Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

‘สนธิรัตน์’ ขึ้นเวทีดีเบต ชู บัตรประชารัฐ ช่วยผู้มีรายได้น้อย ย้ำ!! เจตนารมณ์ดูแลกลุ่มเปราะบางให้ตั้งตัวได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี

(27 เม.ย.66) ที่สถานีโทรทัศน์ PPTV กรุงเทพฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีดีเบต ‘เลือกตั้ง 66 ฟังเสียงคนไทย’ ที่จัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ PPTV มีตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมดีเบต โดยนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามเรื่องการยกระดับรายได้ และแก้ปัญหาความจนของประชาชนว่า บัตรประชารัฐเกิดจากทีมที่พวกตนร่วมทำกัน ซึ่งเจตนารมณ์คือต้องการช่วยหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐฯ ต้องดูแล

อย่างไรก็ตาม เจตนาจริง ๆ ของบัตรประชารัฐไม่ใช่การนำเงินมาแจก แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าคนจนอยู่ไหน การทำบัตรประชารัฐทำให้มีฐานข้อมูล ทำให้เรารู้ว่าคนจนอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้พี่น้องได้ถูกต้อง แต่ก็ต้องใส่แรงจูงใจเข้าไป ไม่ใช่แค่ให้เขาเข้ามาเฉย ๆ ซึ่งเงิน 300 บาทก็มีความหมาย หากพรรคพลังประชารัฐได้เดินหน้าเรื่องนี้ต่อ เราต้องการแก้ปัญหาความยากจน โดยเพิ่มเงินเป็น 700 บาท พร้อมทั้งนำฐานข้อมูลดังกล่าวมาแก้ความยากจน โดยทำให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสในการสร้างรายได้ ให้พ้นปีละ 1 แสนบาท ซึ่งเท่ากับว่าเรามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำให้พ้นความยากจน ให้พี่น้องได้มีอาชีพ ตั้งตัวได้ อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี

‘โรม’ โดนชาวบ้านชูป้ายขับไล่-เปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ใส่ ขณะ ‘ก้าวไกล’ กำลังเดินสายหาเสียงที่ จ.สระแก้ว

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ลงพื้นที่ อำเภออรัญประเทศ เพื่อช่วย นายปรมินทร์ จันทรกาล ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล เขต 3 หาเสียง โดยเริ่มต้นจากลานสยามมินทร์ไปตามถนนสายต่าง ๆ ภายในเทศบาลเมืองอรัญประเทศ

ขณะทีมหาเสียงพรรคก้าวไกลตระเวนไปตามถนนได้มีกลุ่มผู้เห็นต่างใช้รถตู้ติดตั้งเครื่องขยายเสียงเปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ใส่ พร้อมยืนขับไล่และขี่รถจักรยานยนต์ถือป้ายขับไล่ไปทุกเส้นทางที่ทีมงานพรรคก้าวไกลเดินทางไป แต่ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ กลับไปจากพรรคก้าวไกล

จากนั้นกลุ่มหาเสียงของพรรคก้าวไกลเดินทางต่อไปช่วยผู้สมัครเขต 2 หาเสียงต่อไป

‘หมอเปรม’ เผย ชาวบ้านเมิน ‘แจกเงินดิจิทัล’ เหตุซับซ้อน-ยุ่งยาก ลั่น!! พร้อมเทใจให้ ‘บัตรลุงตู่’ เพราะใช้ง่าย จับต้องได้จริง

(27 เม.ย.66) ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้สมัคร ส.ส ขอนแก่นเขต 11 หมายเลข1 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้กล่าวถึงบรรยากาศในการลงพื้นที่หาเสียงของตนเอง ว่า ตอนนี้ชาวบ้านให้ความสนใจในนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ และมีการนำมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่เปรียบเทียบที่ชาวบ้านสนใจมากที่สุดคือ นโยบายบัตรสวัสดิการพลัส ของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ ‘บัตรลงตู่’ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาททุกเดือน กับนโยบาย ‘แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ของพรรคเพื่อไทย

โดยยอมรับว่า ในช่วงแรกที่ พรรคเพื่อไทย มีการเปิดตัว นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 10,000 บาท ทำให้นโยบายดังกล่าว ได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวการท้วงติงจากฝ่ายต่าง ๆ ถึงความเป็นไปได้ และผลกระทบของโครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากนักวิชาการ หรือสื่อมวลชน แม้แต่อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเรื่องที่มาของเงินงบประมาณที่จะใช้สูงถึง 560,000 ล้านบาท ว่าจะเอามาจากไหน และที่สำคัญ คือเรื่องของรูปแบบของเงินที่จะจ่ายให้กับประชาชน และวิธีการใช้ ที่มีความซับซ้อนยุ่งเหยิง และการอธิบาย ของแกนนำเพื่อไทยแต่ละครั้งที่ออกมาพูด ก็แตกต่างกันไปจนชาวบ้านรู้สึกสับสน

รวมถึง กรณีล่าสุดที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ออกมาบอกว่า ร้านค้ารายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ ถ้าหากขายของได้แล้วจะเอาเงินดิจิทัลไปขึ้นเงินหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดนั้น จะต้องเข้าไปอยู่ในระบบภาษีด้วย ก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ด้านลบต่อโครงการนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านค้ารายย่อยในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นร้านของชำ ร้านขายอาหารตามสั่งต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เพราะเป็นเพียงร้านค้าที่มีทุนร้อนไม่มาก ค้าขายประทังชีวิตไปวัน ๆ นึง ซึ่งถ้าหากขายสินค้าให้กับผู้เข้าร่วมโครงการนี้แล้ว และเอาไปขึ้นเป็นเงินสดไม่ได้ จากการสอบถามเจ้าของร้านค้าส่วนใหญ่ก็บอกว่า จะไม่เข้าร่วมโครงการนี้แน่นอน เพราะเพราะยุ่งยากเกินไป

และอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้มีทุนมากมาย ที่จะใช้หมุนเวียน เมื่อขายของได้ก็อยากจะเอารายได้มาใช้จ่าย ซึ่งถ้าฟังตามเงื่อนไขของโครงการที่การนำพรรคเพื่อไทยมาบอกว่า ขายของแล้วจะขึ้นเงินได้ต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น แบบนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ เป็นร้านของชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีระบบบัญชีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว ขายอยู่ขายกินไปวัน ๆ และถ้าเงื่อนไขยุ่งยากแบบนี้คงไม่เอาด้วยแน่ ๆ

‘อรรถวิชช์’ แฉ!! ไทยสำรองไฟเกือบ 60% เหตุเกรงนายทุน ชี้!! ยุคปูเกี่ยว แต่ ‘บิ๊กตู่’ ก็เอี่ยวเซ็นเพิ่มทั้งที่รู้ว่าสำรองเกิน

(27 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 6 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เดลินิวส์ ร่วมกับ คณะนิเทศศาสตร์ และสำนักกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งมีการจัดเวทีประชันนโยบายพรรคการเมืองเพื่อคนรุ่นใหม่ หัวข้อ ‘New Voter เกมอนาคตกำหนดได้’ #ReadySetGo เวทีดีเบตเพื่อคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมี 9 พรรคการเมือง ส่งตัวแทนผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าร่วมเวทีประชันวิสัยทัศน์

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) หนึ่งในผู้ร่วมประชันวิสัยทัศน์บนเวที ได้ตอบคำถามจากนักศึกษา ที่ถามว่า กรณีที่ค่าไฟแพง หากได้เป็นรัฐบาลจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาอย่างไร อีกทั้งยังมีโรงงานเอกชนจำนวนเยอะมากเกินความจำเป็น จะมีแนวทางอย่างไรบ้างนั้น โดย นายอรรถวิชช์ ตอบคำถามว่า “ค่าไฟแพง หรือค่าไฟสำรองนั้น ปกติการเก็บค่าไฟสำรองจะอยู่ที่ 15% แต่ประเทศไทยสำรองไว้เกือบ 60% และที่สำรองเกินก็เพราะเกรงกลัวนายทุน และถึงแม้จะมีการเซ็นเกินมาเยอะในสมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ทราบในเรื่องนี้ว่าเกิน แต่ก็ยังมีการเซ็นเพิ่ม ถ้าน้องนักศึกษาได้รับชมมาร์เวล (Marvels) จะรู้ว่าใครคือธานอสตัวจริง”

‘จุรินทร์’ นำทัพปราศรัยใหญ่ ปลุกพลังเงียบ ที่สนาม 700 ปี เชียงใหม่  ปชช.แห่ต้อนรับ พร้อมบอกยังไงก็เลือก ‘ปชป.’ มั่นใจ!! ปักธงได้แน่

(27 เม.ย. 66) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคฯ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชนใน 4 เขต เพื่อหาเสียงรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26 และช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ ประกอบด้วย

เขต 1 นายจักรวาลธวัฒน์ วรรณาวงค์ เบอร์ 7
เขต 2 นายกัมปนาท ธิสา เบอร์ 7
เขต 3 นายวิชิต กลิ่นทอง เบอร์ 7
เขต 4 นางสาวจิตพลอย จิตจักรวาลทอง เบอร์ 7
เขต 5 ว่าที่ร้อยโทวิศธร เถาตระกูล เบอร์ 9
เขต 6 นายวิศิษฎ์ วัชรินทร์ เบอร์ 6
เขต 7 นายนิคม เชาว์กิตติโสภณ เบอร์ 5
เขต 8 นางพชรพร สุใจคำ เบอร์ 6
เขต 9 นายคูณธนา เบี้ยวบรรจง เบอร์ 7
เขต 10 ว่าที่ร้อยตรีธีรพงศ์ สุขสันต์นิรันดร์ เบอร์ 2

โดยนายจุรินทร์ ได้ร่วมเดินหาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์ใน 4 ตลาด ตั้งแต่กาดแม่ คือ อ.ดอยสะเก็ด ตลาดสามแยก กาดสันป่าข่อย ที่ อ.สันทราย และกาดหลวง ตลาดต้นลำไย อ.เมือง พร้อมกับได้เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลกวนอู และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบรรรยากาศเดินพบปะทักทายพี่น้องประชาชนทั้ง 4 ตลาด เป็นไปอย่างอบอุ่น มีชาวเชียงใหม่มารอต้อนรับ พร้อมโบกมือทักทาย ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและมอบดอกไม้อย่างใกล้ชิด

จากนั้น นายจุรินทร์ และคณะได้เดินทางถึงสนามกีฬา 700 ปี ที่ อ.แม่ริม โดยมีพี่น้องประชาชนและแฟนคลับของพรรค เดินทางมารอฟังการปราศรัยจำนวนมาก พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ “ประชาธิปัตย์สู้ ประชาธิปัตย์ ซาวหก (26)”

โดยนายจุรินทร์ ได้กล่าวแนะนำผู้สมัครทั้ง 10 เขต และปราศรัยช่วงว่า จากการที่ตนได้ตระเวนหาเสียงมาทั่วประเทศจนถึงวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงตอบรับจากทั่วประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร ที่คราวที่แล้วไม่ได้ ส.ส.เลย แต่คราวนี้เชื่อว่าประชาธิปัตย์ปักธงในกรุงเทพฯ ได้อย่างแน่นอน ภาคเหนือคราวที่แล้วเราได้ 1 คน จาก 16 จังหวัด แต่เที่ยวนี้ไม่ใช่คนเดียว จะต้องได้มากกว่านี้เยอะ อย่างน้อยที่ จ.เชียงใหม่ ตนจึงต้องมาขอแรงสนับสนุนจากพี่น้องช่วยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ได้มีโอกาสปักธงในเชียงใหม่ และภาคเหนือ ด้วยการเลือกส.ส. ของพรรคทั้ง 10 คน และเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ ‘ซาวหก’ หรือ ‘เบอร์ 26’ ส่วนภาคอีสาน ภาคกลาง คราวนี้ก็เชื่อว่าจะได้อีกเยอะ ปักษ์ใต้คราวที่แล้วมี ส.ส. 50 คน เราได้ 22 คน เที่ยวนี้เราต้องได้ไม่ต่ำกว่า 40 คนบวก

นายจุรินทร์ ได้ย้ำจุดยืน ‘4 ทำ’ ‘3 ไม่’ พร้อมกล่าวว่า ที่พูดทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดจากความฝัน ไม่ได้พูดหลอกเอาคะแนนจากประชาชน แต่พูดจากความจริงที่เราทำ ถ้าเราเป็นแกนตั้งรัฐบาลอีก ทำไมเราจะทำไม่ได้

นายจุรินทร์ กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์ ว่า ประชาธิปัตย์มีเจตจำนงที่ต้องการสนับสนุนให้ชาติพันธุ์ที่เกิดเมืองไทยและมาอย่างถูกกฎหมาย ให้มีโอกาสได้สัญชาติไทย สำหรับพี่น้องชาวเชียงใหม่ ประชาธิปัตย์จะขับเคลื่อนให้ไปสู่ความร่ำรวยด้วยนโยบายเหนือเชื่อมโลก และเชียงใหม่เชื่อมโลก ด้วยการคมนาคม ด้วยการท่องเที่ยว ด้วยการค้าชายแดน และด้วยซอฟต์พาวเวอร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมชาวเหนือที่จะทำรายได้ให้ประเทศ และภาคเหนือ

‘กรณ์’ ยกพล ‘ชพก.’ เยือนร้อยเอ็ด ช่วย ‘เอม อภัสรา’ หาเสียง เล็งหนุนหมอลำโกอินเตอร์ ดันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

(27 เม.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายปรีชญา ฉำมณี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 2 ผู้สมัคร ส.ส.จากจังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ นางสาวนุจรีภรณ์ อินทะสร้อย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 และ นางสาวกมลวรรณ มณีศรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 10 ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อช่วย น.ส.ดนิตา มาบุญธรรม หรือ ‘เอม อภัสรา’ หมอลำซอฟต์พาวเวอร์อีสานชื่อดัง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 พรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดร้อยเอ็ด หาเสียงในบริเวณ ตลาดหนองแคน อำเภอเมือง เพื่อพบปะ พ่อค้าแม่ค้า พี่น้องประชาชน ที่ให้การต้อนรับและให้กำลังใจกันอย่างคึกคักและต่างแสดงความชื่นชมนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่เน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง นอกจากนี้ชาวบ้านยังถามถึงจุดยืนเกี่ยวกับเงื่อนไขของการร่วมรัฐบาล ซึ่งนายกรณ์ได้ยืนยันว่าพรรคชาติพัฒนากล้าจะไม่ร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคที่มีเสียงข้างมากต้องมีสิทธิ์ได้ตั้งรัฐบาลก่อน

จากนั้น คณะของนายกรณ์ และ เอม อภัสรา ได้เข้าร่วมเสวนากับคณะหมอลำชื่อดัง ได้แก่ หมอลำรัญจวน ดวงเด่น หมอลำสาธิต ทองจันทร์ หมอลำพิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย ในหัวข้อ ‘หมอลำสู่เวทีโลก’ ณ หอประชุมวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดร้อยเอ็ด โดยเอม อาภัสรา กล่าวว่า หมอลำถือเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสาน ที่สามารถผลักดันให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจุบัน วัยรุ่นหันมานิยมดูหมอลำกันมากขึ้น ส่วนหนี่งมาจากการปรับตัวของหมอลำเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนี้หมอลำ ยังช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชนในรูปแบบของ ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ช่างเย็บชุด คนทำพิธีประกอบฉาก คนแต่งเพลง หมอลำชื่อดังหนึ่งคนในอีสาน สามารถกระจายเม็ดเงินเศรษฐกิจให้คนในชุมชน

ต่อมาในช่วงเย็น นายกรณ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ณ สนามลานสาเกตุ สวนศรี (หอโหวด) โดยนายกรณ์ กล่าวว่า พิษภัยที่มีต่อบ้านเมืองของเราในยุคนี้สมัยนี้คือทุนผูกขาด  และว่าในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน ตามความคิดทางการเมือง อารมณ์ ความรู้สึกตอนนั้นคือเลือกที่จะต่อสู้กับกลุ่มที่ประชาชนมองว่าเป็นเผด็จการ แต่วันนี้สิ่งที่ท้าทายและเป็นอุปสรรคต่อชีวิตความประชาชนมากที่สุดมันยังเป็นประเด็นการเมืองแบบนั้นหรือไม่ โดยส่วนตัวตนมองว่าเป็นเรื่องเก่าแล้ว วันนี้สาเหตุที่ของแพง ขายของลำบาก ลูกหลานไม่มีโอกาสมีงานดีทำ เป็นเพราะทุนผูกขาดเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ

‘รศ.ปวิน’ วิเคราะห์รอบด้านท่าที ‘เพื่อไทย’  ในวันที่คนไทยอยากหลุดจากเงารัฐประหาร 

‘รศ.ปวิน’ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต วิเคราะห์พรรคเพื่อไทย แบบเจาะลึกถึงใจ เปิดมุมมอง กลยุทธ์การเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ แลนด์สไลด์มีโอกาสสำเร็จ แต่อุปสรรคใหญ่ก็อยู่ที่ส่วนแบ่งคะแนนเสียงในกลุ่มตลาดเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกล ขณะที่พรรคน้องใหม่ อย่างรวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ ก็ไม่น้อยหน้า พร้อมแย่งชิงพื้นที่ได้ตลอดเวลา

เมื่อไม่นานมานี้ ‘รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทย ผ่านช่อง YouTube ‘NailName’ โดย ‘เนม รติศา วิเชียรพิทยา’ มีสาระสำคัญดังนี้...

>> เมื่อถามถึงโอกาสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย รศ.ปวิน มองว่า โอกาสของพรรคเพื่อไทย ที่จะชนะการเลือกตั้ง 66 แบบแลนด์สไลด์นั้น มีความเป็นไปได้มาก ประการแรก เนื่องจากเทรนด์ในการเลือกพรรคการเมืองของคนไทย ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมีคุณทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลัง มักจะมีผลต่อชัยชนะทุกการเลือกตั้ง สังเกตได้ว่าไม่ว่าจะจะเป็นการเลือกตั้งใด ที่โยงกับทักษิณ พรรคนั้นๆ ก็จะยังชนะมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะนโยบายที่ค่อนข้างถูกจริตคนไทย

ประการต่อมา ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ก็ต้องบอกตามตรงว่าประเทศไทยยังไม่หลุดออกจากระบอบเดิมเลยมาเป็นระยะเวลาเกือบ 9 ปี ซึ่งเป็น 9 ปีที่โดนครอบด้วยระบอบรัฐประหาร หรือมองอีกมุมก็คือ ระบอบทักษิณหายไปจากเมืองไทยถึง 9 ปีแล้ว และนั่นก็เริ่มสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยทุกข์ระทมมาก ความรู้สึกของคนไทยหลายคน จึงโหยหาอยากจะก้าวออกจากระบอบการเมืองในปัจจุบัน และหวนกลับไปคว้าแนวทางการเมืองแบบของคุณทักษิณ นี่คือ 2 ประเด็นสำคัญ ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงแบบแลนด์สไลด์

>> ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงตัวแปรที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ รศ.ปวิน ก็ได้ชี้ให้เห็น 2 ประเด็น

1.) เราไม่ควรประเมินค่า พรรคที่เกิดใหม่อย่าง รวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ต่ำจนเกินไป เพราะถึงแม้รัฐบาลที่ผ่านมาจะทำความเจ็บช้ำใจให้กับคนไทยแค่ไหน แต่ก็จะยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่พร้อมจะเลือกพรรคเหล่านี้ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังมีความกลัวในระบอบทักษิณอยู่

2.) การเกิดขึ้นของพรรคก้าวไกล ที่ผันตัวมาจากพรรคอนาคตใหม่ ก็ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญในการดึงคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยออกไป เหตุเพราะไม่มีพรรคไหนที่ชัดเจนเท่ากับพรรคก้าวไกล ซึ่งกำลังเดินตามตัวแปรที่หลายคนโหยหาการเปลี่ยนแปลงหลักของประเทศนี้ เช่น ความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง และการแก้ไข ม.112 ซึ่งก้าวไกลมีความแน่วแน่และชัดเจนกว่าพรรคอื่นๆ 

>> เมื่อถามว่าการเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เพื่อให้เป็นไปตามหลัก Strategic Vote รศ.ปวิน มองว่า แน่นอนว่าการเลือกพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ซึ่งนำมาสู่สโลแกน แลนด์สไลด์ นั้น จะนำไปสู่ความเด็ดขาดทางรัฐบาลแบบพรรคไทยรักไทยที่เคยทำได้มาก่อน (One Party) ซึ่งมันจะทำให้ง่ายต่อการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนในรัฐสภา แต่ถ้า Vote ตามใจ โหวตกระจาย เช่น ชอบก้าวไกล ก็โหวตก้าวไกล โดยไม่สนใจในพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็น Strategic Vote ในเชิงของพรรคที่โอกาสได้คะแนนเสียงมากที่สุดในครั้งนี้นั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงมากกว่าพรรคอื่น แต่มันก็จะนำไปสู่การสร้างรัฐบาลและพรรคผสม ซึ่งมันตั้งรัฐบาลได้ก็จริง แต่เสถียรภาพก็จะง่อนแง่น ฉะนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยพยายามขายตอนนี้ จึงเป็นการขายความเชื่อมั่นที่ One Party จะเหมาะต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าง่ายขึ้น เรียกว่าต่อให้ใจคุณจะอยู่กับพรรคก้าวไกลก็ตาม แต่ถ้าไม่เลือกเพื่อไทย มันก็จะเกิดผลกระทบต่อ Strategicเป็นต้น 

>> อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึง Strategic Vote มีความจำเป็นกับประเทศไทยไหม รศ.ปวิน ย้ำชัดว่า ส่วนตัวผมไม่ซื้อ เพราะการมอบสิทธิของเราให้พรรคการเมืองหนึ่งไปแบบเบ็ดเสร็จ ผมไม่เชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นๆ จะทำตามสิ่งที่เราต้องการ เช่น ถ้าผมอยากเห็นการแก้ไข 112 ผมก็อาจต้องโหวตให้ก้าวไกล เพราะผมไม่มั่นใจว่าอะไรจะการันตีว่า เพื่อไทยจะแก้ 112 ให้ เป็นต้น

นอกจากนี้ การให้อำนาจของประชาชนกับพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง โดยให้คุณค่าเขาสูงขนาดนั้น ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าเขามีคุณค่าที่จะได้รับเสียงขนาดนั้นอย่างนั้นหรือไม่? มันเหมือนเราควรเอาไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าใบเดียวเช่นนั้นหรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ผมไม่คิดว่ามันมีพรรคการเมืองแบบนั้น พรรคการเมืองแบบที่พร้อมตอบสนองเสียงของผู้คนในเมืองไทย จนนำไปสู่ความทุ่มเทที่จะต้องก้าวไปสู่ Strategic Vote 

แน่นอนว่า อาจจะมีบางมุมบอกกับผมว่า ถ้าไม่เลือกแบบ Strategic Vote ไม่เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ แล้วทหารจะกลับมานั้น ผมก็คงต้องถามกลับไปว่า แล้วถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์เข้ามา จะแก้ปัญหาก่อนหน้าทั้งหมดได้หรือไม่ ปัญหาการจับตัวเยาวชน / ปัญหาการจับกุมเด็กอายุ 14 / ปัญหาการชุมนุมในที่สาธารณะ หรือปัญหาในการไม่มีสิทธิพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะหมดไปงั้นหรือ จะแก้ไขได้หรือ บางอย่างอาจจะได้ เช่น ปากท้อง ค่าไฟ เศรษฐกิจ แต่ผมถามนะว่า นี่คือ ปัญหาโดดเด่นของเมืองไทยจริงหรือเปล่า ซึ่งผมออกมานอกไทย ผมมองเห็น แล้วผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยก็จะไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงเหล่านั้น

>> เมื่อถามถึงท่าทีในการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ผ่านมา รศ.ปวิน วิเคราะห์ว่า การที่พรรคเพื่อไทยยังไม่แสดงออกถึงจุดยืนในการร่วมรัฐบาล หรือไม่พูดว่าจะจับมือ ไม่จับมือกับพรรคใด ทั้งที่เรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องดูรายละเอียด จนถึงขั้นต้องไปอ้างเสียงประชาชนนั้น มันก็คือการสร้างช่องว่างเพื่อเอื้อต่อการดีลกันฉากหลังทางการเมือง ผมบอกเลยว่าการเมืองไทย ก็คือการเมืองไทย ต่อให้คนละขั้วแค่ไหน แต่เมื่อมาถึงจุดที่ Critical เขาก็พร้อมดีลกันหลังไมค์ แต่ที่ไม่ดีลทันที ก็เพราะอาจจะไม่เวิร์ก หรือทิศทางประชาชนเปลี่ยน พรรคก็ต้องปรับแนวทางมาโน้มเอียงฟากประชาชน เช่น กรณีเพื่อไทยไม่เคลียร์ว่าจะเอาประวิตรหรือไม่เอา? พอกระแสหนักเข้า เพื่อไทยก็ต้องแสดงจุดยืน เช่น ไม่จับมือโดยทันที ก็เท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นบอกไม่ได้ เพราะคนพูดมีหลายคน คนนึงในพรรคเพื่อไทยพูดแบบนึง อีกคนพูดแบบนึง มันก็เป็นเรื่องของการเผื่อเหลือเผื่อขาดในการดีล ซึ่งท้ายสุดมันก็เป็นการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปประณามอะไร เป็นเทคนิคในการอยู่รอดของพรรคการเมือง

‘พปชร.’ ชูนโยบาย ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูก เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

(28 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคพปชร. กล่าวว่า มีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ให้ครอบคลุมเกษตรกร จำนวน 8 ล้านครัวเรือน สามารถซื้อปุ๋ยได้ในราคาถูก โดยรัฐบาลจะช่วยอุดหนุน 50 % และจะตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพ ลดต้นทุนการเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน จึงขอฝากเลือกพรรคพปชร.และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน  

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ให้ความสำคัญกับเกษตรกรทุกกลุ่ม มีนโยบายด้านการเกษตรออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ฉะนั้นเกษตรกรไทยจึงควรทำให้พืชผลทางการเกษตรมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยดูแลให้เกษตรกรมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำ อีกทั้ง จำหน่ายผลผลิตเกษตรให้ได้ในราคาสูง” 

สถานภาพใหม่ ‘พิธา’ คนโกหก-ไม่ทำชั่ว ‘ไม่มี้’ ซวย 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' กร่อยกลางทาง

เลียบการเมือง การเลือกตั้งสุดสัปดาห์ 'เล็ก เลียบด่วน' ไม่ขอพูดพล่ามทำเพลง ขอชี้เปรี้ยงไปที่กรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเลยว่า...น่าเสียใจและน่าเสียดายที่จะต้องบอกว่าคำชี้แจงแถลงไขของ กรณีดรามางานศพพ่อ แม้จะจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นการ 'เลือกชี้แจง' ตอบไม่สะเด็ดน้ำว่าใช้เส้นสาย 'อภิสิทธิ์ชน' ขึ้นเครื่องบินเที่ยวพิเศษได้ยังไง? เพราะใคร?

และที่สำคัญไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียวว่าถูกคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 คุมตัวเป็นวัน และถูกอายัดบัญชีการทำธุรกรรม...งานนื้ทำให้การแถลงข่าวเรื่อง 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' ของเขา ที่มีบางเรื่องน่าสนใจกร่อยไปเลย..กร่อยไปท่ามกลางโซเชียลที่กระพือพุทธภาษิต...คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี...!!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หัวหน้าพรรคกำลังถูกกล่าวหาว่าสร้างดราม่าเรื่องผจญภัยรัฐประหาร...ก็ต้องยอมรับว่ากระแสพรรคก้าวไกลในหลายยังคงพื้นที่ร้อนแรง...ร้อนแรงจากเวทีดีเบต โพลของหลายสำนัก รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงเริ่มขยับปรับเปลี่ยนจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของพรรคส้มกันบ้างแล้ว...แต่ถึงอย่างไร 'เล็ก  เลียบด่วน' ก็ยังฟันธงว่าในสนามต่างจังหวัด ว่ายากที่พรรคก้าวไกลจะแหกโค้งเบียดเข้าป้ายอย่างมีนัยสำคัญ...ยกเว้นสนาม กทม.ที่อาจจะมีเซอร์ไพรซ์ ถ้า 7 วันสุดท้ายพรรคเพื่อไทยยังไม่มีทีเด็ดทีขาด...

ส่องสนามเลือกตั้งตามภาคต่างๆ...เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในภาคอีสานบางพื้นที่ และภาคใต้ในหลายพื้นที่...นั่นคือปรากฏการณ์ 'ทิ้งพรรค เอาเขต'...โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช ที่กระแสลุงตู่มาแรงสุดๆ  ทำให้ผู้สมัครคู่แข่ง โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่ต้องปรับกลยุทธ์บอกชาวบ้านว่า...คะแนนพรรคเลือกลุงตู่ เบอร์ 22 แต่คะแนนเขตขอให้เลือกพรรคกระผม พรรคดิฉัน...ทำเอาผู้สมัครพรรครทสช.ต้องรีบไปแก้เกมกันจ้าละหวั่น...

พูดถึงพรรครวมไทยสร้างชาติเสาร์-อาทิตย์นี้ 'ลุงตู่' จัดเต็ม ขนาดไปพักค้างที่สงขลา...และก่อนเลือกตั้ง 2 วันจะจัดหนักให้ที่นครศรีธรรมราชอีกครั้ง...แต่พื้นที่ที่ดูเหมือนจะร้อนรุ่มกลุ้มอุราก็คือภาคอีสาน  เหตุเพราะน้ำประปาหยุดไหลมานานแล้ว ผู้สมัครหลายคนเริ่มถอดใจ...หลายคนก็เริ่มรวมตัวฮึ่มๆ...จะยกพลขอคุยกับ 'หัวหน้า-เลขา' ให้รู้แล้วรู้รอด...ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘ไบรท์ ชินวัตร’ เผย เหตุผลช่วย ‘ดร.ปุ๊ก รทสช.’ นนทบุรี หาเสียง ยัน!! ผู้สมัครทำงานจริง วอน ฝ่ายประชาธิปไตยเปิดใจให้กว้าง

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 66 นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ‘ไบรท์ ชินวัตร’ แกนนำม็อบราษฎรเมืองนนท์ โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยเหตุผลในการช่วยหาเสียงให้ ดร.ปุ๊ก วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า…

“ผมยืนยันครับ ว่าเป็นภาพที่ผมช่วย ‘ดร.ปุ๊ก วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา’ หาเสียงจริง ๆ ครับ แต่ผมยังคงยืนยันอุดมการณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในหัวใจผมดั่งเดิม

สาเหตุที่ผมต้องมาช่วยผู้สมัครท่านนี้หาเสียง อยากให้พี่น้องได้ทราบว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิดที่ผ่านมา ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดใกล้เคียง มีพี่น้องเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก บางคนต้องสูญเสียพ่อแม่และคนรักในครอบครัว ผมจึงเปิดศูนย์อำนวยการเพื่อประสานความช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดในช่วงนั้น เพราะพี่น้องไม่มีเตียงรักษาโรค

มีผู้หญิงคนนี้ คือ ดร.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ที่เป็นคนแรกอาสาเข้ามาที่จะสนับสนุน ผลักดันหาเตียงรักษาโรคให้เพียงพอต่อจำนวนที่พี่น้องประสานมายังผม ไม่ต่ำกว่า 2,000 คน พี่น้องในพื้นที่ลำบาก มีผู้หญิงคนนี้ที่ยื่นมือมาช่วยนำสิ่งของต่าง ๆ มามอบให้กับผม เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องเพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อน

ผมยืนยันว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนเลย ที่จะเป็นความหวังและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่นนทบุรีเขต 1 ผมจึงจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องสนับสนุน ดร.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัครหมายเลข 2 เขต 1 นนทบุรี ตำบลบางกระสอ, ตำบลบางเขน และตำบลท่าทราย

ผมมีความหวังและความฝันอยากเห็นนักการเมืองแบบนี้ที่ทำเพื่อประชาชน ส่วนสำหรับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับผม

ผมยืนยันยังไงก็แล้วแต่ ผมจะต้องสนับสนุนผู้สมัครหมายเลข 2 ผู้นี้ให้เข้าสภาฯ ให้จงได้

ขอบคุณพี่น้องในเขตพื้นที่นนทบุรีเขต 1 ที่เข้าใจผม และผมต้องขอโทษหากทำให้พี่น้องท่านใดไม่พอใจ ทุกคนย่อมมีเหตุผลแต่ละพื้นที่ความเดือดร้อนปัญหาต่าง ๆ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

การที่พี่น้องหลายคนเข้ามาต่อว่าด่าทอผมเสีย ๆ หาย ๆ ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น และอยากฝากบอกทุกท่านว่า ถ้าพวกเรารักประชาธิปไตยจริงควรเปิดใจให้กว้างสักนิด และรับฟังให้รอบด้าน มิใช่เอาแต่อารมณ์ตัวเอง แล้วด่าคนอื่นว่าเป็นอย่างที่คุณคิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top