Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

‘เศรษฐพุฒิ’ ชี้!! ดอกเบี้ยใกล้ ‘จุดสมดุล’ ยัน!! หนี้ครัวเรือนยังไม่ลามเป็น ‘วิกฤติ’

(16 ส.ค.66) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน ในระยะข้างหน้า เชื่อว่าเริ่มเข้าใกล้ ‘จุดสมดุล’ หรือถึงจุดที่ ‘ดอกเบี้ย’ อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นการถอนคันเร่ง เพื่อให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย และเพื่อเอื้อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ ภายใต้เงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบ ซึ่งไม่สร้างความไม่สมดุล หรือสร้างความเปราะบางในการกู้ยืมต่างๆ แต่ส่วนดอกเบี้ยจะหยุดที่ใดนั้น คงต้องดูการพิจารณาของ กนง.ในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนของโลกมากขึ้น จากหลากหลายตัวแปรที่เกิดขึ้น ในประเทศไทยเอง แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาค่อนข้างนาน แต่ยังไม่มีรัฐบาล เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นสารพัด และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และไม่รู้ว่าช็อกมาจากไหน

ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ การวางแผนการดำเนินธุรกิจ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และต้องสร้างภูมิคุ้มกัน งบดุล หรือสภาพคล่องต้องแข็งแกร่ง และการก่อหนี้ไม่ควรมากเกินไป โดยเฉพาะ ‘หนี้ครัวเรือนของไทย’ ปัจจุบันที่อยู่ระดับสูง และเป็นตัวที่สร้างความเปราะบาง และต้องเร่งจัดการปัญหาอย่างเร่งด่วน 

เมื่อถามว่าหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันถึงขั้นวิกฤติหรือไม่ นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ยังไม่ใช่ แต่ต้องเร่งจัดการ และหากปล่อยไป จะกลายเป็นวิกฤติได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องเร่งทำคือ การเทกแอ็กชัน และพยายามลดหนี้ครัวเรือน ลดในระยะข้างหน้าเพื่อให้อยู่ในระดับความยั่งยืน

‘ดิว อริสรา’ จัดเซอร์ไพรส์วันเกิดย้อนหลังให้ ‘น้องเวทมนต์’ ลูกสาว ‘ใบเตย-ดีเจแมน’ ทำหลายคนน้ำตาซึมกันทั้งงาน

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค. 66) ทางด้าน ‘ดิว อริสรา’ และ ‘เซบาสเตียน ลี’ ได้จัดงานวันเกิดให้ลูกชาย ‘น้องไซลาส’ อายุครบ 1 ขวบ มีเพื่อนพี่น้องทั้งในและนอกวงการบันเทิงมาร่วมงาน พาลูกหลานมาร่วมงานจำนวนมากอย่างครึกครื้น

ซึ่งทางด้าน ‘ลุกซ์’ น้องของ ‘ใบเตย อาร์สยาม’ ได้พาหลานสาว ‘น้องเวทมนต์’ มาร่วมงานด้วย และสิ่งที่ทำหลายคนในงานน้ำตาคลอตาม ๆ กัน เมื่อ สาวดิว ได้จัดเซอร์ไพรส์วันเกิดย้อนหลังให้น้องเวทมนต์ เป็นโมเมนต์ที่น่ารักและต่างพากันชื่นชมสาวดิวที่ไม่ลืมคนรอบข้างเลย

‘ทหารมะกัน’ ลักลอบข้ามแดน ขอลี้ภัยไปอยู่ ‘เกาหลีเหนือ’ อ้าง ถูกเลือกปฏิบัติ-เหยียดเชื้อชาติ-ทารุณกรรมในกองทัพสหรัฐฯ

สื่อสหรัฐฯ อ้างอิงแหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือ ที่ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า ได้จับกุมตัว ‘พลทหาร ทราวิส คิง’ สังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ไว้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา พลทหาร ทราวิส คิง ได้ลักลอบข้ามชายแดน จากเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม เข้ามาในดินแดนเกาหลีเหนืออย่างผิดกฎหมาย ต่อมาถูกจำกุมตัวได้โดยกองกำลังเกาหลีเหนือ

หลังจากที่มีการสอบสวน พลทหาร คิง สารภาพว่า เขาตั้งใจที่จะข้ามแดนมายังเกาหลีเหนือด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่าผิดกฎหมาย โดยยังกล่าวอีกว่า ที่ทำไปเพราะต้องการต่อต้านการกระทำทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรม และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในกองทัพสหรัฐฯ และตัวเขาก็ไม่แยแสต่อสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม ดังนั้น เขาประสงค์ที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองในเกาหลีเหนือ หรือในประเทศที่สามอื่นๆ

‘พลทหาร ทราวิส คิง’ เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ปัจจุบันอายุ 23 ปี ถูกส่งมาประจำการในค่ายทหาร Garrison Humphreys ในจังหวัดพย็องแท็ก ประเทศเกาหลีใต้ ต่อมาถูกตำรวจเกาหลีใต้จับกุมด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ก่อนถูกส่งตัวคืนให้แก่กองทัพสหรัฐฯ โดย พลทหาร คิง จะต้องถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ เพื่อลงโทษทางวินัย และมีกำหนดเดินทางออกจากเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

แต่ทว่า พลทหาร คิง ได้หลบหนีออกจากสนามบินอินชอน และเข้าร่วมโปรแกรมทัวร์เยี่ยมชมเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวดังของเกาหลีใต้ เมื่อสบโอกาส พลทหาร คิง ได้หนีทัวร์ และเดินข้ามเขตชายแดนไปยังเกาหลีเหนือและหายตัวไป จนล่าสุดเพิ่งได้รับการยืนยันจากรัฐบาลเกาหลีเหนือว่า ได้ควบคุมตัวพลทหาร ทราวิส คิง อยู่ และเป็นพลเมืองสหรัฐฯ คนแรกในรอบ 5 ปี ที่ถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ

ด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ไม่ขอออกความเห็นในคำสารภาพของพลทหาร ทราวิส คิง ที่ปรากฏในสื่อเกาหลีเหนือ เพียงแต่กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายกลาโหมต้องการเพียงให้พลทหารอเมริกันเดินทางกลับสหรัฐฯ อย่างปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้โฆษกกลาโหมสหรัฐฯ เคยแถลงข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของพลทหาร ทราวิส คิง ว่าเขาแอบข้ามแดนไปเกาหลีเหนือเองโดยสมัครใจ ไม่ได้รับคำสั่งใดๆจากทางกองทัพสหรัฐฯ และไม่ออกความเห็นว่าพลทหารคิง ‘แปรพักตร์’ หรือไม่

ด้านรัฐบาลไบเดน กำลังถกเถียงกันในกรณีพลทหาร ทราวิส คิง ว่าสมควรที่จะระบุสถานะให้เขาเป็น ‘เชลยสงคราม’ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองพิเศษภายใต้อนุสัญญาเจนีวา ที่ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองด้านมนุษยธรรมแก่เชลยศึก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจนถึงตอนนี้ พลทหารคิงยังอยู่ในสถานะ ‘ขาดราชการโดยไม่ได้ลา’

ถึงแม้ว่ากรณีของพลทหาร ทราวิส คิง จะสร้างความอับอายกับกองทัพสหรัฐฯ อยู่พอสมควร แต่จากความเห็นของ วิคเตอร์ ชา รองประธานอาวุโสของสถาบันกลยุทธ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ทันทีที่พลทหารคิงถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ เราก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาได้อีกต่อไป ทุกถ้อยคำที่ผ่านสื่อของเกาหลีเหนือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเป็นแค่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือเท่านั้น

ส่วนการเรียกตัวพลเมืองอเมริกันกลับคืนมาจากการเกาหลีเหนือได้นั้น โดยปกติต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไปเยือน ซึ่งตอนนี้ทางสหรัฐฯ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเกาหลีเหนือ แต่สิ่งที่เราเคยเห็นในอดีตเมื่อมีการคุมตัวพลเมืองอเมริกัน จะต้องมีการพิจารณาไต่สวนคดี ที่มักจบลงด้วยการเกณฑ์แรงงาน หรือจำคุก ที่จะนำไปสู่การใช้ระเบียบวิธีทางการทูตระดับสูงเพื่อพาคนอเมริกันกลับประเทศได้

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางการเกาหลีเหนือจะปล่อยตัวชาวอเมริกัน ที่ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายกลับสหรัฐฯ โดยไม่มีการเจรจาต่อรองในระดับสูง จึงยากที่จะคาดเดาว่าอนาคตของพลทหาร ทราวิส คิง จะไปต่ออย่างไรในดินแดนเกาหลีเหนือ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ทล.’ เปิดขายสัญญาร่วมลงทุนที่พักริมทาง ‘ศรีราชา บางละมุง’  ตั้งแต่ 23 ส.ค.- 22 ก.ย.นี้ คาดเริ่มสร้างปี 67 เปิดเต็มรูปแบบปี 69

(17 ส.ค. 66) กรมทางหลวงเปิดขายซองชิงงานร่วมลงทุนที่พักริมทางบนมอเตอร์เวย์สาย 7 ‘ศรีราชา และบางละมุง’ จำนวน 2 สัญญาตั้งแต่ 23 ส.ค. ถึง 22 ก.ย. 66 คาดเริ่มก่อสร้างปี 67 ใช้เวลา 2 ปี เปิดบริการเต็มรูปแบบปี 69 อำนวยความสะดวกผู้ใช้ทาง

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 สิงหาคม 2566 กรมทางหลวงได้ออกประกาศเชิญชวนโครงการร่วมลงทุน สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา และโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้ทางและยกระดับการให้บริการของระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สู่มาตรฐานสากล โดยจะเป็นจุดแวะพักที่ผู้เดินทางสามารถพักผ่อนอิริยาบถจากการเดินทาง ทำธุระส่วนตัว ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ และความสูญเสียจากความเหนื่อยล้า หรือหลับในของผู้ขับขี่ ตลอดจนช่วยให้ผู้ใช้ทางประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

สำหรับโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา เป็นที่พักริมทางขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณ กม.93+500 ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยา ระหว่างทางแยกต่างระดับบางพระ (คีรี) และทางแยกต่างระดับหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งทิศทางมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร และฝั่งทิศทางมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 59 ไร่

ส่วนโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง เป็นที่พักริมทางขนาดกลาง ตั้งอยู่บริเวณ กม.137+100 ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา-มาบตาพุด อยู่ระหว่างทางแยกต่างระดับห้วยใหญ่ และทางแยกต่างระดับเขาชีโอน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งทิศทางมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร และฝั่งทิศทางมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 38 ไร่

โดยที่พักริมทางทั้ง 2 แห่งจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน ประกอบด้วย ที่จอดรถ พื้นที่พักผ่อน พื้นที่สีเขียว ห้องสุขา ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่จำหน่ายสินค้าและบริการ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ศูนย์บริการข้อมูลจราจรและเส้นทางการเดินทาง และการบริการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เดินทาง

สำหรับการดำเนินงานโครงการฯ จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยกรมทางหลวงจะส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างที่พักริมทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงมีหน้าที่บริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาโครงการฯ ตลอดจนเป็นผู้มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ โดยต้องชำระค่าตอบแทนให้กรมทางหลวงตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายในระยะเวลาดำเนินโครงการ 32 ปี แบ่งเป็นงาน 2 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 การออกแบบและก่อสร้าง เอกชนมีหน้าที่จัดหาแหล่งเงินทุน ออกแบบและก่อสร้างองค์ประกอบและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี

ระยะที่ 2 การดำเนินงานและบำรุงรักษา เอกชนมีหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษา รวมถึงการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี

ทั้งนี้ การดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ดังกล่าว เป็นไปตามขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยกรมทางหลวงจะจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal : RFP) ของทั้ง 2 โครงการพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ถึง 22 กันยายน 2566 ระหว่างเวลา 09.00 น. ถึง 15.00 น. สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ ข้อกำหนดคุณสมบัติต่างๆ และขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน ได้จากประกาศเชิญชวนฯ (ฉบับทางการ) ที่เว็บไซต์ www.doh.go.th หรือ www.doh-motorway.com

โดยกรมทางหลวงกำหนดให้เอกชนยื่นข้อเสนอช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะดำเนินการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จในต้นปี 2567 พร้อมลงนามสัญญาและเริ่มต้นก่อสร้างช่วงกลางปี 2567 เพื่อเปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการบางส่วนในปี 2568 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 ต่อไป

สำหรับการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ช่วงชลบุรี-พัทยา และช่วงพัทยา-มาบตาพุด เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนที่มีศักยภาพและประสบการณ์มีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อยกระดับการให้บริการของระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสู่มาตรฐานสากล

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ‘ครูกายแก้ว’ แท้จริงเป็นของขลังจากเขมร แต่ถูกพวกไสยพาณิชย์ ใช้เป็นเครื่องมือลวงเงินคนสิ้นหวัง

(17 ส.ค. 66)  ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘ครูกายแก้ว’ โดยระบุว่า…

ครูกายแก้ว คือ ของขลังเขมรคล้ายกุมารทองที่พระธุดงค์นิรนามรูปหนึ่งจากลำปางได้มาจากเขมรแล้วมอบให้ อาจารย์ถวิล มิลินทจินดาซึ่งเป็นอาจารย์ของ อาจารย์สุชาติ รัตนสุข

ครูกายแก้วของจริง เป็นแค่ของขลังชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น

ต่อมาอาจารย์ถวิลได้มอบของขลังชิ้นนี้ (ปอบขาว) ให้อาจารย์สุชาติเก็บรักษาดูแล โดยที่อาจารย์สุชาติสามารถสื่อทางจิตกับ ปอบขาวตนนี้ได้

แต่หลังจากอาจารย์สุชาติสิ้นบุญแล้ว …‘ตำนานครูกายแก้ว’ ได้ถูกพวกไสยพาณิชย์เอามาปั่นสร้างกระแสงมงายเพื่อดูดเงินจากพวกที่กำลังสิ้นหวังในชีวิตเพราะประสบปัญหาหนี้สิน

ใครจะบูชา ‘ครูกายแก้ว’ ที่กำลังเป็นกระแส จงพิจารณาให้ดีให้ถี่ถ้วนเถิด

อวิชชา คือสิ่งที่อยู่คู่สังสารวัฏ 

อวิชชาทั้งหลายถือกำเนิดมาจาก ความกลัว 
พลังด้านมืดทุกชนิดก็มาจากความกลัว มิใช่ความรัก 
ความกลัวทำให้แบ่งแยก แตกแยก จากจิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์

การจะเลือกนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นจะต้องไม่เอากิเลสหรืออัตตาตัวตนนำหน้าเป็นอันขาด

คืออย่ามุ่งเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารับใช้ตัวตนของตน หรือสนองความอยากทางโลกของตัวเองเป็นอันขาด

เพราะนี่คือการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉา... แถมมีดอกเบี้ยหรือราคาที่ต้องจ่ายแพงมาก ๆ เพราะโลกนี้ไม่มีของฟรีหรอก…ขอได้ แต่อาจแลกมาด้วยชีวิตของเจ้าตัวที่จะสั้นลงมาก

ในการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือกเคารพบูชา สิ่งสำคัญสุดคือ ‘การมอบตัวตน’ (surrender) ยินดีพลีกายใจเป็นเครื่องมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อข้ามพ้นตัวตนของตน

คนมีหลายระดับ ดอกบัวมีหลายประเภท

ถ้าใครยังพึ่งรัตนตรัยไม่ได้ ก็ควรมีความรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน

ผู้นำทางจิตแบบบูรณาการต้องมีใจที่เปิดกว้าง สามารถชี้นำคนทุกระดับได้ตามสติปัญญาของคนแต่ละประเภท

อย่าไปโจมตีลอย ๆ ว่า นั่นเป็นมาร ซาตาน แต่ควรเตือนสติคนที่หลงเชื่อว่า ตัวเขาบูชาครูกายแก้วเพื่ออะไร เพราะเหตุใด

ทำให้เขาเห็นจิตโลภ จิตหลงของตนเองก่อน

คนที่มีตบะ มีอำนาจจิตที่เข้มแข็งจะไม่ไปขอพร พึ่งอะไรแบบนี้หรอก

แต่อย่างว่าคนเราบุญวาสนาบารมีไม่เท่ากัน

ช่วยอย่างแรกที่ทำได้ทันทีเลย คือเตือนสติ

ช่วยอย่างที่สอง คือทำจิตตัวเองให้เข้มแข็งด้วยการฝึกจิต ฝึกลมปราณกรรมฐาน

คนที่ทำได้เท่านั้นถึงจะคู่ควร มีคุณสมบัติบำเพ็ญวัชรจิตได้

'บิ๊กตู่' ลงพื้นที่สระบุรี ตรวจโครงข่ายคมนาคมระบบราง ดูความคืบหน้า ‘รถไฟทางคู่ - รถไฟไฮสปีดไทย-จีน’

(17 ส.ค. 66) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ จ.สระบุรี ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ อุโมงค์ที่ 1 (อุโมงค์ผาเสด็จ) ณ พื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ สถานีรถไฟหินลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากพื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ ไปยังอุโมงค์มวกเหล็ก ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน (ไฮสปีด) ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา) (เฟส 1) แล้วเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

“คิดให้ใหญ่ Think Big” ข้อคิดดีๆ จาก ‘เพชร โอสถานุเคราะห์’ 

ครั้งหนึ่ง ‘เพชร โอสถานุเคราะห์’ เคยแชร์ข้อคิดดีๆ ไว้ว่า “คุณพ่อไม่เคยสอนอะไรตรง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ผมคิดว่าคุณพ่อไม่เคยคิดด้วยซ้ำไปว่าผมจะเข้ามาช่วยทํามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาอาจจะมีความหวังเล็ก ๆ ว่าผมจะไปทําธุรกิจของครอบครัวด้านอื่นมากกว่า คือโอสถสภา แต่พอผมเข้ามาทําเขาก็ดีใจ อันนี้ก็คือในบั้นปลายชีวิตของท่านแล้วนะครับ ท่านไม่เคยสอนอะไรผมจริง ๆ จัง ๆ  ทั้งคุณพ่อคุณแม่เลย แต่เราก็ดูท่านเป็นตัวอย่าง”

“แต่คําพูดประโยคเดียวที่ผมจําได้ขึ้นใจเกี่ยวกับธุรกิจแต่ว่ามาประยุกต์ใช้ในวงการศึกษาได้ด้วยก็คือ เวลาเราจะคิดทําอะไร มันต้องทุ่มเทและใช้เวลา เพราะฉะนั้นให้คิดการใหญ่ ให้คิดเรื่องใหญ่ ๆ เพราะทําเรื่องเล็ก ๆ มันก็ใช้เวลาเท่ากัน เพียงแต่ว่าขยายให้มันใหญ่เท่านั้นเอง มันจะได้คุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มการลงทุนลงแรง ซึ่งผมก็พยายามตระหนักข้อนี้ไม่ว่าจะทําอะไร ตั้งแต่ในอดีต ซึ่งผมก็เคยอยู่ในแวดวงธุรกิจ โฆษณา การตลาด จนกระทั่งกระโดดมาทํามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก็ยังคิดถึงประเด็นที่คุณพ่อพูดไว้ตรงนี้อยู่ ก็คือ Think Big ถ้าพูดกระชับ ๆ เป็นภาษาอังกฤษ”

“สำหรับมหาวิทยาลัยกรุงเทพก่อตั้งมานานมาก ถ้าจําไม่ผิดตอนนั้นผมอายุไม่ถึง 10 ขวบ แล้วก็เห็นว่าคุณพ่อเขามีความตั้งใจสูงมาก ที่จะสร้างสถาบันการศึกษาทางเลือกใหม่ที่แตกต่าง เพราะในขณะนั้นมีแต่สถาบันการศึกษาของรัฐในระดับอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายที่จะผลิตและพัฒนาเด็กเพื่อป้อนรัฐ ยังไม่มีอุดมศึกษาแห่งไหนเลยที่เรียกว่าเน้นที่จะพัฒนาเด็กเพื่อเข้าวงการธุรกิจเอกชนต่าง ๆ”

“ผมคิดว่าตรงนั้นเป็นเป็นวิสัยทัศน์ที่สูงมาก โดยท่านเน้นคุณภาพทางการศึกษามาก ๆ ไม่เคยมองในแง่ของกําไรหรืออะไร ท่านคิดเสมอว่าเงินมาจากธุรกิจอื่น อันนี้เป็นสถาบันการศึกษาที่ท่านอยากจะสร้างให้เกิดขึ้นในสังคมไทย แล้วผมก็มอง ตั้งแต่เด็กจนโต ก็จับประเด็นได้ว่าเป็นแบบนี้จริง ๆ”

“สำหรับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เท่าที่ผมสังเกตตอนเด็ก ๆ ผมคิดว่าท่านทํางาน โดยให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกันหมด คิดแบบนั้นจริง ๆ เท่าที่ผมได้ยินได้ฟังมา คือทุกคนรักและทุ่มเทให้มหาวิทยาลัยราวกับเป็นเจ้าของ พอมาถึงจุดนี้มหาวิทยาลัยมันพัฒนาก้าวมาไกลมาก เป็นองค์กรที่ใหญ่มาก”

‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ กล่าวผ่านรายการ ‘Me สติ’ Ep.53 ตอน ทำดีไม่ได้ดี?

‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ กล่าวผ่านรายการ ‘Me สติ’ Ep.53 ตอน ทำดีไม่ได้ดี? | หากินกับความเชื่อของคน!? ถึงปรากฏการณ์ ‘ครูกายแก้ว’ หรือ ‘พ่อใหญ่ บรมครูผู้เรืองเวทย์’ ที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมขณะนี้ โดยระบุว่า…

“การไปไหว้เทพองค์นั้น เทพองค์นี้ เพราะคิดว่าท่านจะช่วยเราได้ ในความเห็นของหมอบี ถ้าเราไม่มีบุญ บารมีไม่ถึง ท่านก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ แต่ถ้าบุญบารมีเราถึง แล้วเราขอท่าน ก็เหมือนไปร้องขอผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็อาจจะช่วยผลักดัน เพื่อให้มันชัดเจนขึ้น ได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเราไม่เคยทําบุญเลย ไม่มีทางที่ใครจะมาช่วยเราได้ เราต้องสะสมบุญเป็นทุนเดิมด้วย เรียกว่า ‘ต้นทุนบุญ’ เราต้องมี”

“เรากําลังพูดถึงเรื่อง ‘บุญกับบาป’ บุญ แปลว่า ‘ความสบายกายและสบายใจ’ อะไรก็ตามที่ทําแล้วสบายกายสบายใจเท่ากับเป็นบุญ อะไรที่ทําแล้วไม่สบายกายไม่สบายใจเท่ากับเป็นบาป แต่เราอย่าไปตีความว่าการทำบาป คือต้องตกนรก ลงกระทะทองแดงอะไรอย่างนั้น

คนเราสามารถทําบุญและบาปได้ตลอดเวลา ทุกลมหายใจ เราคิดไม่ดี เราก็บาปแล้ว เพราะเราไม่สบายใจ แต่ถ้าเราคิดสิ่งดีๆ เราก็โล่งอก สบายใจ ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว เป็นเรื่องเบสิกมากๆ คือ ทําอะไรแล้วมันสบายกาย และสบายใจ เราก็ได้บุญหมด”

‘บิ๊กตู่’ ควงคณะรัฐมนตรีคู่ใจ ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เยี่ยมชมโครงการรถไฟทางคู่ ‘มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ’

(17 ส.ค. 66) ที่จังหวัดสระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงข่ายคมนาคมระบบราง งานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ

และตรวจเยี่ยมงานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ช่วงอุโมงค์มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อรองรับและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับการเดินทางและศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสต์ติก เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างชัดเจน และมีความปลอดภัย

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย

โดยจุดแรก นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจติดตามความก้าวหน้างานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จ (อุโมงค์ที่ 1) ช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ซึ่งสัญญาที่ 3 เป็นงานอุโมงค์รถไฟ จำนวน 3 อุโมงค์ ได้แก่

อุโมงค์ที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีมาบกะเบา สถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ จ.สระบุรี มีความยาว 5.85 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นการออกแบบที่มีระบบความปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยภายในอุโมงค์มีช่องอพยพผู้โดยสารทุก ๆ ระยะ 500 เมตร ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 98.130

อุโมงค์ที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีหินลับ และสถานีมวกเหล็กใหม่ จ.สระบุรี มีความยาว 650 เมตร กว้าง 11.00 เมตร สูง 7.30 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์เดี่ยว รางคู่ โดยช่องอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์อื่น ๆ ทำให้มองเห็นปากอุโมงค์ทั้งสองฝั่งได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ

อุโมงค์ที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนลำตะคอง ระหว่างสถานีคลองขนานจิตร อ.ปากช่อง และสถานีคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร กว้าง 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร ลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยอุโมงค์ทั้ง 3 แห่ง มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ซึ่งในอนาคตได้มีการวางแผนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม เนื่องจากโดยรอบเป็นภูเขาและป่าร่มรื่น

นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ขึ้นขบวนรถไฟไปยังอุโมงค์ผาเสด็จ ระยะทาง 300 เมตร เพื่อเยี่ยมชมอุโมงค์ผาเสด็จ ก่อนขึ้นขบวนรถไฟกลับไปยังบริเวณพื้นที่โครงการฯ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ มีความก้าวหน้าเกิดผลสำเร็จเป็นไปแผนที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ระบบราง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการพัฒนาประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่รัฐบาลได้วางแผนไว้

พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับจากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้สำหรับประชาชนและประเทศชาติ ในการพัฒนาไปสู่อนาคต ส่วนบางโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษา ก็ขอให้ดำเนินการต่อให้เกิดผลสำเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป

หากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการเดินขบวนรถได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว โดยขบวนรถโดยสาร จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิม 50 กม./ชม. และขบวนรถสินค้า จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 60 กม./ชม. จากเดิม 29 กม./ชม. ลดระยะเวลาการเดินทาง มีความตรงต่อเวลาของขบวนรถ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ และประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนกับผู้โดยสารรถไฟ ด้วยการแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนนให้เป็นทางต่างระดับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และเปิดเดินรถในทางคู่ใหม่บางส่วนได้ภายในปี 2567 นี้

‘คุณแม่ไอซ์ ปรีชญา’ เผย!! รู้อยู่แล้วต้องถูกฟ้องคดีไซยาไนด์ สภาพจิตใจลูกสาวยังไม่เต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้เครียดเพิ่ม

(17 ส.ค. 66) จากกรณี ‘กรมโรงงานอุตสาหกรรม’ เข้าพบพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. เพื่อยื่นเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษกับกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องการนำเข้า จำหน่าย ซื้อขายสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ สารเคมีอันตราย รวมถึงผู้ที่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

สำหรับกลุ่มผู้ที่จะถูกดำเนินคดีแบ่งเป็น ผู้นำเข้า 1 ราย ตัวแทนจำหน่าย 4 ราย และ ผู้นำไปใช้ผิด
วัตถุประสงค์จำนวน 31 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ พบมีรายชื่อของ ‘นางสรารัตน์’ หรือ ‘แอม’ และนางเอกชื่อ
ดัง ‘ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร’

โดยล่าสุด คุณแม่บังอร แม่ของไอซ์ เปิดเผยว่า "ทราบแล้วค่ะว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งความดำเนินคดีกับน้องไอซ์ เราไม่ได้กังวลอะไร ทราบอยู่แล้วจะมีการดำเนินคดีเรื่องนี้ แต่ในเรื่องของคดีความทางตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาอะไรเรา ซึ่งเราก็ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ แล้วหลักฐานก็อยู่ที่โรงพัก บิ๊กโจ๊ก (พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล) ก็แถลงแล้วว่าน้องไปพบครั้งนั้นในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา ดังนั้นถ้ากรมโรงงานอุตสาหกรรม จะฟ้องดำเนินคดีที่น้องไอซ์มีสารครอบครอง จึงไม่ได้กังวลใจอะไรให้ทนายความเป็นคนจัดการทั้งหมดอยู่แล้ว

และไอซ์ทราบเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่ถามว่าสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ก็ไม่เต็ม 100
เปอร์เซ็นต์หรอกนะคะ เพราะเราก็ไม่สบายใจ ไม่อยากให้มีเรื่องกระทบงานหรืออะไรแบบนี้อีก
เพราะเขาแย่มาพักหนึ่งแล้ว พอมีเรื่องนี้อีก ถ้าว่าเครียดกว่าเดิมไหม ก็ไม่นะคะ ทราบอยู่แล้วจะต้อง
มีเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงแค่เมื่อไหร่เท่านี้เอง ตอนนี้รอหมายจากตำรวจที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมไปแจ้ง
ความ ซึ่งยังไม่มีอะไร เท่าที่แม่คุยกับทนาย ทางทนายเขาจะไปพบพนักงานสอบสวน สน. (ศูนย์รับ
แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บช.ก.) ที่กรมโรงงานไปแจ้งความต่อไปค่ะ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top