Wednesday, 26 June 2024
GoodsVoice

CEO ใหม่ ปตท. รับลูกรัฐบาล หนุน 'ไฮโดรเจน-พลังงานสะอาด' ช่วยไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(14 มิ.ย. 67) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. พร้อมรับนโยบายรัฐบาลมาปฏิบัติตาม เพื่อร่วมผลักดันให้เป็นไปตาม ‘แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024’ ฉบับใหม่ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้นในสัดส่วน 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

โดย ปตท. เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ดังนั้นจึงจะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศ และ ผลักดันโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) (โดยในร่างแผน PDP 2024 กำหนดสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจน 5% นำไปผสมในเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ สำหรับผลิตไฟฟ้า) เนื่องจากไฮโดรเจนถือเป็นพลังงานสะอาด ที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2608 และ CCS ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคตด้วย

สำหรับปัจจุบัน ปตท. ได้เข้าไปลงทุนในแหล่งไฮโดรเจนในต่างประเทศเพื่อศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยี เช่น ในแหล่งตะวันออกกลาง หากเริ่มมีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ปตท. ก็พร้อมขยายการลงทุนเพิ่ม ประกอบกับถ้ารัฐบาลไทยเริ่มส่งเสริมให้นำไฮโดรเจนมาผสมรวมในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทาง ปตท. ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเช่นกัน รวมถึงจะขยายการใช้ไฮโดรเจนไปสู่ธุรกิจโมบิลลิตี้ (Mobility) ด้วย  

นอกจากนี้ในส่วนของราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวนนั้น ทาง ปตท. ได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยการพยายามควบคุมราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ผ่านมา ปตท. ได้นำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มาผสมในดีเซล เพื่อช่วยแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ และพยายามให้ผลประโยชน์ไปถึงเกษตรกรโดยตรงมากที่สุด

ส่วนกรณีที่ภาครัฐเดินหน้าผลักดันความร่วมมือในการสำรวจปิโตรเลียมในแหล่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ปตท.ยืนยันจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐแน่นอน เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ จะนำนโยบายรัฐบาลมาดำเนินการให้สอดคล้องกับบริบทของธุรกิจ ปตท. โดยคำนึงถึงประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม บนพื้นฐานของความสมดุลทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงาน กำไรที่เหมาะสม และการคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม

สำหรับในด้านธุรกิจนั้น ปตท.เตรียมทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจตามแผนการลงทุน 5  ปีใหม่ (2568-2572) ภายในเดือน ส.ค. 2567 นี้ โดยจะต้องนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ปตท. (บอร์ด ปตท.) อนุมัติต่อไป คาดว่า จะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค. 2567 นี้ ทั้งวงเงินลงทุน ธุรกิจที่จะเร่งเดินหน้าต่อ และธุรกิจที่อาจจะปรับลดขนาด หรือถอยการลงทุนลง เป็นต้น ซึ่ง ปตท.จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง และเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังเห็นแผนการลงทุนที่ชัดเจนออกมาในอนาคต

‘สุริยะ’ มอบ ‘ทางหลวงชนบท’ พัฒนาถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทย รับนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยว 'เมืองรอง' ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน

(14 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้เตรียมพร้อมแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมในทุกมิติให้มีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย

ซึ่งนายสุริยะ ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) พัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบท สำหรับการสนับสนุนการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบัน ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย (Thailand Riviera) ถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.4002 (กม. ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรแล้ว โดยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนสามารถเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น หาดตะวันฉาย หาดละแม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง โดยมีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 19+891 อยู่บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 เชื่อมต่อกับ ทล.4002 (ช่วง กม. ที่ 13+100) ด้านขวาทาง ห่างจากปากน้ำหลังสวน 1.5 กิโลเมตร (กม.) ไปสิ้นสุด กม. ที่ 26+644 ห่างจากหาดละแม 1.5 กม. ผ่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร บริเวณหมู่ที่ 5 บ้านแหลมสันติ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร รวมระยะทาง 6.753 กม. ก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต กว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้เส้นทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างรวม 105.440 ล้านบาท 

ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้พัฒนาเส้นทางเพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงถนนสายรองจากถนนสายหลักเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมเศรษฐกิจในเมืองรอง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างปลอดภัยในทุกเส้นทาง

‘ภูมิธรรม’ เผย ‘Pride Month’ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ยัน!! รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ‘สมรสเท่าเทียม’

(15 มิ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยการนำของท่านนายกรัฐมนตรี ประกาศสนับสนุนทุกความหลากหลาย ได้ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชนฉลองเทศกาล Pride Month เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ LGBTQIAN+ ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โอกาสในการขยายธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME และสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าโดยการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ด้วย

ซึ่งล่าสุด ได้รับรายงานจากนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ถึงการวิเคราะห์การจัดงาน Pride Month ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและการค้า และการบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ภายใต้นโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ของรัฐบาล ที่มุ่งกระจายการท่องเที่ยวสู่ 55 จังหวัด 'เมืองน่าเที่ยว' ที่มีศักยภาพเสริมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Event ระดับโลก ซึ่งการจัดงานเทศกาล Pride Month จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ (Pride Friendly Destination) ทั้งไทยและต่างชาติที่มีแนวโน้มจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง

ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Ipsos ซึ่งทำการสำรวจประชาชน จำนวน 22,514 คน จาก 30 ประเทศในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2566 ระบุว่า ร้อยละ 9 ของประชากรโลกที่บรรลุนิติภาวะระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และประชากรไทย ร้อยละ 9 ก็ระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้จำนวนประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันอาจมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่คาดการณ์ว่าประชากรที่อยู่ใน Gen Z (เกิดหลังปี 2540) มีแนวโน้มระบุตนเองเป็นผู้มีหลากหลายทางเพศมากกว่าประชากรกลุ่ม Millennial, Gen X และ Baby Boomer จึงเห็นได้ว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ นี้ถือเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญที่สามารถมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจของ LGBT Capital บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินยังพบว่า ในปี 2566 กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกมีกำลังซื้อสูงถึง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยมีกำลังซื้อ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้การจัดงานยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการจัดอีเวนต์ ธุรกิจบริการด้านอาหาร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านการจัดกิจกรรมภายในงานเฉลิมฉลอง อาทิ การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า แฟชั่นโชว์การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในงานรวมทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการขนส่ง ที่ให้บริการรองรับผู้เข้าร่วมงานก็ยังได้ประโยชน์ร่วมด้วย และช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยไทยเริ่มจัดงานเฉลิมฉลอง Pride Month เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542

และปัจจุบันมีการจัดงานอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนในทุกภูมิภาค สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายสินค้าและบริการให้กับท้องถิ่น โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน Pride Month มากกว่า 860,000 คน สามารถสร้าง เงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท

และเพื่อสนับสนุนให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 และได้ประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและปฏิบัติต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเสมอภาคและยั่งยืน ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่พร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยเฉพาะการพัฒนายกระดับธุรกิจบริการของไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำ Soft Power ของไทยมาใช้ดึงดูดและออกแบบการจัดงานของไทยให้โดดเด่น พร้อมกับการจำหน่ายสินค้าและบริการของไทย ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและนันทนาการ อาทิ ซีรีส์วายและซีรีส์ยูริของไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสดงถึงความเปิดกว้าง อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงในการสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่สอดแทรกไปกับการผลักดันสินค้าและบริการชุมชนสู่ตลาดโลก และรัฐบาลเดินหน้า ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมให้สำเร็จด้วย

รู้จัก!! อาจารย์ ‘ตั๋ง’ แห่งโรงเรียนอมาตยกุล เจ้าตำรับ ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ตัวจริงของไทย

จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน FB ของผู้ปกครองที่เป็น Blogger เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ได้โพสต์ข้อความที่เกี่ยวกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ (รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล) และโรงเรียนอมาตยกุล จนกลายเป็นประเด็นดรามาขึ้น ทำให้มีผู้ข้องใจสงสัยในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ และโรงเรียนอมาตยกุล ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ของท่าน จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านและสิ่งที่ท่านสอนมาบอกเล่าให้สังคมได้รับทราบ

อาจารย์ ‘ตั๋ง’ (รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล) เคยเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งเกษียณอายุ สำหรับ ‘โรงเรียนอมาตยกุล’ นั้น อาจารย์ ‘ตั๋ง’ และ คุณครู ‘กบ’ ภรรยาได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2535 นานกว่า 40 ปีแล้ว โดยนำแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ (Neo-Humanist) มาเป็นหลักสูตรในการสอน

แนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เป็นแนวคิดทฤษฎีที่มีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงที่สุด พื้นฐานจิตใจของมนุษย์นั้น มีความดีงาม มีคุณค่า ใฝ่รู้มีความต้องการจากภายในที่จะพัฒนาตนเองไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การพัฒนาคนตามแนว ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ จึงจะต้อง ช่วยพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัวคนเราให้แสดงออกมาได้อย่างสูงสุดด้วย การทำให้ คนเราโดยเฉพาะในเด็ก ๆ ให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self Esteem) และการเข้าสู่สภาวะ คลื่นสมองต่ำ ในสภาวะนี้เองคนเราจะสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ 

หลักสูตร ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เน้นสอนให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด และรู้จักการปฏิบัติตนต่อเพื่อนรอบตัวด้วยความเมตตา ความมีน้ำใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เป็นการพัฒนาคนแนวใหม่ด้วยวิธีการด้านบวก เพื่อที่จะพัฒนาคนให้สมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนาคนตามแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ จึงเป็นการพัฒนาในทุก ๆ ด้านของคนเราให้กลายเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้...

- Physically Fit มีร่างกายที่แข็งแรง 
- Mentally Strong มีจิตใจที่มั่นคง เปิดกว้าง เฉลียวฉลาด 
- Spiritual Elevated มีจิตสาธารณะ 
- Academic Knowledge มีความรู้ที่จะนำไปประกอบอาชีพตามที่ตัวเองถนัดและต้องการได้

สำหรับการพัฒนาตามหลัก ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ นั้นจะต้อง...
1. มีบรรยากาศที่สงบและเป็นมิตร เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลาย สงบ และปลอดภัย เพราะหลักสูตรนี้เชื่อว่าสภาวะที่เต็มไปด้วยความกดดันและความตึงเครียด ส่งผลต่อคลื่นสมอง ทำให้ไม่มีสมาธิและขาดความกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นมิตร เต็มไปด้วยความสุข เสียงเพลง เสียงหัวเราะ แล้วย่อมเกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า

2. เน้นการพัฒนาเซลล์ประสานประสาท (Synapses) เพราะเซลล์ประสาท เป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์สมอง ยิ่งมีเซลล์เหล่านี้มากเท่าไหร่ สมองจะยิ่งทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้เรียนรู้ได้เร็ว มีความจำดี สมาธิดี และมีไหวพริบแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้พัฒนาการการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปแบบก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน ซึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาเซลล์ประสาท อาทิ โยคะ การเต้นรำ กีฬายิมนาสติก ฯลฯ

3. เน้นการให้ความรัก การมอบความรักและกำลังใจเชิงบวก คือหัวใจหลักของหลักสูตรนี้ เพราะการที่ได้รับคำชม คำพูดให้กำลังใจ ความเข้าใจ การให้อภัย การกอด และความรักอย่างเต็มที่ จะช่วยให้หัวใจอ่อนโยน และมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขนี้จะช่วยให้เติบโตขึ้นด้วยความงดงามอย่างแน่นอน

4. ปลูกฝังจิตสำนึกเชิงบวก หลักสูตรนี้เน้นปลูกจิตสำนึกเชิงบวกตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น มองโลกในแง่ดี และให้เคารพผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อเติบโตขึ้น จะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิด รู้จักทำ อ่อนน้อมถ่อมตน และพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความหวังดีจากหัวใจ

สิ่งที่จะได้รับการเรียนตามหลักสูตร ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ได้แก่ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), ความฉลาดทางศีลธรรม (MQ) และความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ควบคู่กันไป ทำให้มีความสุขกับชีวิตจากเรื่องง่าย ๆ รู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกภาคภูมิใจ เชื่อมั่นใจตัวเอง อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส กล้าคิด กล้าพูด และกล้าแสดงออก เพราะได้รับความรักจากทั้งครูและคุณพ่อคุณแม่อย่างเต็มที่ พร้อมกันนั้นก็มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างได้อย่างกลมกลืน และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด

หลายปีมาแล้วที่อาจารย์ ‘ตั๋ง’ ใช้แนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ในการสอนลูกศิษย์ทุกคน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งปริญญาเอก ผู้เขียนมีโอกาสเรียนรู้ใกล้ชิดกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ หลายปี เพราะอาจารย์ ‘ตั๋ง’ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ของผู้เขียนด้วย ในช่วงหลายปีนั้นผู้เขียนไม่เคยเห็นอาจารย์ ‘ตั๋ง’ ตำหนิว่ากล่าวให้ร้ายใครเลยแม้แต่คนเดียว โดยเรื่องราวด้านลบที่อาจารย์ ‘ตั๋ง’ ยกมาเป็นตัวอย่างก็จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวอาจารย์เอง 

ก่อนที่จะรับเอาแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ มาปฏิบัติและสอนลูกศิษย์ จึงขอบอกเล่าเรื่องราวของอาจารย์ ‘ตั๋ง’ โรงเรียนอมาตยกุล และแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจของสังคมต่อไป

‘ภูมิธรรม’ เผยข่าวดี ‘ซาอุฯ’ ไฟเขียวให้นำเข้า ‘วัว-แกะ-แพะ’ จากไทย เร่งสั่งการ!! หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งผู้ส่งออก ให้เตรียมความพร้อมโดยเร็ว

(16 มิ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซาอุดีอาระเบีย และร่วมลงนาม MOU ผลักดันสินค้าเกษตร อาหาร ธุรกิจบริการทางการแพทย์ ท่องเที่ยว ในเดือน พ.ค.2567 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้ว โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้แจ้งข่าวดีผ่านกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย และสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรไทย ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ถึงรัฐบาลไทย ว่า ซาอุดีอาระเบียได้อนุญาตให้นำเข้าปศุสัตว์มีชีวิต (วัว แกะ แพะ) เพื่อเชือดและเลี้ยงจากประเทศไทยได้ โดยให้ใช้หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เพื่อการส่งออกปศุสัตว์มีชีวิตที่ได้รับอนุมัติจากการหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยผู้นำเข้าและส่งออกสามารถขอรับใบอนุญาตนำเข้าปศุสัตว์มีชีวิตผ่านแพลตฟอร์ม NAAMA ของกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งซาอุดีอาระเบีย หรือสามารถประสานขอข้อมูลได้ที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมศัตรูพืชและโรคสัตว์แห่งชาติ ซาอุดีอาระเบีย

ถือเป็นข่าวดี ต่อการส่งออกวัว แกะ และแพะ ของไทยไปตลาดซาอุดิอาระเบีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ องค์การอาหารและยาซาอุดีอาระเบีย (SFDA) หรือ อย.ซาอุดีอาระเบีย ได้อนุญาตให้โรงงานไก่ไทย สามารถส่งออกไก่สด ไก่แปรรูป ไก่ปรุงสุก เข้าประเทศซาอุดีอาระเบียได้อย่างครบถ้วน ทุกด่านทั่วประเทศแล้ว

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งไปยังผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของไทย ให้เตรียมความพร้อม และปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบที่ซาอุดีอาระเบียกำหนด เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกวัว แกะ แพะ ของไทยไปยังตลาดซาอุดีอาระเบียโดยเร็ว

สำหรับการค้าไทย-ซาอุดีอาระเบีย ปี 2566 การค้ารวมมีมูลค่า 8,796.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แยกเป็นการส่งออก มูลค่า 2,667.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้ามูลค่า 6,128.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 4 เดือนปี 2567 (ม.ค.-เม.ย.) การค้ารวม มีมูลค่า 2,588.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 17.42% แยกเป็นส่งออก มูลค่า 926.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 11.71% และนำเข้า มูลค่า 1,662.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 27.89%

‘คุณหญิงหน่อย’ นำทัพ ‘ผู้ประกอบการSMEsไทย’ คลิกออฟหลักสูตร ‘CBL’ ลุย!! เปิดตลาดการค้าการลงทุนในจีน ต่อยอดสร้างความสำเร็จ บนแผ่นดินมังกร

(16 มิ.ย.67) ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานหลักสูตร China Business Leader (CBL)พร้อมด้วย ท่านหานจื้อเฉียงเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมพิธีเปิด หลักสูตร CHINA BUSINESS LEADER ซึ่งมีผู้ประกอบการในฐานะผู้เรียน ให้ความสนใจเข้าศึกษาในหลักสูตรดังกล่าว 70 คนโดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ผู้เรียนชมการเชิดมังกรก่อนการเปิดหลักสูตรอย่างเป็นทางการ

ท่านหานจื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มองว่าผู้เรียนหลักสูตร (CBL) จะได้โอกาสที่ดีเพราะจีนถือเป็นตลาดใหญ่ของโลก มีกำลังซื้อมหาศาลจึงเป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยให้ ผู้ประกอบการไทยสามารถนำสินค้าเข้าไปขายได้ โดยรัฐบาลจีนยินดีสนับสนุน ที่สำคัญปัจจุบันรัฐบาลจีน มีนโยบายสนับสนุน e-commerce ซึ่งการค้าขายออนไลน์ก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่ทำให้สินค้าของผู้ประกอบการไทยเป็นที่รู้จัก และช่วยลดขั้นตอนการนำสินค้าของผู้ประกอบการไทยไปเปิดตลาดที่จีนได้

คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่าจีน คือตลาดแห่งโอกาสในการต่อยอดสินค้าของผู้ประกอบการไทยซึ่งหลักสูตรCBL มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าใจถึงสภาพเศรษฐกิจของจีนในยุคปัจจุบัน เข้าใจคนจีนและตลาดจีน เข้าใจวิธีการใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักในหมู่ของตลาดจีนและนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการเรียนรู้ถึงกลยุทธ์การบุกตลาดจีน การขายออนไลน์ในจีนให้ประสบความสำเร็จ

ที่สำคัญจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และทำ Business matching กับ นักธุรกิจจีนในไทยและนักธุรกิจไทยในจีน ขณะเดียวกันยังจะได้เดินทางไปศึกษาดูงานพบคู่ค้านักธุรกิจจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของตลาดจีน และรสนิยมของคนจีน ซึ่งจะช่วยให้การธุรกิจสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศจีนและนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย

ตลอดหลักสูตรผู้เรียนจะได้ Workshop การเตรียมสินค้าบุกตลาด Online จีนแบบลงมือทำจริง ขายจริงในการ Social Media Strategy China Market เพื่อทำให้สินค้าและร้านค้าเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวจีนให้มาซื้อสินค้าและใช้บริการ รวมถึงกลยุทธ์นำสินค้าไทยไปบุกตลาดจีนให้ประสบความสำเร็จ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และกิจกรรมการขาย Live Sales พร้อมกิจกรรมเชื่อมโยงผ่านระบบ Online ไปยังผู้ซื้อในตลาดจีน ขายจริง สำเร็จจริง

‘ออโตสตอร์’ บริษัทผลิตหุ่นยนต์ สัญชาตินอร์เวย์ ลุยเปิดโรงงานที่ จ.ระยอง ชี้!! มี ‘ความพร้อมด้านแรงงาน-แรงจูงใจจากรัฐบาล’ เป็นสถานที่ในอุดมคติ

(16 มิ.ย.67) มัทส์ โฮฟแลนด์ วิคเซ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท AutoStore (ออโตสตอร์) กล่าวว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 หุ่นยนต์ของ AutoStore ได้ผลิตและจัดส่งมาจากประเทศโปแลนด์ แต่จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดระบบอัตโนมัติทั้งอเมริกาเหนือและทั่วโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ AutoStore จะต้องเปิดโรงงานหุ่นยนต์แห่งที่ 2 เพื่อให้บริการลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

ความพร้อมด้านแรงงาน ความใกล้ชิดกับท่าเรือและสนามบิน ค่าแรงที่เหมาะสม และแรงจูงใจจากรัฐบาลสำหรับบริษัทด้านระบบอัตโนมัติ ทำให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ในอุดมคติสำหรับโรงงานหุ่นยนต์แห่งที่ 2 ของเราที่จะขับเคลื่อนการฏิบัติงานส่วนอเมริกาเหนือของ AutoStore

เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโซลูชันอัตโนมัติ AutoStore จึงวางแผนให้โรงงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ในประเทศไทย สามารถผลักดันให้ AutoStore เพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวภายในปีแรก ถือเป็นฐานการผลิตใกล้กับตลาดสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และสิงคโปร์

โรงงานแห่งใหม่นี้ช่วยให้ AutoStore ให้บริการแบรนด์ชั้นนำได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ พูมา (Puma) กุชชี (Gucci) ดีแคทลอน (Decathlon) ดีเอชแอล (DHL) จีแอลเอส (GLS) และยูเซ็น โลจิสติกส์ (Yusen Logistics) ในเอเชียแปซิฟิก ให้รองรับบริการลูกค้ากว่า 1,000 รายทั่วโลก

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ AutoStore ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีคลังสินค้า ที่เปลี่ยนระบบอัตโนมัติของคลังสินค้าด้วยระบบการจัดเก็บแบบโมดูลาร์ บริษัทเชื่อว่าการเปิดโรงงานประกอบหุ่นยนต์ในจังหวัดระยอง ประเทศไทย เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสานต่อความพยายามขยายธุรกิจไปทั่วโลกของบริษัท

ที่ผ่านมา AutoStore เป็นระบบอัตโนมัติที่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก โดยสถิติล่าสุดคือ 1,450 ระบบที่กระจายอยู่ใน 54 ประเทศ สำหรับผลจากการที่ AutoStore เร่งการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) โรงงานหุ่นยนต์แห่งใหม่ในประเทศไทยจะช่วยให้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายอัตโนมัติของบริษัทเข้าสู่คลังสินค้าในเอเชียแปซิฟิกได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับในเอเชียแปซิฟิก AutoStore ระบุว่ามีระบบกว่า 140 ระบบ และหุ่นยนต์กว่า 5,300 ตัวที่พร้อมปฏิบัติงานสำหรับแบรนด์ชั้นนำที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของ AutoStore เพื่อตอบสนองความต้องการอีคอมเมิร์ซที่กำลังเพิ่มขึ้น

อิสราเอล โลซาดา ซัลวาดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ หรือซีโอโอ บริษัท AutoStore กล่าวว่าในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตที่มีอยู่เป็น 3 เท่า และได้วางโครงสร้างไว้สำหรับเติบโตอีก 10 เท่าในอีก 24 เดือนหากจำเป็น

การขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เราไม่ได้เพียงเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังสร้างฐานซัปพลายเออร์ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ระยะในการรอสินค้าจาก AutoStore ลดลงจาก 34 สัปดาห์เป็น 20 สัปดาห์

แทนที่การจัดเก็บตามชั้นและดึงออกด้วยมือ AutoStore ใช้ระบบจัดเก็บแบบโมดูลาร์แบบคิวบ์ โดยใช้หุ่นยนต์ล้ำสมัยเพื่อให้ผู้ค้าปลีกได้ใช้โซลูชันที่เติมเต็มคำสั่งซื้อที่เร่งด่วน ให้พื้นที่คลังสินค้าสูงสุด และปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน

สำหรับโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยคาดว่า จะสร้างโอกาสการจ้างงานประมาณ 80 ตำแหน่งในปีแรก และมีแผนจะเพิ่มตำแหน่งงานเป็น 200-300 ตำแหน่งภายในปี 2569 ซึ่งภายใน 18 เดือนข้างหน้าได้ตั้งเป้าที่จะผลิตหุ่นยนต์ได้ 15,000 ตัว เป็นการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 เท่าของปัจจุบัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

‘เศรษฐา’ ตรวจความคืบหน้า สนามบิน ‘เพชรหัวหิน’  เตรียมเดินหน้าสู่ การเป็น ‘Aviation Hub-Tourism Hub’ 

(16 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตผ่าน X ว่า 

สนามบิน ‘เพชรหัวหิน’ คืบหน้าไปมาก เราเดินหน้าสู่การเป็น Aviation Hub และ Tourism Hub ครับ

ก่อนหน้านี้ผมเคยมาตรวจความพร้อม และเร่งรัดการขยายรันเวย์ที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ใช้เวลาช่วงวันหยุดมาตรวจความพร้อมของที่นี่อีกครั้ง เพราะตอนนี้มีสายการบินพาณิชย์ของแอร์เอเชียเปิดให้บริการในเส้นทางบิน หัวหิน-เชียงใหม่ แล้ว วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น

เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นประตูบานหนึ่งสู่การเป็น Aviation Hub และ Tourism Hub โดยทางสายการบินแอร์เอเซียพร้อมเปิดเส้นทางบินจากภูมิภาคอื่นทั้งอีสาน และใต้ มาลงที่นี่เพิ่มเติมด้วย ซึ่งผมได้กำชับท่านรัฐมนตรีสุริยะ และท่านปลัดคมนาคม ที่เดินทางมาตรวจสนามบินด้วยกันวันนี้ เร่งดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้บริการ และประสานกับสายการบินพาณิชย์ต่าง ๆ ที่พร้อมให้บริการในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากสามารถเปิดเส้นทางบินเพิ่มได้ครับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่แล้วครั้งหนึ่งในช่วงการประชุมครม. สัญจรที่จังหวัดเพชรบุรี  และ จะมีการเปลี่ยนชื่อจากท่าอากาศยานหัวหินเป็นท่าอากาศยาน “เพชรหัวหิน”เพื่อรองรับและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับจังหวัดเพชรบุรี   ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะขยายเส้นทางเพิ่มจากเดิมที่มีเพียงแค่หัวหินเชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้และในอนาคตจะมีการเปิดเส้นทางเพิ่มจากหัวหินไปมาเลเซีย

‘Onitsuka Tiger-ดอยตุง’ เปิดตัวรองเท้าลายผ้าทอคอลเลกชันพิเศษ ผสมผสานงานฝีมือดั้งเดิมไทยและกลิ่นอายแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่น

ประสบความสำเร็จจากครั้งแรก Onitsuka Tiger (โอนิซึกะ ไทเกอร์) แบรนด์แฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่น มีความภูมิใจที่จะนำเสนอการร่วมมือกันเป็นครั้งที่ 2 กับ โครงการพัฒนาดอยตุง ซึ่งถือเป็นโครงการหลักของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้สร้างสรรค์ รองเท้าที่เกิดจากความร่วมมือและความคิดริเริ่มในการก้าวข้ามพรมแดน ที่ได้นำลวดลายผ้าทอออริจินัลของดอยตุงมาเป็นการใช้วัสดุที่ได้รับการออกแบบใหม่และพัฒนาใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ผ้าทอในคอลเลกชันนี้จึงเป็นผ้าออริจินัลที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ ‘Onitsuka Tiger’ โดยเฉพาะ

สำหรับสินค้าในคอลเลกชันนี้เป็นการผสมผสานระหว่างงานฝีมือแบบดั้งเดิมของช่างฝีมือในประเทศไทย เข้ากับรองเท้ารุ่นไอคอนิก อันเป็นเอกลักษณ์ของ Onitsuka Tiger ทำให้เกิดเป็นรองเท้าที่รวมไว้ซึ่งคุณภาพอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งแบบไทยและแบบเฉพาะของ Onitsuka Tiger โดยมีเป้าหมายคือการแสวงหาผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์เหนือกาลเวลา โครงสร้างที่ทนทานและมอบความสบาย เมื่อสวมใส่ ซึ่งจะเหมาะสมกับผู้คนที่หลากหลายทั่วโลก 

รองเท้าทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและวัสดุที่ยั่งยืน ความร่วมมือกันในครั้งนี้ยังสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและการจ้างงานที่มีความหมายแก่ชาวดอยตุง รองเท้าอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่น โดยที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นความยั่งยืน 

รองเท้าทุกรุ่นจะวางจำหน่ายในร้าน Onitsuka Tiger และบนอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งร้านดอยตุง ซึ่งนอกเหนือจากรองเท้าแล้วในคอลลาบอเรชันโปรเจกต์ปีนี้ยังมีเครื่องแต่งกายที่จะวางขายเฉพาะร้านดอยตุงอีกด้วย

สำหรับรองเท้าโอนิซึกะ ไทเกอร์ รุ่นไอคอนิกครั้งนี้มีด้วยกัน 4 แบบ ได้แก่ 

-MEXICO 66 Thai-Exclusive Model มีจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น 
-MEXICO 66 
-SERRANO CL
-MEXICO 66 PARATY

‘SME D Bank’ ผนึก ‘ส.อ.ท.’ เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SME ปี 2567 ช่วยเสริมสภาพคล่องผ่านสินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจกว่า 2 หมื่น ลบ.

(17 มิ.ย. 67) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตยั่งยืน ร่วมทัพมอบบริการ ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ ในงาน ‘เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SME ปี 2567’ จัดโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกของ ส.อ.ท. และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ที่เตรียมไว้รองรับ วงเงินรวมมากว่า  20,000 ล้านบาท ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 15 ปี และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ช่วยเสริมสภาพคล่อง ยกระดับธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน จัดครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง พฤศจิกายน 2567 

ไฮไลต์จาก SME D Bank ‘ด้านการเงิน’ ได้แก่ สินเชื่อ ‘Smile Biz ธุรกิจยิ้มได้’ ผ่อนปรนเงื่อนไขสุดพิเศษ ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำธุรกิจ 1 ปีก็กู้ได้ ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 6.50% ต่อปี 

นอกจากนั้น ยังมีสินเชื่อ ‘SME Refinance’ อัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีแรกเพียง 2.99% ต่อปี ช่วยลดต้นทุนการเงิน ผ่อนหนักเป็นเบา, สินเชื่อ ‘BCG Loan’ ยกระดับธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.75% ต่อปี, สินเชื่อ ‘เสริมสภาพคล่องผู้รับเหมา’ สนับสนุนเข้าถึงงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมรับแคมเปญพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เคยใช้สินเชื่อของ SME D Bank มาก่อน เมื่อยื่นกู้สินเชื่อและใช้วงเงิน ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป รับ Cash Back ค่าวิเคราะห์โครงการ มูลค่าสูงสุด 5,000 บาท

ขณะเดียวกัน ยังมอบบริการ ‘ด้านการพัฒนา’ เสริมแกร่งธุรกิจครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม ‘DX by SME D Bank’ (dx.smebank.co.th) ซึ่งบูรณาการการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษากว่า 50 แห่ง มาไว้ในจุดเดียว ให้บริการฟรี มีฟีเจอร์สำคัญ เช่น Business Health Check ระบบตรวจประเมินสุขภาพธุรกิจ, E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชม., SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ, SME D Activity ระบบจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี, SME D Market ขยายตลาดด้วย E-marketplace และจับคู่ธุรกิจ อีกทั้ง ยังมี SME D Privilege สิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ ให้อีกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top