Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

‘เวฟ สาริน’ ขึ้นแท่นคุณพ่อลูกสองอย่างเต็มตัว หลัง ‘บุ้ง ใบหยก’ คลอด ‘เสี่ยเบญจ์’ แล้วเรียบร้อย

(16 ส.ค.66) ขึ้นแท่นเป็นคุณพ่อคุณแม่ ลูก 2 อย่างเต็มตัวแล้ว สำหรับนักแสดงหนุ่ม ‘เวฟ สาริน บางยี่ขัน’ เมื่อล่าสุด ‘บุ้ง สะธี ใบหยก’ ภรรยาสาวได้ออกมาโพสต์คลิป เผยโฉมลูกชายคนที่ 2 ที่น่ารักน่าชัง หลังจากเพิ่งคลอด พร้อมแคปชันว่า “No.2 มาแล้วค๊าบบบบบบบบ #เสี่ยเบญจ์”

ท่ามกลางเหล่าคนบันเทิงและแฟน ๆ แห่แสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม

เปิดนิติกรรมอำพรางแท้ ๆ ตระกูลกมลวิศิษฎ์

(16 ส.ค.66) จากเพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ได้เผยว่า คุณชูวิทย์กล่าวหาว่าบริษัท แสนสิริ ทำนิติกรรมอำพราง ผมจะเอาตัวนิติกรรมอำพรางตัวจริงเอามาให้ท่านผู้ชมและคุณชูวิทย์ดู

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ของนายชูวิทย์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก สุขุมวิท 24 มีเนื้อที่ทั้งหมด 557 ตารางวา หรือไร่กว่า ๆ เดิมทีที่ดินนี้มีโฉนดแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกคือ 278.5 แปลงที่สองก็เท่ากัน

อีก 20 ปีต่อมา วันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนขายที่ดิน 4 แปลงนี้ ให้กับลูก 4 คนของนายชูวิทย์ ในราคาแปลงละ 27.86 ล้านบาท ถ้าเฉลี่ยเป็นตารางวา ตารางวาละ 200,000 บาท รวม 4 โฉนด เนื้อที่รวม 557 ตารางวา คิดเป็นเงิน 111.4 ล้านบาท

ในวันเดียวกัน 27 กันยายนได้โอนที่ ขายที่ให้ลูกในราคา 27 ล้านกว่าบาทเศษ ๆ ลูกทั้งสี่คนของคุณชูวิทย์ก็โอนขายที่ดิน 4 แปลง ต่อไปให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดวิส 24 ในราคาแปลงละ 502 ล้านบาท หรือตารางวาละ 3.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ขายทั้งสิ้น 2,008 ล้านบาท

รัฐควรต้องมีรายได้จากภาษีขายที่ดินบริษัทของตระกูลกมลวิศิษฎ์ นำโดยนายชูวิทย์ และครอบครัว รวมแล้ว 924 ล้านบาท

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมบริษัท สมบัติเติมตระกูล จึงซอยที่ดินแยกเป็น 4 โฉนด อำพรางขายให้ลูก ๆ 4 คน ในราคาถูก ๆ เจตนาเพื่อทำให้ฐานภาษีต่ำ จะได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างมากคำนวณแล้วขายไป 111.4 ล้านบาท ภาษีแค่ 11 ล้านบาทเอง

ทำไมต้องขายแบบนี้? เพราะว่าถ้าสมบัติเติมตระกูล ขายโดยตรงมาให้บริษัทนี้ ขายตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนผ่องให้ลูกก่อน 4 คน จะต้องเสียภาษีนิติบุคคล 359,550,927 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าสรรพากรก็จะต้องเชื่อว่าเป็นนิติกรรมอำพราง 

บริษัท สมบัติเติมตระกูล ของคุณและลูก ๆ คุณนั้นจะต้องเสียภาษีที่แท้จริงตามที่ผมชี้แจงให้ดู อันนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมของนายทุนที่เล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณไปด่าคุณเศรษฐาเขา ฉันใดฉันนั้น

กระบวนการทำนิติกรรมอำพราง ทำให้รัฐต้องสูญเสียภาษีไปเก้าร้อยกว่าล้านบาท นี่เป็นการโกงแผ่นดินไทยนะครับ คุณชูวิทย์ คุณต้องรู้นะว่าแผ่นดินไทยนั้นศักดิ์สิทธิ์

‘ก้าวไกล’ ยัน!! เสนอญัตติทบทวนมติรัฐสภากรณีสภาโหวตนายกฯ ต่อไป ย้ำ!! สภาควรแก้ไขกันเองได้ ทำเรื่องที่ถูกต้องให้เป็นบรรทัดฐาน

(16 ส.ค.66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ เนื่องจากผู้ร้องเรียนไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง แต่ยกเรื่องเทคนิคกระบวนการมาเป็นเหตุผล สำหรับพรรคก้าวไกลยืนยันโดยตลอดว่ากรณีเช่นนี้ สภาฯ ควรแก้ไขปัญหากันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้องค์กรภายนอกอย่างศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา อะไรก็ตามที่ทำไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดไป สภาฯ มีอำนาจแก้ไขปรับปรุง จึงเป็นที่มาที่ทำให้พรรคก้าวไกลเสนอญัตติเพื่อให้สภาทบทวน ว่าการที่สภาเคยมีมติว่าญัตติที่เสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกลซ้ำ ไม่สามารถทำได้นั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องทางกฎหมาย

ดังนั้น ในโอกาสที่จะมีการเลือกนายกฯ ต่อไป พรรคก้าวไกลขอยืนยันจะเสนอญัตตินี้ต่อไป และหวังว่ากระบวนการนี้จะทำให้สภาฯ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยยืนยันว่าไม่ใช่การตีรวนทางการเมือง

“สถานะแคนดิเดตนายกฯ เป็นสถานะตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พอเสนอกันไปแล้วไม่ผ่านในรอบแรก จะบอกว่าสถานะนั้นไม่มีอีกแล้ว การพิจารณาแบบนี้เป็นการเล่นการเมือง โดยไม่พิจารณาอยู่บนข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การพิจารณาแคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากรอบนี้ไม่ผ่าน รอบต่อไปก็เสนอได้” นายรังสิมันต์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ พิธาจะยื่นคำร้องเองในฐานะบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ไม่ยื่นแน่นอน แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเป้าของการไม่ให้เสนอนายกฯ ซ้ำ แต่เรายืนยันมาตลอดว่าเรื่องนี้เป็นกิจการของสภาฯ จึงต้องการใช้กลไกของสภาฯ ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หรือเพื่อให้นายพิธากลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง ไม่ว่าแคนดิเดตเป็นใคร จะได้ประโยชน์จากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น เว้นเสียแต่บางกลุ่มบางพวกต้องการวางหมากให้การเสนอนายกฯ เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว ซึ่งไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่ๆ โดยอาจแบ่งเป็น 2 กรณี หนึ่งคือเพื่อให้พรรคก้าวไกลไม่ผ่านหรือพรรคการเมืองบางพรรคไม่ผ่าน แล้วหวังว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ และสอง เป็นการปูทางไปสู่นายกฯ คนนอก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ยอมรับว่า สถานะของญัตติดังกล่าวมีปัญหา เพราะแม้ตามกระบวนการมีผู้รับรองถูกต้อง และไม่มีอำนาจในข้อบังคับฯ ที่ให้ประธานวินิจฉัย ซึ่งประธานชี้แจงว่าให้รอศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีข้อกฎหมายเช่นกันว่าระหว่างที่รอ จะทบทวนไม่ได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าเป็นเจตนาดีของประธานรัฐสภา ที่ต้องการให้กระบวนการมีความชัดเจนก่อนแต่หากพิจารณาด้วยเหตุผล หากเรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน หากรอต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีความชัดเจน จะสร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง เพราะการเสนอชื่อบุคคลในรัฐสภานั้นไม่ได้มีแค่ตำแหน่งนายกฯ และหากเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำไม่ได้ อาจทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ทำลายประชาธิปไตย ทำลายการเมืองแบบรัฐสภา ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน

ทรู-ดีแทค ยกระดับป้องกันภัยไซเบอร์ สร้างความมั่นใจลูกค้าใช้โครงข่าย และทุกบริการดิจิทัล

(16 ส.ค. 66) ทรู คอร์ปอเรชั่น ก้าวสู่เทเลคอม-เทคคอมปานีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ย้ำภาพผู้นำซีเคียวริตี้ ทั้งโครงข่ายและบริการดิจิทัล เต็มรูปแบบ รวมทั้งปกป้องดูแลครอบคลุมทุกความปลอดภัยของลูกค้าและครอบครัว เปิดตัว ‘ทรู-ดีแทค ซีเคียวริตี้’ ชู 3 จุดเด่น End-to-end Protection ปกป้องภัยคุกคามทางโลกออนไลน์ครบวงจรทั้งบนเครือข่าย และแอปพลิเคชันตามมาตรฐานโลก, 24/7 Smart Monitoring ระบบป้องกันทันท่วงที ตรวจติดตามเฝ้าระวังการทำงานของระบบต่าง ๆ แบบอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง, Best-in-class Partnership พร้อมผนึกกำลังกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำระดับเวิลด์คลาสทั้งด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ อาทิ คลาวด์ สไตร์ท - พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ - เวคตร้า เอไอ และด้านประกันภัย อย่าง FWD ทิพยประกันภัย ส่งมอบบริการด้านความปลอดภัยแบบเหนือชั้น และประสบการณ์ที่ดีที่สุด การันตีจาก NIST (National Institute of Standards and Technology) สหรัฐอเมริกา 

ซึ่งประเมินค่า NIST Score ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เหนือกว่าค่ามาตรฐานโลก (Global Benchmark) พร้อมดูแลเพิ่มความมั่นใจสูงสุดทุกการใช้บริการดิจิทัลกลุ่มทรู ทั้งดิจิทัลมีเดีย - ทรูไอดี, ดิจิทัลโฮม - TrueX และ ดิจิทัลเฮลท์ - หมอดีด้วยระบบ e-KYC พิสูจน์ตัวตนลูกค้าและการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุดระบบตรวจจับการบุกรุกโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 24 ชั่วโมง ตลอดจนจัดเต็มแพ็กเกจปกป้องคุ้มครอง ดูแลลูกค้ามอบประกันภัย ประกันชีวิตและอุบัติเหตุสุดคุ้ม รวมถึง ความคุ้มครองดูแลมือถือและแท็บเล็ตสุดพิเศษให้ลูกค้า ทรู-ดีแทค ใช้ชีวิตยุคดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย สบายใจยิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภัยคุกคามทางดิจิทัลเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญในชีวิตผู้คน ทางทรูและดีแทคตั้งใจจริงที่จะทำให้ลูกค้าสบายใจ ในการใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยยิ่งกว่า ซึ่งหลังการควบรวมกิจการทำให้เรานำความเชี่ยวชาญของทั้งทรูและดีแทค มารวมพลังเพื่อดูแลลูกค้าคนสำคัญให้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่มากับโลกยุคดิจิทัล ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งในระดับองค์กร ระดับบุคคล ทรู จึงยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด เปิดตัว True I dtac SECURITY ที่จะสะท้อนการปกป้องและดูแลความปลอดภัยทุกระบบแบบครบวงจร ตอกย้ำถึงความปลอดภัยยิ่งกว่าเมื่อมีกันและกัน Safer together ลูกค้าจะมั่นใจได้ทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ True I dtac SECURITY บนสินค้าและบริการจากทรู ด้วย 3 จุดเด่นคือ 1.End-to-end Protection ป้องกันการโจมตีทางโลกไซเบอร์ครอบคลุม ครบครันทุกการใช้งานทั้งเน็ตเวิร์ก คลาวด์ และสมาร์ตดีไวซ์ รวมถึงบริการดิจิทัล 

2.24/7 Smart Monitoring ระบบป้องกันการโจมตีแบบทันท่วงที ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงแบบเรียลไทม์ 

3.Best-in-class Partnership ผสานความแข็งแกร่งกับพันธมิตรชั้นนำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก อาทิ บริษัท คลาวด์ สไตร์ท อินคอร์พอเรชั่น จำกัด บริษัท พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ และบริษัท เวคตร้า เอไอ รวมถึงบริษัทประกันชั้นนำอย่าง FWD และ ทิพยประกันภัย 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากความมั่นใจระบบความปลอดภัยในโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ทรูก็ยังตอกย้ำทุกความปลอดภัยลูกค้าคนสำคัญและครอบครัวในยุคดิจิทัล ด้วยแพ็กเกจที่ครอบคลุมทั้งการปกป้องคุ้มครองจากภัยไซเบอร์ทั้งในส่วนลูกค้าองค์กร และรายบุคคล การประกันภัย และประกันชีวิตและอุบัติเหตุสุดคุ้ม รวมถึง ความคุ้มครองดูแลมือถือและแท็บเล็ตสุดพิเศษอีกด้วย

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่มุ่งสู่ความเป็น เทเลคอม-เทคคอมปานีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย คือการสร้างและขยายโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมให้แข็งแกร่ง และครอบคลุมทั่วประเทศรวมถึงการเพิ่มความปลอดภัยแบบสูงสุดให้กับลูกค้าผู้ใช้งานทุกบริการ ซึ่งการพัฒนา True I dtac SECURITY นี้ เป็นความตั้งใจของทีมงานทุกคนที่จะเพิ่มการป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน เครือข่าย คลาวด์ ทุกระบบแบบครบวงจร ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามในปัจจุบันแบบสูงสุด ผ่านระบบป้องกันภัยไซเบอร์อัจฉริยะ ครอบคลุม 5 ด้านทั้ง  

1.Infrastructure Security การป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์การใช้งานให้ปลอดภัยจากภัยคุกคาม อาทิ ตรวจจับความผิดปกติหากมีการทำงานที่เข้าข่ายความเสี่ยงจะถูกห้ามใช้งานทันที การตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ และแก้ไขก่อนถูกโจมตี การยืนยันเข้าใช้งานระบบปฏิบัติการด้วยผู้ดูแลระบบ เป็นต้น

2.Network Security การป้องกันภัยคุกคาม และการโจมตีบนเครือข่ายที่ช่วยจำกัดสิทธิการเข้าถึงระบบ โดยกำหนดให้เฉพาะผู้ใช้งาน หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ป้องกันภัยคุกคามที่เข้ามาทาง เว็บ หรือแอปพลิเคชัน พร้อม Zero trust network ที่บังคับให้ทุกระบบต้องมีการขออนุญาตก่อนการเชื่อมถึงกัน

3. Cloud Security การป้องกันระบบโครงสร้างบนคลาวด์ ให้ปลอดภัยด้วยระบบช่วยตรวจสอบการตั้งค่า และช่องโหว่ต่าง ๆ ให้ถูกต้องและปลอดภัยอยู่เสมอ

4. 24/7 Smart Security Management ระบบเฝ้าระวังภัยคุกคาม ตรวจสอบและรับมือตลอด 24 ชั่วโมงด้วย Security Center Operation จากเจ้าหน้าที่ควบคู่ไปกับระบบ AI  รวบรวมข้อมูลการใช้งานจากระบบต่างๆ ในมาวิเคราะห์และหาสาเหตุเมื่อเกิดเหตุขึ้น

5. Best-in-Class Partnership ผสานความแข็งแกร่งกับพันธมิตรชั้นนำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก ยกระดับมาตรฐาน และเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการด้านบริหารจัดการระบบความปลอดภัยไซเบอร์

ด้านนายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในการให้บริการดิจิทัล ได้ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องการดูแลความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ โดยการปกป้องข้อมูลแบบรอบด้านมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส โดดเด่นด้วยการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบบูรณาการ

(1) มีระบบตรวจจับการบุกรุกโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งต่างจากพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าทั่วไป

(2) มีการใช้งานสถาปัตยกรรม Zero-trust

(3) ใช้งานระบบข่าวกรองไซเบอร์ (Threat Intelligence Platform)

(4) การพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าด้วยระบบ e-KYC ที่มีการตรวจสอบตัวตน 2 ชั้นในการ log in เข้าสู่ระบบในครั้งแรก

(5) มีการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดในการปกป้องประวัติการรักษาพยาบาลของลูกค้า

นอกจากนี้ ลูกค้าทรู-ดีแทค มั่นใจ ยังจะได้รับการปกป้อง คุ้มครองในด้านประกันชีวิตด้วย โดย
ลูกค้าแบบรายเดือน เมื่อสมัครแพกเกจ 5G Together+ และ 5G Better+ จะได้รับฟรีประกันชีวิต และอุบัติเหตุ ความคุ้มครอง รวมสูงสุดกว่า 320,000 บาท รวมถึงลูกค้าแบบเติมเงิน ยิ่งอยู่ยิ่งได้ยิ่งใช้ยิ่งคุ้ม เมื่อเปิดเบอร์ใหม่ พร้อมสมัครแพกเกจ 300 บาท ได้เน็ตแรง แถมโทรฟรี พร้อมรับประกันความคุ้มครองชีวิต สะสมรวมสูงสุด 270,000 บาท 

ลูกค้าทรูออนไลน์ สมัครเน็ตบ้าน รับฟรีประกันภัยที่อยู่อาศัยจากทิพยประกันภัย และประกันชีวิต กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จาก FWD คุ้มครองนาน 24 เดือน  หรือจะเลือกปกป้องดูแลโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตเครื่องใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของลูกค้าทุกคนได้รับการดูแลในทุกการใช้งาน ด้วย dtac Mobile Care หรือจะเป็น True Protech บริการดูแล และส่งซ่อมมือถือ ไม่ว่า ตก แตก เปียก พัง แม้แต่สูญหาย ก็อยู่ในบริการทั้ง 2 บริการนี้ เพียงเริ่มต้น 39 บาท ต่อเดือน เท่านั้น

‘บิ๊กป้อม’ สั่ง!! กอนช.รับมือ ‘เอลนีโญ’ ลดพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมรณรงค์ทุกภาคส่วนบริหารจัดการน้ำอย่างประหยัด-คุ้มค่า

(16 ส.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ครั้งที่ 2/2566

โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่างมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ ‘เอลนีโญ’ ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการที่สำคัญ ได้แก่

มาตรการที่ 1 การจัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด เกี่ยวกับการวางแผนการระบายน้ำ

มาตรการที่ 2 ให้ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง (ตลอดช่วงฤดูฝน) และให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร

มาตรการที่ 3 ให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ (ตลอดช่วงฤดูฝน) ได้แก่การใช้น้ำภาคการเกษตร เช่น การปลูกพืชใช้น้ำน้อย การปรับปรุงระบบการให้น้ำพืช และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น

รวมถึงการประหยัดน้ำของทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งต่างๆ และการลดการสูญเสียน้ำในระบบประปา และระบบชลประทาน

โดยที่ประชุม กอนช.รับทราบสถานการณ์จากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้และรัฐบาลได้มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ที่กำลังประสบปัญหาเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยในหลายพื้นที่ และแหล่งน้ำมีปริมาณน้ำจำกัดโดยเฉพาะ น้ำอุปโภคบริโภค

แม้ว่าปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการตาม ‘12 มาตรการรับมือฤดูฝน’ อย่างต่อเนื่องและเต็มที่ จึงยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงได้ และขณะเดียวกันปรากฏการณ์ ‘เอ็นโซ่’ (ENSO) อยู่ในสภาวะ
เอลนีโญ และจะมีแนวโน้มที่มีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.66  ทำให้ประเทศไทยช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.66 จะมีปริมาณฝนต่ำกว่าปกติ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้ สทนช.และหน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้ประชาชน รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ทันเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมและจัดลำดับความสำคัญในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค อย่างเพียงพอของประชาชนเป็นอันดับแรก น้ำที่เหลือจึงใช้เพื่อการอื่นๆ รวมถึงพื้นที่ EEC ที่มีความสำคัญด้วย ต่อไป พร้อมรณรงค์ขอให้ประชาชน เกษตรกรและทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด และคุ้มค่า

วปอ.-สถาบันพระปกเกล้า บันทึกประวัติศาสตร์ฟุตบอล “รักเมืองไทย” เชื่อมสัมพันธภาพ ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความปรองดองอย่างยั่งยืน 

วันที่ 16 สิงหาคม ที่สโมสรราชพฤกษ์ พลโท ชาติชาย ชัยเกษม ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า พลโท อภิชาติ ไชยะดา ประธาน วปอ.65 ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานฝ่ายจัดการแข่งขันของสถาบันพระปกเกล้า นายดํารง ประทีป ณ ถลาง ผู้แทนทีมฟตุบอลสถาบันพระปกเกล้า นาวาอากาศเอก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอล วปอ. นายเฉลิมวุฒิ สง่าพล หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลสถาบันพระปกเกล้า ปรัชญา เพิ่มพานิช หรือ “ฟีฟ่าแป๊ก”อดีตผู้ตัดสินฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันนี พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ ตัวแทนกองเชียร์ วปอ.65 คุณเลิศลักษณา ยอดอาวุธ ตัวแทนกองเชียร์สถาบันพระปกเกล้า พร้อมศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของทั้งสองสถาบัน ร่วมแถลงข่าวการแข่งขันฟุตบอลประเพณี "รักเมืองไทย" ที่จัดขึ้นในวันที่ 26 สิงหาคม 2566 ณ สนามศุภชลาศัย 

พลโท ชาติชาย ชัยเกษม ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร กล่าวว่า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นสถาบันชั้นสูงของประเทศ มีหน้าที่จัดการศึกษาหลักสูตรเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และการป้องกันราชอาณาจักร ให้แก่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือน พนักงานองค์การของรัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเอกชน โดยฝึกปฏิบัติการวางแผนและนโยบายระดับชาติ การพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งที่ผ่านมาบุคคลสําคัญของประเทศในทุกสาขาอาชีพได้เข้ารับการอบรมและสำเร็จการศึกษาออกไปปฏิบัติงาน เป็นเครือข่ายร่วมกันสร้าง ประโยชน์ต่อประเทศชาติมาต่อเนื่องทุกปี

สําหรับการจัดกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ระหว่าง ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร กับ สถาบันพระปกเกล้า  ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการชั้นนําด้านการพัฒนาประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีแรกนั้น ผมเห็นว่ามีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังเป็นกิจกรรมสื่อกลางให้ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ของทั้งสองสถาบัน ได้พบปะหารือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อร่วมมือสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ สร้างความรัก ความสามัคคี และทั้งสองสถาบันคงจะจัดให้เป็นประเพณีนี้สืบต่อกันไปทุกปี

ด้าน นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อให้นักศึกษาหลักสูตรระดับสูงทั้งในอดีตและปัจจุบันของทั้งสองสถาบัน ได้มีโอกาสพบปะ สร้างสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านประชาธิปไตย สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม โดยใช้กีฬาฟุตบอลเป็นสื่อกลางเชื่อมสัมพันธ์การแข่งขัน

โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 55 ปีขึ้นไป ชิงถ้วยรางวัลสภากาชาดไทย และรุ่นอายุ 44-55ปี ชิงถ้วยรางวัลจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบัน ของทั้งสองสถาบัน รวมประมาณ 1,000 คน

 ทั้งนี้สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะสถาบันวิชาการ มุ่งเน้นการพัฒนาประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล สันติวิธี และนำความรู้สู่สังคมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เชื่อมั่นและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ และจะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศและประชาชนชาวไทยต่อไป

ทางด้าน พลโทอภิชาติ ไชยะดา ประธานนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 65 กล่าวว่า จากการประชุม ประสานงาน กำหนดกรอบแนวคิด ตรวจพื้นที่ซักซ้อม การปฏิบัติการร่วมกัน จนถึงปัจจุบันทุกอย่างมีความพร้อมที่จะให้ฟุตบอลประเพณีรักเมืองไทย เป็นสื่อกลางในการสร้างความรัก ความสามัคคี ระหว่างศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของทั้งสองสถาบัน 

โดยกิจกรรมจะมีขึ้นใน วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2566 ณ สนามศุภชลาศัย ที่เลือกจัดที่นี่ เนื่องจากเป็นสนามกีฬาที่เก่าแก่ เป็นสัญลักษณ์ด้านการพัฒนากีฬาของประเทศไทย   กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น.  เป็นการแสดงวงดุริยางค์ ของกองบัญชาการกองทัพไทย 17.00 น. เป็นการร่วมแสดงของศิษย์ทั้งสองสถาบัน เนื้อหาแสดงถึงความเสียสละ ความรัก ความสามัคคี นำมาซึ่งการรักษาความเป็นไทย มาถึงปัจจุบัน ต่อด้วยขบวนพาเหรด อัญเชิญถ้วยรางวัลเข้าสู่สนาม จากนั้นมีพิธีเปิดการแข่งขัน โดยมี พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานจากนั้นเริ่มการแข่งขันฟุตบอลคู่แรก ประเภท JUNIOR ต่อด้วยการแข่งขันฟุตบอลคู่ที่สอง ประเภท SENIOR ปิดท้ายพิธีมอบถ้วยรางวัลแก่ทีมชนะเลิศของทั้งสองประเภท และปิดการแข่งขัน

งานนี้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันทางสถานีโทรทัศน์ True Visions มีเสื้อฟุตบอลประเพณี ของทั้งสองสถาบันจําหน่ายหน้างาน มีซุ้มอาหารบริการแก่ผู้ร่วมงาน จึงขอเชิญศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ของทั้งสองสถาบัน รวมถึงผู้ที่สนใจมาร่วมงานในครั้งนี้ 

นายถิรชัย วุฒิธรรม ประธานคณะทํางานประสานงานและจัดการแข่งขัน ฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” กล่าวว่า เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ สร้างความรัก ความสามัคคี ความสนุกสนาน ให้เป็น
ประเพณีสืบต่อกันไปทุกปีระหว่างศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และสถาบันพระปกเกล้า รวมทั้งเพื่อเป็นกิจกรรมสื่อกลางให้ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ของทั้งสองสถาบัน ได้ พบปะหารือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อประโยชน์ต่อความร่วมมือสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ เพื่อสื่อและสร้างจิตสํานึก ให้สังคมเห็นถึงความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีระหว่างคนไทยด้วยกัน ในอันที่จะนําพาประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกๆด้าน รวมถึงเพื่อรวบรวมผู้เล่นจากทั้งสองสถาบัน จัดตั้งเป็นทีมฟุตบอลรักเมืองไทย ดําเนินการอันเป็นสาธารณกุศลเพื่อมนุษยธรรมจัดการแข่งขันกับทีมกิตติมศักดิ์ต่างๆทั่วประเทศ เพื่อระดมทุนบริจาคผ่านสภากาชาดไทย

'รองอ๋อง' แจง!! โพสต์รูปเบียร์ แค่ดื่มโชว์ว่าผื่นไม่ขึ้น แต่ถ้ามองมุมกฎหมาย ยอมรับว่า 'มีโอกาสผิด'

(16 ส.ค.66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการสอบถามมายังตน แต่ก็เห็น นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพิพากษาแล้ว ก็เป็นสิทธิของนายราเมศ ตนเป็นบุคคลสาธารณะก็รับฟัง โดยเรื่องนี้ตนเห็นแล้วว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปัญหา ซึ่งคราฟต์เบียร์ดังกล่าว ได้มีการทำขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก ผู้ผลิตไม่รู้จะเปิดตัวอย่างไร

“ผมก็เลยลองไต่เส้นดู ไม่ได้เชิญชวนให้มาดื่มกันแต่แจ้งให้ทราบว่ามีแล้ว ผมลองกินให้ดูก่อน เพราะคราฟต์เบียร์ คนส่วนมากต่างแค่ว่ากินแล้วผื่นขึ้นหรือไม่ จะแพ้หรือไม่ มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ผมจึงดื่มให้ดูนอกเวลาราชการ ไม่ได้มีเจตนาท้าทายกฎหมาย ทุ่มเทมา 3 ปี ก็อยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่าวันนี้เสร็จแล้วนะ ก็โดนเลย”

เมื่อถามต่อว่า ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเรามีกฎหมายระบุไว้ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า หากมองมุมกฎหมายล้วน ๆ ตนยอมรับว่า มีโอกาสผิด และกฎหมายข้อนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2551 หลังรัฐประหารปี 2549 ตอนช่วงที่ตนยังเด็ก ก่อนหน้านั้น มีโฆษณา ทำให้ติดภาพในการโฆษณา ตนเข้าใจว่า ยุคนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการจำกัดในสื่อหลัก ห้ามอยู่ในโฆษณาทีวี วิทยุโทรทัศน์ โรงหนัง แต่ตั้งแต่ปี 2551 มาก็มีความบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดบอกส่วนประกอบยังไม่ได้

นายปดิพัทธ์ ย้ำว่า เมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ เจ้าใหญ่ก็เลยใช้วิธีเลี่ยงบาลีไปโฆษณาน้ำแร่ น้ำดื่ม ตนจึงคิดว่า เรื่องนี้เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม เอาเปรียบคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งมีความพยายามแก้ไขกฎหมายข้อนี้มานานมาก ขอ ครม. ก็มีแต่คำปฏิเสธ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องอารยะขัดขืน หากมีการเปรียบเทียบปรับก็จะยินดีที่จะไปจ่าย แต่ตอนนี้ยังไม่มีหมายเรียกชี้แจง ซึ่งคาดว่าจะมี

เมื่อถามว่า เป็นการพลาดหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นไก่กับไข่ ถ้ามีประชาชนโดนกฎหมายข้อนี้ก็ถึงจะไม่มีเวลาที่จะต้องแก้ แต่หากมีคนสนใจก็อาจมีการแก้ก็ได้ ก่อนมีสุราคราฟต์เบียร์ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็โดนจับก่อน ทำไมต้องแก้ก่อนแล้วค่อยทำ นอกจากนี้ กฎหมายหลายข้อยังออกมาในช่วงยุค คสช. เช่น การห้ามขายสุราในวันพระใหญ่ การจัดโซนนิง

“ผมก็เลยทำหน้าที่ สส.พิษณุโลก มีอะไรดีในจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ผมไม่ได้ทำแค่เรื่องเบียร์ ผมพาไปเที่ยวด้วย พาไปดูอาหารการกินด้วย” นายปดิพัทธ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องหน่วยงานต่าง ๆ ให้ตรวจสอบ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เขาก็ไปทุกเรื่อง ร้องทุกเรื่อง ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร ตนเห็นหนังสือแล้ว ต้องรอตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อน ยืนยันว่า พร้อมชี้แจง หากผิดก็ยอมรับ

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งรองประธานสภา ตามคำพูดของนายศรีสุวรรณ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าหากเรามีความกลัว ทำได้แค่ใส่เครื่องแบบเซ็นเอกสาร โดยที่ไม่คิดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตนคิดว่า ตำแหน่งแบบนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มค่า เพราะฉะนั้น ตนคิดว่า ต้องทำทั้ง 2 อย่าง เวลาที่ทำหน้าที่ในสภาก็เป็นมืออาชีพ ตนไม่หวั่นไหว หากจะขอโทษสักเรื่องคงจะเป็นการขอโทษหลายท่านที่ตนแสดงบทบาทไม่เหมาะสม แต่หากถามว่าพลาดหรือไม่ ยืนยันว่า มันไม่ได้พลาด มองว่า ลักษณะนี้คล้ายกับกฎหมายขับรถเกินอัตราเร็ว ตนไม่ได้บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คิดว่าเป็นการเล่นงานทางการเมืองหรือไม่

‘น้ำตาล ชลิตา’ ไลฟ์ด่าป้าข้างบ้าน หลังชอบเอาเรื่องตนไปเล่าใส่ไข่ แต่กระแสตีกลับ ชาวเน็ตติง!! อยากให้รักษาภาพพจน์ตัวเองหน่อย

(16 ส.ค.66) ทำเอา ‘น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์’ เจ้าของตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2559 เดือดจัดออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "ป้าบ้านตรงข้ามถ้าเห็นโพสต์หนู ป้าหยุดเผื_กเรื่องของหนูนะคะ หนูไม่เคยไปยุ่งเรื่องของป้านะ ต่างคนต่างอยู่นะคะ มีอะไรมากดกริ่งเคลียร์ได้ หลายรอบละ" พร้อมคอมเมนต์เสริมว่า "ป้าบ้านตรงข้ามที่แปลว่าบ้านตรงข้ามจริง ๆ อะค่ะ ไม่ใช่เวทีนางงาม"

จากนั้น ‘น้ำตาล ชลิตา’ ได้ออกมาไลฟ์สด พูดถึงเรื่องนี้ชนิดจัดหนักจัดเต็ม จนมีชาวเน็ตหลายคน นำมาตัดต่อคำด่าของน้ำตาลถึงป้าข้างบ้านว่า…

"xึงอะยุ่งแต่เรื่องของตูค่ะ แหม…มีการทำเป็นพูดเหมือนตัวเองเป็นคนถูกกระทำ ตลก คือหยุด หยุดคิดว่าตัวเองถูกกระทำ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำคนอื่น

มีการไป Unsend ข้อความด้วย อิค_าย ตูรู้หมดแล้วค่ะ แคปไว้หมดแล้ว แคปไปได้เลยนะ เผื่อมีใครเป็นญาติมัน แคปไปให้มันดูนะคะว่ารู้หมดแล้ว ไม่ต้อง Unsend ข้อความค่ะ เห็นหมดค่ะ อิค_าย

มันไม่ใช่ป้าหรอก มันก็อายุประมาณ 30 กว่านี่แหละ แต่เรียกป้า เพราะมันสาระแนเหมือนป้าข้างบ้าน คือจริง ๆ ตอนแรกมันโอเค แต่น้ำตาล ไม่เคยไปยุ่งกับบ้านเขาเลย มีแต่แม่ที่เคยไป ซึ่งแม่เขาก็ไปแอบตีสนิทกันตอนไหนไม่รู้ แล้วพอแม่ไปเล่าโน่น เล่านี่ เล่านั่น ก็ไม่รู้กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็เลยงง

แล้วเล่าเรื่องแบบแต่งเรื่อง เข้าใจเปล่าว่าแต่งเรื่อง เราไม่ได้ไปยุ่งกับเขา แต่เขาสาระแนมาอยากยุ่งเรื่องของเรา ใครจะมา บอกว่าน้ำตาลอยากจะเอาผู้ชายมาอยู่ที่บ้าน บ้านตู สาระแนอะไรแค่นี้

คือบ้านก็เป็นบ้านเดี่ยว บ้านใครบ้านมัน แต่อันนี้มันมาอยู่ทีหลังน้ำตาลด้วยซ้ำ น้ำตาลมาอยู่ก่อน แบบเข้าใจไหม จะพาผู้ชายผู้หญิง หรือใครมา ก็เรื่องของตู บ้านตู เข้าใจไหม แต่มันสาระแนอะไร มายุ่งอะไร

บอกไม่ได้อยากทะเลาะหนู คืองง บ้านเดี่ยวที่ไม่เดี่ยว เข้าใจไหมว่ามันคือเรื่องส่วนตัว แต่อยากมีส่วนร่วมอะไรเอ่ย อยากรู้ขนาดนั้น มาอยู่บ้านตูเลยไหมล่ะ มาหาว่าเราไล่พ่อไล่แม่ออกจากบ้านเพื่อจะให้ผู้ชายมาอยู่ ตลก มีการศึกษา…อืมมมม

ตอนนี้น้ำตาลไม่ได้อยู่กับแม่ค่ะ ไม่ได้งอนแม่ ไม่ได้ไล่แม่ด้วย เผื่อมันมีข่าวหลุดออกไป จะได้รู้ว่าน้ำตาลไม่เคยไล่แม่ เพราะมีแม่เป็นแม่คนเดียวในชีวิตที่รักมาก ๆ ไม่เคยคิดจะไล่พ่อไล่แม่ออกจากบ้าน แต่คนที่ไม่ควรอยู่ มันควรออกไปค่ะ ถามว่าแม่ไปไหน แม่ไปอยู่กับคนที่ไม่ควรอยู่ แม่เขาออกไปเอง ช่างมันเถอะน้ำตาลไม่เล่าหรอก ให้เขาออกมาพูดเอง ถ้าเขาทนไม่ไหว เขาก็คงออกมาพูดเพราะถ้าพูดออกไปมันก็มีแต่เสียงหายค่ะ ไม่ใช่ฝั่งน้ำตาลเสีย”

หลังจากคลิปได้ถูกเผยแพร่ไปแล้ว ก็มีแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์มากมาย อาทิ หลัง ๆ เธอเปลี่ยนไป, นิสัยแบบนี้เชียร์ป้าข้างบ้าน, ต้องถามแม่ก่อนว่าแม่พูดอะไรบ้าง, ฉันเข้าใจน้ำตาลนะ แล้วนางก็พูดถูกทุกอย่างในสิทธิ์ของนางนะ แต่ว่ามันสามารถตอบให้ดูดีกว่านี้ได้ แบบรักษาภาพพจน์ตัวเองหน่อยน้ำตาล เป็นต้น

‘กกต.’ โต้เดือด ‘พิธา’ กรณีไต่สวนอาญา ม.151 ชี้!! ยังไม่แล้วเสร็จ ปัด ‘กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ’

(16 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าว ว่า ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการ เมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ...” จากกรณีที่เป็นข่าวว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ กกต.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พรป.สส.) หรือไม่ประการใดนั้น

กกต.ชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวทั้งหมดไว้พิจารณา 

แต่เมื่อ กกต.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่านายพิธา อาจจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง สส. โดยมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ว่า นายพิธา กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้น จะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

โดยเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้นายพิธา มีสมาชิกภาพเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต. ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ เชื่อได้ว่านายพิธา อาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธาฯ ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต.ให้พิจารณาสั่งการต่อไป

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส. ของ นายพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต. ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันต่อไป

กกต. ขอชี้แจงว่าคณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจอันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้วจะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย

การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธา กระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับนายพิธา หรือไม่ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น

สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส. ของนายพิธาฯ มีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต.ต้องการ

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวล ชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส. ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ต่อ นายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต.จึงไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือจงใจที่จะทำให้นายพิธา ต้องได้รับโทษตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชน อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วย การเลือกตั้ง สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน 

‘EA’ เตรียมขายกรีนบอนด์ 3 รุ่น อายุ 1-5 ปี อันดับเครดิต A- ผลตอบแทน 3.20 - 4.15% ต่อปี

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมแผนเสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 6 แห่ง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่ระดับ A- สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือที่รู้จักกันในชื่อ กรีนบอนด์ (Green Bond) ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปมีจำนวน 3 รุ่น คือ 

1.หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.20 - 3.40%  
2.หุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.50 - 3.70%  
3.รุ่นกู้รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.95 - 4.15%  

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยและวันจำหน่ายที่แน่นอน บริษัทฯ จะประกาศให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ”

“บริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค มีกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 อีกทั้งมีโรงผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้ส่งผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จ ยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และเชื่อว่า หุ้นกู้ EA ที่จำหน่ายในครั้งนี้จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนต้องการลงทุนในกิจการที่มีความมั่นคง และต้องการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” นายอมรกล่าวเพิ่มเติม

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2566 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 โดยในไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 7,956.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,502.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.88 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,454.07 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 

นอกจากนี้ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ยังได้รับโล่เชิดชูเกียรตินักบริหารดีเด่นแห่งปี 2566 สาขาบริหารและพัฒนาองค์กรและรางวัล CEO Awards จากความมุ่งมั่นกว่า 15 ปีในการดำเนินธุรกิจ ‘Green Product’ ได้แก่ ธุรกิจไบโอดีเซล, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และ ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล ทำให้องค์กรให้เติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ EA ได้รับรางวัลด้านองค์กรยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัล Most Innovative Energy Solution Provider Thailand 2021 โดย World Business Outlook, รางวัล Outstanding Company Performance Award 2022 ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

รางวัลในประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยมด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อ ได้แก่ รางวัล Emerging Technology of the Year : The 2020 Global Energy Awards ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดย : S&P Global Platts, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), รางวัล Best Innovative Company Award 2022 ผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน AMITA Technology (Thailand) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร อีกทั้งบริษัทฯ ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Ratings 2023 : A โดย : MSCI และสมาชิกดัชนีวัดความเสมอภาคทางเพศ Bloomberg Gender Equality Index (GEI) โดย : Bloomberg

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง ดังนี้

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นสาขาไมโคร โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking
-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY
-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอปพลิเคชัน - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)
-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
-บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
-บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0410


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top