Tuesday, 10 December 2024
GoodsVoice

'ครม.ไฟเขียว!! 'คลัง' แจกหมื่นกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน เริ่ม 25 ก.ย.นี้ พร้อมยืนยัน!! เดินหน้า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' 10,000 บาท เฟส 2 แน่นอน

(17 ก.ย. 67) ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ก.ย. 2567 มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยรัฐจะจ่ายเงินสดจำนวน 10,000 บาทต่อคน ให้กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 14.55 ล้านราย ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยไม่จำกัดประเภทร้านค้า มั่นใจว่าสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

“เชื่อว่าโครงการนี้ จะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ให้ขยายตัวได้ อาจไม่ถึง 3% แต่ก็ใกล้เคียง”

โดยรัฐจะจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ ประมาณ 12.40 ล้านราย ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนหรือผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือ ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง (เฉพาะกรณีผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป)

ส่วนกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นผู้เปราะบางที่ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ประมาณ 2.15 ล้านราย  รัฐจะจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อคน ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ 

1.ช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา 
2.บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการ (กรณีไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ 1 ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นของคนพิการแต่ละประเภท

สำหรับการดำเนินการทั้ง 2 โครงการ กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้แก่ กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมที่จะจ่ายเงิน กลุ่มคนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 0 จะได้รับเงินวันที่ 25 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 1-3 จะได้รับเงินวันที่ 26 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 4-7 จะได้รับเงินวันที่ 27 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 8-9 จะได้รับเงินวันที่ 30 ก.ย. 2567

ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ต.ค.2567 / ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พ.ย.2567 และครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธ.ค.2567 โดยเมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ

อย่างไรก็ตาม ขอให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการและคนพิการตามเป้าหมายของโครงการดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ กับเลขประจำตัวประชาชนว่ายังสามารถใช้งานได้หรือไม่ หรือหาก มีบัญชีธนาคารเดิมอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ขอให้ดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน และสำหรับคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการหรือบัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ ขอให้ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรให้เรียบร้อยภายในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ส่วนการลงทะเบียนสำหรับผู้มีสิทธิรับเงินโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แต่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือและกำหนดรายละเอียดให้มีความชัดเจนหลังจากการจ่ายเงินกลุ่มเปราะบางเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 2 ยืนยันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

'ธนกร' หนุน!! 'สรวงศ์' ฟื้น 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน' ยุคลุงตู่ กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สร้างเงินสะพัดช่วงปลายปี

(18 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ตนได้ลงพื้นที่ทั้งจังหวัดสงขลาภูเก็ตและนครศรีธรรมราช รวมถึงจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ พบว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศโดยเฉพาะมาเลเซียเดินทางเข้ามาพักผ่อนท่องเที่ยวในพื้นที่จำนวนมาก ส่วนพี่น้องประชาชนคนไทยต่างก็ฝากถึงรัฐบาล ให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น โดยเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการคนละครึ่งที่ประสบความสำเร็จ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพี่น้องประชาชนต่างชื่นชอบ ให้การตอบรับและใช้สิทธิ์ในโครงการดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงอยากให้มีการรื้อฟื้นโครงการนี้กลับมาใช้ในรัฐบาลปัจจุบันอีก 

ทั้งนี้เมื่อตนได้ติดตามการมอบนโยบายของนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็พบว่ามีแนวทางที่จะใช้มาตรการส่งเสริมไทยเที่ยวไทย โครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' หรือ 'คนละครึ่ง' กลับมาอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งตนเห็นด้วยและขอสนับสนุนให้เป็นแคมเปญที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่ร้านค้าขายขนาดเล็ก ร้านส้มตำ ร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ร่วมโครงการ ก็จะรับอานิสงส์ไปด้วย จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่รากฐานชุมชนไปจนถึงภูมิภาคและระดับประเทศ 

“เมื่อรัฐบาลไฟเขียวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นการจ่ายเงินสด 10,000 บาท ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคนในช่วงปลายเดือนนี้ เชื่อว่าจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับที่น่าพอใจ เมื่อมาประกอบกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง ที่รัฐบาลมีแนวคิดกำลังจะรื้อฟื้นกลับมาใช้อีกครั้ง มั่นใจว่า เศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีหรือไฮซีซั่นปีนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวในภาคใต้ จะมีเงินสะพัดจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่คนไทยจะเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน“ นายธนกร กล่าว

‘GRD Catalyst’ จับมือ ‘วีระสุวรรณ’ ก่อตั้ง ‘Thailand Catalyst Consortium’ ใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับ ตอบสนองอุตฯ ในไทย

(18 ก.ย. 67) ที่สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท จีอาร์ดี แคททาลิสต์ จำกัด (GRD Catalyst Co., Ltd.) และบริษัท วีระสุวรรณ จำกัด (Verasuwan Co., Ltd.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง Thailand Catalyst Consortium การค้าร่วมตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยภายใต้วัตถุประสงค์ของความร่วมมือนี้ดังกล่าว ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการภาคอุตสาหกรรมในการใช้งานตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับ (Catalyst and Adsorbent) โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี แต่ยังตอบสนองความต้องการไปถึงอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมด้านเภสัชกรรม และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความต้องการการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับดังกล่าว โดยทั้งสองบริษัทใช้องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การผลิตในระดับอุตสาหกรรม (Commercialized Scale) ในการผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือดูดซับผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (Target Product) ที่ดำเนินการภายใต้กระบวนการทางเคมีให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานระหว่างกระบวนการผลิต

ดร.ก้องเกียรติ สุริเย CEO บริษัท จีอาร์ดี แคททาลิสต์ จำกัด กล่าวภายหลังการลงนามร่วมว่า “ทั้งสองบริษัทมุ่งหวังที่จะผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับที่มีปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระหว่างกระบวนการผลิตที่ต่ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะใช้การจัดตั้งกิจการค้าร่วมดังกล่าวนี้ในการพยายามลดการนำเข้าตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับจากต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันตลาดตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับในประเทศไทยมีการนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้การค้าร่วมนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับของประเทศไทย

ด้าน ดร.สัญญา บุญญาสุวัฒน์ CEO บริษัท วีระสุวรรณ จำกัด กล่าวเสริมว่า การลงนามใน MOU นี้เป็นการกระตุ้นให้องค์กรการศึกษา สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยภายในประเทศมีการพัฒนางานวิจัยด้านตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับเคมีอย่างจริงจัง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานจริงและตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในเมืองไทย

ทางด้าน ดร.แสวง บุญญาสุวัฒน์ คณะกรรมการบริหาร วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในสักขีพยาน กล่าวว่า ยินดีกับการก่อตั้งกิจการค้าร่วมครั้งนี้ ถือเป็นการนำองค์ความรู้ และเทคโนโลยีในเชิงอุตสาหกรรมที่มีอยู่มาใช้ในการเปลี่ยนทรัพยากรในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมเคมีในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการร่วมลงนามข้อตกลงดังกล่าวได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ศิริพร จงผาติวุฒิ และ ผศ.ดร.อุทัยพร สุริยประภาดิลก อาจารย์ประจำวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย ศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย และ รศ.ดร. กิตติศักดิ์ ชูจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมเป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในงานนี้ด้วย

‘รมช.สุชาติ’ ผลักดันแนวคิด ‘ข้าวไทย สู่อาหารโลก’ พร้อมพัฒนาเป็น ‘สินค้าพรีเมียม’ แข่งขันในตลาดโลก

(18 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Thai Rice Networking Forum 2024 ซึ่งเป็นงานที่กรมการค้าต่างประเทศจัดขึ้นต่อเนื่องทุกปี เพื่อส่งเสริมและผลักดันตลาดข้าวไทยและให้ผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าได้มีเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลตลาดค้าข้าวที่มีการเปลี่ยนแปลงไปว่า…

สินค้าข้าวของไทยเป็นข้าวที่มีคุณภาพ และถือว่าเป็นสินค้าพืชเศรษฐกิจหลักสำคัญของประเทศ ที่สร้างรายได้ให้กับชาวนาและรายได้ให้กับประเทศ และการจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นการเชื่อมโยงการค้าข้าว และรับรู้สถานการณ์การค้าข้าวทั่วโลก

นอกจากนี้ นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ยังต้องการส่งเสริมการค้าการส่งออกข้าวไทยไปต่างประเทศ และข้าวไทยยังเป็นสินค้าส่งออกสำคัญระดับต้น ๆ ของโลก จึงมีความจำเป็นที่ไทยจะต้องรักษาคุณภาพข้าวไทยเพื่อแข่งขันในตลาด ดังนั้น เพื่อต้องการขยายตลาดการค้าข้าวของไทย จำเป็นจะต้องพัฒนาและเพิ่มศักยภาพ มาตรฐานข้าวไทยในตลาดโลกให้ได้ และต้องให้ทันกับโลกสมัยใหม่

“ต้องให้ตลาดหรือผู้นำเข้า เวลาคิดถึงข้าวให้คิดถึงประเทศไทย พร้อมชูข้าวไทย สู่อาหารโลก”

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยจำเป็นจะต้องประชาสัมพันธ์ข้าวไทย เพื่อผลักดันการส่งออก แต่ละปีไทยส่งออกข้าวเฉลี่ยปีละกว่า 8 ล้านตัน และการส่งออกข้าวไทยในปี 2567 นี้มั่นใจว่าไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 9 ล้านตัน เพราะผลผลิตของเราในปีนี้เพิ่มขึ้น และอนาคตกระทรวงพาณิชย์มองว่าสินค้าเกษตรของไทยจะต้องพัฒนาให้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม เราจะต้องค้าขายไม่เน้นปริมาณ แต่เพื่อคุณภาพที่จะส่งเสริมรายได้ให้กับเกษตรกร

“โดยที่ผ่านมาผมได้มีการประชุมและหารือกับทุกฝ่าย ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายด้านสินค้าเกษตรที่ต้องการยกระดับให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น สินค้าต้องเป็นสินค้าที่ Premium และการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนเห็นถึงความสำคัญว่าสินค้าเกษตรไทย ต้องเร่งผลักดัน เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันกับต่างประเทศได้”

สำหรับกรณีปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดที่กระทบต่อพื้นที่ทางการเกษตร ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบและสร้างความเสียหาย แต่อนาคตรัฐบาลพร้อมที่จะหามาตรการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดโซนนิ่งในการปลูกพืชเกษตรที่ให้ความเหมาะสม โดยกระทรวงพาณิชย์พร้อมจะให้ข้อมูลด้านการตลาด เพื่อผลักดันเพื่อการส่งออกข้าวไทยโต ส่วนความเสียหายพื้นที่นาข้าวอาจจะกระทบผลผลิตและมีผลต่อการส่งออกบ้าง แต่น้อยมาก เพราะเราส่งออกตุนมามากแล้ว และไม่กระทบเป้าส่งออกข้าวไทยทั้งปี 2567

ทั้งนี้ การส่งออกข้าวไทยในปีนี้อยู่ในทิศทางที่ดี โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม-กรกฎาคม) ไทยส่งออกข้าวแล้วปริมาณ 5.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.97 และมีมูลค่า 132,396 ล้านบาท (ประมาณ 3,703 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 50.97 เป็นผลมาจากผู้นำเข้าข้าวมีความต้องการนำเข้าข้าว เพื่อใช้บริโภคและเก็บเป็นสต๊อกเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ประกอบกับอินเดียยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกข้าว จึงคาดการณ์ว่าในปี 2567 ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.20 ล้านตัน

'บีโอไอ' ไฟเขียว!! ไฮเออร์' ลงทุนไทย 1.3 หมื่นล้าน จ้างงานคนไทย 3 พันตำแหน่ง ยกระดับไทยสู่ฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งใหม่นอกประเทศจีน

(19 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ของบริษัท ไฮเออร์ แอพพลายแอนซ์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ 'Haier' ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งมียอดขายอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 15 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 - 2566) จากการจัดอันดับโดยยูโรมอนิเตอร์

โครงการนี้จะมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่มีระบบเซ็นเซอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งตรวจจับและรับข้อมูลได้ และสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone และอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านเครือข่าย Wi-Fi จำนวน 6 ล้านเครื่องต่อปี มีเงินลงทุนสูงถึง 13,400 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จังหวัดชลบุรี โดยเฟสแรกจะเร่งลงทุนและติดตั้งกำลังการผลิต 3 ล้านเครื่องให้แล้วเสร็จ พร้อมเริ่มผลิตภายในเดือนกันยายน 2568 และจะเปิดเต็มโครงการภายในปี 2570 มีแผนการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 3,000 คน โครงการนี้จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีมูลค่าการส่งออกกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี 

“ไฮเออร์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรและเพียงพอต่อความต้องการ ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ ทั้งท่าเรือและเส้นทางคมนาคมที่สะดวกเพื่อสนับสนุนการส่งออก อีกทั้งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ถือเป็นความสำเร็จในการดึงดูดโครงการลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการสร้างงาน การพัฒนาบุคลากร การใช้วัตถุดิบในประเทศ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลก” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ที่ผ่านมากลุ่มไฮเออร์ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์สำหรับตู้เย็น เป็นต้น ภายใต้ชื่อบริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด รวม 9 โครงการ เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมขยายกิจการผลิตตู้เย็นในพื้นที่โรงงานเดิมด้วย  

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทย โดยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้ง AI, 5G และ IoT ที่เปลี่ยนมาตรฐานการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 

การส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่ 'เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ' เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของบีโอไอ โดยตั้งแต่ปี 2566 - มิถุนายน 2567 มีโครงการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ จำนวน 144 โครงการ เงินลงทุนรวม 98,550 ล้านบาท โดยกว่าร้อยละ 80 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ นอกจากไฮเออร์แล้ว ยังมีแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น มิตซูบิชิ, โซนี่, ไดกิ้น, ซัมซุง, อีเลกโทรลักซ์, ไมเดีย เป็นต้น

‘พิพัฒน์’ เมิน ‘นายจ้าง’ ไม่ร่วมประชุมถกขึ้นค่าแรง 400 บาท ลั่น!! 1 ต.ค.ขึ้นแน่ ส่วนฝั่งผู้ประกอบการมีแผนเยียวยารอแล้ว

(19 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศ ครั้งที่ 2 วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายนายจ้างทั้ง 5 เสียง จาก 15 เสียง จะเข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ หลังการประชุมครั้งที่ 1 อ้างติดภารกิจว่า ได้ทำจดหมายเชิญแล้ว อยู่ที่ตัวแทนฝ่ายนายจ้างจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล ตนไม่สามารถก้าวก่ายได้ แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คณะกรรมการฝ่ายนายจ้างเข้ามาหารือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะตามนโยบายตนก็หาแนวทางที่ดีที่สุด และให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงพูดคุยกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางเยียวยาแก่บริษัทที่ได้รับผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าวันที่ 20 กันยายน 5 เสียงฝ่ายนายจ้างไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการไตรภาคีที่เหลือจะเดินหน้าพิจารณาเดินหน้าประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาท ให้ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ใช่หรือไม่? นายพิพัฒน์ กล่าวว่า “หากนายจ้างไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 2 เราก็จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และดำเนินการประชุม โดยจะอ้างอิงเสียงโหวต 2 ใน 3 ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายข้าราชการ เข้าครบก็สามารถโหวตได้”

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่วันที่ 1 ตุลาคมจะได้ค่าแรง 400 บาท? นายพิพัฒน์ กล่าวว่า “ยืนยันครับ ชัดเจนครับ เพราะเมื่อประกาศไปแล้ว ก็พยายามทำให้สำเร็จ ซึ่งตนก็เชื่อว่าฝ่ายลูกจ้างก็รอ และยอมรับว่ากระทบต่อนายจ้างพอสมควร เพราะตนก็มาจากภาคธุรกิจ บริษัทในเครือก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน เพราะมีลูกจ้างประมาณ 30,000 คน ได้รับผลกระทบประมาณ 20,000 คน แต่ก็ยอมรับผลกระทบตรงนั้น แต่ก็ต้องดูว่ากระทรวงการคลัง จะเยียวยาผู้ประกอบการได้อย่างไร”

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ยืนยัน ขณะนี้มีมาตรการเยียวยาแล้ว โดยจะประกาศพร้อมกันวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งมาตรการเยียวยาที่ปรับตามประกาศ พ.ศ. 2555 เพื่อมาใช้ในปัจจุบัน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาท วันที่ 1 ตุลาคม อาจถูกนายจ้างและผู้ประกอบการร้องเรียนฟ้องร้องภายหลัง? รมว.แรงงาน กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ตนยินดีรับสิ่งที่พวกเรากระทำ และถือว่าตนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าจะมีการฟ้องร้องหรือไปร้องเรียนศาลปกครอง เราก็พร้อมน้อมรับและยืนยันว่าไม่หนักใจเรื่องนี้”

'รมว.เอกนัฏ' ปลุก!! 'กนอ.' ตีหลากโจทย์ภาคอุตสาหกรรมไทย 'เศรษฐกิจสีเขียว-ผลักดันอุตฯ ป้องกันประเทศ-สนับสนุน SMEs'

(19 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.67 ได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายให้กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งก็ได้รับทราบถึงแผนงาน รวมถึงปัญหาอุปสรรคของ กนอ.หลายเรื่อง โดยได้เน้นย้ำถึงพันธกิจของกระทรวงฯ ที่ กนอ.เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ต้องเข้ามาร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ ไปถึงการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรืออุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ที่ผู้ประกอบการในไทยหลายรายมีศักยภาพสูง นอกจากนี้ยังต้องยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการจัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน ที่ผ่านมา กนอ.ถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องวางแนวทางประสานข้อมูลกับทางกระทรวงฯ และต่อยอดองค์ความรู้ของ กนอ.ไปสู่ผู้ประกอบการนอกนิคมฯ เพื่อให้เกิดโรงงานสีเขียวทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ กำลังจัดฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานในกระทรวงฯ ให้เป็นหนึ่งเดียวตามแนวนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) จึงอยากให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง กนอ. และกระทรวงฯ ทั้งในเรื่องการจัดการจากอุตสาหกรรม, ขออนุมัติ-อนุญาต และการรายงานผลประกอบการผ่านแพลตฟอร์มเดียวกัน (Single Form) เพื่อให้ฐานข้อมูลที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ฝากให้ กนอ.เข้าไปช่วยเหลือส่งเสริม SMEs ไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย โดยอาจจะจัดพื้นที่ และสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในนิคมฯ ให้แก่ธุรกิจ SMEs ทั้งในแง่ของการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งทุน และการสร้าง Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมนั้นๆ 

“ผมเห็นแล้วว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเรามีเป้าหมายเดียวกัน และเชื่อมั่นว่าการทำงานของเราจะสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะเรามองเห็นภาพเดียวกัน และจับมือและเดินไปด้วยกัน การทำงานร่วมกันเป็นทีม และแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเป้าหมายเดียวกันในการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นายเอกนัฏ ระบุ

ทั้งนี้ โอกาสเดียวกัน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ กนอ. ได้กล่าวย้ำถึงบทบาทสำคัญของ กนอ. ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเสนอข้อมูลการลงทุน (Investment Outlook) และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในภาพรวมและในนิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านมาว่า พื้นที่นิคมฯที่ กนอ.ดำเนินการเอง และพื้นที่ร่วมดำเนินงาน ยังมีความสามารถที่จะรองรับการลงทุน โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติได้อีกมาก

ด้าน นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ 'นิคมอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากลด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน' ที่มุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมครบวงจรอย่างยั่งยืน ยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันแก่นักลงทุน และเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมบนหลักธรรมาภิบาล พร้อมรายงานความคืบหน้าของโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1, นิคมอุตสาหกรรม Smart Park, การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือนิคมฯ Circular, นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับโครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ จ.ระนองและ ชุมพร, นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล และแนวคิดโครงการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นายสุเมธ ยังได้นำเสนอแผนงานตามนโยบาย “การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส 3 ปฏิรูป 3 แนวทาง” ของ รมว.อุตสาหกรรม ด้วยว่า กนอ.ได้วางแนวทางเพื่อสนับสนุนนโยบายไว้ 3 เรื่องสำคัญที่จะเร่งดำเนินการ คือ 

1.การจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ SMEs (I-EA-T Incubation) เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs โดยการใช้นิคมฯ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ SMEs เบื้องต้นจะเริ่มดำเนินการ และพร้อมเปิดนิคมฯที่นิคมฯลาดกระบัง ภายใน 3 เดือน และการผลักดันแก้ไขปัญหาผังเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจหรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะดำเนินการภายใน 3 เดือนเช่นกัน

2.การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร ผ่านความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดขั้นตอนและเวลา เรื่องนี้จะสามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใน 6 เดือน และ 3.การสร้าง Eco System หรือระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ โดยใช้แพลตฟอร์ม (Platform) ต่างๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ ให้ง่ายต่อการประกอบกิจการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใน 1 ปี

“กนอ.ขอรับการสนับสนุนจาก รมว.อุตสาหกรรม ในด้านต่างๆ เช่น การผลักดันกฎหมายผังเมือง EEC, การบูรณาการแก้ไขการจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร, Fast Track Lane (ช่องทางพิเศษเพื่ออำนายความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง, กรมที่ดิน และ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อให้โครงการตามนโยบายของ รมว.อุตสาหกรรม สำเร็จลุล่วง และที่ต้องการใช้กลไกของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายสุเมธ ระบุ

'ดร.คงกระพัน' ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' ในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ 'สุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024' จากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ในงาน 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' เนื่องในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี 

โดยการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานเด่นชัดในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง 'ดร.คงกระพัน' ผลักดันการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ 'ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน' หรือ 'TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD' เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ โดยยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลรวม 25 รางวัล ให้กับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาคเอกชน, ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการบริการ ซึ่งทุกรางวัลผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน อาทิ ความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้!! ถึงเฟดปรับลดดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ว่าไทยต้องลดตาม แจง!! การลดดอกเบี้ยของไทยควรขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก

(20 ก.ย. 67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ว่า กรณีเฟดไม่ใช่ว่าเฟดลดแล้วเราต้องลด การที่เฟดลดดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้าน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เราต้องตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย

การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเน้นจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ใน 3 ปัจจัย กล่าวคือ แนวโน้มเศรษฐกิจว่าสามารถเติบโตได้ถึงศักยภาพหรือไม่ อัตราเงินเฟ้อ จะเข้ากรอบเป้าหมายหรือไม่ และเสถียรภาพด้านการเงิน แต่การพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นต้องคำนึงถึงภาพรวมด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ของโลกควบคู่กันด้วย เพราะการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่ ย่อมมีผลกระทบในภาพรวม ที่ต้องคำนึงถึงผ่าน 3 ปัจจัยนี้

อย่างไรก็ดี สำหรับการตัดสินใจต่อนโยบายดอกเบี้ยของไทยจาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ในปัจจุบัน ยังไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ภาพการประเมินเศรษฐกิจต่างไปจากที่ ธปท.ได้เคยประเมินไว้ โดยยังคง Outlook Dependent ซึ่งเชื่อว่าเป็นกรอบการตัดสินใจที่เหมาะสม ถูกต้อง

นอกเหนือจากนี้ต้องคำนึงว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างภาระหนี้เดิม กับสินเชื่อใหม่ที่จะเกิดขึ้น และอยากฝากว่า การลดดอกเบี้ยนั้น ผลที่จะส่งต่อไปยังการลดภาระหนี้อาจจะไม่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับลดดอกเบี้ย ผลที่จะได้รับอาจไม่มากเท่ากับการปรับโครงสร้างหนี้ และจะคาดหวังว่าดอกเบี้ยลงแล้ว ภาระหนี้จะลดลงทันที คงไม่ใช่

‘GAC AION’ เปิดตัว ‘HYPTEC HT’ เอสยูวีไฟฟ้า รุ่นเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท รุ่นปีกนก 1.749 ล้านบาท

GAC AION เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ เน้นความหรูหราและเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ผสานเข้ากับการออกแบบ และการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคุณสมบัติ 5 จุดเด่น ของตัวรถ ได้แก่ HYPTEC Design, HYPTEC Space, HYPTEC Smart, HYPTEC Energy และ HYPTEC Performance เคาะราคาขายเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท

(20 ก.ย. 67) นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด,นาย พอนตุส ฟอนเทอุส (Pontus Fontaeus) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ GAC Advanced Design Los Angeles และผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ HYPTEC, นายสวี่เจ้าหยู่ (Xu Zhaoyu) ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ ร่วมเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับ ไฮเอนด์ ณ สามย่านมิตรทาวน์ 

นายโอเชี่ยน หม่า เผยว่า หลังจากที่ GAC AION ได้มีการแนะนำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ Hyper อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว Hyper HT รถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ที่หลายคนรอคอย ในงาน Motor Show 2024 ล่าสุด HYPER ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น ‘HYPTEC’ และไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น สะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและการขยายตัวในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก HYPER เป็น HYPTEC เกิดจากการศึกษาวิจัยตลาดและความต้องการของลูกค้าทั่วโลกอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งชื่อ ‘HYPTEC’ ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล โดยชื่อแบรนด์ HYPTEC มาจาก ‘Hyper’ สื่อถึงความสุดยอดและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ ‘Technology’ สื่อถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่หรูหรา แต่ยังล้ำหน้าด้วยคุณสมบัติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่น

สำหรับการเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ มี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ HYPTEC HT 620 Premium ราคา 1,449,000 บาท และ HYPTEC HT 620 Luxury (ประตูปีกนก: Gull wing doors) ราคา 1,749,000 บาท 

HYPTEC HT ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากสถาบัน C-NCAP และได้รับคะแนนระดับ G (ระดับสูงสุด) ในด้านการปกป้องผู้โดยสาร, การปกป้องคนเดินถนน และความปลอดภัยเชิงรุก จากสถาบัน Zhongbao Research แถมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbones) ด้านหลังแบบอิสระ 5-Link มาพร้อม ASTC (Eagle Claw) ระบบรักษาเสถียรภาพอัจฉริยะ ช่วยปรับสมดุลของตัวรถโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัย HYPTEC HT ยังมีออปชัน และระบบเด่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้…
- ถุงลมด้านหน้า ด้านข้างตอนหน้า ม่านถุงลม
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
- ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน

- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน
- ระบบไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา
- ระบบเตือนการเปิดประตู

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหลังเข้าใกล้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go
- ระบบควบคุมความเร็ว (ICA)

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
- ระบบควบคุมความเร็วในขณะเข้าโค้ง
- ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
- ระบบเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า

- ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
- ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา

ส่วนพละกำลังของ HYPTEC HT มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 250 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ขนาด 83.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 5.8 วินาที สามารถวิ่งได้ไกล สูงสุด 620 กม. ต่อการชาร์จ1 ครั้ง และรองรับการชาร์จเร็ว โดยสามารถชาร์จไฟจาก 10-70% ได้ภายใน 15 นาที วิ่งได้ระยะทาง 372 และการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จไฟจาก 0-100% ภายใน 53 นาที

นอกจากนี้ HYPTEC HT ยังมีจุดเด่นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ เบาะนั่งหนัง Nappa ที่พักแขนทำจากวัสดุไม้แท้ พร้อมด้วยฟีเจอร์เบาะรองน่องผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า พนักพิงเบาะหลังปรับเอนได้ 143 องศา รวมถึงเบาะรองขาทำให้ผู้โดยสารสามารถเหยียดขาได้ / โต๊ะอเนกประสงค์ด้านหลังเบาะคนขับออกแบบให้มีความโค้ง เพื่อลดอันตรายจากการกระแทกสำหรับเด็ก เบาะคู่หน้ามีระบบนวดไฟฟ้า 10 จุด และโหมดการนวด 5 รูปแบบ

มีหลังคากระจกพาโนรามาขนาด 2.6 ตารางเมตร ม่านไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 620 Premium) กระจกลามิเนตสองชั้นรอบคัน ป้องกันเสียงจากภายนอก พื้นที่เก็บสัมภาระ 670 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระแบบสองชั้นขนาด 80 ลิตร และยังมีพื้นที่จัดเก็บด้านหน้ารถใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 55 ลิตร

มีระบบเสียง Dolby Atmos 7.1.2 พร้อมลำโพง 22 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับซับวูฟเฟอร์ และยังมีลำโพงอิสระที่ตำแหน่งไหล่ของผู้ขับขี่ สำหรับพูดคุยโทรศัพท์หรือฟังระบบนำทางโดยไม่รบกวนการฟังเพลงหรือภาพยนตร์ของผู้โดยสาร

มีจอความละเอียดสูง 2.5K ขนาด 14.6 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm 8155 รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และแอปพลิเคชันอื่น ๆ

สามารถเพิ่มบรรยากาศด้วยระบบน้ำหอมปรับอากาศ ซึ่งสามารถสั่งการผ่านหน้าจอกลาง เลือกกลิ่นได้ 3 รูปแบบ

มีระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ 4 ตำแหน่ง รองรับทุกตำแหน่งในรถ

มีระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิขณะขับขี่

นายโอเชี่ยน หม่า ยังได้กล่าวอีกว่า GAC AION ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพลังงานควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานใหม่ โดยทำงานร่วมกับ GAC Energy โดยตั้งเป้าสร้างสถานีชาร์จ 25 แห่งในปีนี้ และสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จภายในรัศมี 15 กิโลเมตรทั่วกรุงเทพฯ

“ภายในปี 2570 เราวางแผนจะสร้างสถานีชาร์จให้ครอบคลุม 100 เมืองทั่วประเทศ เป็นจำนวน 200 แห่ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า AION และ HYPTEC จะได้รับความสะดวกสบายในการชาร์จไฟฟ้า ขณะเดียวกันในด้านการพัฒนาบุคลากร เราได้เพิ่มจำนวนพนักงานในประเทศไทยถึง 12.6 เท่า จากช่วงเริ่มต้น และได้สนับสนุนการสร้างงานในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง”

ในส่วนของสิทธิประโยชน์ HYPTEC Exclusive Privilege ประกอบไปด้วย…

1. Financial Benefit ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% (เมื่อดาวน์ 30% ผ่อน 48 งวด)
*เมื่อรับรถและจดทะเบียนรถ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567

2. Exclusive Warranty Package
- รับประกันแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม ตลอดอายุการใช้งาน (เฉพาะเจ้าของรถส่วนบุคคล ผู้ครอบครองรถลำดับที่ 1, และไม่ใช้งานรถในลักษณะเชิงพาณิชย์) *กรณีไม่เข้าตามเงื่อนไขด้านบน ระยะการรับประกันสำหรับชิ้นส่วนแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม จะถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับประกันเป็น 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยนับจากวันที่ออกรถ

- รับประกันคุณภาพรถยนต์ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- รับประกันชิ้นส่วนประตูปีกนก 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

3.Insurance Gift ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี

4. Exquisite Gifts ฟรี ฟิล์มกระจก แผ่นรองเท้า ค่าจดทะเบียน

5. Exclusive Deal for Home Charger ฟรี Home Chager พร้อมบริการติดตั้ง (ฟรีสายไฟความยาวไม่เกิน 20 เมตร / รับประกันเครื่องชาร์จ 1 ปี)

6. In-car Internet Service แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตในรถยนต์ฟรี นาน 2 ปี ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน

7. Lifetime OTA Firmware Update ล้ำสมัยตลอดการขับขี่ บริการอัปเกรดซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องในระบบรถยนต์ฟรีตลอดชีพ

8. 24 Hours Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top