Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา 12 สิงหาคม 2566

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 91 พรรษา ด้วยความจงรักภักดีของข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันศุกร์ที่ 11 ส.ค.66 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และข้าราชการตำรวจในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งมีกำหนดการจัดงานพิธี ดังนี้

- เวลา 08.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล ณ ห้องสารสิน ชั้น 2  อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- เวลา 08.45 น. พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 92 รูป ณ ห้องศรียานนท์  ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- เวลา 10.15 น. พิธีถวายราชสักการะ พิธีถวายพระพรชัยมงคล และลงนามถวายพระพร ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคล  สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการตำรวจ ลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 ส.ค.66 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์  ระหว่างวันที่ 11-13 ส.ค. 66 https://wellwishes.royaloffice.th/

78 ปี 'บิ๊กป้อม' พร้อมหน้า '3ป.-นักการเมือง-ทหาร-ตำรวจ' ด้าน 'บิ๊กป๊อก' มอบโมเดลม้าหมุน ขอให้มีความสุขนิรันดร์

(11 ส.ค. 66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ วันครบรอบวันคล้ายวันเกิดพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อายุครบ 78 ปี โดยมีคนสนิทใกล้ชิด ทั้งนายทหาร นักการเมืองจากพรรคต่าง ๆ ทยอยมาเข้าร่วมอวยพร ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางมาในเวลา 08.00 น. โดยนำกระเช้าดอกไม้ พร้อมของขวัญมามอบให้

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทย นำโมเดลม้าหมุน 8 ตัว สีฟ้ามรกต แบบไขลาน ซึ่งมีความหมายว่า ให้มีความสุขแบบไม่มีที่สิ้นสุดมามอบให้แก่ พล.อ.ประวิตร พร้อมร่วมรับประทานอาหารเช้า และพูดคุยเป็นการส่วนตัวภายในห้องรับรอง ประมาณ 30 นาที ซึ่งในห้องนั้น มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา อยู่ด้วย พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้เข้ามาอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พล.อ.ประวิตร เท่านั้น 

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางกลับและผู้สื่อข่าวได้พยายามขอให้ถ่ายรูปร่วม 3ป. และได้อวยพรวันเกิด พล.อ.ประวิตร อย่างไรบ้าง แต่พล.อ.ประยุทธ์ ยิ้ม และไม่ตอบ 

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามพล.อ.อนุพงษ์ ที่เดินออกต่อกันมาถึงโมเดลม้าหมุน ที่มอบให้เป็นของขวัญ สื่อความหมายขอให้มีความสุขแบบไม่มีที่สิ้นสุด ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้พยักหน้ารับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อีกความหมายหนึ่งของโมเดลม้าหมุน 8 ตัว สีฟ้ามรกต แบบไขลาน คือ ชัยชนะ 8 ทิศ และเลื่อนหมุนตำแหน่ง 

สำหรับบรรยากาศที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในวันนี้มีแกนนำพรรคการเมือง และนายทหารเข้ามาอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดพล.อ.ประวิตร ต่อเนื่อง อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายพิชัย เตชะอุบล แกนนำพรรคพลังประชารัฐ, นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.พรรคไทยศรีวิไลย์, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, สมาชิก สว. และพล.อ.สนิธชนก สังฆจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม

จากนั้นในช่วง 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางมาอวยพรพลเอกประวิตรด้วย ขณะที่ในเวลา 11.00 น. พรรคพลังประชารัฐ และ สส.ทั้งหมดได้มาอวยพร นำโดยพรรคพลังประชารัฐ และสส.ทั้งหมด นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์ แก็งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกให้นักเรียนนักศึกษาถ่ายคลิปตัวเองเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. / หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย  ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องจากในช่วงนี้ มีคดีนักเรียนนักศึกษาถูกคนร้ายหลอกให้เรียกค่าไถ่จากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคดีจึงขอเตือนภัยพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังดูแลบุตรหลานของตนเอง และขอให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ช่วยกันสอดส่องดูแลนักเรียน นักศึกษา มิให้ตกเป็นเหยื่อ ดังนี้

เมื่อวันที่ 11   ส.ค.2566  พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./ หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรทางเทคโนโลยี ได้แถลงว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 มีคดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) จำนวน 20,000 กว่าเคส ข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2,000 กว่าเคส ซึ่งเดิมเป็นการโทรศัพท์หลอกบุคคลทั่วไปให้โอนเงิน แต่ช่วงนี้มีเคสที่น่าสนใจ จำนวน 4 เคส ซึ่งทั้ง 4 เคส มีรูปแบบการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือคนร้ายใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่แล้วส่งรูปบุตรหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้มาให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อบุตรหลานได้ จำต้องโอนเงินให้ไป ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว บุตรหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้น พ่อแม่คาดว่า เป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนลึกๆ พบว่า เป็นคดีที่บุตรหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่บุตรหลานว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และบังคับให้ถ่ายคลิป หรือ ภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มคนร้ายนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีบุตรหลานของตนเองหรือเข้าบัญชีม้า แล้วหลบหนีไป

สำหรับแผนประทุษกรรมคดีนี้ กลุ่มคนร้ายได้ใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ Voip (Voice Over Internet Protocol) หรือระบบ Internet โทรเข้าโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์พื้นฐานของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยสุ่มหรือเลือกกลุ่มนักศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนดี โดยคนร้ายได้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วแต่จะอ้างเพื่อข่มขู่ทำให้เหยื่อตกใจกลัวว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีหมายจับต่างๆ และมีความผิดมูลฐานฟอกเงิน โดยทำทีอ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้ และเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อโอนเงินมายังบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ที่กลุ่มคนร้ายได้จัดเตรียมไว้และหลอกลวงเงินของผู้เสียหายไป หากนักศึกษาหรือเหยื่อไม่มีเงินกลุ่มคนร้ายก็แนะนำให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อไปย้ายหรือออกจากห้องพักหรือที่พักปัจจุบันที่พักอยู่ใกล้กับสถานศึกษา และคนร้ายให้เหยื่อหรือผู้เสียหายไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ ซื้อเชือกมัด ผ้าเทปกาวจากร้านค้าเพื่อใช้พูดคุยโต้ตอบกับคนร้าย อีกทั้งคนร้ายยังสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อทำทีปิดโทรศัพท์ และสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อใช้ผ้าเทปและเชือกมัดมือมัดเท้าตัวเอง และถ่ายคลิปวีดิโอโดยใช้เครื่องของผู้เสียหายหรือเหยื่อเองเก็บเอาไว้ เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าถูกลักพาตัวและส่งคลิปดังกล่าวให้คนร้ายทางแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์ จากนั้นคนร้ายจะส่งคลิปไปยังพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เพื่อเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยการโอนเงินมีอยู่ 2 รูปแบบ 1.พ่อแม่โอนเงินไปให้เหยื่อแล้วเหยื่อโอนเงินต่อไปให้คนร้าย 2. พ่อแม่โอนเงินให้คนร้าย
ข้อสังเกตุ และข้อควรระวัง  
1. คนร้ายอาจจะหาข้อมูลหรือสุ่มคัดเลือกเหยื่อเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งพักอาศัยอยู่ตามหอพักหรือที่พักใกล้สถานศึกษาโดยเหยื่อเป็นบุคคลที่อยู่หอพักหรือที่พักเพียงคนเดียว ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
2. คนร้ายได้วางแผน และมีสคริปต์เพื่อเตรียมการพูดหลอกลวง และใช้ถ้อยคำที่มีประสบการณ์มาก เพื่อข่มขู่และชักจูงให้เหยื่อตกใจกลัว (เช่น โทรมาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีพัสดุตกค้าง แจ้งว่ามีหมายจับ หรือมีคนเอาข้อมูลไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วเอาบัญชีไปใช้ในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน) ขู่ว่าถ้าถูกดำเนินคดีจะไม่ได้เรียนต่อ และคล้อยตามคำสั่งของคนร้าย
3. คนร้ายใช้โทรศัพท์ผ่านระบบ Internet (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ซึ่งหมายเลขดังกล่าวจะมีหมายเลขไม่ถึง 10 หลักและมีเครื่องหมาย +697 +698 ซึ่งสังเกตุได้ว่าน่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรมาจากต่างประเทศหรือโทรผ่านระบบ Internet หากผู้เสียหายโทรย้อนกลับไปยังเบอร์ของคนร้าย จะไม่สามารถติดต่อได้ และหมายเลขดังกล่าวอาจจะไม่มีอยู่จริง เป็นการที่คนร้ายสร้างหมายเลขโทรศัพท์หรือปลอมเบอร์ (Fake)
4. คนร้ายได้มีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวง โดยผสมผสานระหว่างแผนประทุษกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับแผนประทุษกรรมการเรียกค่าไถ่ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนักศึกษา เพื่อทดแทนปริมาณเหยื่อที่ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยเชื่อถือของแผนประทุษกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม
5. คนร้ายเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักศึกษา เพราะนักศึกษาพักอยู่คนเดียวห่างจากครอบครัว มีการสั่งซื้อของ มีการหัดเริ่มลงทุนมีการยุ่งเกี่ยวกับการพนัน จึงทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงได้ง่ายและข้อมูลที่ใช้ข่มขู่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริง ควรระวังไม่ให้เหยื่อที่อยู่หอพักตามลำพัง ควรจะมีบัดดี้อยู่ด้วย

แนวทางการป้องกัน
สำหรับนักศึกษา
1. สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์ที่มีเครื่องหมาย +697 +698 นำหน้าให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์
2. สังเกตความผิดปกติของปลายสายได้จากคำถาม เช่น การถามชื่อ และข้อมูลส่วนตัวโดยตรง หรือการใช้ข้อความอัตโนมัติในการตอบรับแล้วให้เรากดเบอร์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ถ้ามีการสนทนาทาง Video call ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือ ภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่(คนร้ายสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้)
3. หากคนร้ายข่มขู่ว่ากระทำผิด และต้องไปแจ้งความหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความ สอบสวนปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่เกิดเหตุหรือสถานที่ราชการด้วยตนเอง หากมั่นใจว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพ วางสายทันที แจ้งเบาะแส กับหน่วยงานที่ดูแล เช่น ตำรวจ ธนาคาร ค่ายมือถือ หรือ กสทช.
4. หากคนร้ายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ  ให้สันนิษฐานว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อมูลบัญชีมีเพียงธนาคารที่ตรวจสอบได้ห้ามบอกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน รวมถึงห้ามโอนเงินตามคำกล่าวอ้าง
5. โหลดแอปฯ Who’s call ซึ่งสามารถตรวจสอบหมายเลข และจะระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก ช่วยให้ทราบว่าใครโทรมาทันที      
​6. หากคนร้ายส่งเอกสารมาข่มขู่  ให้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ออกเอกสารนั้นๆ โดยตรง หรือโทรหาตำรวจท้องที่ เบอร์ 191 หรือเบอร์ 1441 และเบอร์ 081-8663000 หรือเข้าพบพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ หรือปรึกษากับผู้ปกครอง 
​สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง นอกจากต้องรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันตัวสำหรับศึกษาดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มเติม มีดังนี้

1. หากคนร้ายข่มขู่ให้โอนเงินพร้อมส่งคลิปมาให้ดู  ให้รีบปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หรือ โทรสายด่วน  191 ,1441 และเบอร์ 081-8663000 เพื่อพิจารณาแยกแยะว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์หรือมีการจับตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ให้ความช่วยเหลือถูกวิธี
2. ก่อนโอนเงินให้ดูว่าเป็นบัญชีที่อยู่ในแบล็คลิสต์ที่ใช้กระทำความผิด หรือบัญชีม้าหรือไม่
ผศ.ดร.ศุภกร ปุญญฤทธิ์ ช่วยราชการสำนักงาน รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า นายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับทราบว่ามีคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้นักศึกษาจับตัวเองเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองโอนเงินให้คนร้าย จึงมีความห่วงใยนักศึกษาและพ่อแม่ผู้ปกครอง และได้มอบหมายให้มาร่วมแถลงข่าวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องแผนประทุษกรรมของคนร้าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีกลโกง จุดสังเกต และวิธีป้องกัน เพื่อจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปแจ้งเตือนนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบนี้ และไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว

พล.ต.อ.สมพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้คนร้ายจะเลือกเหยื่อที่เป็นนักศึกษา ซึ่งอาจจะไม่รู้เท่าทันคนร้าย อีกทั้งเป็นจุดอ่อนไหวของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความรักความห่วงใยบุตร - ธิดาของตนเองเป็นทุนเดิม โดยมีแผนประทุษกรรม ดังนี้ 

1. หลอกให้เหยื่อย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกเหยื่อว่ามี
ตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่
2. หลอกให้เหยื่อ ลบแอปพลิเคชันที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น
เพื่อไม่ให้เหยื่อติดต่อกับคนอื่น
3. หลอกให้เหยื่อปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ในการติดต่อกับคนร้าย  

รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line เหยื่อ ผ่าน Pc-iPad ตลอดเวลา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ที่อาจตกเป็นเหยื่อกลโกงของแก็งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบนี้ ได้รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของคนร้ายที่ได้พัฒนาวิธีการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ  และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com  Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.com 

‘BOI’ เผย ‘จีน’ นักลงทุนหลักในประเทศไทย ครึ่งแรกปี 66 ลงทุนแล้วกว่า 6.15 หมื่น ลบ.

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เว็บไซต์ไชน่านิวส์ (Chinanews.com) รายงานโดยอ้างอิงรายงานที่เผยแพร่โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทยไม่นานนี้ ว่าจีนได้กลายเป็นแหล่งการลงทุนหลักสำหรับไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2023

รายงานระบุว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ไทยดึงดูดโครงการลงทุนใหม่จากต่างประเทศ 507 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นโครงการจากจีน 132 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวม 6.15 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด

การลงทุนส่วนใหญ่ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ได้แก่ การผลิตยางล้อและผลิตภัณฑ์ยาง การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตเหล็ก อสังหาริมทรัพย์ การจัดหาและการจัดจำหน่ายพลังงาน

รายงานระบุว่าสืบเนื่องจากการลงทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของไทยจึงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา มีนักลงทุนจากจีนได้ยื่นคำขอการลงทุนมากกว่า 900 โครงการ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.26 แสนล้านบาท

‘ภูมิธรรม’ เบรก รบ.รักษาการแต่งตั้ง-โยกย้าย ขรก. ชี้!! ควรรักษามารยาท ปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาลชุดใหม่

(11 ส.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่อนแถลงการณ์ระบุว่า ในห้วงเวลานี้ เป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่จะมีรัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง จะเข้ามาบริหารประเทศ 

• ข้อเสนอต่อรัฐบาลรักษาการ

รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลรักษาการมีอำนาจหน้าที่อันจำกัด เช่น ห้ามอนุมัติโครงการที่จะสร้างความผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมถึง พนักงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ เพื่อรอให้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มทั้งจากตัวบทกฎหมาย และอาณัติจากประชาชนเข้ามาบริหารตามแนวนโยบายที่ได้ประกาศไว้กับพี่น้องประชาชน

ดังนั้น รัฐบาลรักษาการควรรักษามารยาทตามธรรมเนียมปฏิบัติ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยการยุติการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงทุกตำแหน่ง ที่จะมีผลต่อการผลักดันนโยบายของรัฐบาลใหม่

การกล่าวอ้างว่าจะมีข้าราชการระดับสูงเกษียณอายุราชการเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากยังไม่สิ้นปีงบประมาณ และกลไกระบบราชการยังสามารถดำเนินอยู่ได้

รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำนโยบายของรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศตามที่เสนอไว้ต่อพี่น้องประชาชน เพราะถือเป็นสัญญาประชาคมที่จะต้องเข้ามาเร่งดำเนินการทันที ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน และต้องอาศัยข้าราชการเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายให้ประสบผลสำเร็จ

ทั้งนี้เพราะปัญหาวิกฤตของประเทศมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจทุกกลุ่ม และฟื้นฟูความกินดี อยู่ดีของพี่น้องประชาชน 

ดังนั้นรัฐบาลใหม่จึงต้องมีกลไกที่สามารถขจัดอุปสรรค และเร่งทำตามนโยบายให้ลุล่วงโดยเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงการมีข้าราชการอย่างเช่นระดับปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ที่สามารถปฏิบัติงานในการตอบสนองการบริหารงานของรัฐบาลใหม่ เพื่อร่วมสร้างผลสำเร็จต่อทุกนโยบายของรัฐบาลใหมให้สามารถแก้วิกฤตของประเทศและประชาชนได้

สิ่งที่เรานำเสนอ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และความชอบธรรมของรัฐบาลใหม่ในการเข้ามาบริหารประเทศ และเป็นสิ่งที่รัฐบาลรักษาการไม่ควรกระทำอย่างยิ่งในช่วงรอยต่อที่รัฐบาลที่มีอำนาจเต็มจะเข้ามาบริหารประเทศ เพราะนอกจากจะผิดรัฐธรรมนูญแล้ว ยังผิดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ และมารยาททางการเมืองที่สำคัญยิ่ง

• ความคิดเห็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของปลัดกระทรวง ทุกกระทรวง

เนื่องจากท่านเป็นกลไกสำคัญในการตอบสนองการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภา เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ สามารถบรรลุผลอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่ท่านควรจะต้องชะลอการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ระดับสำคัญ โดยรอรับนโยบายจากรัฐบาลใหม่ เพื่อให้การทำงานร่วมกันกับรัฐบาลใหม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงและสามารถแก้วิกฤตของประเทศ ให้หลุดพ้นจากปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมกันมาโดยเร็ว

โดยหวังว่าท่านจะร่วมกับรัฐบาลใหม่ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างราบรื่น มาร่วมกันสร้างประเทศไทย ให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

‘ธนกร’ รับ ‘สมศักดิ์’ ชวนเข้าร่วมรัฐบาล ชี้ หากไปต้องไปทั้งพรรค มั่นใจ!! ไม่มีงูเห่า

(11 ส.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า มีการชักชวนเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตนกับนายสมศักดิ์ อยู่กันมานานเป็นเหมือนครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่คนละพรรคกันแต่ความสัมพันธ์ก็เหมือนเดิม ได้พูดคุยและพบกันบ่อยครั้ง มีกิจกรรมที่ชอบ เตะฟุตบอลได้เจอกันอยู่แล้วมีการคุยเรื่องการเมือง โดยคุยกันว่าถ้ามาก็ต้องมาทั้งพรรค เป็นการส่งสัญญาณมาทางตน แต่ตนไม่ได้อยู่ในวงเจรจาของพรรค แต่คนที่จะเจรจาคือหัวหน้าพรรค ตนจึงทำได้แค่ส่งสัญญาณให้พรรคทราบว่าทิศทางการเมืองเป็นแบบนี้ ส่วนการตัดสินใจทางพรรครวมไทยสร้างชาติอาจมีการประสานงานกันอยู่แล้วแต่ตนไม่ทราบ เพราะหัวหน้าพรรคยังไม่ได้บอก

ซึ่งนายสมศักดิ์ก็ไม่ได้บอกว่าคุยกับหัวหน้าพรรค เลขาพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ แต่เท่าที่ดูมีสัญญาณที่ดี แต่ตนเชื่อว่าการเมืองใกล้ถึงจุดที่จะจบแล้ว เท่าที่ดูบริบทต่าง ๆ คิดว่าอีกไม่นาน คงจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในเวลาที่เหมาะสม

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีเงื่อนไขอะไรในการจะร่วมรัฐบาลเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี นายธนกร กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ มีการทำงานในสภาของ สส.36 คน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว

ส่วนการเจรจาต่อรองต่าง ๆ คงจะไม่มี เพราะทำงานได้อยู่แล้วเพราะเรามีแค่ 36 คน ไม่ใช่มีเป็น 100 คน มีการพูดคุยกันแต่คงไม่ได้ไปต่อรองอะไร ย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมติพรรคหากจะออกมาเป็นอย่างไร สส.ทั้ง 36 คน พร้อมทำตาม แม้ว่าวันนี้อาจจะมองว่ามีปัญหาอะไรในพรรคหรือไม่มีการแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ นั้นเพราะมาจากหลากหลายความคิดเห็นแตกต่างก็เป็นเรื่องปกติแต่เชื่อว่าคุยกันได้หมด

ทั้งนี้ ส่วนตัวหากมีปัญหาอะไรแม้ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะไม่ยุ่งและเกี่ยวข้องกับพรรคแล้ว เลิกก็คือเลิกเลย แต่ตนก็ยังไปปรึกษาในหลายเรื่องเพราะตนอยู่กับ พลเอก ประยุทธ์ มานานแม้ว่าเลิกเล่นการเมืองไปแล้วในอนาคตทางการเมืองของตนก็ยังมีการปรึกษาทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไร และ พลเอก ประยุทธ์ ได้แนะนำในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทุกครั้งที่พูดไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนท่านจะให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก นึกถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก ท่านพูดแบบนี้ตลอด

เมื่อถามว่า หากจะเข้าร่วมรัฐบาลถ้าไปก็ต้องไปทั้งพรรค 36 คน ไม่มีงูเห่าใช่หรือไม่ นายธนกร ยืนยันว่า ตนมั่นใจว่า ไม่มี ถ้าไปก็ต้องไปทั้งพรรค เพราะการเมืองมันควรเป็นอารยธรรมทางการเมืองที่ดี แม้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ควรที่จะมีงูเห่า งูจงอาง อะไรแล้ว

บ้านรักไทย สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศจีน ล่องเรือไม้โบราณ ชมวิวรอบทะเลสาบ แบบชิลๆ

บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ที่ตั้งอยู่บนดอยสูง ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 44 กิโลเมตร ความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลย

เมื่อมาถึงที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้ว กิจกรรมที่ต้องทำก็คือ การล่องเรือไม้โบราณรอบทะเลสาบ เพื่อชมภาพบรรยากาศของหมู่บ้านที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสวยงามมาก

นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน ก็มีทั้งที่พักและร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของมากมาย ในสไตล์จีนยูนนาน เรียกได้ว่าเมื่อเข้าไปที่นี่แล้ว จะรู้สึกเหมือนว่าหลุดเข้าไปในเมืองจีนเลยก็ว่าได้ เป็นเสน่ห์ของหมู่บ้านรักไทยที่ทำให้หลายคนชื่นชอบ

หมู่บ้านแห่งนี้ เงียบสงบ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อนชมวิวทิวทัศน์ สัมผัสวิถีชีวิตชาวเขา ชิมอาหารพื้นเมือง และล่องเรือชมทะเลสาบได้ วันหยุดนี้ ถ้าใครยังไม่มีโปรแกรมจะไปเที่ยวที่ไหน THE STATES TIMES ขอแนะนำเลย

ข้อมูลเพิ่มเติม บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน

ที่ตั้ง : ตำบล หมอกจำแป่ อำเภอ เมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

พิกัด : https://goo.gl/maps/6fpyehrWZ2eD4d6b8

เรื่อง : กันย์ ฉันทภิญญา Content Manager

‘ไอซ์ รักชนก’ ขอบคุณ ‘วัน อยู่บำรุง’ ยังคงลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน

หลังจากเป็นกระแสดรามาและเกิดวิวาทะกันขึ้น ระหว่าง น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือไอซ์ สส.กทม. เขตบางบอน-จอมทอง-หนองแขม พรรคก้าวไกล กับ นายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.กทม. พรรคเพื่อไทย

แต่ล่าสุดเหมือนรอยร้าวของทั้ง 2 คนจะจบลงแล้ว เมื่อ น.ส.รักชนก รีโพสต์ของนายวัน ที่แม้จะไม่ได้เป็น สส. แต่ยังลงพื้นที่ทำงานให้กับประชาชนอยู่ โดยในโพสต์นั้น นายวันระบุว่า “ทางเดิน คสล.คลองสรศักดิ์ข้างโรงงานมิตซูมารุ บางบอน 5 ที่ผมประสานเขตบางบอนมาซ่อมแซม บัดนี้เรียบร้อยแล้วครับ #ใจถึงพึ่งได้ #ป๋าวันไม่ทิ้งประชาชน #ผู้แทนนอกสภา”

หลังจาก น.ส.รักชนก แชร์โพสต์ดังกล่าว ยังมีข้อความระบุว่า “พี่วันยังทำพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ยังคงเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่พี่น้องเหมือนดังเดิม น่ารักที่สุด ในฐานะ สส.เขตต้องขอบคุณแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชนด้วยค่ะ”

‘กรมควบคุมโรค’ ยัน!! ‘วัคซีนโควิด’ มีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิด ‘กล้ามเนื้ออ่อนแรง-มะเร็ง’ ตามสื่อโซเชียลอ้าง

(11 ส.ค.66) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์คลิปบนสื่อโซเชียลมีผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 พบภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วไป หรือเป็นโรคมะเร็ง ว่า กรมฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลและขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ ปัจจุบันยังไม่พบรายงานการเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือการเกิดมะเร็งที่เป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนโควิด และจากข้อมูลรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ จากคณะกรรมการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังการได้รับวัคซีน (AEFI) ที่ประกอบด้วยทีมผู้ทรงคุณวุฒิร่วมพิจารณา พบว่า ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่พบหลังการฉีดวัคซีน ได้แก่ ไข้ ปวดบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปกติจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว

"ส่วนอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ พบอุบัติการณ์ต่ำกว่า 1 ในล้านโดส ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าการติดเชื้อโควิดที่มีโอกาสป่วยหนักจนเสียชีวิตในผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน" นพ.ธเรศกล่าว

นพ.ธเรศกล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายที่ไม่เคยฉีดวัคซีนจะมีอาการหลงเหลือในระยะยาว (Long COVID) เนื่องจากในขณะที่ติดเชื้อโควิด ร่างกายมีการสร้างแอนติบอดีบางตัวขึ้นมา ไปจับกับเซลล์ของอวัยวะบางส่วนในร่างกาย และเกิดการทำลายอวัยวะ โดยอาการ Long COVID เป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่มีลักษณะตายตัว อาจเหมือนหรือต่างกันในแต่ละบุคคล เกิดผลกระทบขึ้นได้ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระบบหายใจ ระบบประสาท หัวใจและหลอดเลือด ทำให้ผู้ที่หายป่วยบางรายยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเดิม จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อโควิดส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวมากกว่าผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ดังนั้นขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือนดังกล่าว และไม่แชร์ข้อมูลต่อ หากมีปัญหาความปลอดภัยที่อาจเกิดจากวัคซีน กรมควบคุมโรคจะมีการประกาศแจ้งให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดมีแนวโน้มลดลงมาก หลังประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม ปัจจุบันมีผลงานการฉีดวัคซีนสะสมกว่า 147 ล้านโดส หรือมากกว่าร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในประเทศไทยลดลงอย่างชัดเจน จากข้อมูลของคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ระบุว่า วัคซีนโควิดสามารถปกป้องชีวิตคนในประเทศไทยมากกว่า 490,000 คน ดังนั้น ขอย้ำว่าวัคซีนโควิดช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้รับวัคซีน ครอบครัว และสังคม จนปัจจุบันแทบจะไม่มีผู้ฉีดวัคซีนครบโดสตามด้วยเข็มกระตุ้นติดโควิดเสียชีวิต ซึ่งไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดต่ำกว่าตัวเลขของประเทศทางตะวันตกหลายเท่า สะท้อนถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดที่มีประสิทธิภาพจากนโยบายและมาตรการที่ใช้ จนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ

‘สาวลูกครึ่งไทย-ลาว’ เผย มาเรียนหนังสือในไทยไม่ง่าย ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย หากไม่มีคุณอาคอยหนุนก็หมดโอกาส

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘Jenny Story’ หรือ ‘คุณเจน’ ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-ลาว ได้ออกมาตอบกลับคอมเมนต์สำหรับคนที่สงสัยว่า 'คนลาวที่มาเรียนอยู่ไทย หรือครอบครัวที่ส่งลูกมาอยู่ไทย เป็นครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย’ ซึ่งคุณเจนได้อธิบายโดยยกตัวอย่างครอบครัวของตนว่าฐานะทางบ้านนั้นไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แค่พอมีกินหรือฐานะปานกลาง แต่ได้รับโอกาสจาก ‘คุณอา’ ผู้คอยช่วยเหลือจนมีทุกวันนี้ โดยระบุว่า…

“ครอบครัวเจนพ่อแม่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมีเงินมีทองเยอะขนาดนั้น แต่มีแบบพออยู่พอกิน ไม่ถึงขั้นทุกข์ยากจนไม่มีกินเลยก็ไม่ใช่…ซึ่งก็คือฐานะปานกลางนั่นเอง ส่วนเรื่องที่เจนได้มาเรียนที่ไทย ส่วนหนึ่งคือคุณอาซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อแท้ ๆ เป็นคนไทย แต่แม่เป็นคนลาว และพ่อกับแม่ของเจนได้แยกทางกันแล้ว ส่วนกับพ่อยังติดต่อหากันตลอดเวลาที่เจนได้ไปอยู่ลาว มันเลยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกยังคงอยู่ ถึงแม้จะแยกทางกับแม่ไปแล้วก็ตาม ทีนี้คุณอาซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อได้มาถามเราว่าอยากเรียนไหม? เพราะเราเรียนจบมัธยมจากลาวมา ถ้าเกิดว่าจะมาทำงานมันก็ทำได้ แต่ว่าคุณอาอยากให้ได้เรียนมหาวิทยาลัย อยากให้ได้เข้าสังคมในมหาวิทยาลัย อยากให้เรียนรู้และเห็นมุมมองหลาย ๆ อย่าง เพื่อจะทำให้เราได้มีข้อเปรียบเทียบว่าการที่เราทำงานมันก็ดีอย่างหนึ่งและการที่เรียนหนังสือมันก็ดีอย่างหนึ่ง เราจะได้เห็นโลกอีกหลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ มุม”

“ดังนั้น คุณอาได้บอกว่าหากอยากเรียนเขาก็จะช่วยในเรื่องของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน คนละครึ่งกับแม่ เพราะอยากให้เราลองเรียนดูก่อนว่าไหวหรือไม่ไหว ส่วนตัวยอมรับเลยว่าไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเรียนได้ใน 4 ปีนี้ เพราะปริญญาตรีมันค่อนข้างยาก ทั้งเรื่องภาษาต่าง ๆ ระหว่างไทยกับลาว ซึ่งมันจะมีภาษาพูดที่คล้ายกันอยู่ แต่เรื่องภาษาเขียนมันจะยากในระดับหนึ่ง แม้มีประสบการณ์ในการได้เรียนแล้วเลยคิดว่ามันยังคงค่อนข้างที่จะยากอยู่ เพราะมันมีพยัญชนะที่เยอะกว่าลาว จึงไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเรียนได้ไหม? ก็ยัง 50/50 เพราะอะไรหลาย ๆ อย่าง”

“ซึ่งคุณอาเลยจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 จนถึงปี 4 ส่วนค่าใช้จ่ายต่อเดือนคือ 5,000 บาท แม่ให้ 3,000 บาท แล้วคุณอาให้อีก 2,000 บาท ซึ่งส่วนนี้คือค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้รวมค่าเทอมและไม่ได้รวมค่าหอ ค่าหอนั้นจะจ่ายแยกต่างหากประมาณ 16,000 บาทต่อหนึ่งปีที่เรียน และค่าเทอมประมาณ 22,000 บาทต่อหนึ่งปี รวมทั้ง 4 ปี ก็เป็นเงินที่หลายบาทอยู่ ถ้าเกิดว่าไม่ได้คุณอาและผู้ที่คอยซัปพอร์ตอยู่เบื้องหลังหลาย ๆ คน ก็คงไม่ได้เรียนจนถึงทุกวันนี้”

“และนี่คือข้อสงสัยสำหรับหลาย ๆ คน ที่สงสัยว่าครอบครัวเจนมีเงินไหม ถึงได้มาเรียนอยู่ไทย แบบว่าครอบครัวต้องมีเงินซินะ ถึงส่งลูกมาอยู่ไทยได้…แต่ก็นั่นแหละ…ครอบครัวไม่ได้มีเงินขนาดนั้น แม่เจนจบแค่ ป.2 อาชีพขายของ ส่วนพ่อจบประมาณ ม.3 หรือ ม.4 อาชีพเกษตรกรธรรมดา ถ้าไม่ได้คุณอาส่วนหนึ่งก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนในมหาลัย เพราะมันต้องใช้เงินเป็นก้อน ไหนจะค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แล้วแม่ก็ยังหาเงินอยู่คนเดียว ถ้าเกิดขอเงินเพื่อมาเรียนก็สงสารแม่ ถ้าคุณอาไม่ยื่นมือมาช่วยก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เรียน คุณอาเป็นคนหนึ่งที่ดึงมาเพื่ออยากให้หลานได้เรียนรู้ในรั้วมหาวิทยาลัย อยากให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นมุมมองอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เคยอยู่มา ซึ่งเมื่อก่อนเรียนจบจาก สปป.ลาว พอจบ ม.7 จากที่นี่ ก็มาต่อมหาวิทยาลัยอยู่ที่ประเทศไทย ดังนั้น คุณอา คือส่วนหนึ่งที่ทำให้มาถึงทุกวันนี้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top