Tuesday, 10 December 2024
GoodsVoice

'สรวงศ์' เล็งดึง 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน' กระตุ้น ศก.โลว์ซีซั่นปีหน้า ลั่น!! นโยบายของรัฐบาลใดที่ทำไว้แล้วดี เอากลับมาใช้แน่นอน

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวปี 68 ว่า ขณะนี้กำลังไล่รื้อแผนในช่วงโลซีซันในปีหน้า โดยจะฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพราะแอปพลิเคชันเองก็ยังอยู่ และจากตัวเลขการเดินทางเข้ามาก็ค่อนข้างมาก ซึ่งชัดเจนว่าช่วยได้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค

ขณะที่การกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 67 นายสรวงศ์ ยอมรับว่า ขณะนี้มีเหตุการณ์อุทกภัยทำให้สายการบินยกเลิกเที่ยวบินมากพอสมควร แต่เชื่อไตรมาสสุดท้ายของปีนี้การจองจะยังเหมือนเดิมยังไม่มีการยกเลิกเข้ามา เป็นเครื่องยืนยันได้ว่านักท่องเที่ยวยังมองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายอยู่ และตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้จะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า จะพยายามให้เต็มที่ โดยจะอัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวและนักลงทุน พร้อมกับหวังว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบอุทกภัยเกิดขึ้นอีก และยืนยันว่าจะพยายามอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมยอมรับว่าตัวเลขด้านรายได้การท่องเที่ยวยังขาดอีก 8 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่เหนื่อย แต่จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของประเทศญี่ปุ่น จีน และอินเดีย พบว่านักท่องเที่ยวอินเดียใช้จ่ายเยอะพอสมควร จึงอาจจะมีการเพิ่มไฟลต์บินตรงให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุย ขณะที่จีนก็อาจจะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการไปเปิดเชิญชวนยังมณฑลต่าง ๆในประเทศจีน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนที่มีคุณภาพให้กลับมามากขึ้น

ส่วนช่วงโกลเด้นวีคของประเทศจีนคือวันที่ 1 ตุลาคม จะมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างไร? นายสรวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ดูจากตัวเลขไฟลต์บินที่มาจากจีนยังเยอะเหมือนเดิม และหากดูจากจำนวนก็ไม่น่าห่วง แต่เรามุ่งจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น พร้อมยืนยันว่าไม่ห่วงเรื่องจำนวนแล้ว แต่การใช้จ่ายต่อหัวต้องกระตุ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้จีนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทำให้การใช้จ่ายน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อถามว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในไทยจะมีการนำโครงการนำคนละครึ่งกลับมาด้วยหรือไม่? นายสรวงศ์ กล่าวว่า พยายามอยู่ เพราะนโยบายไหนที่เป็นของรัฐบาลใดก็ตามที่ทำไว้แล้วดี เราเอากลับมาใช้แน่นอน แต่ต้องปัดฝุ่นให้ดีว่าตรงไหนเป็นข้อเสียก็เรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโลว์ซีซั่นอาจจะออกราวเดือนมีนาคมหรือเมษายน และใช้ในช่วงหน้าฝน

ขณะที่แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้า นายสรวงศ์ กล่าวว่า จะมีการจัดอีเวนต์กระตุ้นการท่องเที่ยว แต่จะต้องมีหลายส่วนที่เข้าไปเสริม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามา และเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ ซึ่งจะเป็นแผนที่ค่อย ๆ ประกาศออกมา ขณะที่นายกฯเองจะมีแผนภาพใหญ่ของประเทศในปีหน้า และในส่วนของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาจะทำตามแนวนโยบาย

ทั้งนี้ จะมีการประเมินผลกระทบจากอุทกภัย และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบตอนนี้ถึงปลายปีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่กระทบ แต่จะกระทบในส่วนของการใช้จ่ายรายหัวของนักท่องเที่ยว แต่จะไม่กระทบเรื่องของจำนวน และเราต้องมีมาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวด้วย อาทิ การคืนภาษีให้ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันว่าเป้าของรายได้ยังอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท ขณะที่การประชุมบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก ยังไม่มีการเรียกประชุม

'การบินไทย' เดินหน้า!! ขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ปักหมุด!! นำหุ้นกลับเข้า ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 68

(28 ก.ย.67) ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย.นี้ การบินไทยจะเริ่มกระบวนการแรกของการ 'ปรับโครงสร้างองค์กร' โดยจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) สำหรับการปรับโครงสร้างทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ)

"การบินไทยจะยื่นเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาปรับโครงการทุนครั้งนี้ มีรายละเอียดมากถึง 2,000 หน้า ซึ่งประกอบการ ข้อมูลบริษัท แผนธุรกิจ แผนจัดหาเครื่องบิน โดยมั่นใจว่าจะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในการบินไทย หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการแล้ว"

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา การบินไทยได้เดินสายเจรจาให้ข้อมูลกับเจ้าหนี้กลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องแปลงหนี้เป็นทุน อาทิ เจ้าหนี้กลุ่มสหกรณ์ เจ้าหนี้กลุ่มสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนแผนฟื้นฟูของการบินไทย และเชื่อว่าการปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้จะแล้วเสร็จตามเป้าหมาย ทำให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้

อย่างไรก็ดี การยื่นไฟลิ่งเพื่อปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในกระบวนการตามเงื่อนไขเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยกำหนดผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องแล้วเสร็จรวม 4 เงื่อนไข ได้แก่...

1.การเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยต้องดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน และได้รับสินเชื่อใหม่ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน และมีจำนวนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ

2.ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ผิดนัดชำระหนี้ได้ติดต่อกัน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วย

3.มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าซื้อเครื่องบิน เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ใน 2 ปีก่อนจะรายงานผลสำเร็จของแผนฟื้นฟู

4.การแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น

สำหรับรายละเอียดการปรับโครงสร้างทุน การบินไทยกำหนดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้...

1.การแปลงหนี้ ประกอบด้วย...
- เจ้าหนี้กลุ่ม 4 แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 100 ของมูลหนี้เป็นทุน ซึ่งรวมถึงเจ้าหนี้เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ได้แก่ กระทรวงการคลัง
- เจ้าหนี้กลุ่ม 5 (สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินจากการขายเครื่องบิน) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่ม 6 (สถาบันการเงินไม่มีประกัน) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่ม 4 5 6 และ 18-31 แปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมจากร้อยละ 24.50 ที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

2.การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน...
โดยส่วนนี้จะเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ภายหลังยื่นไฟลิ่งกับ ก.ล.ต.แล้ว กระบวนการหลังจากนั้นภายในเดือน พ.ย.2567 จะเริ่มกระบวนการใช้สิทธิ และแจ้งเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม และภายในเดือน ธ.ค.2567 จะเข้าสู่กระบวนการเสนอขาย และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สำหรับผู้ถือหุ้นก่อนบริษัท เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement : PP)

ทั้งนี้ หลังเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งจะทำให้การบินไทยมีส่วนทุนเป็นบวกนั้น อาจต้องใช้เวลา 2 เดือน เพื่อตรวจสอบงบการเงิน และประกาศงบการเงินงวดปี 2567 ในช่วงเดือน ก.พ.2568 หลังจากนั้นจะเริ่มยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และหุ้นของบริษัท กลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 2568

'นายกฯ' เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับ ประธานใหญ่ ‘แอลฟาเบต อิงก์’ เยือนไทย ถก ‘กูเกิล’ ปักหมุดสร้าง Data Center ต่อยอด 12 ปีดำเนินธุรกิจในไทย

(30 ก.ย. 67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าวันนี้ เวลา 17.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเปิดห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ต้องรับ Mrs.Ruth Porat ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนบริษัท แอลฟาเบต อิงก์ (Alphabet Inc.) และบริษัทกูเกิล บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ในการพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ของ Alphabet และ Google ในครั้งนี้จะมีการหารือกันเกี่ยวกับโครงการลงทุนของกูเกิลในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการและข้อมูลการลงทุนโครงการใหม่ และแผนงานการพัฒนาดิจิทัลของกูเกิลในไทย รวมทั้งเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงรับรองแก่ Mrs. Ruth Porat ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนบริษัท Alphabet และ Google ด้วย

ก่อนหน้านี้กูเกิลได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อตั้งศูนย์ข้อมูล (Cloud Region) แห่งแรกพร้อมเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล คาดการณ์สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 4,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 และสร้างงาน 50,300 ตำแหน่ง ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยจะมุ่งเน้น 4 ด้านหลัก ได้แก่...

1. ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: Google พิจารณาจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในไทย และก่อตั้ง Cloud Region แห่งแรกเพื่อรองรับบริการดิจิทัลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดการณ์ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมหาศาล

2. ส่งเสริมการใช้ AI อย่างชาญฉลาด: รัฐบาลไทยและ Google ร่วมกันพัฒนาโครงการความร่วมมือด้าน AI โดยมุ่งเน้นการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบในภาครัฐ พัฒนาโซลูชัน AI ขยายผล และสร้างไซเบอร์สเปซที่มั่นคง

3. สนับสนุนนโยบาย Go Cloud-First: Google Cloud หนุนนโยบายส่งเสริมการใช้คลาวด์ของภาครัฐไทย ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ระบุประเภทของข้อมูลที่เหมาะกับการจัดเก็บบน Google Distributed Cloud Hosted ซึ่งเป็นบริการคลาวด์ที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว และสนับสนุนนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policies)

4. พัฒนาคนไทยสู่อาชีพดิจิทัล: Google มุ่งพัฒนาบุคลากรไทยให้มีทักษะด้านดิจิทัล ผ่านการฝึกอบรมและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีนวัตกรรม เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

โดยแผนที่กูเกิลจะลงทุนในไทยในธุรกิจ Data Center ได้ประกาศว่าบริษัทมีแผนที่จะลงทุนสร้าง Data Center เพิ่มเติมในอาเซียน โดยพิจารณาไทยเป็น 1 ในสถานที่ตั้งที่มีศักยภาพสำหรับการสร้าง Data Center ประเทศที่ 11 ของบริษัทจากทั่วโลก และเป็นแห่งที่ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเป็นการต่อยอดจากการลงทุนของ Google ตลอด 12 ปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

สำหรับบริษัทแอลฟาเบต อิงก์ เป็นบริษัทโฮลดิ้งเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งขึ้นผ่านการปรับโครงสร้างของบริษัทกูเกิลในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2015 และกลายเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลกับอดีตบริษัทย่อยของกูเกิลบางส่วน แอลฟาเบตเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เมื่อแบ่งตามรายได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีค่ามากที่สุดในโลก ถือเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศเจ้าใหญ่ของสหรัฐ 5 แห่ง 

'เอกนัฏ' หนุน!! ปรับเหมืองเก่า 'ภูเขาหินเขางู' เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หวัง!! กระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คืนกำไรสู่ท้องถิ่นตามหลัก BCG

(30 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสลงพื้นที่ร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ภูผาแรด ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานหินเขางู อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมในจังหวัดราชบุรี ซึ่งภูเขาหินเขางู เคยเป็นแหล่งทำเหมืองแร่หินปูนที่สำคัญในอดีต มีการขุดค้นแร่เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่เมื่อการทำเหมืองหยุดลง พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน จนเกิดการฟื้นฟูตามธรรมชาติ จนมีความสวยงามและเหมาะสำหรับการส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) มีแผนที่จะให้พื้นที่หินเขางูนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเหมืองเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว มาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์แก่พื้นที่และชุมชนรอบข้าง โดยได้เชิญธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มาร่วมสำรวจพื้นที่ด้วยกันว่ามีกลุ่มผู้ประกอบการหรือวิสาหกิจใดในพื้นที่ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนมาเพื่อใช้ประกอบกิจการ หรือควรได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ. หรือ ดีพร้อม) ช่วยให้คำปรึกษา แนะนำ ด้านการพัฒนาอาชีพ พัฒนาสินค้า และร่วมสร้างอัตลักษณ์เฉพาะให้สินค้า อาหาร และของใช้ต่าง ๆ ของเขางู ให้มีความน่าสนใจเพื่อช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว และเป็นการกระจายรายได้ให้เมืองรอง 

"ผมอยากให้พื้นที่ของอุทยานเขางูแห่งนี้ เป็นต้นแบบของการพัฒนาเหมืองเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว โดยให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง โดยอุทยานเขางูได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับประเทศ มีทั้งบริการแคมป์ปิ้งและกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ ที่ไม่เพียงแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และเป็นสถานที่สำหรับผู้ชื่นชอบกิจกรรมผจญภัย เช่น ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ทั้งในอนาคตยังมีแผนที่จะนำอุปกรณ์เหมืองเก่ามาจัดแสดงโชว์ไว้สำหรับศึกษาและอนุรักษ์ เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าด้วยความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และประชาชน จะทำให้การฟื้นฟูอุทยานเขางู กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจมวลรวมของจังหวัด และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนได้" รมว.เอกนัฏ กล่าว    

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และขอความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดราชบุรี ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวปักหมุดเมื่อมาเยือนจังหวัดราชบุรี และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีแผนการพัฒนาพื้นที่เหมืองหลังจากการหยุดประกอบกิจการก่อนการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ อีกทั้งกำหนดแผนการพัฒนาพื้นที่ประกอบการที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์สูงสุดของชุมชน เช่น พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นพื้นที่สันทนาการ ซึ่งถือเป็นการคืนกำไรให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ อาชีพ ให้กับชุมชนโดยรอบ ตามแนวทางเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green  Economy) เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศในด้านสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนำมาเป็นแนวทางในการออกแบบกระบวนการ ผลิตภัณฑ์ บริการ และรูปแบบธุรกิจที่สามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ ผ่านการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการหมุนเวียนของทรัพยากรหรือวัสดุกลับมาใช้ใหม่ และเป็นการจัดการทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

'บางจากฯ' โชว์ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ด้าน 'ทริส เรทติ้ง' เพิ่มอันดับเครดิตเป็น A+

(30 ก.ย. 67) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการปรับอันดับจาก ทริส เรทติ้ง เพิ่มเครดิตองค์กรขึ้นเป็น 'A+' จาก 'A' สูงสุดตั้งแต่บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตที่ 'คงที่' ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2567

การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจของบางจากฯ ที่ยกระดับขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมันและธุรกิจการตลาด หลังจากการรวมบริษัทบางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบางจาก รวมถึงการขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) มีส่วนช่วยสร้างการเติบโต อีกทั้งความหลากหลายของธุรกิจยังช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงาน จากราคาน้ำมันหรือค่าการกลั่นได้ดีขึ้น

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จและศักยภาพในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากเข้าซื้อกิจการ BSRC ได้มีการรับรู้ผลประโยชน์จาก Synergy เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ ทำให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาดของบางจากฯ เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลงทุนผ่านบริษัท OKEA ASA ที่ประเทศนอร์เวย์ ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตที่วางไว้ ทำให้บางจากมีความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรามุ่งมั่นที่จะรักษาวินัยทางการเงิน และพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง”

>> เกี่ยวกับบางจากฯ
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินงานใน 5 ธุรกิจหลัก คือ...

1) กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ผู้นำด้านการกลั่นน้ำมันของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน จากโรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex Refinery มาตรฐานระดับโลก 2 แห่ง คือ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงและโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขยายสู่ธุรกิจการค้าน้ำมันผ่านบริษัทบีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) และต่อยอดเครือข่ายธุรกิจขนส่งเชื้อเพลิง ผ่านบริษัทกรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ (BFPL) รวมถึงลงทุนในธุรกิจเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ผ่านบริษัทบีเอสจีเอฟ (BSGF) 

2) กลุ่มธุรกิจการตลาด ส่งมอบ Greenovative Experience ผ่านเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,200 แห่ง เสริมด้วยธุรกิจ non-oil เช่น กาแฟอินทนิล น้ำมันหล่อลื่น Furio EV Charger รวมทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรด้านอาหารหลากหลายและนำระบบดิจิทัลมาส่งมอบประสบการณ์ทันสมัย สะดวก ปลอดภัย ให้กับผู้ใช้บริการ 

3) กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการใช้พลังงานของผู้บริโภคและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย บมจ. บีซีพีจี ผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค 

4) กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ดำเนินการภายใต้ บมจ. บีบีจีไอ ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศและขยายสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง 

5) กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านการถือหุ้นใน OKEA ASA ประเทศนอร์เวย์ ที่เป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และมีกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Businesses) อาทิ ธุรกิจ Battery as a Service สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Winnonie และสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งช่วยสร้างระบบนิเวศสำหรับ นวัตกรรมสีเขียว

นอกจากนี้ ยังได้ก่อตั้ง Carbon Markets Club เพื่อส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตสภาวะภูมิอากาศและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และร่วมก่อตั้งภาคีเครือข่ายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งอนาคต SynBio Consortium

บางจากฯ ได้รับการประเมินจาก S&P Global CSA ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี DJSI (ผลประเมินเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2566) ได้คะแนนการประเมินสูงเป็น Top 5% ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refining and Marketing และเป็นบริษัทไทยรายเดียวที่ได้รับการประเมินความยั่งยืน MSCI ESG Ratings ระดับ AA สูงสุดในกลุ่ม Oil & Gas Refining, Marketing, Transportation & Storage ต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน

พร้อมกันนี้ บางจากฯ ตั้งเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050

‘ปธ.กมธ.อุตฯ’ เยือนนครฉงชิ่ง หารือการลงทุน-นำเข้าสินค้าไทย ดันเพิ่มสัดส่วนสินค้าในอุตฯ EV สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย

(30 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และคณะได้เดินทางมายังนครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมหารือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้การสนับสนุนให้มีการใช้สินค้า หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศไทยโดยผู้ประกอบการชาวไทยในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และยังเป็นการเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน (Suply Chain) ให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีการผลิตในประเทศไทยด้วย 

โดยส่วนหนึ่งของการหารือในครั้งนี้ได้กล่าวถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนแผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board) โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนอยู่ในระดับสูง และในอนาคตจะมีการใช้งาน PCB ในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท 

การร่วมหารือในครั้งนี้ได้รับผลการตอบรับที่ดีมากจากผู้ร่วมหารือทุก ๆ ฝ่าย และมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามข้อหารือต่อไป เพื่อนำไปสู่การใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศไทยมากกว่าที่กฎหมาย หรือเกณฑ์ที่ BOI ได้กำหนดไว้ 

การหารือของประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมและคณะในครั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตวัสดุสำหรับผลิตชิ้นส่วนแผงวงจรพิมพ์ (PCB) และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ‘ฉางอัน’

นอกจากนั้นประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมยังได้มีการร่วมหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน นครฉงชิ่ง 

นายอัครเดช กล่าวในประเด็นนี้ว่า เป็นการหารือเพื่อพัฒนาไปสู่ความร่วมมือกันในอนาคตใน 2 ด้าน ด้านแรก คือ เป็นการหารือเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยมายังนครฉงชิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าทางการเกษตร 

ด้านที่สอง เป็นการหารือเพื่อให้มีการลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และควรต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งทางคณะกรรมการดังกล่าวต่างแสดงความสนใจที่จะร่วมพัฒนาการลงทุนและการค้าร่วมกับไทยในอนาคต 

นายอัครเดช ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวในตอนท้ายว่า การเจรจา และผลักดันในครั้งนี้ นอกจากเป็นสิ่งที่ตนได้ให้ความสำคัญผ่านการร่วมหารือกับผู้แทนของประเทศจีนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว

เรื่องนี้ยังเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายรวมถึงเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คือการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) อันเป็นหนึ่งในการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย

‘IRPC’ ตั้ง ‘เทอดเกียรติ พร้อมมูล’ นั่ง CEO คนใหม่ สานภารกิจขับเคลื่อนองค์กรเติบโตยั่งยืน

(30 ก.ย. 67) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) แต่งตั้ง นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป 

สำหรับ นายเทอดเกียรติ มีประสบการณ์ในตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และมีความเชี่ยวชาญทั้งงานแผนกลยุทธ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผ่านภารกิจในการกำกับดูแล และกำหนดทิศทางให้กับกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. รวมทั้งดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายองค์กร ได้แก่ กรรมการบริหาร สถาบันวิทยสิริเมธี ประธานคณะกรรมการจัดการสถาบันวิทยาการพลังงาน อุปนายก สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย กรรมการ สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย

นายเทอดเกียรติ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท Master of Engineering (Industrial & Manufacturing Systems Engineering) จาก University of Missouri, Columbia, USA และปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายเทอดเกียรติ CEO ลำดับที่ 8 ของ IRPC จะมาขับเคลื่อนองค์กร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างสมดุลในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล ที่คำนึงถึงสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนต่อไป 

'ท่องเที่ยว' เล็งโมเดล ‘VAT Refund ญี่ปุ่น’ ดันไทย ‘ฮับชอปปิง’ ยื่นขอคืนภาษี ณ ร้านค้าหรือจุดขายได้ทันที

(30 ก.ย. 67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงแผนการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น 'ชอปปิง เดสติเนชัน' (Shopping Destination) ขณะนี้มองถึงแนวทางการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเรื่องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat Refund) เบื้องต้นอาจใช้โมเดลญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวสามารถยื่นขอคืนภาษี ณ ร้านค้าหรือจุดขายได้ทันที ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งกระทรวงการคลังและภาคเอกชน หลังได้รับรายงานว่าขั้นตอนขอคืนภาษีที่เคาน์เตอร์เป็นไปอย่างล่าช้า ต่อแถวยาว ไม่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“วาระเร่งด่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นอกเหนือจากการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยให้ได้มากที่สุดแล้ว จะต้องรุกเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อผลักดันรายได้ไปให้ถึงเป้าหมาย ด้วยการดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม”

นายสรวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรื้อแผนกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซัน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ เนื่องจากแพลตฟอร์มของโครงการฯ ยังมีอยู่ ขณะเดียวกันปริมาณที่นั่งสายการบินเส้นทางบินในประเทศก็มีจำนวนมาก

ทั้งนี้ จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย สะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 ก.ย. มีจำนวน 25,413,226 คน โดยตลาดนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 

-จีน 5,107,697 คน 
-มาเลเซีย 3,643,753 คน 
-อินเดีย 1,485,017 คน 
-เกาหลีใต้ 1,347,069 คน 
-และรัสเซีย 1,137,867 คน 

สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,188,099 ล้านบาท ทำให้ช่วง 3 เดือน

สุดท้ายนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะพยายามผลักดันให้ได้ทั้งจำนวนและรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นเป้าที่เหนื่อย เพราะยังขาดอีกกว่า 8 แสนล้านบาทที่ต้องทำเพิ่มในช่วงที่เหลือ โดยต้องเร่งอัดอีเวนต์และโปรโมชันต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ

“แผนกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ จะมีการทยอยประกาศออกมา ระหว่างนี้ต้องรอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะประกาศออกมาในเร็ว ๆ นี้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พร้อมดำเนินการตามนโยบายของนายกฯ ซึ่งเราจะคุยกันที่ตัวเลขจริง ๆ ไม่มโน”

‘GC-OR’ ลงนามความร่วมมือด้านเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ผสานองค์ความรู้ระหว่างกัน มุ่งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(30 ก.ย. 67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ลงนามบันทึกข้อตกลงในความร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อศึกษาโอกาสทางการตลาดและกลยุทธ์การขายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

GC มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 พร้อมผสานแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจ จึงเกิดการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ผสานเทคโนโลยีการกลั่น ขั้นสูงสู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & Sustainable Energy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

OR กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Energy Solution Provider ด้วยแนวทางการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขยายสู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผสมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF เข้ากับน้ำมัน JET โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เป็นหลักการเดียวกับการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน หรือ การผสมไบโอดีเซลกับน้ำมันดีเซล ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาคการบินทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง SAF เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า GC ในฐานะผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นน้ำมัน โดยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพโรงกลั่นสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้ว การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ SAF ในเชิงพาณิชย์ สู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ซึ่งความร่วมมือระหว่าง GC และ OR ในฐานะผู้นำด้านการตลาดและการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานของไทย จะเป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้สำเร็จ 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่าง OR และ GC ในครั้งนี้ OR ในฐานะผู้นำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของไทย มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ร่วมกับ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากล เพื่อศึกษาและนำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) จากกระบวนการ Co-Processing ของ GC มาใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สายการบินทั้งในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้ SAF เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2608 และยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานของ ICAO และ IATA ในอนาคต นอกจากนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงาน (Energy Solution Provider) ของ OR เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป   

GC และ OR ผนึกกำลังผสานจุดแข็งร่วมกันเพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ในกลุ่ม ปตท. และร่วมผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TNDT ผสาน 2 พันธมิตร เดินหน้าลุยธุรกิจการค้าครบวงจร พร้อมวางเป้าสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ในปี 2568

(1 ต.ค.67) TNDT ประกาศพลิกโฉมตลาดด้วยการเปิดตัวกลยุทธ์การค้าครบวงจรที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง High Kick ที่จะเป็น 1 ในสินค้าระดับเรือธงของบริษัทและเครือข่าย 

ยุทธศาสตร์ของบริษัทในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบวงจร ผ่านการใช้ยุทธศาสตร์การค้า และใช้การตลาดที่ทันสมัยควบคู่กับผนึกพลังกับพันธมิตรสินค้า ขยายการเข้าถึงผู้บริโภคให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค โดย TNDT  คาดหวังว่าในปี 2568 จะมีการเติบโตของยอดขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายธนรรจ์ ศตวุฒิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) ( TNDT ) กล่าวว่า “การเปิดตัวยุทธศาสตร์การค้า ในครั้งนี้เป็นการพลิกโฉมธุรกิจ ที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของบริษัทที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้า ผ่านการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ด้วยการใช้เทคนิคการตลาดที่ทันสมัยควบคู่กับการให้การบริการลูกค้าที่ครอบคลุมทุกความต้องการจากการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความโดดเด่น TNDT มีความมั่นใจว่าในการร่วมมือกับพันธมิตรในครั้งนี้จะสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายของ TNDT ได้อย่างแน่นอน

การร่วมมือกับ Exousia 1 ในพันธมิตรในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ มีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ สร้างเนื้อหาที่ดึงดูดและโดดเด่น ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งเสริมการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ TNDT โดยเฉพาะ สินค้าภายใต้แบรนด์ High Kick และ ผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ผ่านการ sterilization ขั้นสูง พร้อมขายและส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านระบบการตลาดและการค้าครบวงจรของ Exousia ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อและรับสินค้าด้วยความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น 

ด้าน นางสาวอรนิตย์ คุตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความสำเร็จไม่จำกัดวิธี (Chief Whatever-it-takes officer ) ของ Exousia กล่าวว่า “การตัดสินใจในการร่วมเป็นพันธมิตรกับทาง TNDT ครั้งนี้มาจากความมั่นใจทั้งในคุณภาพของสินค้าของ  TNDT รวมถึงทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ และคัดกรองคุณภาพ เพื่อความยั่งยืน ซึ่งทีม Exousia เราพร้อมนำกลยุทธ์การตลาดที่เรามีความเชี่ยวชาญจากความสามารถที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด และตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคได้ทันในยุคดิจิทัล ซึ่งจะส่งเสริมให้ TNDT ที่มีพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ที่ดีให้เติบโตในทุกช่องทาง โดยไม่เสียเวลาเรียนรู้ตลาด เราพร้อมเป็นทางลัดให้ TNDT ประสบความสำเร็จ ตามยุทธศาสตร์การค้า ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เราหวังว่าจะสามารถช่วย TNDT สร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในปี 2568

สำหรับผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ผ่านการ sterilization ขั้นสูงเป็นของอีก 1 พันธมิตรคือ Rise Plus ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TNDT ที่ร่วมทุนกับ MMK โดยก่อนหน้านี้ Rise Plus ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ผ่านการ sterilization ขั้นสูงที่ผ่านการฆ่าเชื้อโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) ของ TNDT ที่มุ่งเน้นการเดินหน้าสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ

นายธีรพัฒน์ แก้วเขียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท มิ่งมงคล อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า "การร่วมมือกับ TNDT และ Exousia เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างตรงจุด และครอบคลุมในทุก ๆ ส่วน บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและขับเคลื่อนการเติบโตของพันธมิตรที่ได้มีการจับมือกันในครั้งนี้"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top