Saturday, 18 January 2025
GoodsVoice

ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ กับ นายกรัฐมนตรีหญิงของไทย การกระชับความสัมพันธ์ 'ไทย-สหรัฐฯ' ให้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้งหนึ่ง

(8 ก.ย.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์' อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยถึงช่วงเวลา 2 เดือนที่เหลืออยู่ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะเป็นตัวกำหนดผู้ชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนเลยทีเดียว

ประการแรก ความวิตกกังวลว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เคยมีการคาดการณ์กัน เริ่มหมดไป แม้ว่าตัวเลขการว่างงานจะกระดกขึ้นมาบ้าง แต่ GDP ในไตรมาส 2 ยังเติบโตสูงกว่าคาด และไม่มีเครื่องชี้อื่นใดที่บ่งบอกสัญญาณ Recession ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับรองประธานาธิบดี Kamala Harris แห่งพรรค Democrats ในฐานะที่เป็นรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันกับโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเหนือ Donald Trump กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

ประการที่สอง ประธาน Federal Reserve Jerome Powell ได้ออกมากล่าวหลังการประชุมใหญ่ที่ Jackson Hole ว่าธนาคารกลางสามารถปราบเงินเฟ้อได้อยู่หมัด และถึงเวลาแล้วที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงิน จึงเป็นที่คาดหมายของตลาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25-0.50% ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยจะเริ่มลดครั้งแรกในการประชุม FOMC ปลายเดือนกันยายนนี้เลย

ประการที่สาม Presidential Debate ระหว่าง Harris กับ Trump ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้น 2 ครั้ง จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นความชัดเจนและความแตกต่างในนโยบายของสองตัวแทนพรรค โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาสังคมรู้จักนโยบายของ Harris น้อยมาก เพราะ Harris ไม่ผ่านการเลือกตั้งขั้นต้น (Primaries) จึงไม่มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์เลย อยู่ๆ ก็ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดี Biden ให้เป็นตัวแทนพรรค Democrats แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ หาก Harris ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ... สหรัฐฯ และโลกจะมีความต่อเนื่องของนโยบายที่ดำเนินมาในช่วงเกือบ 4 ปีของรัฐบาล Biden

เชื่อมโยงกลับมาในบ้านเรา ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ทั้งประเทศไทยมีผู้นำเป็นสตรี และสหรัฐฯ ก็อาจจะได้ผู้นำประเทศเป็นสุภาพสตรีด้วยไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากพิจารณาโดยธรรมชาติแล้ว รัฐบาลเพื่อไทย และ รัฐบาล Democrats ต่างมีนโยบายคล้ายกัน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นสนับสนุนคนชั้นกลางและรากหญ้า ด้วยการอาศัยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) และมาตรการทางการคลังในการชี้นำเศรษฐกิจให้เติบโตในทิศทางที่เหมาะสม 

ดังนั้น หากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จบที่ Democrats ก็เชื่อมั่นว่าจะได้เห็น รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร และรัฐบาล Kamala Harris กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ให้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไทยหลุดจอเรดาร์ของสหรัฐฯ ไปเป็นเวลา 10 ปี

ปิดตำนาน 62 ปี ห้างเก่าแก่ ‘ตั้งฮั่วเส็ง’ การไฟฟ้านครหลวง เตรียมตัดไฟ เปิดให้บริการวันสุดท้าย 9 ก.ย.นี้ เหตุ!! เจรจาผู้ร่วมทุนใหม่ ยังไม่แล้วเสร็จ

(8 ก.ย. 67) นับเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ห้างหนึ่ง สำหรับ ตั้งฮั่วเส็ง ห้างแห่งความทรงจำของใครหลายคน ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2505 ปัจจุบันเปิดให้บริการกว่า 62 ปีมาแล้ว

ก่อนกลายเป็นประเด็นไวรัลในโลกโซเชียลขณะนี้ เมื่อผู้ใช้ X โพสต์ภาพพร้อมแชร์ประสบการณ์การไปเยือน ‘ห้างตั้งฮั่วเส็ง’ โดยบรรยายว่า 

“ไปแวะตั้งฮั่วเส็งซื้อของให้แม่ บรรยากาศหม่นหมองมากก ทั้งห้างเหลืออยู่แค่แผนกงานฝีมือที่ชั้น 3 เสื้อผ้า+เครื่องสำอาง ไม่กี่แบรนด์ที่ชั้น 1 กับซูเปอร์มาเก็ตชั้นใต้ดิน”

ล่าสุดทางห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้ออกหนังสือแจ้งปิดทำการ แก่ผู้ประกอบการภายในห้าง เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า เนื่องด้วย ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง เรื่องขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อาคารสรรพสินค้า สาขาธนบุรี ในวันอังคารที่ 10 ก.ย.67 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปิดทำการ ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินแก้ไข และเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ หากดำเนินการแล้วเสร็จ ห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้

เบื้องต้นทราบว่า ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี จะเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันจันทร์ที่ 9 ก.ย.นี้

‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ คึกคัก!! เหตุ ‘ต่างชาติ’ ย้ายสำนักงานใหญ่ ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน

(8 ก.ย. 67) ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าไตรมาส2 ปี2567 อุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 29,200 ตร.ม. หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนคิดเป็น 6.16 ล้าน ตร.ม.

โดยมีอาคารสำนักงานใหม่ 2 แห่งสร้างแล้วเสร็จแล้ว ได้แก่ ศุภาลัย ไอคอน สาทร และรัชโยธิน ฮิลส์ ขณะที่ซัพพลายในอนาคตยัง"ไม่มี"การประกาศก่อสร้างโครงการใหม่ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมสำหรับการพัฒนา ‘ลดลง’ เหลือ 1.46 ล้าน ตร.ม.คิดเป็น 24% ของระดับอุปทานในปัจจุบัน

สำหรับ ‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ (CBD) ยังคงเป็นทำเลหลักมีสัดส่วน 60% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ จากการประเมินพบว่าในอีก 2.5 ปีข้างหน้าอุปทานพื้นที่สำนักงานใหม่ ในครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ในปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม.และในปี 2569 คาดการณ์ 440,400 ตร.ม.

โดยดีมานด์การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาสนี้เป็นบวกหรือเท่ากับ 18,400 ตร.ม เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบในไตรมาสก่อน ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.73 ล้าน ตร.ม. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวติดลบลดลงเหลือ5,900 ตร.ม.

ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่ ‘ไม่ใช่’ สำนักงานสีเขียวเพิ่มขึ้น 24,300 ตร.ม. คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสหน้าตามเทรนด์ความยั่งยืนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตลาดสำนักงาน 

‘ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้น มีการดูดซับสุทธิที่ 23,400 ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (Non-CBD) หดตัวเล็กน้อย การดูดซับสุทธิติดลบ 4,950 ตร.ม. เนื่องจากมีความต้องการจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯมากขึ้น’

อย่างไรก็ตามอัตราการครอบครองตลาดอาคารสำนักงานภาพรวม ‘ทรงตัว’ อยู่ที่ 77% สอดคล้องกับไตรมาสก่อน หากแยกตามแต่ละกลุ่ม พบว่า สำนักงานเกรด A มีเสถียรภาพมากที่สุด อัตราการครอบครองสูงสุดที่ 80% แม้ว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของอุปทาน สำนักงานเกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ส่วนสำนักงานเกรด C ลดลง 1% เหลือ 77%

ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน และ 0.3% จากปีก่อน ค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารทุกเกรดเพิ่มขึ้น แม้ว่าเทรนด์โดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่เลือกที่จะคงค่าเช่าในอัตราเดิม ส่วนค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน 

ขณะที่อัตราการครอบครองเฉลี่ยยังคงทรงตัวที่ 79% สีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นย่านหลักที่ขับเคลื่อนพื้นที่การเช่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยพื้นที่ย่านดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 22,200 ตร.ม. ทำให้อัตราการครอบครองเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน ส่วนอัตราค่าเช่าลดลงเล็กน้อย 0.7% จากไตรมาสก่อน

ตรงกันข้ามกับอาคารสำนักงานนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าเช่าและอัตราการครอบครอง ‘ลดลง’ ค่าเช่าเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน เหลือ 660 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน อัตราการครอบครองเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 74% ค่าเช่าของตลาดทั้ง 3 กลุ่มมีการเติบโตเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองลดลง

อย่างไรก็ตาม ‘คุณภาพ’  ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกอาคารสำนักงาน แม้ว่าคำจำกัดความของ ‘คุณภาพ’ ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เช่าจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงาน โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และการปรับตัว การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและเน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมีความสำคัญมากขึ้น

รวมทั้งผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนและ ESG ก่อนตัดสินใจเช่า ด้วยความมุ่งมั่นด้านคาร์บอน บางบริษัทจะพิจารณาเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองสีเขียวเท่านั้น แม้ว่าตัวเลือกที่ไม่ได้รับการรับรองจะมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่น่าดึงดูดก็ตาม ดังนั้นอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุงสินทรัพย์ (AE) หรือปรับปรุงการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (FM) ต้องเผชิญกับการคุกคามมากขึ้นจากการเกิดขึ้นของอาคารใหม่ ๆ ที่ใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข่งขันได้ พื้นที่ทางกายภาพ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่ายุคใหม่

ทั้งนี้เนื่องจาก จะมีพื้นที่อุปทานใหม่เกือบ 1.2 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2.5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น ‘แรงกดดัน’ ต่อจำนวนการเช่าพื้นที่และค่าเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ราคาค่าเช่าจะกลายเป็นตัวชี้วัดของตลาดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราค่าเช่าและค่าเช่าที่แท้จริงเริ่มกว้างขึ้น โดย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าจะมีการเช่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ วัน แบงค็อก เฟส 1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายตลอดเวลา

“การแข่งขันในตลาดสำนักงานกรุงเทพฯรุนแรงขึ้น ดังนั้น การมีคุณสมบัติของอาคารสีเขียวและการเน้นการปฏิบัติตามหลัก ESG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ทรัพย์สินของคุณมีความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดใจในตลาดปัจจุบัน เพราะความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

'รัฐบาล' เล็ง!! สร้าง 9 เกาะปากอ่าวไทยรับมือน้ำท่วม-เสริมสร้างเศรษฐกิจใหม่ ใช้แนวทางถมทะเล ก่อสร้างประตูกั้นน้ำขึ้น-ลง แบบ ‘เนเธอร์แลนด์โมเดล’

(9 ก.ย. 67) นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม ‘พรรคเพื่อไทย’ ขยายความถึงแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับโครงการถมทะเล บางขุนเทียน เพื่อสร้างเมืองใหม่ และแก้ปัญหาน้ำท่วมว่า แนวคิดดังกล่าวมีเหตุผลยืนยันถึงความจำเป็นต้องผลักดันออกมาให้เร็ว เพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยได้มีการวางแผนและศึกษาไว้นานแล้ว

โดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายสูงมาก เป็นเรื่องที่พูดคุยกันใน ’องค์การสหประชาชาติ’ (UN) มาหลายปีแล้ว โดยมีการประเมินถึงเรื่องที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีพื้นที่จำนวนมากที่จมน้ำ เช่นเดียวกับอ่าวไทยจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ทั้งนี้มีโมเดลเบื้องต้นประเมินว่า จากภาวะโลกร้อนสูงสุด จะทำให้น้ำแข็งละลายสูงสุด ส่งผลถึงน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้นมากถึง 5 – 6 เมตร ทำให้น้ำท่วมเข้ามาในพื้นที่ลุ่มภาคกลางของไทยถึง 16,000 ตารางกิโลเมตร นั่นหมายความว่าอ่าวไทยจะอยู่ที่จังหวัดลพบุรี, สระบุรีทางตอนเหนือ, อุทัยธานี ส่วนกรุงเทพฯ นนทบุรี, ปทุมธานี, สิงห์บุรี, อ่างทอง,  พระนครศรีอยุธยา, ปราจีนบุรี, ชลบุรีบางส่วน, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, และเพชรบุรีบางส่วน จะหายไป 

สำหรับทางเลือกในการป้องกันปัญหาน้ำท่วม จากน้ำทะเลขึ้นสูง 5 – 6 เมตร จนท่วมพื้นที่ลุ่มภาคกลาง 16,000 ตารางกิโลเมตร อดีตรองนายกฯ มองถึงแนวทางต่าง ๆ ดังนี้...

แนวทางแรกคือ ‘การสร้างพนังกั้นน้ำ’ ซึ่งแนวทางนี้ถือเป็นการป้องกันในระยะสั้น 2 – 5 ปี คือการเสริมพนังกั้นน้ำ หรือเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง ต้องเร่งทำพร้อมกัน ด้วยการไปอุดรอยรั่วให้สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ และต้องอยู่ในระดับเดียวกัน

แนวทางต่อมา คือ ‘การยกถนน’ เพราะพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร จะถูกน้ำท่วมทั้งหมด เช่น ถนนเพชรเกษม, ถนนสุขุมวิท พร้อมทั้งทำประตูน้ำในคลองสำคัญที่มีทางออกสู่ทะเล และต้องสร้างประตูน้ำขนาดใหญ่บริเวณ 4 แม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง, และแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล

ทั้งนี้ ยังคงมองว่าการยกถนนคงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะที่ผ่านมาถนนพระราม 2 สร้างมาเป็นสิบๆ ปีก็ยังไม่เสร็จ ถ้าเราจะยกถนนสองเส้นหลัก ตั้งแต่เพชรบุรียาวไปชลบุรี เพื่อหนีน้ำท่วมยิ่งโกลาหลมากๆ ไปอีก ส่วนพื้นที่ชายน้ำจากแนวถนนไปหาทะเลก็ต้องสูญเสียอยู่ดี

แนวทางสุดท้ายก็คือ ‘การทำเขื่อนในทะเล’ ซึ่งทางเทคนิคถือว่าทำได้ แต่คงใช้งบจำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงมีแนวความคิดหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ การสร้างเกาะขึ้นมาในพื้นที่ปากอ่าวในปัจจุบัน ด้วยการ ‘ถมทะเล’

ในส่วนของแนวคิดการถมทะเลนั้น นายปลอดประสพ เผยว่า จะเป็นการสร้างเกาะขึ้นมา 9 เกาะ โดยมีระยะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทะเลช่วง ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ไปถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ เป็นระยะทางประมาณ 100-150 กิโลเมตร โดยตั้งชื่อไว้เบื้องต้นว่า ‘สร้อยไข่มุกอ่าวไทย’ เพราะเกาะแต่ละเกาะจะมีลักษณะเหมือนไข่มุกร้อยกันเป็นเส้น ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างเกาะแต่ละเกาะ และจะก่อสร้างประตูน้ำเพื่อคอยกั้นน้ำขึ้น-ลง ซึ่งแนวคิดนี้ในปัจจุบันถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น ‘เนเธอร์แลนด์’ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในแต่ละเกาะจะถูกเชื่อมต่อด้วยถนนและรถไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการเดินทางเชื่อมต่อกันไปได้ตั้งแต่ ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ หรือสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย โดยเกาะแรกอาจจะสร้างบริเวณ ‘บางขุนเทียน’ ก่อน เบื้องต้นจะมีพื้นที่ประมาณ 5x10 ตารางกิโลเมตร หรือ มีขนาดของเกา 50 ตารางกิโลเมตร ความยาวตามชายฝั่ง 10 กิโลเมตร 

เมื่อถมทะเลสร้างเกาะขึ้นมาได้แล้ว แต่ละเกาะนั้นจะต้องวางแผนการใช้พื้นที่ล่วงหน้าว่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอะไร โดยจะมีฟังก์ชันต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางเกาะอาจจะใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าเพื่อแทนท่าเรือเดิมที่มีอยู่ ทั้งกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม หรืออาจจะให้โรงงานอุตสาหกรรมประมงไปตั้งบริเวณเกาะ หรือพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือยอร์ช ก็ได้ หรืออาจจะใช้เกาะใดเกาะหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชลบุรี สร้างสนามบินแห่งใหม่ ก็ได้เช่นกัน

‘นายปลอดประสพ’ กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อไป หากแนวคิดนี้รัฐบาลหยิบยกไปใช้ ก็อาจเริ่มต้นที่การศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อพิจารณาแนวคิดที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการ ใช้องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมทางทะเล วิศวกรรมสมุทร มาพัฒนา เพราะโครงการนี้ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

'สุรพงษ์' เคาะ!! เซ็นสัญญารับเหมาช่วงสร้างรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ต.ค.นี้ ไม่รอผล 'ผ่าน-ไม่ผ่าน' มรดกโลก ต้องก่อสร้างต่อไปตามเดิม ไม่มีการย้ายแนว

(9 ก.ย. 67) นายสุรพงษ์​ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กม. วงเงินลงทุน 179,412.21 ล้านบาท ว่า จากงานโยธาทั้งหมด 14 สัญญา ขณะนี้ยังเหลืออีก 2 สัญญาที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง คือ สัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ที่มีประเด็นสถานีอยุธยา ซึ่งแนวทางขณะนี้คือต้องเดินหน้าลงนามสัญญาก่อสร้างที่ได้ประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกไว้นานแล้ว โดยหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี (ครม.)​ ชุดใหม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ตนจะนำเรื่องนี้หารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อตัดสินใจ คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาได้ภายในเดือน ต.ค. 2567

ส่วนกรณีผลกระทบมรดกโลกช่วงสถานีอยุธยา การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้มีการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก หรือ Heritage Impact Assessment (HIA) เสร็จแล้ว และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดส่งรายงานให้ยูเนสโกตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว การปรับแบบและดำเนินการตามที่ยูเนสโกร้องขอเพื่อไม่ให้กระทบต่อความกังวล เช่น มีการปรับลดความสูงโครงสร้างจาก 19 เมตร เหลือ 17 เมตรแล้ว แนวเส้นทางอยุธยาสร้างบนเขตทางรถไฟ ที่ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่มรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก แต่อยู่ห่างออกไป 1.5 กิโลเมตร และมีแม่น้ำป่าสักคั่นอยู่ เป็นบับเบิลโซน

“ไม่ว่าผลมรดกโลกจะพิจารณาออกมาอย่างไร จะผ่านหรือไม่ผ่าน โครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้ก็ต้องก่อสร้างต่อไปตามเดิม ไม่มีการย้ายแนว เพราะจะทำให้งบประมาณเพิ่มและต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 10 ปี จึงเป็นเหตุผลที่ต้องตัดสินใจลงนามสัญญาก่อสร้าง เพราะไม่ว่าทางมรดกโลกจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ต้องก่อสร้าง และไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนมรดกโลก เพื่อลดความเสี่ยงไปครบทุกอย่างแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา และที่ต้องหารือกับนายกฯ ก่อนเพราะว่าเรื่องนี้มีหน่วยงานและกระทรวงอื่นเกี่ยวข้องด้วย” นายสุรพงษ์กล่าว

สำหรับสัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.30 กม. วงเงิน 9,913 ล้านบาท ที่ผ่านมาคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.ได้อนุมัติการสั่งจ้างบริษัท บุญชัยพาณิชย์ (1979) จำกัด ไว้แล้ว ซึ่งในเงื่อนไขให้ก่อสร้างแนวเส้นทางก่อน เว้นสถานีไว้รอเรื่องมรดกโลก และเมื่อปรับลดขนาดสถานีลงจะทำให้ค่าก่อสร้างลดลงไปด้วย

ส่วนสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.2 กม. ที่มีประเด็นโครงสร้างร่วมกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) นั้น ในส่วนของรถไฟไทย-จีน ตกลงที่ปรับสเปกลดความเร็วจาก 250 กม./ชม. เป็น 160 กม./ชม. ในช่วงดังกล่าว ส่วนการก่อสร้างตามสัญญาทางอีอีซี โดยบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) เป็นผู้ก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อเดินหน้าเร็ว ๆ นี้

ขณะที่สัญญา 3-2 (งานก่อสร้างอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง) ซึ่งเกิดอุบัติเหตุถล่มทรุดตัวระหว่างก่อสร้างนั้น งานอุโมงค์สัญญานี้มีการก่อสร้างเร็วกว่าแผน คือ ทำได้ 70% ขณะที่แผนกำหนด 50% ยังไม่น่ากังวล

นายสุรพงษ์กล่าวว่า นอกจากปัญหาทางการก่อสร้างแล้วยังพบว่างานบางสัญญาที่ล่าช้าเพราะผู้รับเหมาขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะให้ รฟท. เชิญผู้รับเหมาเหล่านั้นมาพูดคุยหาทางแก้ปัญหา เช่น ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างไรเพื่อให้เข้าพื้นที่ก่อสร้างให้เร็วที่สุด ขณะนี้แผนงานและเป้าหมายงานโยธาทั้ง 14 สัญญาจะต้องแล้วเสร็จต้นปี 2571

“ให้ รฟท.ประชุมใหญ่งานโยธา 14 สัญญาเอามาอัปเดตแก้ปัญหาอุปสรรคให้หมด และจัดทำไทม์ไลน์งานโยธาให้แล้วเสร็จในเวลาเดียวกัน เพื่อให้วางระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟ และจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ที่ผ่านมาต่างคนต่างทำ แต่จากนี้ต้องทำงานเป็นทีม ซึ่งหลังโยธาเสร็จระบบจะทดสอบประมาณ 1 ปี หรืออาจจะเร่งรัดกว่านั้น เป้าหมายอยากเปิดเฟสแรกกลางปี 2571

ส่วนโครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. กรอบวงเงิน 341,351.42 ล้านบาท หลังแถลงนโยบายที่รัฐสภาเสร็จจะเร่งนำเสนอเข้า ครม.ได้ ตามแผนคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในต้นปี 2568 ระหว่างเดือน ก.พ. 68 ถึง ต.ค. 2568 (ระยะเวลา 9 เดือน) เริ่มก่อสร้างโครงการฯ เดือน พ.ย. 2568 คาดแผนงานใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 72 เดือน คาดว่าเปิดให้บริการ พ.ย. 2574

นายสุรพงษ์กล่าวถึงแผนการเปิดและเปิดเดินรถว่า รฟท.ตั้งงบปี 68 ประมาณ 10 ล้านบาทเพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาศึกษารูปแบบเดินรถที่เหมาะสม ใช้ระยะเวลาศึกษา 6 เดือน คาดว่าเดือน มี.ค. 2568 จะเห็นภาพชัดเจนว่าจะเดินรถรูปแบบใดเหมาะสมที่สุด รวมถึงอัปเดตเทคโนโลยีให้เป็นปัจจุบันที่สุดด้วย เพราะรถไฟไทย-จีน ดีเลย์ จากแผนระบบและเทคโนโลยีที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เหมาะกับปัจจุบันแล้ว เบื้องต้นน่าจะเป็นรูปแบบ PPP เข้ามาบริหารจัดการเดินรถและซ่อมบำรุงตลอดเส้นทางตั้งแต่กรุงเทพฯ -นครราชสีมา-หนองคาย เพราะ รฟท.มีข้อจำกัดทางด้านบุคลากรรถไฟ และประสบการณ์

สำหรับมติ ครม.เมื่อปี 2560 ที่ให้กระทรวงคมนาคมศึกษา องค์กรพิเศษเพื่อเดินรถ และระบบที่เป็นข้อตกลงผูกพันจากรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งบางเรื่องต้องไปต่อ แต่บางเรื่องอาจต้องอัปเดตเทคโนโลยี แต่ยังเป็นมาตรฐานจีน เพราะเส้นทางนี้ต้องเชื่อมต่อสปป.ลาว และจีนเป็นโครงข่าย

‘อดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์’ ขึ้นแท่นผู้บริหาร ‘ดีเอสเอสพลัส’ ไทย มั่นใจ!! หนุนการเติบโตทางกลยุทธ์แก่หลากอุตฯ เมืองไทย

(9 ก.ย. 67) บริษัท ดีเอสเอสพลัส (dss+) ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการการดำเนินงานระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้แต่งตั้ง นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ เป็นผู้อำนวยการคนใหม่ของประเทศไทย

การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้ เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นของ dss+ ในการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานที่สำคัญภายในภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลายของประเทศไทย อุตสาหกรรมหนักในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความกังวลทางธุรกิจหลายประการ รวมถึงการใช้กำลังการผลิตต่ำ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายด้านกฎระเบียบและสิ่งแวดล้อม และการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าที่ราคาถูกกว่า dss+ มีเป้าหมายที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน การปรับตัวทางธุรกิจ และความยั่งยืนเพื่อช่วยนำทางผ่านความซับซ้อนเหล่านี้

dss+ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆ เช่น ปิโตรเลียมและก๊าซ เคมีภัณฑ์ พลังงานใหม่ การผลิตอุตสาหกรรม การเกษตร และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในการดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดการความเสี่ยงอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“การแต่งตั้งนายอดิศร์ เป็นการเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราต่อประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญลึกซึ้งและความเป็นผู้นำที่มีพลวัตของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเรายังคงขยายขีดความสามารถของเราและมอบคุณค่าอันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมของเรา รวมถึงมีส่วนร่วมกับชุมชนในประเทศไทยโดยรวม”

ด้าน นายศรีนิวาสัน รามาบัดรัน กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ dss+ กล่าว “การแต่งตั้งครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตของเราสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและช่วยแก้ไขปัญหาการดำเนินงาน เพื่อเร่งการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค”

ขณะที่นายอดิศร์ กล่าวเสริมด้วยว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมกับ dss+ และมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนการเติบโตทางกลยุทธ์ในประเทศไทย ผมมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยงและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน รวมถึงทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของเรา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและรับรองว่าพวกเขาจะเติบโตได้ในตลาดที่ท้าทายแต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”

ทั้งนี้ นายอดิศร์ เชื่อว่าจะนำประสบการณ์ความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญด้านความเป็นเลิศในการดำเนินงานมากกว่าสามทศวรรษมาสู่ dss+ ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา เขาได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในด้านการให้คำปรึกษาและการบริหารจัดการในบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง ซึ่งเขาได้ผลักดันการเติบโตและนวัตกรรมพลิกโฉมองค์กรอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ นายอดิศร์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหาร ของบริษัท Bite Consulting Group และเคยดำรงตำแหน่งผู้นำหลายตำแหน่ง ในอาชีพการทำงานก่อนหน้านี้ รวมถึงที่ Johnson Controls, Inc. ในประเทศไทยและเวียดนาม Italthai Industrial และ Trane-Ingersoll Rand

📌‘พาณิชย์’ เปิดงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 สุดตระการตา คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครั้งที่ 70 (The 70th Bangkok Gems and Jewelry Fair) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT และสนับสนุนโดยองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมถึงสมาคมการค้าสำคัญในอุตสาหกรรมฯ 16 องค์กร โดยงานนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 จัดแสดงเต็มพื้นที่ชั้น G และ LG (Hall 1 - 8)

นายวุฒิไกร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกระดับได้พบและเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ และเป็นที่น่ายินดีว่างานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญที่ผู้ค้าจากทั่วโลกต้องปักหมุดมาเยือน สำหรับงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 นี้ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากไทยและต่างประเทศกว่า 20 ประเทศ รวมกว่า 1,100 ราย 2,470 คูหา จัดแสดงเต็มพื้นที่ ชั้น G และ LG และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานรวมกว่า 40,000 คน และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

อัญมณีและเครื่องประดับนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก และจากจุดเด่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่สำคัญของโลก รวมถึงคุณภาพและความประณีตในการเผาพลอยสีและการเจียระไนพลอย 

โดยนายวุฒิไกร ได้กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมฯ ว่า “เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมส่งออกสำคัญที่ทำรายได้สูงสุดให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความท้าทายต่าง ๆ แต่การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) กลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่างานบางกอกเจมส์ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

ด้านนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดี DITP ผู้จัดงานหลัก ได้กล่าวถึงงานฯ กระแสตอบรับ และแผนการขยายพื้นที่ในปีหน้าว่า “ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 โดยสินค้าที่จัดแสดงภายในงานครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มพลอยสี ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจของ Exhibitor และ Visitor ในงานครั้งที่ 69 พบว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมเฉลี่ยกว่าร้อยละ 95 และเห็นว่าเป็นงานที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญทั่วโลก ซึ่งจากกระแสความต้องการเข้าร่วมงานที่เพิ่มขึ้น ในปี 2568 เราได้มีแผนขยายพื้นที่จัดงานบริเวณ Foyer หน้าทางเข้าอาคารชั้น LG และมีการปรับผังคูหาใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับความต้องการของ Exhibitor เพิ่มขึ้นอีกกว่า 150 คูหาด้วย”

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT ผู้ร่วมจัดงาน กล่าวเสริมว่า “นอกจากบางกอกเจมส์จะเป็นแพลตฟอร์มเจรจาการค้าสำคัญระดับโลกแล้ว ยังเป็นเวทีสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างภาพลักษณ์อุตสาหกรรมฯ ผ่านกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องมากมาย ครอบคลุมทุกมิติแบบครบวงจร” โดยภายในงาน มีโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ โซนจัดแสดงสินค้า The New Faces ซึ่งนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักออกแบบรุ่นใหม่ The Jewellers โดย DITP กลุ่มผู้ประกอบการจากโครงการ Smart Jewelers by GIT และกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรีนำโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ฯลฯ รวมกว่า 60 ราย รวมถึงยังมีกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานอื่น ๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการจัดแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากช่างฝีมือไทย ‘The Spirit of Jewelry Making’ กิจกรรม Networking Reception กิจกรรมสัมมนาภายในงานกว่า 10 หัวข้อ ครอบคลุมองค์ความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมฯ ทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ฯลฯ

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้แนะนำบริการพิเศษจาก GIT ว่า “ในช่วงระหว่างงาน GIT ยังมีบริการตรวจสอบอัญมณีที่ได้มาตรฐานสากลและออกใบรับรองภายในช่วงงาน ซึ่งในปีนี้ เราได้ขยายพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง GIT ยังได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีตู้แสง LED เพื่อการตรวจสีพลอย อันเป็นผลงานวิจัยของ GIT อีกด้วย”

ปี 2566 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) คิดเป็นมูลค่า 8,658.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,103.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 70 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1 ถึง 8 ชั้น G และ LG ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial

‘ไทยออยล์’ คว้ารางวัล ‘องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในไทย ประจำปี 67’ ตอกย้ำแนวคิด ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’ สภาพแวดล้อมองค์กรเป็นมิตรกับบุคลากร

เมื่อไม่นานมานี้ นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายวิโรจน์ วงศ์สถิรยาคุณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และทีมงาน รับมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณอย่างเป็นทางการจากนายราโดลสลอว์ กอลสกี ผู้บริหารสูงสุดบริหารสายงานระบบข้อมูล และนายจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด (WorkVenture) ให้บริษัทไทยออยล์เป็น ‘Best Places to Work’ องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการยอมรับจาก WorkVenture บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการสร้างแบรนด์องค์กร และผู้จัดทำโพลสุดยอด 50 องค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุดของประเทศไทย (TOP50 Companies in Thailand)

รางวัลและการรับรองนี้ มาจากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานที่ทำงานในไทยออยล์ โดยพิจารณา 4 ด้านหลัก ได้แก่ ลักษณะงาน (Job Attributes) ค่าตอบแทนและความก้าวหน้า (Reward and Career) การดูแลพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร (People and Culture) รวมถึงภาพลักษณ์องค์กร (Corporate Image) 

โดยผลการสำรวจถูกนำมาวิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของ WorkVenture ซึ่งรางวัลและผลการรับรอง Best Places to Work เป็นเครื่องยืนยันว่าไทยออยล์ เป็นองค์กรที่มอบประสบการณ์เชิงบวก ทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจและมองเห็นคุณค่าในการทำงาน มีวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีความมั่นคงในอาชีพการงาน ได้รับโอกาสในการทำงานที่ท้าทาย พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ไทยออยล์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแก่พนักงาน ด้วยการดูแล และสนับสนุนด้านสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดในการดูแลทรัพยากรบุคคลของไทยออยล์ที่ว่า ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’

ข้อมูลจากการสำรวจยังสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรในระดับสูงรวมถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์ของไทยออยล์ในการ ‘สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน’ และนี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จที่ไทยออยล์ภาคภูมิใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต เพื่อให้เป็นองค์กรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

1 ปี ‘กระทรวงพาณิชย์’ ใต้บังเหียน ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ช่วย ‘เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-สร้างโอกาส’ แก่ ‘คนตัวเล็ก’

ผ่านไปแล้ว 1 ปี กับบทบาทบนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ของนายภูมิธรรม เวชยชัย ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ก็ได้สร้างภาพจำไว้ได้ไม่น้อย 

แน่นอนว่า หากมองในภาพโดยผิวเผิน ก็อาจพบเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในเรื่องของราคาสินค้ากันพอสมควร แต่หากได้พิจารณาถึงการแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ซึ่งถือเป็นภารกิจสุดท้าย ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ ของ ‘ภูมิธรรม’ โดยมี 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการอย่าง นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนถึง พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศและทูตพาณิชย์ที่ร่วมรับฟัง จะพบว่า นโยบายในการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ 7 ด้าน มีความคืบหน้าที่น่าสนใจพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น…

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก และ 7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

โดยผลงานทั้ง 7 ด้าน สามารถดูแลรากฐานของระบบเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ อีกทั้งยังสามารถดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้ ก็ดูจะได้รับความพึงพอใจต่อภาคผู้ประกอบการไม่น้อย ภายหลังจาก ‘ทีมพาณิชย์’ ซึ่งมีบทบาทบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะขับเคลื่อนทุกภารกิจให้เดินหน้าไปพร้อมกัน ได้แก่...  

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์
2. ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3. ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4. ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5. ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7. พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8. พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
และ 9. สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

นี่คือภาพโดยรวม…

แต่ถ้าแยกย่อยลงไปตาม นโยบาย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส จะพบรายละเอียดที่ดูเป็นรูปธรรมอย่างมาก…

>> นโยบายเพิ่มรายได้ 
สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มัน, ปาล์ม, ยางพารา / ช่วยเหลือเกษตรกรได้เกือบ 8 ล้านครัวเรือน / ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน / สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี 

ส่วน พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด, กระเทียม, หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า e-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย / ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ / นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท / เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท / พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท / ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี / ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี / เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า / จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค. - 30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท / ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท / จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

>> นโยบายลดรายจ่าย 
จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท / จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท / จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท / จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท 

จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย / งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66 - มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

>> นโยบายสร้างโอกาส
สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ / นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น / ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ผ่านซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส / นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท / ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ 

นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย / การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 / เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ / การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ เป็นต้น

ทั้งนี้ จุดที่ชวนให้สนใจในกระทรวงพาณิชย์ชุดนี้ คือ การเพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ ยกตัวอย่าง การใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ เพื่อยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ / การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท รวมถึงการใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก ที่กำหนดวันจัดไว้ที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังได้จัดทำ MOU กับ Sinopec ด้วยการนำสินค้าไทยไปจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี / การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

ที่กล่าวมานี้ คือ รากฐานใหม่ ที่ถือเป็นการคิดแบบนอกกรอบ เพื่อสร้างสรรค์งานเศรษฐกิจไทยในเชิงรุก มุ่งเน้นเข้าไปเหลือ ‘คนตัวเล็ก’ ให้ได้ประโยชน์เสียมาก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์แบบนี้ อาจจะดูเป็นเรื่องใหม่ในสายตาคนไทย แต่หากมันทัชใจตลาด โอกาสเก็บกินในระยะยาว ก็มีสูง...

'พีระพันธุ์' ย้ำ!! กม.ใหม่ คิดราคาน้ำมันตามต้นทุนแท้จริง แทนอิงราคาต่างชาติ พร้อมกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน

(10 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ หลังจากได้เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านพลังงาน เพื่อตรวจทานรายละเอียดของกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันที่ผมได้ยกร่างขึ้นมาในเบื้องต้นทั้งหมด 180 มาตรา 

โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และจะกำกับดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย

ในกฎหมายฉบับนี้ ยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และเมื่อภาระต้นทุนน้ำมันของผู้ประกอบการลดลงแล้ว ก็จะอ้างต้นทุนค่าขนส่งแพงไม่ได้ และจะนำไปสู่การปรับลดราคาสินค้าตามมาด้วย  ซึ่งจะเป็นการลดภาระของประชาชนในอีกทางหนึ่ง

"ผมใช้เวลาร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมันที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกํากับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์บนหลังคาบ้าน และขอให้เชื่อมั่นว่า ผมจะเร่งผลักดันกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ รวมทั้งกฎหมายด้านพลังงานอื่น ๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การ 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ระบบพลังงานไทย เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมครับ" นายพีระพันธุ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top