Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

‘ไบร์ท นรภัทร’ ประกาศเลิกกับแฟนสาวนอกวงการแล้ว ยอมรับ!! รักครั้งนี้เจ็บหนัก ยืนยัน!! ความสัมพันธ์จบกันด้วยดี

(10 ส.ค.66) เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมาสำหรับนักแสดงหนุ่มหล่อ ‘ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์’ กับแฟนสาวนอกวงการชื่อว่า ‘น้องมิ้น’ ที่ล่าสุดได้มีการเปิดเผยผ่านรายการ วันบันเทิง Talk ว่าเลิกกันแล้ว ตอนนี้สถานะของหนุ่มไบร์ทโสดสนิท เรียกได้ว่าหัวใจโบ๋เป็นหลุมเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หนุ่มไบร์ท ก็ได้เปิดเผยว่าลดสถานะลงเป็นเพียงพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ยอมรับว่าการเลิกกันครั้งนี้กับแฟนสาวนอกวงการทำเอาหัวใจเจ็บหนัก แต่เป็นการจบกันด้วยดี ตอนนี้ไม่ขอวิ่งตามหาความรักแล้ว ขอทำงานชิลๆ ไปก่อน ถ้าเจอคนที่ใช่ก็ได้คบเอง

“ไม่ได้เป็นการจบลงที่ไม่ดี เป็นการจบลงที่ดี เคยพูดไปก่อนหน้านี้ว่าตนไม่เคยเจอใครที่เข้าใจเลย ตอนนี้เจอแล้วแต่มันไม่พอ เรื่องความสัมพันธ์ดีมากๆ แต่มันมีเรื่องอื่นที่รู้สึกว่ามันไม่ได้

ส่วนตัวรู้สึกว่าพอโตมา ความรักมันคือสิ่งสวยงามมาก เมื่อไหร่ที่เรารักใคร เราก็รู้สึกว่าไม่อยากเลิกรักเขา เราอยากรักเขาต่อไป เรายังพร้อมจะซัพพอร์ตเขาทุกเรื่อง แค่เราไม่ครอบครองเขาแค่นั้นเอง

ตอนนี้ยังเป็นพี่ชายที่แสนดี เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว สถานะความสัมพันธ์เราจบแล้ว แต่ความรักที่เรียกว่ารักจริงๆ ยังคงอยู่ ยังเป็นพี่ชายที่แสนดีให้แน่นอน ถามว่าเกี่ยวกับกระแสการเปิดตัวไหม จริงๆ ก็มี มันมีเยอะเลยแหละ ถามว่าเรื่องงานกระทบไหมก็นิดนึง

ถามว่าเรื่องอื่นๆ กระทบไหม ในมุมมองของคนอื่นที่มองตนก็กระทบ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะแลกมัน เพราะว่าตนต้องการคนที่จะมาดูแลจิตใจแบบสุดๆ เพราะเมื่อก่อนรู้สึกหว่าเว้ โดดเดี่ยวแบบสุดๆ

ทั้งๆ ที่ดังมากแต่เราหว่าเว้มากๆ และเขาเป็นคนที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกไม่เดียวดายตอนนั้น เราดีขึ้นมากเพราะเขา แต่ว่าพอวันนึงมันจบไป เป็นการจบที่สวยงามมากสำหรับตน

ยอมรับว่าช่วงวัยความคิด มีปัญหา เพราะอายุห่างกัน เฮิร์ทนะ เสียใจนะ ตอนสัมภาษณ์ก็กลั้นเหมือนกัน เพราะเพิ่งจะเลิกก่อนบินไปที่ไทเป ถามว่าพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ไหม ก็ไม่คาดหวังดีกว่า ขอทำงานชิลๆ ถ้าใครจะเข้ามาก็เข้ามา ทำความรู้จักกัน ถ้าถูกใจเดี๋ยวก็ใช่เองแหละ ไม่ไปวิ่งหาความรักแล้ว เหนื่อย”

ตำรวจไซเบอร์รวบเครือข่ายหลอกทำกิจกรรมแลกของฟรี รู้ตัวอีกทีหมดไปเป็นแสน

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ ว่าได้รับ SMS แจ้งว่า คุณคือผู้โชคดีได้รับตู้เย็น 1 รายการ จาก Midea ฟรี จบกิจกรรมพร้อมรับเงินรางวัลอีก 3,000 บาท หลังจากนั้นได้มีการแอดไลน์ จากนั้นแอดมินได้ให้ตนร่วมลงทุนและได้ผลกำไรดี จึงได้โอนเงินไปยังบัญชีของธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นายณัฐพงศ์ (สงวนนามสกุล) ไปจำนวน 5 ครั้ง รวมยอดเงินจำนวน 129,786 บาท หลังจากตนได้โอนเงินไปแล้ว จึงได้นำรายชื่อของเจ้าของบัญชีคือนายณัฐพงศ์ ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของ Midea mall พบว่ารายชื่อดังกล่าวได้ถูกแจ้งว่าเป็นมิจฉาชีพ ตนเองจึงรู้ว่าถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
 
ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 นำโดย พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์ ได้นำกำลังเข้าจับกุมนายณัฐพงศ์ ได้ที่ถนนสาธารณะ หน้าบ้านหลังหนึ่งในแขวงบางค้อ เขตจอมทอง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
 
เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตนเองได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทยจริง ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อได้ว่าจ้างให้ตนเปิดบัญชีดังกล่าว และให้ค่าจ้างตนในราคา 700 บาท เนื่องจากในช่วงนั้นตนไม่มีรายได้และยังเกิดโรคระบาดโควิด 19 จึงได้เปิดบัญชีดังกล่าวเพื่อแลกกับค่าจ้าง เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว และตนเองไม่ทราบว่าบัญชีธนาคารที่ตนได้เปิดไว้ดังกล่าวจะมีมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงประชาชน
 
ตำรวจไซเบอร์ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อการส่ง SMS มาบอกว่าคุณโชคดีได้รับของรางวัลต่างๆ เนื่องจากช่วงนี้มีมิจฉาชีพคอยหลอกว่าคุณจะได้รับของรางวัลฟรีในรูปแบบต่างๆ เมื่อกดรับแล้วมิจฉาชีพจะส่งลิงก์ให้กดรับแล้วชักชวนให้ลงทุนที่ผลกำไรงาม เมื่อเหยื่อหลงเชื่อได้โอนเงินลงทุนไปแล้ว มิจฉาชีพก็เชิดเงินหนีโดยไม่สามารถติดต่อได้อีก ก่อนที่จะโอนเงิน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพต่อไป

‘แจ็ค ไรเดอร์-ดีเจคิว’ โร่แจ้งความเอาผิดคลื่นวิทยุดัง หลังเบี้ยวค้างจ้างมา 3 ปี รวมกันประมาณล้านกว่า

(10 ส.ค.66) เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับคลื่นวิทยุชื่อดัง กรณีถูกเบี้ยวค่าจ้างหลักล้านบาท สำหรับ ‘แจ็ค ไรเดอร์’ และ ‘ดีเจคิว ธิติพันธ์’ พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.นครบาลพหลโยธิน 

โดย ‘ดีเจคิว ธิติพันธ์’ เผยว่า "มาแจ้งความดำเนินคดี ในเรื่องของจัดรายการวิทยุ แต่ไม่ได้รับค่าจัดรายการมานานเกือบ 3 ปี ค้างประมาณ 10 เดือน 2 คน รวมกันก็ประมาณล้านกว่า ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2563 ตอนช่วงโควิดตอนนั้นเขาเริ่มค้างจ่าย เพราะเนื่องจากสถานการณ์ เราก็เข้าใจ คิดว่าเดือนต่อไปจะจ่าย แต่ก็ไม่จ่าย จัดมาเป็น 10 ปี แรกๆ มีสัญญา หลังๆ กลายเป็นฟรีแลนซ์ประจำ ไม่ได้มีสัญญาจ้างปีต่อปี เราก็คิดว่าเป็นครอบครัว เราไปถามบัญชีว่าเงินจะออกไหม เขาตอบกลับมาว่าต้องออกด้วยหรอ เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม พอเราขอเอกสาร เขาเอาพี่แจ็คออก เหลือผมคนเดียว พอผมบอกว่าเราจัดคู่กันนะ เงินของเก่า คุณจะต้องขอเอกสารออกมายอมรับหน่อย แต่เขาไม่ออก ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องยื่นเอกสารฟ้องร้องกับพี่แจ็ค เพราะเราจัดรายการมาด้วยกัน หลักฐานมันมาด้วยกัน"

ด้าน ‘แจ็ค ไรเดอร์’ เผยว่า "เราก็ได้มีการเข้าไปพูดคุย เขาก็ขอลดเงินเดือน 20 เปอร์เซ็นต์ เราก็โอเค เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัว เราก็ให้ลด แต่ก็ยังคงค้างจ่ายอีก ที่ผ่านมาได้ทวงกับเจ้านาย แต่ได้รับคำตอบว่า อยากได้ให้ไปฟ้องเอา และสุดท้ายโดนให้ออกจากงานทั้งคู่ และไม่ใช่มีแค่ทั้งสองคนที่โดน พนักงานคนอื่นๆ ที่ทำในบริษัทนี้ก็โดนโกงเหมือนเรา ก่อนหน้านี้มีการดำเนินการทางกฎหมายโดยทนายแล้ว ผมก็แต่งตั้งทนาย และให้ส่งเอกสารไปที่บริษัท เพื่อทวงถามว่าติดค้างกันเท่าไหร่ และขอให้ดำเนินการติดต่อเพื่อชำระ หรือจะตกลงกันอะไรยังไง แต่ว่ามันผ่านไปเกินเวลาที่เรากำหนด มันก็เลยเป็นส่วนที่ทำให้เราต้องเคลื่อนไหวอย่างอื่น ก็เลยเป็นที่มาของวันนี้ ขอพูดแทนทุกคนในบริษัทนี้ที่ออก ทุกคนไม่เคยมีใครได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่จ่ายด้วยตัวเอง ทุกคนต้องขึ้นศาลฟ้องหมด ในส่วนของวันนี้ลักษณะก็คงเป็นการแจ้งเรื่องราวไว้ เป็นการลงบันทึกประจำวัน หลังจากนี้ก็จะเอาเอกสารตัวนี้แนบในคำร้องต่อศาล และก็จะรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด เพื่อที่จะฟ้องร้องในศาลแรงงานต่อไป เพราะเคสของเรามันไม่ใช่แค่แพ่ง เพราะเราทำงานให้"

‘โจรสลัดแห่งน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ กลุ่มคนใจโฉด ที่อดีตเคย ‘ปล้น-ฆ่า’ ผู้อพยพและชาวประมงอย่างเลือดเย็น


โจรสลัดแห่งน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

‘โจรสลัด’ (Pirate, Buccaneer, Frigate) ตามนิยามของวิกิพีเดียสารานุกรมออนไลน์คือ ‘บุคคลที่ปล้นหรือโจรกรรมในทะเล หรือแม้กระทั่งตามชายฝั่งหรือท่าเรือต่าง ๆ ในบางโอกาส’ โจรสลัดในอดีตที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น มีผ้าคาดหัว ใช้ดาบใบกว้าง หรือปืนพก และเรือโจรสลัดที่มีขนาดใหญ่ แต่โจรสลัดในปัจจุบันนิยมใช้เรือเร็ว และใช้ปืนพก ปืนกล กระทั่งจรวดต่อสู้รถถังแทนดาบ โดยมีเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกสินค้า

Cellattes (ชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามเกาะแก่งในช่องแคบมะละกา)

‘โจรสลัด’ เป็นคำในภาษาไทยที่ใช้มานานนับแต่สมัยอยุธยา มีปรากฏในเอกสารเก่า เป็นคำที่มาจากภาษามลายู คือ ‘Salat’ (โจรปล้นเรือ) หรือ ‘Selat’ (ช่องแคบ) ในเอกสารต่างประเทศ กล่าวถึงการที่พ่อค้าต่างชาตินิยมเข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาด้วย เพราะทะเลอ่าวไทยไม่มีโจรสลัด คำว่า ‘สลัด’ หรือ ‘โจรสลัด’ ใช้เรียกเฉพาะโจรที่ทำการปล้นเรือกลางทะเล และยกพลไปปล้นบนบกตามหัวเมืองชายทะเลทางภาคใต้ของไทยเท่านั้น โดยโจรสลัดเหล่านี้มีรกรากถิ่นฐานบริเวณดินแดนทั้ง 2 ฟากฝั่งของช่องแคบมะละกา จึงเรียกโจรเหล่านี้ว่า ‘สลัด’ หมายถึงโจรที่มาจากช่องแคบ เนื่องด้วยชาวอังกฤษในสมัยก่อน เรียกชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามเกาะแก่งในช่องแคบมะละกาว่า ‘Cellattes’ โดยชาวบ้านพวกนี้จะทำการปล้นเรือต่างๆ ที่แล่นผ่านมาในอาณาเขตของตน


เรื่องราวเกี่ยวกับโจรสลัด สามารถย้อนหลังไปได้ถึงราว 1,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อบริเวณทะเลอีเจียน และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชนพื้นเมือง 2 พวก คือ ‘อิลลีเรียน’ และ ‘ไทร์เรเนียน’ ทำการปล้นสะดมเรือสินค้าของชาวฟีนีเชียนเป็นประจำ และจับเอาเด็กทั้งชายและหญิงไปขายเป็นทาสอีกด้วย โจรสลัดที่มีความโด่งดังอีกคนหนึ่งคือ ‘คาริโก้ แจ็ค’ (Calico Jack หรือ Jack Rackham) เป็นโจรสลัดชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ฉายามาจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง มีผู้ช่วยเป็น 2 โจรสลัดหญิง ‘แอน บอนนี่’ (Anne Bonny), ‘แมรี่ รีช’ (Mary Read) ต้นตำรับธงโจรสลัด รูปหัวกะโหลกและดาบ 2 เล่ม ทำให้เป็นโจรสลัดที่ได้รับการจดจำมากที่สุดในบรรดาโจรสลัดมากมาย


โจรสลัดในปัจจุบันยังคงมีปรากฏอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบริเวณชายฝั่งและทะเลในอเมริกาใต้ รวมถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็ยังคงมีโจรสลัดทำการปล้นเรือที่แล่นผ่านไปมาอยู่ โดยเฉพาะแถบชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา และชายฝั่งของทะเลแคริบเบียน แต่จำนวนลดน้อยลงไปมาก ด้วยมาตรการป้องกันจากกองกำลังรัฐบาลชาติต่างๆ ยุคต่อๆ มายังคงมีโจรสลัดทำการปล้นอยู่เรื่อยมา ‘อ่าวเอเดน’ ประเทศโซมาเลีย เป็นน่านน้ำที่โจรสลัดยังคงปฏิบัติการปล้นจี้เรือที่แล่นผ่านไปมาอย่างอุกอาจที่สุด และขึ้นชื่อที่สุดในยุคปัจจุบันอีกด้วย ประมาณการว่า ค่าเสียหายที่เกิดจากการปล้นของโจรสลัดทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ที่ปีละหลายแสนล้านบาท โดยโจรสลัดสมัยใหม่ใช้เรือยนต์ขนาดเล็กติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ที่ทันสมัย มีทั้งโทรศัพท์ดาวเทียม, จีพีเอส, ระบบเรดาห์และโซนาร์


น่านน้ำในทวีปเอเชีย ก็หนีไม่พ้นจากเป้าหมายในปฏิบัติการปล้นของโจรสลัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย จุดที่อยู่ระหว่างช่องแคบมะละกาและประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีเรือพาณิชย์แล่นผ่านกว่า 50,000 ลำต่อปี โดยโจรสลัดที่ทำการปล้นในแถบนี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปฏิบัติการปล้นจะใช้เรือเล็กเร็วเทียบขนานเรือใหญ่ แล้วปีนขึ้นเรืออย่างรวดเร็วและเงียบเชียบด้วยความชำนาญ จนบางครั้งลูกเรือใหญ่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่บางคนจะบริกรรมคาถา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในการกำบังกายได้ด้วย และสามารถควบคุมลูกเรือทั้งหมดให้อยู่ในจุดเดียวกัน ขณะที่บุคคลสำคัญ เช่น กัปตัน หรือต้นหน จะถูกกักตัวไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ ในบางครั้งอาจจะแค่ปล้นทรัพย์อย่างเดียว ส่วนตัวบุคคล หากไม่มีความจำเป็นหรือหมดประโยชน์แล้ว อาจมีการสังหารทิ้งศพลงทะเล


สำหรับโจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน ในยุคปัจจุบัน น่าจะเริ่มจากรัฐบาลที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนที่พ่ายแพ้แก่กองกำลังของคอมมิวนิสต์ ทั้งในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในช่วง ปี พ.ศ. 2518-2526 อันทำให้ชาวเวียดนามใต้จำนวนมาก หลั่งไหลหลบหนีออกจากประเทศ ด้วยเกรงภัยจากคอมมิวนิสต์ทั้งเวียดกง และเวียดนามเหนือ โดยชาวเวียดนามใต้ที่อพยพหนีภัยสงครามออกมา ส่วนใหญ่หลบหนีทางเรือมุ่งสู่ประเทศไทย และมาเลเซีย บางส่วนก็ไปยังฮ่องกงและฟิลิปปินส์ ผู้อพยพเหล่านี้ต่างนำทรัพย์สินมีค่าที่มีอยู่ติดตัวออกมา เช่น เครื่องประดับ และทองคำ และส่วนหนึ่งตกเป็นเหยื่อการปล้นของโจรสลัดในอ่าวไทย ซึ่งมีทั้งการปล้นเอาทรัพย์สิน ข่มขืน และฆ่า ตลอดจนนำหญิงสาวที่เหยื่อข่มขืนไปขายต่อให้กับซ่องโสเภณี และความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ โจรสลัดเหล่านั้น ส่วนหนึ่งคือ ชาวประมงไทยที่เปลี่ยนสภาพเป็นโจรสลัดด้วยความละโมบโลภมากนั้นเอง มีการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาโจรสลัดของประเทศไทยของรัฐบาลไทยในขณะนั้น ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ด้วยนโยบายของประเทศไทยที่มักแก้ไขที่ปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ คือ มุ่งเน้นการปราบปรามด้วยกำลังทหารเรือและตำรวจน้ำ แทนที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การสกัดกั้นการอพยพของประชาชนชาวเวียดนามทางทะเลอ่าวไทย การปล้นเรืออพยพของโจรสลัดในอ่าวไทยลดจำนวนลง ด้วยการอพยพของผู้อพยพเวียดนามลดลงเรื่อย ๆ จนไม่มีปรากฏอีก กระทั่งหมดลงในราวปี พ.ศ. 2530 โจรสลัดเหล่านั้นจึงเปลี่ยนมาปล้นเรือประมงแทน มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ยังไม่อาจยืนยันได้ ด้วยความที่มีข่าวเล่าลือกันว่า กองทัพเรือได้จัดทหารเรือพร้อมอาวุธ ลงประจำในเรือประมงแทรกซึมอยู่ในหมู่เรือประมง และได้ทำการกวาดล้างจับกุมโจรสลัดเหล่านี้ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โจรสลัดหมดไปจากอ่าวไทย


ทุกวันนี้ทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะเดียวกันภูมิประเทศที่เป็นเกาะเล็กเกาะน้อย ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มโจรสลัดสามารถใช้เป็นที่กบดานได้ง่าย นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณช่องแคบมะละกาก็ยังเป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งสินค้ากว่า 1 ใน 4 ของโลก มีเรือขนส่งน้ำมันกว่าครึ่งหนึ่งของโลกเดินทางผ่านเส้นทางนี้ ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงกลายเป็นศูนย์กลางของการปล้นสะดมเรือสินค้า และเรือประมงของโลกโจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน


สำหรับสถานการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด บริเวณน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ห้วงปี พ.ศ. 2565-2566 ในภาพรวมมีจำนวนเหตุการณ์สูงขึ้นกว่าในปี พ.ศ. 2564 แต่ก็ยังต่ำกว่าในปี พ.ศ. 2563 โดยสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ที่เพิ่มขึ้น อาจมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ลดความรุนแรงลง ซึ่งนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์/จำกัดการเคลื่อนไหว ของเรือในน่านน้ำแต่ละประเทศ และน่านน้ำในภูมิภาค ทำให้โจรสลัดมีโอกาสกระทำความผิดได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากการคลายข้อจำกัดของ COVID-19 ดังกล่าว โดยเหตุการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด และปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเล ในน่านน้ำอาเซียนส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นในช่องแคบสิงคโปร์ ตามมาด้วยน่านน้ำในประเทศเมียนมา และ จุดจอดเรือ Belawan บระเทศอินโดนีเซีย (บริเวณใกล้เคียงกับช่องแคบมะละกา) ซึ่งเรือบรรทุกสินค้าเทกอง (Bulk Carrier) เป็นประเภทเรือที่มีการถูกปล้น/ลักลอบขึ้นเรือมากที่สุดในน่านน้ำอาเซียน ตามมาด้วยเรือบรรทุกน้ำมัน และเรือลากจูง เนื่องจากเรือเหล่านี้มีระวางขับน้ำที่ต่ำกว่า และต้องใช้ความเร็วที่ช้าเมื่อผ่านพื้นที่เดินเรือที่จำกัดและตื้น (ช่องแคบต่างๆ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรทุกสินค้ามาเต็มพิกัด


วิธีการปล้นเรือ/ลักลอบขึ้นเรือ จะเป็นในลักษณะการฉวยโอกาส โดยผู้กระทำผิดจะมุ่งเป้าไปที่เรือเคลื่อนที่ช้าและมีตัวเรือเหนือแนวน้ำต่ำ (Free Board) ซึ่งง่ายต่อการปีนขึ้นเรือ โดยขณะกระทำความผิดอาจมีอาวุธหรือไม่มีก็ได้ ส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนบนเรือและจะหลบหนีเมื่อถูกพบเห็น ในหลายกรณีมีรายงานว่า เรือที่ประสบเหตุไม่มีอะไรถูกขโมย แต่หากถูกขโมยก็จะเป็นสิ่งของประเภทเครื่องมือต่างๆ บนเรือ เศษเหล็ก หรืออะไหล่ หรือสินค้าหลักที่บรรทุกมาบนเรือ ซึ่งบางเหตุการณ์เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ และวิธีที่ใช้ปฏิบัติการ มีความเป็นไปได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดกลุ่มเดียวกัน ที่มุ่งเป้าไปที่เรือหลายลำในคืนเดียวกัน


ปัจจุบันปัญหา ‘โจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน’ ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทหรือเจ้าของเรือ จากความไม่ปลอดภัยของโจรสลัดที่ทำการปล้น หรือเรียกค่าคุ้มครองกับเรือขนส่งสินค้าที่แล่นผ่านไปมาในบริเวณเส้นทางช่องแคบมะละกา ที่มีการปล้นเรือสินค้าเป็นประจำเพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุที่การเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว ต้องแล่นผ่านช่องแคบที่มีเกาะแก่งอยู่มากมายหลายแห่ง ทำให้ง่ายต่อการหลบหนีและหลบซ่อนของเหล่าโจรสลัดที่ใช้เรือยนต์ขนาดเล็ก และทำให้กองกำลังของรัฐบาลต่างๆ ไม่สามารถปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมได้โดยง่าย มูลค่าความเสียหายจาก โจรสลัดในน่านน้ำอาเซียนประเมินว่าสร้างความเสียหายแก่บริษัทเดินเรือและประมงเฉลี่ยโดยรวมในแต่ละปีนับหมื่นล้านบาท


แม้ชาติอาเซียนมีความกระตือรือร้นในการจัดการปัญหาดังกล่าว อาทิ ฟิลิปปินส์ ได้ร่วมกับสหรัฐฯ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคนประจำเรือเพื่อการต่อต้านโจรสลัด (Seafarers’ Training-Counter Piracy Workshop-EAST-CP) เพื่อให้คนประจำเรือที่เข้าร่วมการฝึก พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากถูกบุกโจมตีหรือจับกุมโดยโจรสลัด ขณะที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ริเริ่มโครงการลาดตระเวนทางอากาศบริเวณช่องแคบมะละกา เรียกว่า ‘Eyes in the Sky’ เพื่อร่วมมือกันป้องกันภัยคุกคามทางทะเลในช่องแคบมะละกาและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ :


‘องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ’ (International Maritime Organization : IMO) เป็นองค์การชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ (UN specialized agency) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นองค์กรกลางในการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติเพื่อ ความปลอดภัยในการเดินเรือและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศสมาชิก ปัจจุบันมีสมาชิกจานวน 174 ประเทศ และสมาชิกสมทบ โดยหน้าที่และความรับผิดชอบหลักประกอบด้วย ความปลอดภัยในการขนส่งทางทะเล, การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, การรักษาความปลอดภัยทางทะเล : เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความปลอดภัยทางทะเล โดยพัฒนามาตรการในการป้องกันการกระทำอันเป็นโจรสลัด การปล้นเรือด้วยอาวุธ และภัยคุกคามด้านความปลอดภัยอื่นๆ รวมทั้งมาตรการในการรักษาความปลอดภัยท่าเรือระหว่างประเทศ (International Ship and Port Facility Security Code (ISPS Code)), การสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ, การดำเนินการด้านกฎหมาย, ความร่วมมือทางเทคนิคและการสร้างขีดความสามารถ และการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง


‘International Maritime Bureau’ (IMB) เป็นหน่วยงานเฉพาะของ สภาหอการค้านานาชาติ (International Chamber Of Commerce (ICC)) IMB เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2524 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางทะเลทุกประเภท ตามมติ A 504 (XII) (5) และ (9) ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่รับรองเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาล ผลประโยชน์และองค์กรทั้งหมด ร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันกับ IMB โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาและพัฒนาการดำเนินการร่วมกันในการต่อต้านการฉ้อโกงทางทะเล ทั้งนี้ IMB มี MOU กับองค์การศุลกากรโลก (WCO) และมีสถานะผู้สังเกตการณ์ในองค์การตำรวจสากล (Interpol (ICPO))


‘Regional Cooperation Agreement on Combating Piracy and Armed Robbery against ships in Asia’ (ReCAAP) ก่อตั้งขึ้นจากการที่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 มีเหตุการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยธุรกิจการเดินเรือระหว่างประเทศ และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทำให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาครู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับภัยคุกคามทางทะเลรูปแบบใหม่ลักษณะดังกล่าว จึงได้รวมตัวกันจัดการประชุมระดับภูมิภาค ว่าด้วยการต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธต่อเรือในภูมิภาคเอเชีย ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 เรียกว่า ‘การประชุม Asia Challenge 2000’ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และได้มีการรับรองในที่ประชุม เรียกร้องให้รัฐบาล หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และอุตสาหกรรมการเดินเรือ ให้มีการร่วมมือกันในความพยายามในการต่อสู้กับกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเลที่มีความรุนแรงให้ห้วงเวลาดังกล่าว


ประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศต่างๆ นอกภูมิภาคอีก 6 ประเทศ ร่วมกับหน่วยงานด้านการขนส่งทางทะเลในภูมิภาค ได้ร่วมลงนามในความตกลงความร่วมมือระดับภูมิภาค ว่าด้วยการต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการโจรกรรมด้วยอาวุธต่อเรือในเอเชีย (ReCAAP) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 นับเป็นข้อตกลงฉบับแรกและฉบับเดียวที่เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาค ในระยะเริ่มต้นโดยมีประเทศในเอเชีย 14 ประเทศเป็นภาคีคู่สัญญา ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ReCAAP ได้ก่อตั้งขึ้นในสิงคโปร์ และเปิดตัวเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปัจจุบัน ReCAAP จำนวน 21 รัฐ (14 ประเทศในเอเชีย, 5 ประเทศในยุโรป, ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา) ได้เข้าเป็นภาคีคู่สัญญากับ ReCAAP ทั้งนี้ มาเลเซียปฏิเสธการลงนาม เพราะมองว่ารูปแบบการทำงานของ ReCAPP ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ที่สิงคโปร์ จะทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของศูนย์รายงานโจรสลัดของ IMB ที่ตั้งอยู่ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการวิเคราะห์วิจัยในพื้นที่เฝ้าระวัง ทำให้รายงานของหน่วยงานทั้ง 2 สถาบันบางส่วนขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาดใจ ขณะที่อินโดนีเซียก็ไม่ยินยอมให้สัตยาบันในข้อตกลง ReCAPP ด้วยเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจละเมิดอธิปไตยของอินโดนีเซีย และมองว่าปัญหาโจรสลัดเป็นปัญหาความมั่นคงภายในของอินโดนีเซียเอง สามารถแก้ไขได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเสริมความเข้มแข็งให้กับกองทัพเรือในการลาดตระเวน และจัดการกับกลุ่มโจรสลัดที่แฝงตัวอยู่ตามหมู่เกาะต่างๆ


‘Information Fusion Centre’ (IFC) เป็นความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความมั่นคงทางทะเลระหว่างสมาชิก เช่น กองทัพเรือ หน่วยยามฝั่ง และหน่วยงานทางทะเลจากประเทศต่างๆ ในพื้นที่สนใจ (AOI) ในมหาสมุทรอินเดียตะวันออก และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารทางทะเลระดับภูมิภาค มีความมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางทะเล และให้การแจ้งเตือนล่วงหน้า และข้อมูลที่หน่วยงานความมั่นคงทางทะเลและอุตสาหกรรมเดินเรือ และที่เกี่ยวข้องทางทะเลสามารถน้ำไปใช้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้ เพื่อเตรียมการรับมืออย่างทันการ ปัจจุบัน IFC มีสมาชิก 25 ประเทศ (Australia, Brunei, Cambodia, Canada, China, Chile, France, Germany, Greece, India, Indonesia, Italy, Japan, Korea, Malaysia, Myanmar, New Zealand, Pakistan, Peru, Philippines, South Africa, Thailand, United Kingdom, United States and Vietnam)


ข้อจำกัดของความร่วมมือด้านความมั่นคงของอาเซียนในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นอุปสรรคที่น่ากังวล และทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโจรสลัดให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างสมบูรณ์ หากแต่ละประเทศยังคงไม่แก้ไขกฎหมายทางทะเลที่มีความหละหลวม ทั้งยังมีปัญหาขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมไปถึงปัญหาเรื่องการประสานงานระหว่างประเทศอย่างไม่จริงจังในการต่อต้านโจรสลัด เนื่องจากหลายประเทศมักมีข้อพิพาทด้านอธิปไตยเหนือดินแดนทางทะเลระหว่างกัน จนเป็นเหตุให้แต่ละประเทศเกรงว่า การยอมลงนามในข้อตกลงทางทะเลระหว่างประเทศใดๆ อาจกลายเป็นการยอมรับสิทธิอันชอบธรรมทางกฎหมายเหนือดินแดนทางทะเลของชาติอื่นอย่างไม่ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการหวงแหนอธิปไตยของชาติอาเซียน จนกลายเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภาพรวมของการเป็นประชาคมการเมือง-ความมั่นคงอาเซียน แต่ข่าวดีในปัจจุบันนี้ก็คือ ตัวเลขจำนวนการกระทำอันเป็นโจรสลัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มลดลง ทำให้ทุกวันนี้ปัญหาโจรสลัดในน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงพอบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง

ชมคลิป ดร.โญมีเรื่องเล่า ‘โจรสลัด’ https://youtu.be/hbQ-bjDoZqc

'สรรเพชญ' จี้ รัฐบาลใหม่ดันเรื่องยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เสนอ 3 มาตรการ 'ป้องกัน-ปราบปราม-ฟื้นฟู' ขจัดปัญหาให้สิ้น

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายผลการปฏิบัติงานของ ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี 2564 โดยนายสรรเพชญกล่าวว่า "ยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกรัฐบาลพยายามแก้ไขและให้ความสำคัญ แต่ปัญหายาเสพติดก็ยังไม่ทุเลาเบาบางลง จากสถิติของการจับกุมคดียาเสพติด พบว่า ปี 2564 มีการจับกุมคดียาเสพติด ทั้งหมด 337,186 คดี ผู้ต้องหา 350,758 คน ซึ่งตัวเลขที่มากขนาดนี้ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ควรจะได้รับการแก้ไขปราบปรามอย่างจริงจังโดยเร็ว"

นายสรรเพชญ ได้กล่าวต่อว่า "ตนมีความห่วงใยกับสถานการณ์ยาเสพติดที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากยาเสพติดในทุกวันนี้เข้าถึงทุกชุมชน ทุกหมู่บ้าน และยังมีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย"

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ได้เสนอ 3 มาตรการ ในการจัดการกับปัญหายาเสพติด คือ ‘มาตรการในการป้องกัน ปราบปราม และฟื้นฟู’ โดย ‘มาตรการในการป้องกัน’ คือ การให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง รวมถึงให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ของตน ‘มาตรการที่สอง คือ การปราบปราม’ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมสรรพกำลังในการทำงานให้สอดคล้องกัน และสุดท้าย ‘มาตรการในการฟื้นฟู’ ต้องให้ผู้ที่เคยกระทำความผิด ได้กลับตัวกลับใจเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังได้รับการฟื้นฟู มีงานทำ มีรายได้ จะได้ไม่ต้องกลับเข้าไปสู่วงจรยาเสพติดอีก

"โดยทั้งสามมาตรการที่ได้เสนอไป ตนเชื่อว่าอาจจะช่วยให้ ป.ป.ส. สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และปราบปรามยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่เพียงแต่ ป.ป.ส. ที่ต้องจัดการแก้ไขเพียงหน่วยงานเดียว แต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ควรที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด เพื่ออนาคตที่ดี และชีวิตที่มีคุณภาพของลูกหลาน จะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดในอนาคตต่อไป" นายสรรเพชญ กล่าว

'เดียร์น่า' ให้เกียรติ 'ลิซ่า' ไม่ถามล้วงลึก ปม 'ต่อสัญญา-ออกเดต' ให้เจ้าตัวเฉลย

(11 ส.ค.66) กลายเป็นโฆษกประจำตัวฝั่งไทยของนักร้องสาวซุป'ตาร์ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’ ไปเรียบร้อย สำหรับนางเอกสาว ‘เดียร์น่า ฟลีโป’ ที่ตอนนี้เพื่อนสาวรุ่นน้องกำลังมีสารพัดข่าวลือเพียบ ไม่ว่าจะเป็นกระแสข่าวว่าจะต่อสัญญาหรือไม่กับต้นสังกัด YG Entertainment เพราะล่าสุดสัญญาเดิมได้หมดไปเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมาแล้ว

รวมถึงประเด็นฮอตในตอนนี้ที่ว่า ‘ลิซ่า’ ออกเดตอีกครั้งกับหนุ่มนักธุรกิจระดับอภิมหาเศรษฐี ‘เฟรเดอริค อาร์โนลด์’ ชาวฝรั่งเศส ทายาทผู้บริหารกลุ่ม LVMH และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร TAG Heuer นาฬิกาแบรนด์หรูอีกด้วย ซึ่งภาพที่สร้างเสียงฮือฮานั้นเป็นภาพที่ชาวเน็ตจับมาโยงกันว่าทั้งคู่อาจจะอยู่ในสถานที่เดียวกัน เพราะในหลายๆ มุมดูจะบังเอิญเหมือนกันซะเหลือเกิน

ซึ่งสาว ‘เดียร์น่า’ ก็ได้เผยถึงเรื่องนี้ในงานเปิดตัวโครงการ Princess Collection ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน บอกว่าไม่แน่ใจเรื่องการต่อสัญญา เพราะไม่เคยคุยเรื่องลึกแบบนี้ ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเองดีกว่า

“เหมือนเราเพิ่งเห็นเขาเดบิวต์มาใหม่ๆ และตอนนี้ผ่านไป 7 ปี ก็เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความสำเร็จอะไรมากมาย ก็ดีใจกับเขาค่ะ ก็ยังไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีค่ะ แค่กดไลก์รูปปกติ และไลก์ตามไอจีของสมาชิกเมมเบอร์ทุกคนค่ะ ก็รู้สึกว่าเป็น 7 ปีที่เราได้ฟังเพลงที่ดีมากๆ เลยค่ะ ก็ดีใจที่เขาครบ 7 ปี

เรื่องต่อสัญญาเดียร์ก็ลุ้นเหมือนกัน มีแต่คนถามเดียร์เหมือนกันว่ารู้ไหมว่าอะไรเป็นยังไงบ้าง แต่เดียร์ไม่รู้เบื้องลึกยังไงเลยค่ะ เดียร์ก็รอฟังข่าวพร้อมทุกคนเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ต่อก็คงใจหายนะ เพราะเดียร์ก็รู้สึกเหมือนทุกคน เพราะเราอยู่กับเพลงเขามาตั้งแต่เริ่มแรก พอวันนึงถ้าไม่มีการต่อสัญญาก็คงใจหายเหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้นะ อาจจะต่อก็ได้ (ยิ้ม) แต่ยังไงก็ยังอยากเห็น 4 คนเหมือนเดิมค่ะ อยากเห็นทุกอย่าง แม้กระทั่งจะโซโล่เดี่ยวก็อยากเห็น จะเป็นวงเราก็อยากเห็น ซัปพอร์ตทุกคน 

ก็รอเวลาแหละค่ะ เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะชัดเจนในเวลาของเขา น้องก็ไม่ได้มีมาเปรยๆ กับเดียร์นะคะ แค่รู้ว่าเป็นช่วงใกล้จะหมดสัญญา แต่เรื่องต่อหรือไม่ต่ออันนี้ไม่ได้ถามลึกเลย เพราะเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นอยู่กับเขา ให้เขาตัดสินใจเอง เราก็ไม่อยากไปถามอะไรมาก”

>> บอกภาพชุดว่ายน้ำล่าสุดเห็นแล้ว เพราะครั้งนี้แซบสุด?
“เห็นแล้วก็ว้าวอยู่ค่ะ (หัวเราะ) คือเดียร์ก็เคยเห็นเขาใส่ชุดว่ายน้ำบ้าง แต่ไม่เคยเห็นลงรูป ไม่เคยเห็นจังๆ แบบนี้ คือเลื่อนมาแล้วเจอเลย ไม่ต้องมีซีทรูบางๆ มากัน ก็ว่าจะแซววันนี้เลยค่ะ แต่พอดีมางานก่อน ก็เลยยังไม่ได้แซว ก็คงจะแซวว่า โอ้โห หุ่นดีนะ คือเคยเห็นแล้วค่ะตอนไปทะเลด้วยกัน แต่เขาไม่ได้ลงรูปที่ใส่แบบนี้ จะเป็นอีกชุดนึงที่เห็นเล็กๆ เบาๆ แต่ครั้งนี้แซบสุด แต่เขาหุ่นดีทำอะไรก็ได้ มองแล้วสวยงาม เขาหุ่นดีอยู่แล้วค่ะ ตรงปก ตัวเล็ก เอวเล็กมาก เอวเล็กกว่าเดียร์อีกค่ะ

เรื่องห้ามคงไม่หรอก อันนี้มันเป็นสิทธิของเขา อินสตาแกรมเขา เดียร์เชื่อว่าเขาคิดมาแล้วว่าเขาจะลงอะไร ว่าเขาไปเที่ยวทะเลก็ใส่บิกินี่ได้ ไม่ได้ผิดอะไร เดียร์ว่าสวยดีนะ เห็นหลังแล้วอยากเห็นหน้าเหรอ เดี๋ยวบอกให้ค่ะ (หัวเราะ) เดียร์ก็อยากเห็นเหมือนกัน แต่รู้ว่าสวยแน่นอน”

>> ปัดไม่รู้เรื่องเดต แต่ขอให้ซัปพอร์ตในความเป็นตัวตนกันดีกว่า?
“ข่าวลือเดตเหรอ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ แต่อันนี้เดียร์ไม่รู้รายละเอียดเลยค่ะว่าไปยังไงกับใคร เพราะอย่างที่บอกยังไม่ได้ทันได้คุย ยังไม่ทันได้แซวรูปเลยด้วยซ้ำ แต่รอบที่แล้วก็เคยเห็นข่าวอยู่ค่ะ ก็เห็นเป็นกระแสในโซเชียล แต่ยังไม่ได้ถามอะไร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เดียร์ก็ไม่อยากที่จะไปทำให้เขาลำบากใจในการที่จะต้องตอบ หรือบางทีเขาอาจจะมีเรื่องเครียดอยู่แล้ว เดียร์ว่าแค่ทัวร์คอนเสิร์ตก็เครียดแล้วนะ และเหนื่อยมากๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการคุยให้กำลังใจ ซัปพอร์ตให้สู้ๆ นะ วันนี้คอนฯ ที่ไหน ประเทศไหนบ้างมากกว่า

ปกติก็ไม่เคยมาปรึกษาเรื่องหัวใจกันอยู่แล้วค่ะ ก็แปลกดี หรือว่าตอนจังหวะเจอกันเพื่อนๆ ทุกคนเยอะ ก็เลยจะคุยแต่เรื่องเฮฮาเบาสมองกัน ไม่ได้มีเรื่องนี้เลยค่ะ แต่ส่วนตัวเดียร์เชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาอยู่แล้ว เดียร์เชื่อว่าน้องโตแล้ว และเขาคิดมาถี่ถ้วนแล้วในการที่เขาจะทำอะไร หรือจะลงรูปอะไร เดียร์ว่าให้เกียรติเขา และรักในตัวตนที่เขาเป็นกันดีกว่า 

แต่ถามว่าเชียร์ไหม ก็ให้กำลังใจ เขารักใครเราก็รักด้วยอยู่แล้ว เป็นอย่างนั้นไปดีกว่า ก็ธรรมดาค่ะ ผู้หญิงสวย ธรรมดาที่เขาจะต้องมีข่าวอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ หมายถึงว่าเขาก็จะต้องมีคนเข้ามาชื่นชอบเขาเยอะ เดียร์ว่าเขาเลือกได้อีกเยอะ ระดับนี้ ก็ให้กำลังใจเขากันไปดีกว่า เดียร์ว่ารออัปเดตอะไรจากปากเขากันดีกว่า”

'ก.ล.ต.' ลงโทษทางแพ่ง 2 ผู้บริหาร สั่งปรับ 5 ล้านบาท ฐานอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครองซื้อหุ้น TIPCO

เมื่อวันที่ 8 ส.ค.66 ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับบุคคล 2 ราย ได้แก่ (1) นางสาวลักษณา ทรัพย์สาคร และ (2) นายสมมารถ ธูปจินดา กรณีร่วมกันซื้อหุ้นบริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) (TIPCO) โดยอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครอง โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินรวม 4,970,880 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามทั้ง 2 รายเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า นางสาวลักษณา ซึ่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของ TIPCO และกรรมการของบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO) ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น TIPCO เกี่ยวกับการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (ครั้งที่ 2) ประจำปี 2563 และเงินปันผลประจำปี 2563 ของ TIPCO ในอัตรารวมหุ้นละ 0.69 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากรอบปกติ และเป็นการจ่ายในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีของ TIPCO โดยภายหลังการล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าว นางสาวลักษณาได้ร่วมกับนายสมมารถซื้อหุ้น TIPCO ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายสมมารถ ก่อนที่ TIPCO จะเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

การกระทำของนางสาวลักษณาและนายสมมารถ กรณีร่วมกันซื้อหุ้น TIPCO โดยอาศัยข้อมูลภายในดังกล่าว เป็นความผิดตามมาตรา 242(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ* กับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ (ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร) ดังนี้...

(1) ให้นางสาวลักษณา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,485,440 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน

(2) ให้นายสมมารถ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,485,440 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

หมายเหตุ: ***มาตรา 317/1 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ให้การกระทำความผิดอาญาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดได้

อ่านรายละเอียด 'การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง' (Civil Sanctions) ได้ที่: https://www.sec.or.th/TH/Pages/LawandRegulations/CivilPenalty.aspx

'เขมร' เคลมดื้อๆ!! บอกแท้จริงศึก U19 'ไทย-ญี่ปุ่น' คือ 'เขมร-ญี่ปุ่น' เพราะนักกีฬาหลายคนมาจากบุรีรัมย์ ต้องเหมาว่าเป็นคนเขมร

(11 ส.ค.66) หลังจากทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย รุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการชิงแชมป์โลก ที่ประเทศโครเอเชีย สามารถผ่านเข้าไปชิงอันดับ 5 กับเจ้าภาพได้สำเร็จ 

โดยแมตช์ล่าสุดทีมตบลูกยางสาวไทยล้างแค้นเอาชนะ บัลแกเรีย 3-1 เซต ในรอบจัดอันดับ 5-8 ทำให้พวกเธอผ่านเข้าไปชิงอันดับ 5 ในทัวร์นาเมนต์กับสาวโครเอเชียเจ้าภาพ 

อย่างไรก็ดีแมตช์ที่แฟนกีฬาตบลูกยางให้ความชื่นชมมากที่สุด เป็นเกมที่ ไทย พ่ายแพ้ให้กับ ญี่ปุ่น 2-3 เซต ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งไฮไลท์ในแมตช์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปชมผ่านช่องทางยูทูบของ Volleyball World มากกว่า 2 ล้านวิว 

กระนั้นก็มีชาวเน็ตจากกัมพูชา นามว่า 'pinbeeth6070' เข้ามาคอมเมนต์อ้างว่าแมตช์นี้เป็นการเจอกันของ กัมพูชา กับ ญี่ปุ่น ไม่ใช่ทีมชาติไทยแต่อย่างใด และอ้างเหตุผลที่ว่านักกีฬาหลายคนของทีมตบลูกยางสาวไทย U19 มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ เลยถูกเหมารวมว่าเป็นคนเขมร 

'หมอเก่ง' ยอมรับคุย 'ไผ่ ลิกค์' ชวนโหวตจริง แต่ถามในบริบทเพื่อน ไม่ได้ดีลให้ร่วมรัฐบาล

จากกรณีที่ นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคจะโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยพาดพิงว่าพรรคก้าวไกล ก็เคยมาขอคะแนนจากพรรค พปชร.ให้โหวตให้แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกลเช่นกันนั้น

ซึ่งต่อมานายไผ่ ออกมาเปิดเผยว่าคนจากพรรคก้าวไกล ที่โทรมาขอคะแนนเสียงจากพรรค พปชร.คือ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งวันที่โทรมาขอนั้น มีมดดำ คชาภา ตันเจริญ อยู่ด้วย

ล่าสุด นพ.วาโย เปิดใจในรายการแฉของ มดดำ คชาภา ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ต้องตอบว่า จริง แต่ขอเล่าในบริบทวันนั้น ตนอยู่บ้านของมดดำ และเราก็นั่งคุยกันสบายๆ ซึ่งตนก็จำไม่ได้ว่าใครโทรหาใครก่อน เพราะตอนนั้นพรรคก้าวไกล สื่อสารกับ สส. ทุกพรรค เพื่อให้ช่วยกันโหวตนายพิธา เป็นนายกฯ เพราะว่าเราต้องการปิดสวิตช์ สว. โดยพฤติการณ์ตอนนั้น ยอมรับเลยว่า เราต้องการให้ช่วยโหวต นายพิธา เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่มาจากพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง และพรรคอันดับหนึ่งสามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่งของ สภาผู้แทนราษฎร เราก็เรียกร้องไปกับทุกฝ่ายทั้ง สส. และ สว. เราพยายามคุยกับทุกคนเท่าที่จะคุยได้

ซึ่งในส่วนของพรรค พปชร. คนที่จะพูดคุยด้วยได้มีไม่เยอะมาก หนึ่งในนั้นที่เราคุยเล่นได้ได้ คือ นายไผ่ วันนั้น เราคุยกันแบบเพื่อนคุยกัน แล้วมดดำก็อยู่ด้วย

มดดำถามว่า แต่ทางนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมายืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่เคยขอให้ พรรค พปชร.โหวตให้ ด้าน นพ.วาโย กล่าวว่า "ถูกต้อง วันนั้นไม่ใช่การดีลกันเป็นกิจลักษณะเพื่อให้มาโหวตกัน และร่วมรัฐบาลกัน เรียกว่าขอลม ว่างั้นเถอะ เราขอแบบเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันทำงานร่วมกันมาที่มีความสนิทระดับหนึ่ง"

'อันฮุย' ขุดพบ 'เครื่องมือหิน' ช่วยขุดเจาะหาหยกในอดีต ทึ่ง!! เป็นเทคนิคการเจาะขั้นสูงสมัยเกือบ 6 พันปีก่อน

เหอเฝย, 10 ส.ค. (ซินหัว) — เครื่องมือหินที่ขุดพบจากแหล่งโบราณวัตถุหลิงเจียทาน เมืองหม่าอันซาน ในมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน เผยเทคนิคการขุดเจาะขั้นสูงของจีนโบราณ โดยเชื่อว่าเคยถูกใช้เพื่อประดิษฐ์เครื่องหยก

เจี่ยเหล่ย ไกด์นำเที่ยวประจำแหล่งโบราณวัตถุฯ เผยว่าเครื่องมือหินดังกล่าวยาว 6.3 เซนติเมตร ทำมาจากหินกรวด มีชิ้นส่วนทรงเกลียวที่ปลายทั้งสองด้าน และยังพบร่องบนตัวเครื่องซึ่งเชื่อว่าใช้สำหรับรัดเชือกหรือสายคาดขณะทำเครื่องหยก

อนึ่ง แหล่งโบราณวัตถุหลิงเจียทาน เป็นที่ตั้งถิ่นฐานจากยุคหินใหม่ มีอายุราว 5,300-5,800 ปี ครอบคลุมพื้นที่ราว 1.6 ล้านตารางเมตร และมีชื่อเสียงจากเครื่องหยกที่ขุดพบในการขุดค้นหลายครั้งก่อน นับตั้งแต่มีการค้นพบสถานที่แห่งนี้ในปี 1985


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top