เมื่อถามว่า นายกฯ คิดว่าถ้ามองย้อนกลับไปมีอะไรที่อยากจะทำใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ ถ้าคิดอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ ไม่ต้องย้อนกลับไปแล้ว เดินหน้าอย่างเดียวอย่างระมัดระวังในการเดินหน้าว่าจะต้องไม่มีอันตราย เพราะไม่ใช่ตนคนเดียว แต่จะต้องรักษาในส่วนของทุกคนด้วย ที่ร่วมงานกันมาให้พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันมา และวันนี้ต้องขอบคุณ ครม. ทั้งหมดทุกคนและข้าราชการทุกคนที่ช่วยตนทำงานมาโดยตลอด ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกประการที่มีอยู่”

เมื่อถามต่อว่า 9 ปีที่ผ่านมารู้สึกประทับใจอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงต้องพูดในภาพรวมมากกว่า เราก็อยู่กันมาในรัฐบาล 4 ปีเต็ม ทุกคนให้ความร่วมมือพูดจากัน ทักท้วงกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งตนก็รับได้ นั่นคือความผูกพันในสิ่งที่ทำร่วมกันมา ไม่ได้มุ่งหมายผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และตนก็มีนโยบายอย่างนั้นมาตลอด และสามารถทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้มากพอสมควร นั่นคือความประทับใจของตนทั้ง ครม. และสิ่งที่ตนวาดหวังจะเห็น อนาคตต่อไปตนก็พยายามเดินหน้ามาอย่างนั้น ทั้งนี้การเดินหน้าเพื่ออนาคตไม่ได้อยู่ที่ตนเพียงคนเดียว ก็ต้องถ่ายทอดกันต่อไปเรื่อย ๆ ไปสู่อนาคตคนรุ่นใหม่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องสร้างความเข้าใจกันให้มากยิ่งขึ้น”

เมื่อถามย้ำว่า 9 ปีถ้าย้อนกลับไปได้ อยากทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ย้อน ไม่มีเวลาไหนเขาย้อน มันย้อนไม่ได้อยู่แล้ว”

เมื่อถามอีกว่าใจหายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่หาย เราต้องพร้อมรับสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะตนบอกแล้วเข้ามาด้วยอะไร และไปด้วยอะไร ก็แค่นั้นเอง”

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเป็นห่วงอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ห่วงเป็นเรื่องของขั้นตอน ที่ดำเนินการตามกฎหมาย”

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่มีคำตอบเรื่องนี้ บอกแล้วเป็นกระบวนการทางการเมือง การตั้ง ครม. เป็นเรื่องของกระบวนการ ตนพูดอะไรไม่ได้และคงไม่มีคำแนะนำอะไรทั้งสิ้น เพราะยังไม่เห็นโผ เห็นแต่ในหน้าสื่อ”

เมื่อถามอีกว่าดูจากการที่มายื่นให้ตรวจสอบคุณสมบัติ มองว่าหน้าตา ครม. เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เท่าที่ดูเห็นว่าเขามาเป็นการส่วนตัว บางคนก็มาเอง บางคนก็ไม่มา ไปดูอีกทีตอนโน้นที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาดีกว่า ซึ่งเราอย่าไปก้าวล่วงพระราชอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางเราต้องทำขึ้นไปไม่ได้เกี่ยว เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย”

เมื่อถามย้ำว่าเท่าที่ดูรายชื่อ ครม.ใหม่หน้าตาดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ดูหล่อดีทุกคน”

เมื่อถามอีกว่าถ้าจะร้องเพลงหลังจากนี้สักเพลงจะร้องเพลงอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขอนึกดูก่อน มีหลายเพลง โอเค ขอบคุณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกฯ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นนายกฯ ได้เดินถ่ายภาพในหลายจุด และหลายมุม รวมทั้งร่วมถ่ายเซลฟี่กับผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมทั้งส่งสัญลักษณ์มือมินิฮาร์ท ไอเลิฟยู และโบกมือให้กับผู้สื่อข่าวก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

‘กลุ่มแคร์’ วิเคราะห์นโยบาย OFOS-THACCA ของ ‘เพื่อไทย’ ชี้!! ช่วยดัน Soft Power-กระตุ้น ศก.-สร้างอาชีพ 20 ล้านตำแหน่ง

(29 ส.ค. 66) รัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารโดย นายกรัฐมนตรีชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ถูกจับตามองและติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การตั้ง ครม. เพื่อหาคนมาบริหารงานด้านต่าง ๆ

ล่าสุด เพจ ‘CARE คิด เคลื่อน ไทย’ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายที่มานโยบาย ‘OFOS – THACCA’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้านโยบายนี้ปรากฏขึ้นจริง จะสร้างงานและรายได้ให้แก่คนไทยกว่า 20 ล้านตำแหน่ง โดยระบุรายละเอียดว่า ‘OFOS – THACCA นโยบายที่คิดโคตรใหญ่ จะได้กี่โมง’

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย คือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และหลังจากนี้ รัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะเริ่มเข้าทำงาน เพื่อผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชนให้เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่ามีหลายนโยบายของเพื่อไทยที่ผู้คนต่างจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น เงินดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และอื่นๆ

1 ในนโยบายที่หลายคนไม่ค่อยสนใจ แต่เป็นนโยบายที่เรียกได้ว่า “คิดโคตรใหญ่” และสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้านทุกครอบครัว คือ นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power หรือ OFOS

นโยบาย OFOS คืออะไร? แล้ว THACCA คืออะไร? พวกเรากลุ่ม CARE ในฐานะที่สนใจ และมีเป้าหมายในปีที่ 3 นี้ คือ การผลักดันประเด็น Soft Power จะขอหยิบมาอธิบายให้ฟัง

[Soft Power คืออะไร?]
‘Soft Power’ เป็นทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ ‘โจเซฟ ไนย์’ (Joseph S. Nye) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นิยามคำว่า ‘Soft Power’ หมายถึง การสร้างอิทธิพลครอบงำหรือมีอำนาจเหนือประเทศอื่น โดยไม่ใช้กำลังบังคับ เช่นการใช้กองทัพรุกราน แต่ใช้ความนุ่มนวลในการโน้มน้าว เช่น การใช้วัฒนธรรม เพื่อให้ประเทศอื่นทำตามในสิ่งที่เราต้องการ เช่น สหรัฐฯ เผยแพร่ค่านิยมแบบอเมริกันผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด หรือแฟชั่นกางเกงยีนส์ เพื่อให้คนซึมซับค่านิยมอเมริกันและอยากเป็นแบบอเมริกันในที่สุด

ดังนั้น Soft Power ในมุมแรก คือมุมของการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็น เพื่อเผยแพร่ค่านิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ต่อสู้กับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Soft Power ได้ถูกตีความและให้ความหมายในมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ

จากเป้าหมายที่หวังให้ประเทศอื่นมีความคิดทางการเมืองแบบที่ต้องการ ไปสู่เป้าหมายใหม่ คือการแสวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากคนที่มีความคิดความเชื่อตามแบบที่เราต้องการ เช่น เกาหลีใต้ใช้อุตสาหกรรมบันเทิงเผยแพร่ภาพลักษณ์ ‘เกาหลีใต้ใหม่’ จูงใจให้คนอยากเป็นแบบเกาหลีใต้ ทำให้การส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

[แล้ว Soft Power ของเพื่อไทย คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยประกาศนโยบาย Soft Power ออกมา หลายคนต่างค่อนแคะ สบประมาทกันว่า “รู้เหรอ ว่า Soft Power คืออะไร?” แน่นอนว่าพวกเราก็สงสัยเช่นกัน ว่าในสายตาเพื่อไทยแล้ว Soft Power คืออะไร?

เราได้พูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย จึงพอสรุปได้ว่า เพื่อไทยไม่ได้ยึดตามตำราที่มอง Soft Power เพียงมิติการเมืองระหว่างประเทศ แต่เน้นประยุกต์ใช้ในมิติทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ สิ่งที่จะโน้มน้าวให้คนประเทศอื่นอยากได้ อยากมี อยากเป็น แบบไทยมากที่สุด คือ ‘คนไทย’

ในสายตาของเพื่อไทยแล้ว ‘คนไทย’ คือ คนที่จะทำให้ต่างชาติประทับใจในประเทศไทยได้ดีที่สุด เพราะนอกจากอัธยาศัย ไมตรี รอยยิ้มและอารมณ์ขันที่จะมัดใจคนทั้งโลกแล้ว ‘ฝีมือคนไทย’ ก็เป็นอีกสิ่งที่จะสร้างความประทับใจจนทำให้คนทั่วโลกหลงใหล ทั้งฝีมือการทำอาหาร การต่อสู้ การร้องเพลง การแสดงภาพยนตร์ การวาดรูป และอื่นๆ

ดังนั้น การจะพัฒนา Soft Power ของประเทศไทยให้ไปไกลสู่ระดับโลกได้ ต้องเริ่มที่จุดตั้งต้นของเสน่ห์ที่จะครองใจคนทั้งโลก นั่นก็คือ คนไทย และนี่จึงเป็นที่มาของนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 Soft power’ หรือ ‘OFOS’ นั่นเอง

[แล้วนโยบาย OFOS คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยตีโจทย์ว่า Soft Power คือ ‘คนไทย’ จึงอยากมุ่งพัฒนาทักษะฝีมือคนไทยขนานใหญ่ ผ่านนโยบาย OFOS โดยจะเปิดโอกาสให้ ‘ทุกครัวเรือน’ สามารถเข้ามาฝึกอบรมผ่าน ‘ศูนย์บ่มเพาะสร้างสรรค์’ เพื่อยกระดับศักยภาพสร้างสรรค์ของตัวเองให้สูงขึ้น ทั้งการร้องเพลง การทำอาหาร การทำหนัง การเขียนนิยาย และอื่นๆ

ซึ่งการฝึกอบรมจะแบ่งเป็นระดับตามขั้นบันได จากระดับพื้นฐานสู่ความเป็นเลิศ และจะมีใบรับรองศักยภาพสร้างสรรค์ผ่านการร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดยศูนย์บ่มเพาะฯ จะกระจายตัวไปทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ และหากตั้งใจจะพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อ ก็จะมีทุนให้ไปเรียนในต่างประเทศต่อไป ซึ่งการอบรมเรียนรู้ทักษะจากศูนย์บ่มเพาะฯ นี้จะ ‘ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ’

ดังนั้น OFOS จึงเป็นนโยบายที่ ‘Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ!!’ โดยเชื่อว่าหากคนไทยทุกครัวเรือนผ่านการยกระดับศักยภาพของตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะมี ‘แรงงานสร้างสรรค์ทักษะสูง’ กว่า 20 ล้านคนจาก 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ และนี่คือ ‘นโยบายสร้างคน’ ของเพื่อไทย

[อะไรคือ THACCA?]
เมื่อสร้างคน สร้างแรงงานทักษะสูงมากถึง 20 ล้านคนแล้ว เราจะปล่อยให้เขาตกงานก็คงไม่ได้ เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง’ ควบคู่ไปด้วย ผ่านการ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์’ เพื่อรองรับแรงงานเหล่านี้ ซึ่งการจะสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศได้ ต้องมีแม่งานในการรับผิดชอบที่ชัดเจน และนั่นจึงเป็นที่มาของ ‘THACCA’

‘THACCA’ หรือ ‘Thailand Creative Content Agency’ จะเป็นองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ เช่นเดียวกับ เกาหลีใต้ที่มี KOCCA หรือไต้หวันที่มี TAICCA โดย THACCA จะเป็นแม่งานในการรับผิดชอบ มีอำนาจเบ็ดเสร็จและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และอื่นๆ เพื่อทำงานร่วมกันในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ

THACCA จะสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 8 ด้าน คือ อาหาร, ดนตรี, ภาพยนตร์, หนังสือ, ศิลปะ, การออกแบบ/แฟชั่น, กีฬา และการท่องเที่ยว ด้วยการรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ปลดปล่อยเสรีภาพทางความคิด สนับสนุนเงินทุนผ่านกองทุนรวม Soft Power ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และ THACCA ยังออกแบบองค์กรให้ตัวแทนของแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายอีกด้วย

ดังนั้น THACCA จึงเป็นองค์กรที่ ‘สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ โดยมองว่าหากรัฐบาลเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างจริงจัง เป็นระบบครบวงจรในหน่วยงานเดียว จะสามารถสร้างงานได้มากถึง 20 ล้านตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สร้างงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และนี่คือ นโยบาย ‘สร้างงาน’ ของเพื่อไทย

[นโยบายต่างประเทศ คือ สิ่งที่ขาดไม่ได้]
เมื่อสร้างคน สร้างงานแล้ว ก็ต้องหาช่องทางสร้างเงินให้กับอุตสาหกรรมด้วย เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างตลาด’ เพื่อให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว และตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่เพื่อไทยจะพาธุรกิจไทยไปค้าขาย คือ ‘ตลาดโลก’ นโยบายต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนโยบาย Soft Power

เพื่อไทยจึงประกาศว่าจะเร่งรัดเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสในการส่งออกของสินค้าไทย ใช้การทูตเพื่อขยายการค้าชายแดน รวมทั้งรื้อฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการตั้งธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เพราะจะทำให้การส่งออกสินค้าวัตถุดิบอาหารไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย

นอกจากการค้าระหว่างประเทศแล้ว เพื่อไทยได้ประกาศ ‘ยกระดับพาสปอร์ตไทย’ เพื่อให้นักธุรกิจไทยสามารถเดินทางไปค้าขายกับทั่วโลกได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่า และประกาศนโยบายเชื่อมประเทศไทยสู่โลกด้วยการตั้งเป้าให้ไทยเป็น ‘ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค’ และประกาศจะดึงเทศกาลระดับโลกมาจัดที่ไทย ดันเทศกาลไทยไปสู่ระดับโลก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาในประเทศ มากินอาหารไทย มาเสพงานฝีมือของคนไทย มาใช้จ่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น จะมีแนวคิดขยายสำนักงาน THACCA ไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มาที่ไทย ดึงดูดนักสร้างสรรค์ฝีมือดีจากทั่วโลก และผลักดันให้นักสร้างสรรค์ไทยไปแสดงผลงานยังต่างประเทศ ดังนั้น THACCA ในต่างประเทศ จะเป็นแม่งานหลักในการดึงความร่วมมือจากทั่วโลกมาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย และนี่ คือ นโยบาย ‘สร้างตลาด’ ของเพื่อไทย

[นโยบายที่คิดโคตรใหญ่]
เห็นได้ว่า นโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย เป็นนโยบาย 3 สร้าง คือ
1.) สร้างคน ด้วยการ Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน OFOS เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน
2.) สร้างงาน ด้วยการสนับสนุนทุกรูปแบบสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่าน THACCA เพื่องาน 20 ล้านตำแหน่ง
3.) สร้างตลาด ด้วยการมองว่าโลกทั้งใบคือตลาดของคนไทย ผ่านนโยบายต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ

การสร้างคน สร้างงาน สร้างตลาด การทำทั้งระบบแบบนี้ เป็นอะไรที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ และเป็นนโยบายที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่า เพราะไม่ได้เป็นแค่โครงการหรือนโยบายเดียวโดดๆ แต่เกี่ยวพันกับหลายนโยบายย่อย เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ต้องประกอบกันหลายชิ้นจึงจะได้ภาพใหญ่ที่สวยงาม และภาพใหญ่ที่ว่านั้น คือ นโยบาย Soft Power ฉบับเพื่อไทย

แต่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากในสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้สำหรับรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตามเราคงต้องรอลุ้นกันว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะสามารถผลักดันนโยบายที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ นี้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ เพราะนโยบาย Soft Power นี้จะสร้างผลประโยชน์มหาศาลให้แก่เศรษฐกิจภาพใหญ่ทั้งประเทศ และประโยชน์เหล่านั้นจะตกถึงมือประชาชนในเกือบทุกครัวเรือน และหากนโยบายนี้ทำได้จริง เราเชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศจะหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างแน่นอน

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่า “OFOS – THACCA นโยบายคู่ขนานที่จะ Reskill 20 ล้านคน, พัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั้งระบบ และเร่งรัดการทูตวัฒนธรรมเชิงรุก นโยบายที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากประเทศกับดักรายได้ปานกลางภายในไม่เกิน 1 ทศวรรษ”

ตู้คอนเทนเนอร์ ‘ท่าเรือแหลมฉบัง’ เกิดเหตุเพลิงไหม้ ‘สารเคมีระเบิด’ คาด!! พิษสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้วัตถุภายในตู้เกิดปฏิกิริยาขึ้น

(29 ส.ค.66) พ.ต.อ.ปพรพัชร์ ใบยา ผกก.สภ.แหลมฉบัง รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ถังบรรจุสินค้าอันตราย ประเภท UN.2014 class 5.1 ซึ่งมีกลิ่นฉุนรุนแรง และมีฤทธิ์กัดกร่อน ภายในลานพักตู้คอนเทนเนอร์ JWD เขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนคร

ที่เกิดเหตุเป็นลานพักตู้คอนเทนเนอร์ ประเภทสินค้าอันตราย พบตู้คอนเทนเนอร์ ตู้สินค้าอันตรายหมายเลข TLLU2697694 Class 5.2 UN 3106 สารเคมีเป็น Orgaic peroxide type d, solid (สารอินทรีย์เปอร์ออกไซด์) จำนวน 378 กล่องได้เกิดปฏิกิริยา ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ พบกลุ่มควันดำขาว รวมถึงเปลวเพลิงลอยพุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก

จากการตรวจสอบพบมีผู้ได้รับผลกระทบของบริษัท mc logistics จำนวน 154 คน ลานจอดรถ โตโยต้า 23 คน และนำส่งคนงาน 7 ราย โรงพยาบาลวิภาราม หลังมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก แสบตา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังฉีดน้ำเพื่อสกัดเพลิง โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนรถดับเพลิงเข้าพื้นที่

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุได้พบเห็นควันดำขาวลอยพุ่งออกมาจากลานพักตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว หลังจากนั้นไม่นานเริ่มมีเพลิงลุกไหม้ลอยตามมาติด ๆ ก่อนที่จะมีระเบิดดังขึ้น หลังจากนั้นก็พบว่าคนงานในพื้นที่ และใกล้เคียงต่างพากันวิ่งหนีกันออกมา นอกจากนี้ ยังส่งกลิ่นเหม็นฉุนไปทั่วบริเวณอีกด้วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่และทางบริษัทได้กั้นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้พบว่าเพลิงได้สงบลงแล้ว แต่ยังมีไอระเหยอยู่ ทั้งนี้ ทราบว่าสาเหตุอาจเกิดจากอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้วัตถุภายในตู้เกิดปฏิกิริยาขึ้น ซึ่งหลังเหตุการณ์สงบเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเข้าตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

‘กุลวุฒิ’ เดินทางถึงไทยแล้ว หลังคว้าเหรียญทอง ในศึกขนไก่โลก 2023 พร้อมขอบคุณทุกแรงสนับสนุน ครอบครัว-แฟนกีฬารอต้อนรับอย่างอบอุ่น

(29 ส.ค.66) กุลวุฒิ วิทิตศานต์​ นักแบดมินตันมือ 3 ของโลกขวัญใจ​ชาวไทย​ ที่เพิ่งประกาศศักดาเป็นนักตบลูกขนไก่ชายเดี่ยวไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทอง​ในศึกชิงแชมป์​โลกได้สำเร็จ เดินทางกลับถึงประเทศไทย ณ ท่าอากาศยาน​สุวรรณภูมิ​ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 29 สิงหาคม​ที่ผ่านมา

บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น มีครอบครัวทั้งพ่อ แม่ น้องสาว รวมไปถึงบุคคลสำคัญจากโรงเรียนแบดมินตัน​บ้านทองหยอด แฟนกีฬาลูกขนไก่ เดินทางไปรอต้อนรับอย่างหนาแน่น ก่อนที่ กุลวุฒิ​ วิทิต​ศานต์​ จะให้สัมภาษณ​์กับสื่อมวลชน

“ดีใจครับ เพราะว่าวันนี้​เราสามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว อาจจะผิดหวังจากปีที่แล้วเพราะเราได้แค่รองแชมป์ พอมาปีนี้เราคว้าแชมป์ได้ก็รู้สึกดีใจมาก มันเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าเราอยากจะคว้าแชมป์โลก และวันนี้เราก็ทำได้” กุลวุฒิ​ เริ่มกล่าว

“จริงๆ ถ้าคนทั่วไปมองว่าสายมันเปิดกว้าง (วิคเตอร์ อเซลเซ่น ตกรอบ)​ เหมือนเราอาจจะได้แชมป์แบบง่ายๆ แต่จริงๆ สำหรับตัวผมเองผมมองว่าเราอยู่ในสายที่อันตราย​ เพราะว่าเราเจอกับนักกีฬาที่เรามีสิทธิ์​ที่จะชนะอาจทำให้เรามั่นใจเกินไป และทำให้เราติดประมาท เล่นไม่เป็นตัวของตัวเอง มีความกดดันมากๆ”

“เราอยากเล่นแค่ 2 เกมครับ เพราะ 3 เกมมันเหนื่อย แต่ด้วยรูปแบบเกมบางทีคู่แข่งเราเตรียมตัว​มาดีครับ ทำให้เราเหนื่อย และใช้พละกำลังมากกว่าเดิม”

“ขอบคุณแม่ปุก โค้ชเป้ ทีมงานบ้านทองหยอดทุกคน และสปอนเซอร์​ที่สนับสนุน​ผม รวมถึงสมาคมกีฬาแบดมินตัน​ฯ ที่ซัพพอร์ตผมจนประสบความสำเร็จ​ใน​วันนี้ ตอนนี้ถึงไทยแล้วก็อยากจะหาอาหาร​ไทยกินแน่นอนครับ”

“สำหรับเอเชียน​เกมส์เราคงไม่ได้ไปปรับสไตล์​การเล่นอะไรมาก แต่ในช่วง​ที่มีการแข่งขันเราก็ต้องฝึกซ้อม​มากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องพละกำลัง แน่นอน​อยู่​แล้วว่าคู่แข่งที่เราจะเจอก็ย่อมรู้ว่าเราจะเล่นสไตล์ไหน ถ้าเรามีพละกำลังพอเราก็จะสู้กับเขาได้ เป้าหมายผมอยากคิดไปทีละรอบ ไม่อยากกดดันตัวเอง” นักแบดมินตัน​ทีมชาติไทย ทิ้งท้าย

ขณะที่ ณัฐวัชร วิทิตศานต์ พ่อของ ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์​ นักแบดมินตันชายคนแรกที่คว้าแชมป์โลก ปัจจุบันรั้งอันดับ 3 โลก ที่มาต้อนรับและรับขวัญลูกชาย พร้อมครอบครัววิทิตศานต์ เปิดเผยว่า “ลูกชายไปไกลเกินฝัน ด้วยการคว้าแชมป์โลกได้ ซึ่งเป็นความยินดีและดีใจสำหรับครอบครัวของเรา เพราะจุดมุ่งหมายในการเล่นแบดมินตันก็เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง”

“ในรอบชิงชนะเลิศก็ยอมรับว่าลุ้นกันมาก เพราะแต้มใกล้กันเบียดกัน ในใจก็เชียร์ว่าพยายามเอาเซตสามให้ได้นะเพราะเรามีสิทธิ์แน่ๆ ลุ้นตรงอย่างเดียวเลย ตอนนี้รู้สึกภาคภูมิใจที่สุดเพราะมีลูก 2 คน ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง”

“สุดท้ายก็อยากให้ วิว รักษาวินัยการฝึกซ้อม ดูแลร่างกาย การพักผ่อน และอีกหลายองค์ประกอบที่จะหล่อหลอมนักกีฬา และเชื่อว่าถ้านักกีฬามีวินัยแบบนี้ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน” คุณพ่อณัฐวัชร ทิ้งท้าย

ด้าน ‘ส้ม’ สรัลรักษ์ วิทิตศานต์ น้องสาวที่เป็นนักกีฬาแบดมินตันเหมือนกัน เดินทางไปรับพี่ชาย ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่เดินทางกลับจากประเทศเดนมาร์ก หลังได้แชมป์ขนไก่โลก 2023

‘น้องส้ม’ กล่าวว่า “ยินดีกับพี่ชาย วันนี้ดีใจมากๆ เห็นความตั้งใจของพี่ชายมาตลอด ส่วนตัวหนูก็อยากเป็นแบบพี่ชาย แต่ขอไปทางของตัวเองก่อนค่ะ” 

'โตโยต้า' สั่งระงับการผลิตรถยนต์ 12 โรงงาน ในญี่ปุ่น หลังพบระบบขัดข้อง ทำให้ยังไม่สามารถสั่งซื้อชิ้นส่วนได้

(29 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เปิดเผยการระงับการดำเนินงานในโรงงานประกอบยานยนต์ 12 แห่ง จากทั้งหมด 14 แห่งในญี่ปุ่นเมื่อเช้าวันอังคารนี้ เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้องซึ่งทำให้ไม่สามารถสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์ได้ ส่วนเวลาที่จะกลับมาดำเนินการอีกครั้งยังไม่ชัดเจน

โรงงานทั้งหมดใน 25 สายการผลิตได้รับผลกระทบ ยกเว้นโรงงานมิยาตะในจังหวัดฟุกุโอกะ และโรงงานของไดฮัทสุ มอเตอร์ จำกัด (Daihatsu Motor Co.) บริษัทรถยนต์ในเครือโตโยต้า ในจังหวัดเกียวโต

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 โตโยต้าระงับการปฏิบัติงานที่โรงงานทุกแห่งในญี่ปุ่นหนึ่งวัน หลังจากที่บริษัท โคจิมะ อินดัสทรีส์ คอร์ป. (Kojima Industries Corp.) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ในประเทศของบริษัทฯ ประสบปัญหาระบบขัดข้อง ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตในญี่ปุ่นของโตโยต้าทั้ง 28 สาย ในโรงงาน 14 แห่ง และกระทบผลผลิตราว 13,000 คัน

‘ก้าวไกล’ ป้อง ‘พงศธร’ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี เชื่อ!! ตอนนี้มีขบวนการสาดโคลน หวังดิสเครดิต

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส. พรรคก้าวไกล ระยอง เขต 3 ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีข้อกล่าวหาทางด้านภาษีและคดียักยอกทรัพย์ ตามที่ปรากฏในข่าว

โดยนายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า รายละเอียดว่าตั้งแต่ปี 2562 นายพงศธร ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สส.ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ มีเงินรายได้ประมาณ 15,000 บาท/เดือน เมื่อคำนวณตลอดทั้งปี นายพงศธร จะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายภาษี ดังนั้น เมื่อตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นายพงศธร ก็ไม่ได้ยื่นแบบฟอร์มภาษี ทั้งที่ตัวเองก็โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย และนายพงศธร ก็ได้ทำแบบฟอร์ม สส. 4/7 เพื่อยืนยันว่าตัวเองมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี

ประเด็นที่สอง กรณีสื่อผู้จัดการพาดหัวข่าวว่า “โซเชียลทั้งขุดทั้งแฉนายพงศธร ผู้สมัครเขต 3 ระยอง ก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ขายเบียร์ใส่รถกันเป็นลังๆ อีกด้านขุดกันไปถึงคดียักยอกปี 61” ซึ่งเป็นพาดหัวค่อนข้างรุนแรง จึงขอชี้แจงตามนี้

กรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายพงศธร ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนเพื่อดำเนินธุรกิจนี้จริง แต่การประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่นำไปสู่การปันผลจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ได้รับปันผล นายพงศธรก็ไม่เคยต้องไปยื่นเสียภาษีในกรณีนี้ ดังนั้นรายได้ของนายพงศธร ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาจากการทำหน้าที่ตำแหน่งผู้ชำนาญการ สส.เท่านั้น

ประเด็นต่อมาคือคดีความที่นายพงศธร เคยถูกแจ้งความร้องทุกข์ในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ชัดเจนแล้วว่าสุดท้ายทางตำรวจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงยังมีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งได้

“ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเราเข้าใจดีในการตรวจสอบ และเราก็ยินดีที่พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชนจะตรวจสอบพวกเรา เพราะถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สำคัญ ที่จะทำให้เกิดการเมืองที่มีความโปร่งใส แต่เมื่อพิจารณาจากพาดหัวข่าวและประเด็นที่มีการโจมตี ต้องเรียนว่าเกินเลยจากข้อเท็จจริงไปมาก สุดท้ายก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าคงจะมีกลุ่มบุคคล ใครบางคนหวังใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หวังประโยชน์ทางการเมืองจากการดิสเครดิตนี้ ผมขอฝากว่าอย่าเลยครับ เรามาสู้กันเพื่อเอาชนะใจประชาชนมากกว่าจะมาใช้การสาดโคลน ดิสเครดิตทางการเมืองจะดีกว่า” นายรังสิมันต์ กล่าว

ด้านนายพงศธร เปิดเผยว่ามีพี่น้องประชาชนติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก โดยตนเองยังมีกำลังใจดี ไม่หวั่นไหวหรือกังวลต่อกรณีดังกล่าว และเชื่อว่าทุกวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนมีวุฒิภาวะแยกแยะข้อเท็จจริงได้

‘สสส.จับมือ กทม.- ภาคีเครือข่าย’ ปลูกฝังวินัยจราจร รณรงค์สวมหมวกกันน็อก-ขับขี่ปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุ

‘สสส.สานพลัง กทม.- ภาคีเครือข่าย’ เดินหน้าสร้างการเรียนรู้วินัยจราจร ‘สวมหมวกกันน็อก 100% Save สมอง… ขับขี่ปลอดภัย ใกล้ไกลใส่หมวกกันน็อก’ ช่วยลดอุบัติเหตุถึง 39% นำร่องในโรงเรียน 8 แห่ง สังกัด กทม.

(29 ส.ค. 66) ที่โรงเรียนวิชากร เขตดินแดง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กองบังคับการตำรวจจราจร กรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดกิจกรรมรณรงค์สร้างกระบวนการเรียนรู้ ชวนเด็กไทยสร้างวินัยจราจร สู่ความปลอดภัยทางถนน นำร่อง 8 โรงเรียนต้นแบบ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีนางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน ภายในงานมีกิจกรรมสร้างความปลอดภัยโดย ครูตำรวจจากกองบังคับการตำรวจจราจร และชมมินิคอนเสิร์ตจากวง SPRITE X DON KIDS

นางวันทนีย์ กล่าวว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน สาเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท อยู่ในวัยคึกคะนอง ไม่เคารพกฎจราจร ดัดแปลงสภาพรถจักรยานยนต์ การร่วมกันสร้างจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความปลอดภัยทางถนน ที่เน้นย้ำไปที่การขับขี่รถจักรยานยนต์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เน้นการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับ คนซ้อนทุกครั้ง ที่ปลูกฝังให้เกิดความเคยชิน กทม. จะให้ความร่วมมือกับ สสส. และภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อนให้เห็นความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงการกระตุ้นให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน นำร่อง 8 โรงเรียนต้นแบบ สังกัดกรุงเทพมหานคร

นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า สสส. และภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน มีเป้าหมายการทำงานที่มุ่งสนับสนุนแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ.2565-2570 เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนของคนไทยให้เหลือ 12 คนต่อแสนประชากรในปี 2570 เน้นลดการสูญเสียอุบัติเหตุในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ที่มีกลุ่มเด็กเยาวชนที่เป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุพบว่าในกลุ่มที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตมีการบาดเจ็บที่ศีรษะสูง สัมพันธ์กับการไม่สวมหมวกนิรภัย ซึ่งหากผู้ขับขี่ทุกคนสวมหมวกนิรภัยจะช่วยลดการเสียชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้ถึง 39% และช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะและช่วย save สมอง

นางก่องกาญจน์ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ขยายความร่วมมือกับโรงเรียนในสังกัด กทม. ผ่านกิจกรรมฐานเรียนรู้ สร้างวินัยจราจร ร่วมกับทีมวิทยากรจากกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ให้ความรู้ และสร้างความตระหนักการใช้ถนนอย่างปลอดภัย กระตุ้นการมีจิตสำนึกถึงอุบัติเหตุทางถนน ที่เริ่มต้นจากการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง เมื่อต้องซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ หรือการหยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย กับโรงเรียนกรุงเทพมหานคร 8 โรงเรียน ครอบคลุม 6 โซนของกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบชุดกระเป๋าการเรียนรู้ให้กับทั้ง 8 โรงเรียน สามารถนำไปจัดกิจกรรมการสอนความปลอดภัยทางถนนได้เอง ประกอบด้วย ชุดเกมช่องทางจราจร ความรู้เครื่องหมายจราจร สื่อความรู้เรื่องการสวมหมวกนิรภัย สื่อให้ความรู้อันตรายที่เกิดจากรถจักรยานยนต์

นายธงชัย โคระทัต ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชากร เขตดินแดง กทม. กล่าวว่า “โรงเรียนได้ให้ความสำคัญในการป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ โดยรณรงค์ให้มีการสวมหมวกนิรภัยเมื่อต้องเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ทุกครั้ง จัดสถานที่เก็บหมวกนิรภัยไว้ให้ รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้นักเรียนเวลาเดินข้ามถนน และกิจกรรมรณรงค์ให้นักเรียนเห็นความสำคัญการสวมหมวกนิรภัย ยินดีให้ความร่วมมือกับ สสส. เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) และภาคีเครือข่ายเข้ามาทำกิจกรรม ‘โรงเรียน กทม.ปลอดภัย ชวนเด็กไทยสร้างวินัยจราจร ขับขี่ปลอดภัย ใกล้ไกลให้ใส่หมวก’ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสนใจของนักเรียนในเรื่องความปลอดภัยทางถนนได้มากจากการนำกระบวนการเกมต่าง ๆ มาให้เด็ก ๆ เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น จึงเห็นว่าโครงการนี้ควรมีการขยายไปทำในโรงเรียนทั่วประเทศด้วย”

เปิดเอกสาร กกต. หลังหลุดว่อนเน็ต พบเป็นใบคำขอจัดตั้งพรรค 'อนาคตไกล'

(29 ส.ค.66) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามีเอกสารหนังสือหลุด เป็นหนังสือใบรับคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้ง ‘พรรคอนาคตไกล’ หนังสือเลขที่ 10/2566 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ลงนามโดย นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการฯ รักษาแทนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมือง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบว่า มีผู้แจ้งเตรียมการจัดตั้ง ‘พรรคอนาคตไกล’ ได้ยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และนายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับเอกสารและหลักฐานดังกล่าวไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกลุ่มอนาคตไกล รวมตัวกันจัดตั้งพรรคอนาคตไกล เป็นกลุ่มการเมืองใหม่ ภายใต้โลโก้พรรคในรูปอินฟินิตี้ อธิบายความได้ว่า ‘อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน’ ส่วนสีส้ม+สีแดง หมายถึง ‘พรรคการเมืองของประชาชนทุกภาคส่วน’

ล่าสุด แกนนำพรรคได้เคลื่อนไหวเตรียมการประชุมใหญ่ เลือกตั้ง กก.บห.ชุดแรก คาดหมายว่าจะประชุมใหญ่ วันที่ 17 กันยายน 2566 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อรองรับกลุ่มการเมืองระดับชาติ โดยแกนนำ เปิดเผยว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด และไม่เป็นนอมินีของบุคคลใด

‘โย่ง เชิญยิ้ม’ ฝันเห็น ‘น้าค่อม’ ครั้งแรกโดนแกล้งเต็มๆ ชาวเน็ตบ่นคิดถึง พร้อมแห่ตีเป็นเลขเด็ด ลุ้นโชคงวดนี้

(29 ส.ค.66) เรียกได้ว่าโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายสิบปีเลยทีเดียว สำหรับนักแสดงตลกอาวุโส ‘โย่ง เชิญยิ้ม’ อีกหนึ่งนักแสดงน้ำดีที่ฝากผลงานเอาไว้อย่างมากมายทั้งการเป็นนักแสดงตลก และพิธีกร ส่วนใหญ่จะได้เห็น น้าโย่ง ในการฉ่อยร่วมกับ อีก 2 นักแสดงตลกอาวุโสอย่าง น้านงค์ และ น้าพวง นั่นเอง

ล่าสุด ‘โย่ง เชิญยิ้ม’ ได้โพสต์ภาพคู่กับ ‘น้าค่อม ชวนชื่น’ อดีตนักแสดงตลกผู้ล่วงลับ พร้อมระบุแคปชันเล่าเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่า

“เมื่อคืน โดนน้าค่อมแกล้ง รู้สึกว่า…มีคนเอากรรไกรมาตัดผมด้านหลัง แหว่งเลยพอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นน้าค่อม แกก็หัวเราะแล้ววิ่งหนี ผมก็วิ่งตามแบบหยอกๆ กัน แล้วผมก็หาแกไม่เห็น เห็นแต่รองเท้าบูทแกวางอยู่ ไม่รู้ว่าตัวแกหลบอยู่ตรงไหน พึ่งฝันเห็นกันเป็นครั้งแรก ก็แกล้งกันซะแล้ว #ฝันว่าโดนตัดผมทำนายว่า???”

งานนี้เหล่าแฟนคลับต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายเกี่ยวกับความฝันของ ‘โย่ง เชิญยิ้ม’ ที่ฝันถึง ‘น้าค่อม’ บ้างก็ว่า “คิดถึงน้าค่อม” บ้างก็ชวนทำนายฝัน “ทำนายว่าจะหมดเคราะห์หมดโศกครับ” บางส่วนก็แนะนำไปในทางของเลขเด็ด “ถามเมียน้าค่อมดูเบอร์รองเท้าบูทว่าใส่เบอร์ไร”, “กรรไกร 2 ตัด 0 ผม 11 แห่วง 0 หัวเราะ 0 รองเท้า 2 หายไป 0…ทั้งหมดกี่ตัวแระ อ๋อ 201102 โอเค รางวัลที่หนึ่งเลขกระจก” เป็นต้น

‘คาเฟ่ดังเขาใหญ่’ ประกาศยกเลิกให้ ‘ถ่ายพรีเวดดิ้ง’ ฟรี หลังเจอลูกค้าไร้มารยาท ผิดกฎ เสียงดังรบกวนลูกค้าท่านอื่น

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. เพจ ‘Bucolic Khaoyai’ ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่ชื่อดังเขาใหญ่ ได้ออกมาโพสต์ประกาศยกเลิกการให้ ‘ถ่ายพรีเวดดิ้ง’ ฟรี หลังให้ถ่ายฟรีมานานกว่า 4 ปี เนื่องจากลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ปฏิบัติตามกฎ โดยทางเพจระบุข้อความว่า…

"ประกาศ ทางร้านขอยกเลิกการให้ถ่ายพรีเวดดิ้งฟรี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ เราให้ถ่ายฟรีมา 4 ปีแล้ว โดยมีเงื่อนไขให้ปฏิบัติตาม แต่หลาย ๆ ท่านชอบต่อรองเยอะ แล้วก็ไม่ทำตามกฎระเบียบกัน เช่น

- หลอกว่าทีมเล็ก ไม่เกิน 5 คน พอมาถึงจริง ขนมา 10 กว่าคน พร็อพเต็มรถ (เคสแบบนี้เจอเยอะสุด)

- บอกว่ายอมรับเงื่อนไข แต่พามาถึงจริง แหกทุกกฎ ทั้งเปลี่ยนชุด ทั้งไม่ยอมสั่งครบคน แล้วมาบ่นกรูว่ากฎเยอะ (ลืมไปหรือเปล่าว่าถ่ายฟรี)

- กรี๊ดกร๊าดเสียงดัง เหมือนหมูจะถูกเชือด บิลต์อารมณ์ถ่ายรูปกันตรึมเจ้าสาวแอนด์เดอะแก๊ง

- วางสิ่งของอุปกรณ์ ร่มถ่ายภาพ ไฟ ขาตั้ง เกะกะ ตามพื้น ตามสนามหญ้า โยกย้ายโต๊ะเก้าอี้ไปทั่ว แล้วไม่เก็บตอนใช้เสร็จ

- ถ่ายอยู่ครึ่งวัน น้ำคนละแก้ว มันมีจริง ๆ นะ เอาของกินข้างนอกเข้ามากินอีก

- ไม่แบ่งมุมถ่ายรูปให้ลูกค้าอื่น เห็นลูกค้าอื่นยืนตากแดดรอคิวแล้วสงสารมาก

เพราะงั้นต่อจากนี้เป็นต้นไป หากเดินเด๋อด๋าใส่ชุดเจ้าสาวเต็มยศเข้ามา ชม.ละ 3,000 นะคะ นะคะ นะคะ จำไว้! ไม่ใจดีแล้วค่ะ ส่วนนักศึกษาถ่ายชุดครุยฟรีเหมือนเดิม เพราะพี่รักเด็ก"

ภายหลังจากโพสต์ไปแล้ว มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top