Monday, 2 December 2024
GoodsVoice

ถอดบทเรียน 'แม่สายโมเดล' พายุยางิถล่ม-น้ำท่วมเชียงราย หนึ่งในผลลัพธ์จากภาวะโลกร้อน ที่ 100 ปีก่อนยังไม่เคยมี

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 21 ก.ย.67 ได้พูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต ในประเด็นถอดบทเรียนจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า อุทกภัยที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดจากปัญหาหลายมิติที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งอำเภอแม่สายเป็นพื้นที่พรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน มีมิติทางด้านความมั่นคงอยู่ด้วย 

"ขอยกเป็นกรณีตัวอย่าง 'แม่สายโมเดล' โดยการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ คาดว่ามีสาเหตุเกิดจากภาวะโลกร้อนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อ 80 ถึง 100 ปีก่อน ไม่เคยเกิดภัยพิบัตินี้ พายุที่พัดมารุนแรง เช่น พายุยางิ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ถ้าวิเคราะห์จริง ๆ มันเกิดจาก โลกร้อนมากขึ้น กลายเป็นโลกเดือด เวลาโลกเดือดมันเดือดทั้งบนพื้นดินและบนพื้นน้ำ เวลาโลกเดือดเหนือมหาสมุทร ก็เหมือนเรากำลังต้มน้ำในหม้อ น้ำก็จะเดือดปุด ๆ กลายเป็นไอขึ้นมา โลกเดือดก็เหมือนกับการต้มน้ำกลายเป็นไอขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ"

ดร.ก้องเกียรติ เผยอีกว่า "ถ้าสังเกตดี ๆ วันนี้เรามองไม่เห็นยอดตึกแล้ว ส่วนใหญ่มองเห็นเป็นละอองฝอยปกคลุม คล้ายฝุ่น PM 2.5 แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นไอน้ำที่ลอยขึ้นไปรอการควบแน่นและกลายเป็นฝนตกลงมา โดยเฉพาะบริเวณที่มีอากาศเย็น เช่น ยอดเขา ยอดภู ซึ่งทำให้บริเวณนั้นมีฝนตกหนักมากขึ้น แบบเทราด เรียกว่า Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงรายมีลักษณะนั้น"

ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ ได้กล่าวถึงสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่เชียงราย โดยสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้...

1.น้ำบนฟ้ามีมากขึ้น ทำให้เกิด Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน 

2.ดินซับน้ำน้อยลง หมายถึง พื้นดินขาดสมดุลในการดูดซับน้ำ เนื่องจากป่าไม้ลดลง โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำสายซึ่งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จากการวิเคราะห์ขี้เลนที่พัดมาที่แม่สายเป็นเลนนุ่ม ๆ เลนละเอียด แสดงว่าผ่านการกรองเศษดิน เศษไม้มาพอสมควรน่าจะถูกพัดมาเป็นระยะทางไกล 

3.ทางระบายน้ำตีบตัน ตื้นเขินเวลาน้ำไหลผ่านแม่น้ำ ปกติต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งถึงลงแม่น้ำโขงได้ เมื่อทางระบายน้ำตีบตัน ตื้นเขิน น้ำจึงเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ซึ่งในอดีตแม่น้ำสายมีความกว้าง 130-150 เมตร  แต่ปัจจุบันกว้างเพียง 20-50 เมตร เท่านั้น 

4.พื้นที่รับน้ำกลายเป็นเมืองมากขึ้น แก้มลิงหายไป ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก

ส่วนการรับมืออุทกภัยในอนาคต ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า "เราควรเตรียมพร้อมและอยู่กับธรรมชาติให้ได้ โดยแบ่งเป็นส่วนของภาคประชาชน และภาครัฐ โดยส่วนของประชาชน 1.ควรพิจารณาการย้ายที่อยู่อาศัยเพื่อหลีกเลี่ยงทางน้ำ 2.ปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านให้กลับไปเป็นแบบดั้งเดิม สร้างบ้านใต้ถุนสูงขึ้น 3.เตรียมเรือไว้ให้พร้อม เตรียมข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อดำรงชีวิตเวลาน้ำท่วม และในชุมชนร่วมกันสร้างเขื่อนกั้นน้ำให้สูงขึ้น ที่แม่สายตอนนี้สูง 1-2 เมตร อาจต้องปรับเพิ่มเป็น 3-5 เมตร 

"ในส่วนของภาครัฐ (1) ควรมุ่งเน้นนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและรวดเร็ว (2) เพิ่มเติมการซับน้ำโดยการอนุรักษ์ป่าไม้ เคร่งครัดข้อกฎหมายทำลายป่า และรีบดำเนินการเรื่องภาษีคาร์บอน คาร์บอนเครดิต (3) นโยบายด้านต่างประเทศ เร่งหารือระหว่างไทย-พม่า เพื่อเพิ่มความกว้างของทางน้ำมากขึ้น หรือสร้างทางด่วนน้ำให้เหมาะสม รวมถึงการติดตั้งระบบเตือนภัยภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ให้อยู่บริเวณต้นน้ำเพื่อแจ้งเตือนประชาชนได้ล่วงหน้ามากขึ้น"

‘ไทย สมายล์ บัส’ เปิดบริการครบ 3 ปี มีรถเมล์ไฟฟ้ากว่า 2,000 คัน คาดสิ้นปีนี้ มีผู้โดยสารแตะ 4.5 แสนคนต่อวัน วางเป้าปีหน้าทะลุ 5 แสน

(21 ก.ย.67) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา วันนี้ถือเป็นหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญว่า บริษัทของคนไทย รถเมล์ที่สร้างด้วยฝีมือคนไทย สามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลยมาหลายสิบปี ได้มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้ประชาชนได้ใช้บริการกว่า 2,000 คัน มีระบบเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร เราลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขากว่า 24 แห่งทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา

นายวรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและกลยุทธ์ บริษัท ไทย สมายล์ บัส กล่าวว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2567 ยอดผู้โดยสารใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 350,000 คน จากปัจจัยของรถที่มีให้บริการมากขึ้นในหลายเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางรถเมล์โดยสารที่เปลี่ยนมาใช้เส้นทางปฏิรูปกับผู้ประกอบการทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อเส้นทางเริ่มชัดเจนเห็นรถมากขึ้น ประชาสัมพันธ์มากขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขจำนวนรถที่ให้บริการปัจจุบัน บริษัทมีค่าเฉลี่ยรถที่ให้บริการอยู่ราว 1,600 คัน ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทมีแผนการปรับเพิ่มรถที่ให้บริการขึ้นไปอยู่ในระดับ 2,000 คันต่อวัน เพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้โดยสารภายในปีนี้ ให้อยู่ในระดับ 400,000 – 450,000 คนต่อวัน ครองส่วนแบ่งการตลาดราว 50% ของผู้ใช้รถเมล์ทั้งหมด

ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 นั้น TSB มีแผนเพิ่มรถให้บริการเป็น 2,200 คัน ไม่รวมรถสำรองหมุนเวียนภายใน เพื่อขยับสู่เป้าหมายผู้โดยสาร 500,000 คนต่อวัน จากปัจจัยเส้นทางใหม่ที่ทางบริษัทยังไม่ได้เพิ่มรถเข้าไปอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากดูใบอนุญาตที่มีอยู่ในตอนนี้ 123 เส้นทาง ยังเห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มเส้นทางปฏิรูปทั้งหมด ผู้ประกอบการทุกรายใช้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเราเชื่อว่ามีผู้โดยสารตกหล่นอยู่ ทั้งคนที่เคยรอรถหลายต่อ หาก TSB ให้บริการได้ครบลูป 100% เชื่อมต่อล้อ สู่ล้อ และทำให้เป็นโครงข่ายการต่อรถได้ เชื่อว่ายอดผู้โดยสารจะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

'เงินบาท' แข็งค่าแตะ 32.91 ต่อดอลลาร์ เผย 5 เดือน แข็งพรวด 11.6% ฉุด!! ‘การท่องเที่ยว – การส่งออกไทย’ หลัง 'เฟด' ลดดอกเบี้ย

(21 ก.ย.67) เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา (20ก.ย.) แข็งค่าหลุดระดับ 33 บาท มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 32.91 บาทต่อดอลลาร์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นระดับการแข็งค่าสุดในรอบ 20 เดือน นับจากสิ้นเดือนม.ค.2566

การแข็งค่าของเงินบาทนับเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะแข็งค่าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเพียง 3.7% แต่หากนับจากจุดที่เงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในปีนี้ที่ระดับ 37.25 บาทต่อดอลลาร์ (วันที่ 29 เม.ย.2567) จะพบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วถึง 11.6% ในเวลาไม่ถึง 5 เดือน จึงเป็นเรื่องยากในการบริหารค่าเงินของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออก

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เงินบาทกำลังแข็งอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 2541 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ 

ขณะที่เงินดอลลาร์ก็แข็งค่าอย่างรวดเร็วถึง 10% เมื่อเทียบกับเงินบาทนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ทำให้ผู้ประกอบการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลสถานการณ์ดังกล่าว

ล่าสุด ทั้งพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้ามาดูแลและดำเนินมาตรการเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ด้าน เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า กรณีที่เฟดลดดอกเบี้ย ผลที่มีผลต่อตลาดเงิน ที่เห็นคือ การอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าไปพอสมควร ทำให้เงินบาท และค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่ามากขึ้น  

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ซ้ำเติม ค่าเงินบาทให้แข็งค่ากว่าค่าเงินในภูมิภาค มาจากราคาทองคำในตลาดโลก ที่ทำระดับสูงสุดหรือออลล์ไทม์ไฮ ซึ่งส่วนใหญ่ค่าเงินบาทเป็นสกุลเงินที่เคลื่อนไหวกับทองคำมากกว่าค่าเงินภูมิภาค ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าหลายประเทศ 

ทั้งนี้ สิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ไม่อยากเห็นคือ การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงมาก และยอมรับว่า ช่วงหลัง ค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะช่วงหลังตามการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้ว 3.1% 

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สาเหตุของการแข็งค่า หากมาจากเชิงปัจจัยโครงสร้าง มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน หรือกรณีนี้ที่เงินบาทแข็งค่ามาจากการที่ดอลลาร์อ่อนค่า จากการที่เฟดลดดอกเบี้ย ก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดแต่สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ การแข็งค่าขึ้นเร็ว และไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน จากเงินร้อน(ฮอตมันนี่) หรือการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ที่ทำให้เกิดความผันผวนเกิดขึ้น ซึ่งไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน พวกนี้จะเซนซิทีฟมากกว่า แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว แต่ก็ต้องติดตามใกล้ชิด

'บีโอไอ' หนุน 'ฮานา-ปตท.' ยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ ผุดโรงงานผลิตชิปชนิด 'ซิลิคอนคาร์ไบด์' แห่งแรกของประเทศไทย

'บีโอไอ'หนุนบริษัทร่วมทุน 'ฮานา - ปตท.' เดินหน้าแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์แห่งแรกของไทย ภายในสิ้นปีนี้ หลังได้รับอนุมัติจากบีโอไอและออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ลงทุนเฟสแรก 11,500 ล้านบาท เริ่มผลิตภายใน 2 ปี รองรับการเติบโตของกลุ่ม Power Electronics ทั้ง EV, Data Center และระบบกักเก็บพลังงาน ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำของไทย

(23 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดลำพูน เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกของประเทศไทย ของบริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. หลังจากที่บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จากนั้นบริษัทได้ดำเนินการออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม

ที่ผ่านมา บีโอไอได้ทำงานร่วมกับบริษัทฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโรงงาน และเตรียมเริ่มก่อสร้างโรงงานในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ภายในเดือนธันวาคมของปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 2 ปี ก่อนจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2570

บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด จะจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เงินลงทุน เฟสแรกกว่า 11,500 ล้านบาท โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปชั้นนำของเกาหลีใต้ เพื่อผลิตชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ขนาด 6 นิ้ว และ 8 นิ้ว โดยมีคุณสมบัติสำคัญที่แตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน คือ สามารถทนกระแสไฟฟ้าและความร้อนสูงได้ จึงเหมาะสมสำหรับการใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการแปลงพลังงานไฟฟ้า (Power Electronics) เช่น เครื่อง Server ใน Data Center อุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า Inverter ในยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุปกรณ์แปลงพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต

เหตุผลสำคัญของการเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งของโครงการนี้ เนื่องจากข้อกำหนดหลักของลูกค้า คือ...

1) ต้องตั้งในประเทศที่มีความเป็นกลางเพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 
2) มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และ...
3) มีขีดความสามารถในการขยายกำลังการผลิตในอนาคต ซึ่งประเทศไทยสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ 

นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง ไฟฟ้ามีความเสถียร มีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด บุคลากรมีคุณภาพสูง มาตรการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ระบบกักเก็บพลังงาน และ Data Center ที่กำลังเติบโตสูง อีกทั้งโรงงานของฮานาฯ ในไทย มีการประกอบกิจการที่ต่อเนื่องจากการผลิตชิปอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนการประกอบและทดสอบวงจรรวม (IC Assembly and Testing)    

“อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล โทรคมนาคม ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ ที่ผ่านมาบทบาทของไทยอยู่ในขั้นกลางน้ำ คือ การรับจ้างประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ หรือที่เรียกว่า OSAT โครงการลงทุนผลิตชิปครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลต่อการยกระดับประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ นอกจากนี้จะช่วยสร้างงานและการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรกับมหาวิทยาลัยในไทยและการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์จากเกาหลีใต้แล้ว ยังจะส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ และนำไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศของอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถดึงดูดผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำรายอื่นๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

‘เคทีซี’ จับมือพันธมิตรร้านมือถือและไอทีชั้นนำ จัดดีลเด็ดซื้อ iPhone16 ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน

(23 ก.ย. 67) นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “Apple เป็นแบรนด์เลิฟที่เป็นที่นิยมและคอยติดตามกระแสความเคลื่อนไหวในสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ สำหรับประเทศไทยกลุ่มสาวก Apple มีทุกเจนเนอเรชั่น โดยเฉพาะไอโฟนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงมาก 

และในโอกาสเปิดตัว iPhone 16 ครั้งนี้ เคทีซีได้เตรียมสิทธิพิเศษเพื่อให้สมาชิกบัตรเคทีซีได้เป็นเจ้าของ iPhone 16 โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุด 10 เดือนพร้อมรับเครดิตเงินคืนหรือส่วนลดรวมสูงสุด 35% และสมาชิกบัตรกดเงินสด ‘เคทีซี พราว’ สามารถผ่อน 0% ได้นานถึง 24 เดือน ด้วยซึ่งเป็นการสร้างความคุ้มค่าสูงสุด 

โดยสามารถรับสิทธิพิเศษได้ทั้งการซื้อผ่านช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ ณ ร้านมือถือและไอทีชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่  Advice, Jaymart, True, Dtac, iStudio by Uficon, Power Mall, JIB, iStudio by Copperwired, .life, iStudio by SPVI, Studio7, BaNANA, IT city | CSC, Power Buy, AIS และ TG” 

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/iphone16/index หรือติดต่อ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด ‘เคทีซี พราว’ ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว 

'รมว.เอกนัฏ' มอบรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว 2024 เชิดชูผู้ประกอบการใส่ใจ 'ดูแลชุมชน-สิ่งแวดล้อม'

เมื่อวานนี้ (23 ก.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน มอบรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว ประจำปีงบประมาณ 2567 'ก้าวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน..คู่ไปกับการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อม..ด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว' ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) กรุงเทพฯ

รมว.เอกนัฏ เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีความมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และทักษะคุณภาพแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้กำหนดนโยบายมุ่งเน้นการปฏิรูป 3 ด้าน ได้แก่...

(1) การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน 
(2) Save อุตสาหกรรมไทย
(3) การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ 

โดยจะดำเนินการใน 3 แนวทาง คือ 
(1) การสร้างความร่วมมือ พันธมิตรห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบ 
(2) การจัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูประบบอุตสาหกรรม 
(3) การปรับกฎหมายและภารกิจเข้าสู่ภาครัฐดิจิทัล สร้าง Ease of Doing Business

การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานให้บรรลุตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียวใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน ส่งเสริมและยกระดับสถานประกอบการให้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นไปตามเป้าหมายการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ตามแนวคิด BCG เพื่อการขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ที่ตอบโจทย์ประเทศไทยและประชาคมโลก มีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กับการกระจายรายได้สู่ชุมชน ตลอดจนแข่งขันได้ในระดับสากล 

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักให้บุคลากรในทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เผยแพร่องค์ความรู้ แนวคิด และประสบการณ์จากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เป็นตัวอย่างและแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมแก่สถานประกอบการผ่านสื่อต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจประเมิน และการให้บริการช่วยเหลือแก่สถานประกอบการให้สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือแนวโน้มการค้าโลก 

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับงานรับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 6 โดยในปีนี้เป็นการมอบรางวัลให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 และระดับที่ 5 ในปี พ.ศ. 2566-2567 จำนวน 325 ราย ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 36 ราย และอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 289 ราย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและส่งเสริมสถานประกอบการในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการ มีความรับผิดชอบต่อสังคม นำไปสู่การอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรม สังคม และชุมชนที่อยู่โดยรอบอย่างยั่งยืน 

สิทธิประโยชน์ สำหรับโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป เช่น การใช้โลโก้ GI บนผลิตภัณฑ์ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้รับโอกาสทางการตลาด และการสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน 

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 กันยายน 2567) มีสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวจำนวน 57,663 ใบรับรอง แบ่งเป็น...

(1) ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) จำนวน 50,591 ใบรับรอง
(2) ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) จำนวน 3,112 ใบรับรอง 
(3) ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จำนวน 3,455 ใบรับรอง 
(4) ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 429 ใบรับรอง 
(5) ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 76 ใบรับรอง 

'สุชาติ' หารือ 'ออสซี่' ชวนลงทุน EEC 'ด้านการศึกษา-พลังงานหมุน' พร้อมขอลดข้อจำกัด-อุปสรรคทางการค้า เอื้อสินค้าไทยไปออสเตรเลีย

(24 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานร่วมการประชุมยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 กับผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการค้าเครือรัฐออสเตรเลีย (นายทิม แอร์) ในวันที่ 23 กันยายน 2567 ณ กรุงเทพฯ โดยทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่การค้าไทยออสเตรเลียมีมูลค่าสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน พร้อมเดินหน้าขยายการค้าการลงทุน ยกระดับผู้ประกอบการให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะประเด็นการค้าใหม่ ๆ เช่น การค้าดิจิทัล และสิ่งแวดล้อม

นายสุชาติ กล่าวว่า ไทยได้ขอให้ออสเตรเลียร่วมมือกับไทยในหลากหลายด้านภายใต้วาระการดำเนินการของยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและออสเตรเลีย หรือ เซก้า ทั้งเรื่องการยกระดับการเกษตรไทยโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย การส่งเสริม Soft Power ของไทย การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพและการแพทย์ การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการดึงดูดการลงทุนออสเตรเลียเข้ามาในไทย การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และความร่วมมือด้านพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและแนวทางผลักดันทางการค้าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ที่เน้นเรื่องการขยายการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้า การเร่งเจรจาจัดทำ FTA และการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทย

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยได้ขอให้ออสเตรเลียร่วมมือในการลดข้อจำกัดและอุปสรรคทางการค้าเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานในการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังออสเตรเลีย และขอให้ออสเตรเลียพิจารณาใช้มาตรการที่กำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรถยนต์นำเข้าจากไทยไปยังออสเตรเลียอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เวลากับภาคอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยได้มีเวลาปรับตัว และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในอุตสาหกรรมดังกล่าว

“ออสเตรเลียกับไทยมีความสัมพันธ์อย่างยาวนานกว่า 70 ปี ผมได้ขอให้ออสเตรเลียเข้ามาลงทุนใน EEC ทั้งด้านการศึกษาและพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งทั้งสองประเทศยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหลัก จึงมีหารือในการส่งเสริมด้านการเกษตรทั้งใน WTO และในรูปแบบทวิภาคีด้วย” นายสุชาติกล่าว

ในส่วนของความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย หรือ ทาฟต้า (TAFTA) มีส่วนสำคัญที่ทำให้การค้าสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 200 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินการต่อไป ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ไทยและออสเตรเลียจึงได้ร่วมตัดเค้กเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ FTA ไทย-ออสเตรเลีย (ทาฟต้า) จะครบรอบ 20 ปี ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ด้วย

ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม) การค้าระหว่างไทยและออสเตรเลีย มีมูลค่า 10,827.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 7,234.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.07 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไทยนำเข้าจากออสเตรเลีย มูลค่า 3,593.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เป็นต้น

'พีระพันธุ์' ตอกย้ำ!! กฎหมายสำคัญด้านพลังงาน 3 ฉบับ เดินหน้า!! แก้ปัญหาโครงสร้างพลังงานไทยสะสมยาวนานได้อย่างยั่งยืน

‘พีระพันธุ์’ ร่วมงานเสวนา ‘สามย่านคาเฟ่’ ครั้งที่ 2 ย้ำชัด จะเดินหน้านโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยกฎหมายสำคัญด้านพลังงาน 3 ฉบับ ทั้งกฎหมายคุมกิจการค้าน้ำมัน กฎหมายส่งเสริมการติดตั้ง โซลาร์เซลล์ และกฎหมายตั้งคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ จะยกร่างเสร็จภายในปีนี้ ก่อนจะยื่นเสนอสภาพิจารณาต่อ เชื่อจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน

ไม่นานมานี้ (22 ก.ย.67) สำนักข่าวออนไลน์ UTN TODAY ได้จัดงานเสวนา จัดงานเสวนาอินฟลูฯ 'สามย่านคาเฟ่' แลกเปลี่ยน เรียนรู้ โลกออนไลน์ ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ณ KliqueXSomyan ชั้น 3 I'm Park สามย่าน โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ร่วมงาน พร้อมตอบคำถามเรื่องพลังงานในหลายประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพลังงาน การติดตั้งโซลาร์เซลล์ และการจัดตั้งระบบน้ำมันสำรอง การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ (SPR)

นายพีระพันธุ์ ได้ย้ำถึงแนวทางการทำงานตามนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและประเทศชาติ ผ่านการออกกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ประกอบด้วย...

(1) กฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 
(2) กฎหมายที่อนุญาตส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ และ 
(3) กฎหมายการจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve)

นายพีระพันธุ์ ระบุว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ จะเข้ามาตอบโจทย์และไขปัญหาโครงสร้างพลังงานของประเทศไทยที่สะสมมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมทั้งช่วยแก้ปัญหาราคาพลังงานได้อย่างยั่งยืน

โดยกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะเน้นในเรื่องการคำนวณราคาน้ำมันตามต้นทุนจริงแทนการอิงราคาน้ำมันจากต่างประเทศ และการดึงอำนาจด้านกำหนดเพดานภาษีน้ำมันกลับคืนมา เพื่อดูแลราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญจะไม่ให้ราคาน้ำมันขึ้นลงรายวันตามอำเภอใจอีกต่อไป ขณะเดียวกันกฎหมายฯ ยังจะครอบคลุมไปถึงโครงสร้างการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เพราะปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีหลายต่อ ทั้งภาษีการค้าน้ำมัน, ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีท้องถิ่น ไม่เพียงเท่านั้นยังเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งล้วนส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง ๆ ที่เนื้อน้ำมันที่กลั่นแล้วราคาอยู่ที่ 20-21 บาทต่อลิตรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาษี อาจจะไม่สามารถลดได้อย่างเต็มที่ เพราะจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศ แต่จะเปิดโอกาสให้ภาคการเกษตร ธุรกิจขนส่ง และผู้มีรายได้น้อย ที่สามารถจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาใช้แทนการซื้อภายในประเทศ เพื่อทางออกในการลดต้นทุนทางภาษี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเปิดนำเข้าน้ำมันเสรี โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างให้คณะทำงานตรวจสอบความเรียบร้อย

ส่วนในค่าไฟฟ้าแพง ที่เป็นปัญหาต่อประชาชนชาวไทยทั้งประเทศนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่สามารถลดราคาค่าไฟลงได้ แต่จะพยายามไม่ให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะต้องยอมรับว่า ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าของประเทศมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะราคาก๊าซที่เป็นต้นทุนหลักยังมีราคาสูง เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยไม่เพียงพอ 

แต่ปัญหาค่าไฟแพงจะสามารถแก้ไขได้อย่างยั่งยืน ด้วยการหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้ในครัวเรือน ซึ่งประเทศไทยมีแสงอาทิตย์เพียงพอ แต่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า การขออนุญาตในการติดตั้งโซลาร์เซลล์มีความยุ่งยาก เพราะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และไม่มีกฎหมายในด้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น กฎหมายที่อนุญาตส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ขึ้นมา เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งร่างกฎหมายอยู่ระหว่างปรับปรุงเพิ่มเติม

ขณะที่กฎหมายฉบับที่ 3 จัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) นั้น อยู่ระหว่างการยกร่าง โดยนายพีระพันธุ์ ย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านน้ำมัน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีการสำรองน้ำมันของประเทศเลย มีเพียงการสำรองเชิงพาณิชย์ของผู้ค้าน้ำมัน และมีปริมาณสำรองเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น หากเกิดวิกฤตน้ำมันเหมือนเมื่อปี 1973 ประเทศไทยจะไม่สามารถรับมือได้เลย

ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคลังจัดเก็บน้ำมันสำรองในเบื้องต้น 90 วัน หรือประมาณ 9,000 ล้านลิตร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง ขณะเดียวกันหลักการของกฎหมายนี้คือจะนำน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเปลี่ยนการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน มาเป็นเก็บน้ำมันเข้าคลังน้ำมันของรัฐบาลแทน และแน่นอนว่า จะทำให้กองทุนน้ำมันที่เคยเป็นหนี้สิน กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศประมาณ 1.8 แสนล้านบาททันที

“กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีความคืบหน้าอย่างมาก และในฐานะนักกฎหมายต้องบอกว่า เป็นการยกร่างกฎหมายที่เร็วมาก และคาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการยกร่างกฎหมายทั้งหมดภายในปีนี้ โดย 2 ฉบับแรก อาจจะเข้าสภาได้ทันภายในปี 2567 ส่วนฉบับที่ 3 การสํารองน้ำมันของประเทศ คาดว่า จะเข้าสภาได้ปี 2568 และเชื่อมั่นว่ากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ จะได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา เพราะเป็นกฎหมายที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

คึกคัก!! ‘รมช.นภินทร’ ขนทัพ ‘ผู้ประกอบการ SME ไทย 143 ราย’ ร่วมงาน CAEXPO @หนานหนิง นักช็อปจีนล้น ‘ไทยแลนด์ ฮอลล์’ คาดสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 170 ล้านบาท

‘รมช.พณ.นภินทร’ ร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 21 (China-ASEAN EXPO: CAEXPO 2024) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 ก.ย.67 ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับบรรดาผู้นำประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ พร้อมเปิด ‘Pavilion of City of Charm’ จังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทย นำเสนอจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวนจีนท่องเที่ยวไทย พร้อมนำผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME 143 ราย บินลัดฟ้าสู่แดนมังกร ขายสินค้าในงานใหญ่ระดับอาเซียน วันแรกคนจีนและต่างชาติร่วมชม-ช็อปสินค้าไทยใน Thailand Hall อย่างล้นหลาม รวมถึงเจรจาจับคู่ธุรกิจ คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 170 ล้านบาท และจะเป็นโอกาสขยายตลาดสินค้าไทยมายังจีนและอาเซียน 

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 67) ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 21 (China-ASEAN EXPO: CAEXPO 2024) และเป็นประธานเปิด Pavilion of City of Charm จังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทย ภายใน CAEXPO ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมระหว่างประเทศหนานหนิง พร้อมกับเยี่ยมชมบูธผู้ประกอบการไทยจำนวน 143 ราย ที่มาจัดแสดงสินค้าในงานดังกล่าว พร้อมกับเปิดเผยว่า…

“สำหรับวันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME ที่มีสินค้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์มาจัดแสดงในงาน CAEXPO ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคอาเซียน ที่ถือเป็นงานใหญ่ที่ผู้ประกอบการรอคอยที่จะมาร่วมงานนี้ โดยงานนี้จัดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีที่ 21 แล้ว และกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมทุกปี และผลที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง สำหรับในปีนี้ มีการจัดงานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 

1) Pavilion of Commodity Trade ที่ได้นำผู้ประกอบการไทย 143 คูหา เข้าร่วม ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นและเครื่องประดับ สุขภาพและความงาม ของใช้และของตกแต่งบ้าน และคูหาร้าน TOP THAI บนแพลตฟอร์ม JD.com 

นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศ จัดแสดงสินค้าข้าวของไทย และยังมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คัดเลือกสินค้าที่มีดีไซน์เข้าร่วมงานด้วย 

2) Pavilion of Cities of Charm กระทรวงได้เลือกจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทยด้านเมืองท่องเที่ยว เมืองน่าอยู่ เมืองลงทุนที่เชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงนำเสนอสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้าและมะพร้าวน้ำหอมบางคล้า พร้อมด้วยบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย”

นอกจากนี้ สินค้าไทยที่เราคัดเลือกนำมาแสดงในงาน ล้วนเป็นที่นิยมของคนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน อย่างเช่น ชุดเครื่องแกง ไอศกรีมผลไม้แช่เย็น ทองม้วนรสมะพร้าวและทุเรียน ลูกประคบสมุนไพรและสมุนไพรสปา น้ำมันเหลืองสมุนไพรและยาหม่อง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทองและเงิน โคมไฟและกระเป๋าผลิตจากใบไม้ หมอนยางพารา และภาพแกะสลัก เป็นต้น 

“สำหรับงานในวันแรกวันนี้ถือว่าคึกคักเป็นอย่างมาก ในพื้นที่จัดแสดงของประเทศไทยมีคนจีนเข้ามาเลือกซื้อสินค้า และจับมือเจรจาธุรกิจ ในการนำเข้าสินค้าไทยมายังประเทศจีน ซึ่งถือว่านี่คือความสำเร็จของผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาสินค้าของตนให้ตอบโจทย์และเป็นที่นิยมของลูกค้าในตลาดใหญ่อย่างจีน ผมขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME และเชื่อว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการตลาดใหญ่ในประเทศอาเซียนอีกด้วย” นายนภินทรฯ กล่าว

สำหรับ The 21st CAEXPO จัดระหว่างวันที่ 24-28 กันยายน 2567 งานแสดงสินค้า CAEXPO เป็นมหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติที่กระทรวงพาณิชย์จีน กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และ ASEAN Secretariat เป็นงานแสดงสินค้าที่รัฐบาลจีนและกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสำคัญและจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคอาเซียนและจีนทั้งด้านการค้าการลงทุน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ภายใต้วัตถุประสงค์ของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA)

'รมว.เอกนัฏ' ย้ำ!! ต้องเพิ่มรายได้ให้ระบบอุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย แง้ม!! เตรียมส่งเสริมมูลค่า 'ใบ-ยอดอ้อย' ช่วยเติมรายได้อีกทาง

(25 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังผู้แทน 4 องค์กรชาวไร่อ้อยประกอบด้วย สถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน, สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย, สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย เข้าพบเพื่อขอรับทราบถึงความคืบหน้าการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ปีการผลิต 2566/2567 ซึ่งตนมีข้อกังวลในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และขอวางแนวทางไว้ 2 ประเด็น ดังนี้...

ประเด็นแรก ประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลทราย เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องผลิตและนำส่งอ้อยสดคุณภาพดีให้กับโรงงานน้ำตาล และโรงงานน้ำตาลจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพได้ปริมาณตามมาตรฐาน เพื่อให้เกิดรายได้ที่มากที่สุดกับระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งหากประสิทธิภาพการผลิตลดลง จะทำให้ผลผลิตน้ำตาลทรายลดลง ส่งผลให้รายได้และราคาอ้อยลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งหากมีการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องอุดหนุนราคาอ้อย ก็จะผิดกติกาการค้าโลก 

ประเด็นที่สอง การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้มีระยะเวลาในการปรับตัว และปรับพื้นที่ปลูกอ้อยให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ประกอบกับปัญหาภัยแล้ง อาจจะส่งผลให้ราคาอ้อยในปีนี้ลดลงจากปีก่อน และผมได้ให้ สอน. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงงานที่ผลิตไฟฟ้าจากใบและยอดอ้อย เป็นแนวทางในการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเห็นคุณค่าและประโยชน์ของใบและยอดอ้อย ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยลดการเผาอ้อย และถือเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากประชาชนและชุมชนใกล้เคียง

"ผมเข้าใจความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อย การใช้รถตัดอ้อยหรือการจ้างแรงงานคนตัดอ้อยสด ล้วนมีต้นทุนการผลิต เราต้องหันกลับมาช่วยลดต้นทุนการผลิตสำหรับเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดี และได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) หารือกับโรงงานน้ำตาลเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน ก่อนการเปิดหีบฤดูการผลิตปี 2567/2568 เพื่อให้เกิดรายได้ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเพิ่มมากขึ้น และให้ สอน. หาวิธีการชดเชยต้นทุนให้กับชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งโรงงาน และอีกส่วนหนึ่งนำรายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายใบอ้อยมาชดเชย" รมว.อุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top