Tuesday, 10 December 2024
Econbiz

'รมช.คลัง-กฤษฎา' ชง ครม.ช่วยหนี้นอกระบบ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท  พ่วงช่วยเหลือลูกหนี้รหัส 21 รับผลพวงจากโควิด-19 พ้นเครดิตบูโร

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เผย 'คลัง' ชง ครม.ช่วยหนี้นอกระบบ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้รหัส 21 พ้นเครดิตบูโร

(12 ธ.ค.66) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม.วันนี้ มีการช่วยเหลือหนี้นอกระบบ โดยได้มีการพูดคุยธนาคารออมสินกับกระทรวงการคลังได้มีการหารือกันช่วยเหลือกันแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการลงทะเบียนอยู่

โดยจะมีการทำมาตรการรองรับให้ธนาคารออมสินออกสินเชื่อออกมาให้รัฐรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบ ซึ่งถือเป็นโครงการใหม่

ขณะที่เกษตรกรก็จะช่วยหนี้นอกระบบผ่านทางธนาคาร ธกส.โดยวงเงินรวมที่ธนาคาร ธกส.กับธนาครออมสินนำมาใช้มีถึง 15,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายกฤษฎากล่าวว่า อีกมาตรการหนึ่งคือเงินที่เคยอนุมัติเงิน วงเงินที่เคยอนุมัติไปแล้ว และเหลือที่ยังไม่ได้ใช้ จะนำวงเงินนี้มาให้ธนาคารออมสินมาช่วยลูกหนี้รหัส 21 ที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์ โควิด-19 ได้หลุดจากประวัติเครดิตบูโร

‘on-ion’ จับมือ ‘เกทเวย์ แอท บางซื่อ’ เปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ 66 พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มส่งท้ายปี 2566 เอาใจผู้เข้าใช้บริการ

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย นางณัฐสุดา สกุลไพสิฐ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และสนับสนุนองค์กร บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) นางสาวเอกกฤตา แก้วพูลศรี General Manager ศูนย์การค้า เกทเวย์ แอท บางซื่อ และนายนนทวรรษ เรืองจันทร์ Retail Sales and Tenant Services Team Lead ศูนย์การค้า เกทเวย์ แอท บางซื่อ ร่วมเปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า on-ion (ออน-ไอออน) เกทเวย์ แอท บางซื่อ ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสตรง (DC Charger) ขนาดกำลังไฟสูงสุด 40 กิโลวัตต์ รวมทั้งหมด 8 ช่องจอด 

ด้วยประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าใช้บริการง่ายยิ่งขึ้น มาพร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มส่งท้ายปีให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการภายในศูนย์การค้าครบ 500 บาทต่อวัน รับส่วนลดเครดิตชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฟรี มูลค่าสูงสุด 50 บาท ตั้งแต่ วันนี้ - 31 มกราคม 2567 หรือจนกว่าจะครบจำนวนสิทธิ์ 

นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC Charger พิเศษเพียง 8.5 บาทต่อหน่วย (จากปกติค่าบริการ 9.5 บาทต่อหน่วย) มาที่นี่ทุกอย่างครบจบไว ได้ทั้งชอปปิ้ง และยังได้ชาร์จไฟรถอีกด้วย โดยกลุ่ม ปตท. ตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ on-ion ให้ทั่วประเทศภายในปี 2567 พร้อมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและขับเคลื่อนสังคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้ก้าวไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน

‘นูออโว พลัส’ ผนึก ‘โกชั่น’ เปิดโรงงาน ‘เอ็นวี โกชั่น’ ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เสริมแกร่งตลาดรถ EV ไทย

เมื่อไม่นานมานี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ Mr. Li Zhen ประธานกรรมการ บริษัท โกชั่น ไฮเทค จำกัด ร่วมเปิดโรงงานและเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ของ บริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ณ สวนอุตสาหกรรมสยามอีสเทิร์นอินดัสเตรียลพาร์ค 2 อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง โดย เอ็นวี โกชั่น เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (Nuovo Plus) และ บริษัท โกชั่น ไฮเทค จำกัด (Gotion) ในสัดส่วนการลงทุน 51% และ 49% ตามลำดับ ด้วยทุนจดทะเบียนมากกว่า 600 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า ประกอบ และจัดจำหน่ายโมดูลแบตเตอรี่และชุดแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูงสู่ตลาดภายในปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 2 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี และพร้อมขยายกำลังการผลิตเป็น 8 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปีในอนาคต 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. มีความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ด้วยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จึงนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบตเตอรี่คุณภาพสูงมาสู่อุตสาหกรรมไทย เพื่อตอบโจทย์ทิศทางธุรกิจพลังงานใหม่ของโลก ภายใต้การดำเนินงานของนูออโว พลัส ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) (ถือหุ้น 100% โดย ปตท.) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ที่เข้ามาช่วยเร่งพันธกิจการสร้าง EV Value Chain และธุรกิจพลังงานสะอาดของ กลุ่ม ปตท. โดยการเกิดขึ้นของโรงงานประกอบชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนระดับ Giga Factory (กิกะแฟกทอรี) ในประเทศไทยแห่งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประเทศไทยจากการเป็นผู้นำเข้า ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิต และพัฒนาตัวเองสู่การเป็นผู้ส่งออกแบตเตอรี่ลิเธียมในอนาคต จากความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างโกชั่นนี้ 

กลุ่ม ปตท. มั่นใจว่าเอ็นวี โกชั่น จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถรักษาจุดยืนความเป็นผู้นำของฐานการผลิตยานยนต์ในภูมิภาค ตอบสนองแนวทางของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่ออกมาตรการผลักดันเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ได้ 30% ในปี 2573 รวมถึงการการสนับสนุนเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดตามแผนพลังงานชาติในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยมีสัดส่วน Renewable Energy ไม่น้อยกว่า 50% ได้อย่างแน่นอน

‘ปตท.’ ติดอันดับ 1 ใน 5 DJSI ต่อเนื่อง 12 ปี  สะท้อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ

เมื่อไม่นานมานี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI กลุ่มดัชนีโลก (World Index) รวมถึงดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 และติดอันดับ 1 ใน 5 องค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรมในกลุ่ม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) นับเป็นความภาคภูมิใจของ ปตท. และเป็นเครื่องหมายการันตีให้กับนักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่นถึงการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ 

จากผลการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ที่ ปตท. กำหนดไว้ใน ‘แผนแม่บทการบริหารจัดการความยั่งยืน’ ครอบคลุม 3 มิติ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยในด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า ก้าวสู่อุตสาหกรรมอาหารและยา พร้อมร่วมทุนกับภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุนและดำเนินการในธุรกิจโลจิสติกส์ มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ในปี 2565 รายได้จากธุรกิจกลุ่มนี้ มากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ในปี 2564 รวมทั้งในปีนี้ ปตท. ได้เริ่มต้นโครงการปลูกป่าอีก 1 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพลิกฟื้นผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2593 

อีกทั้งด้านสังคม ปตท. ให้ความสำคัญกับ ‘การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน’ มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต พร้อมทั้งสร้างคุณค่าร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชมและสังคม สำหรับด้านการกำกับดูแล ปตท. ปฏิบัติตามหลักการกำกับกิจการที่ดีและมีจริยธรรม ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เร่งสร้างการเติบโตและผลักดันเศรษฐกิจ พร้อมเป็นกำลังสำคัญเพื่อร่วมจุดพลังทุกชีวิต และขับเคลื่อนอนาคตที่ดีให้กับประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย 

อนึ่ง DJSI เป็นดัชนีสากลที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

‘Hot Pot Buffet’ ประกาศยกเลิก ‘ชำระเงินสด’ เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

(13 ธ.ค.66) ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันหลายๆ คนอาจจะไม่ได้ถือกระเป๋าเงินพกเงินสดไปจับจ่ายใช้สอยกันแล้ว โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่มีบริการรับโอนชำระ หรือตัดผ่านบัตรเครดิต ซึ่งช่องทางก็มีหลากหลายให้เลือก

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านบุฟเฟต์ชื่อดังอย่าง ‘Hot Pot Buffet’ ก็ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงการชำระเงิน โดยระบุว่า “เรียนลูกค้าทุกท่าน ร้าน Hot Pot Buffet ขอยกเลิกการรับชำระเงินสด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยลูกค้าสามารถเลือกวิธีชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือสแกน QR Code ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้”

'รมว.ท่องเที่ยว' เผย!! จีนเริ่มกลับมาเที่ยว สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าไทยทะลุ 1 แสนคน ชี้!! แรงหนุนจาก 'คอนเสิร์ต เจย์ โจว' ส่วนภาพรวม นทท.แตะ 25.7 ล้านคนแล้ว

(13 ธ.ค.66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา เผยในสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 1 จำนวน 100,704 คน หรือเพิ่มขึ้น 23,861 คน จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากการจัดคอนเสิร์ต เจย์ โจว ที่ดึงดูดแฟนคลับจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน อีกทั้งการมีวันหยุดต่อเนื่องในรัฐสลังงอร์ของมาเลเซีย ส่งผลให้ในภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 655,653 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 31.05 ร้อยละ 22.98 ร้อยละ 9.25 และร้อยละ 7.51 ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียปรับตัวลดลง ร้อยละ 0.64

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าสื่อไต้หวันได้นำเสนอข่าวการปฏิเสธการรักษานักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่ถูกรถชนระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย จนเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวรายดังกล่าวเสียชีวิต ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ TAC และตำรวจท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานงานกับญาติผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังได้เร่งการหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อจัดหาประกันภัยอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว และแนวทางการป้องกันเหตุดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 11 ธ.ค. 66 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งสัปดาห์ (4 ธ.ค. - 10 ธ.ค. 66) จำนวนทั้งสิ้น 655,653 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 61,619 คน คิดเป็นร้อยละ 10.37 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 93,665 คน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 25,736,865 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,098,082 ล้านบาท โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดจำนวน 100,704 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย (94,513 คน) รัสเซีย (42,166 คน) เกาหลีใต้ (40,572 คน) และอินเดีย (39,053 คน)

‘นายกฯ เศรษฐา’ ยัน!! กดค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บ./หน่วย เร่งดูเรื่องโครงสร้าง-แผนบูรณาการ ‘ลดค่าไฟ’ ระยะยาว

(13 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ตอบคำถามเวที Dailynews Talk 2023 ที่ส่วนหนึ่งจากคำถามคนไทย : ความคืบหน้ามาตรการนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท, เงื่อนไขมีอย่างไรบ้าง, แจกแบบถ้วนหน้าหรือเฉพาะกลุ่ม, งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท เอามาจากไหน?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ตามที่ได้ออกแบบผ่านกลไกให้ตรวจสอบได้ ผ่านทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา ผ่านสภาฯ เพื่อให้ฝ่ายบริหารถูกซักถาม และให้สังคมหมดข้อกังวล โดยจะเริ่มอย่างเร็วที่สุดในเดือนพ.ค.67 แต่ในความคิดของผมอยากให้เร็วกว่านี้ แต่เพื่อให้ถูกต้อง และสบายใจ จะเริ่มเงินดิจิทัลได้คือ เดือนพ.ค.67

ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ในโครงการเงินดิจิทัลนั้น นายกฯ ตอบว่า จะออกเป็นพ.ร.บ.เงินกู้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว โดยจะมีการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยอีก 100,000 แสนล้านบาท เพื่อนำไปดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย และทำควบคู่กันไปกับดิจิทัลวอลเล็ต

ขณะที่เงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ตที่ออกมา คือ ต้องไม่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท และเงินเดือนต้องไม่เกิน 70,000 บาท เป็นข้อคิดเห็นโดยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ควรได้ทั้งหมด คนรวยไม่ควรได้ ซึ่งตอนนี้ล่าช้าออกไปเพราะกำลังดูว่า คนรวยคืออะไร แค่ไหนถึงรวย ยังไม่มีใครบอกได้ ถึงจุดหนึ่งต้องฟันธงใครได้หรือไม่ได้อย่างไร

ด้านหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นนั้น ยอมรับว่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง จากหนี้สาธารณะ 62% เป็น 64.8% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยจะเป็นหนี้สาธารณะส่วนหนึ่ง มีการใช้หนี้ต่อไป แต่ก็มีเรื่องการกระตุ้นลงทุนต่างประเทศ เปิดการลงทุน การค้า เพื่อให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) สูงขึ้น และทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะลดลงได้ เป็นหนึ่งในอีกหลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

“เงินดิจิทัลกว่า 5 แสนล้านบาท ตัวคูณทางเศรษฐกิจ ทางผู้ว่าการธปท.ได้ให้ความเห็น ผมก็เห็นด้วยและถูกต้อง ถ้ามีเงินเยอะ ถ้าแจกคนรวยไป ผลคูณต่อเศรษฐกิจจะต่ำ ถ้าคนรายได้น้อยจะมีตัวคูณต่อเศรษฐกิจสูง แต่อีกมิติหนึ่งคือ ถ้าเริ่ม 1 พ.ค.67 มีกว่า 5 แสนล้านบาท จะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมเพราะจะเร่งการผลิต มีรายได้เพิ่ม มีผลิตผลเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน จำกัดพื้นที่ จะมีความเจริญในพื้นที่ ภายใน 1 อำเภอ ซึ่งจากที่ลงพื้นที่มั่นใจว่าประชาชนต้องการส่วนนี้”

คนไทยถาม : ชาวบ้านอยากให้รัฐบาลลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำมัน / ค่าก๊าซหุงต้ม / ค่าไฟฟ้า มากกว่าในปัจจุบันได้หรือไม่ / เพราะอะไร?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ในเรื่องราคาน้ำมันปรับตามราคาตลาดโลกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่าไฟในเวลานี้กำลังดูแลด้านพลังงานให้ประชาชนอยู่ จะดูแลให้ค่าไฟต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วย เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมจะพอใจ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลพี่น้องประชาชน จะทำอย่างเต็มที่ ในเบื้องต้นค่าไฟจะต่ำกว่าหน่วยละ 4.20 บาท และในระยะยาวต้องดูเรื่องโครงสร้างทั้งหมดและต้องบูรณาการร่วมกัน

“ไม่ใช่แค่เรื่องค่าไฟ โดยต้องสนับสนุนให้เกิดพลังงานสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ ต้องการสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำโซลาร์รูฟ ทำแล้วสามารถนำมาขายได้ และทำให้พลังงานสะอาดขึ้นด้วย ในเรื่องพลังงานไม่ใช่แค่ค่าไฟ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย”

สุดท้ายในเรื่องสำคัญที่ทุกคนตั้งตารอ คือ ใกล้จะปีใหม่แล้ว ท่านนายกฯ มี ‘ของขวัญพิเศษ’ ให้กับคนไทยทั้งประเทศได้เซอร์ไพรส์ไหม?

นายกฯ เศรษฐาตอบ : ผมว่ารัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้น ความสุขของพี่น้องประชาชน สิ่งที่ประชาชนอยากได้ ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ จริง ๆ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าแรง ราคาพืชผล อากาศสะอาด เท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องทำให้ได้

“ให้คำมั่นว่ารัฐบาลนี้จะเอาความต้องการของพี่น้องประชาชน จะเอาปัญหาพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ครม.ทุกท่านจะทำงานอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ จะนำปัญหาต่าง ๆ ที่พูดคุยกันในพื้นที่เอามาแก้ไขทุกปัญหาของพี่น้องประชาชนให้ได้”

‘สนค.’ เผย ภาคเหนือครองใจประชาชน อันดับ 1 หลังคนไทยแห่เที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 30.28%

(13 ธ.ค. 66) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเดือนพฤศจิกายน 2566 ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวในประเทศช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลเฉลิมฉลอง และเป็นการสำรวจต่อเนื่องจากเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยพบว่า ประชาชนมีแผนท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ภาคเหนือยังเป็นจุดหมายที่ครองใจประชาชนอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ภาคกลาง และภาคใต้ และคาดว่าจะใช้จ่าย 5,001-10,000 บาท/คน/ทริป เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก

อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายและยังไม่มีแผนการท่องเที่ยว

โดยแผนการท่องเที่ยวในภาพรวม พบว่ามีผู้ตอบ 32.19% ที่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจในปี 2565 (30.28%) ซึ่งผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นพนักงานของรัฐ 43.10% พนักงานบริษัท 41.85% นักศึกษา 40.25% โดยมีรายได้ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ พบว่า กลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแผนท่องเที่ยวในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง คือ 52.91% ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะกำลังซื้อที่สูงตามระดับรายได้ของครัวเรือนที่สูงกว่าภาคอื่นๆ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่ไม่มีแผนท่องเที่ยวยังคงมีความกังวลใน 3 เรื่องหลักเช่นเดียวกับปี 2565 คือ ภาระทางการเงิน ระดับราคาสินค้าและบริการ และไม่ชอบการเดินทาง อย่างไรก็ดี มีผู้ตอบบางส่วน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ พนักงานของรัฐฯ และมีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป ให้เหตุผลว่าจะมีแผนท่องเที่ยวหลังจากนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567

“การท่องเที่ยวในประเทศช่วง 2 เดือนสุดท้ายปี 2566 มีแนวโน้มคึกคัก โดยเฉพาะในภาคเหนือ และการท่องเที่ยวภายในภูมิลำเนา ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น หน่วยงานและสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน” นายพูนพงษ์ กล่าว

‘EXIM BANK’ เล็งออก ‘บลูบอนด์’ 5 พันล้าน หนุนธุรกิจรับ ESG พร้อมตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อสีเขียวเป็น 50% ภายในปี 71

(13 ธ.ค. 66) นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในเวทีสัมมนา ‘SUSTAINABILITY FORUM 2024’ จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ หัวข้อ ‘Sustainable Finance ถอดสูตรการเงิน สู่ความยั่งยืน’ ว่า ในมุมของสถาบันการเงินที่จะช่วยสนับสนุนทิศทาง ESG คือ การระดมทุน และการปล่อยสินเชื่อด้วยการสร้างกลไกให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารก็ได้ออกกรีนบอนด์ เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อธุรกิจสีเขียวให้ต้นทุนของผู้ประกอบธุรกิจต่ำลงเรื่อยๆ ภายใต้หลักการที่ว่า เมื่อคนตัวใหญ่ได้ต้นทุนการเงินที่ถูก คนตัวเล็กก็ต้องได้ต้นทุนทางการเงินที่ถูกลงเช่นเดียวกัน

เขาเห็นว่า ในระยะต่อไป การระดมทุนจะไม่ได้มุ่งไปที่กรีนบอนด์เท่านั้น แต่จะพัฒนาไปยังบลูบอนด์คือ บอนด์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยในปีหน้า ธนาคารมีแผนจะระดมทุนผ่านบลูบอนด์จำนวน 5 พันล้านบาท จะส่งผลให้ธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อสีเขียวเป็น 6.6 หมื่นล้านบาท หรือ 45% ของพอร์ตสินเชื่อกว่า 1.8 แสนล้านบาท และตั้งเป้าว่า ภายในปี 2571 พอร์ตสินเชื่อสีเขียวจะขยับเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ตนเห็นว่า เครื่องมือทางการเงินที่เกี่ยวกับธุรกิจสีเขียวหรือสีฟ้ายังมีไม่เพียงพอ จึงอยากขอให้ภาคเอกชน และภาคการเงินช่วยกัน เพราะสิ่งที่ออกมาช่วยกันทำให้มีซัพพลายทางการเงินตลาดสีเขียวมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าจะได้รับต้นทุนที่ต่ำลง

“แม้เราพยายามแค่ไหน จำนวนความต้องการของโลกที่จะใช้กรีนไฟแนนซ์ เพื่อคุมไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส มีปริมาณสูงกว่าสิ่งที่ซัปพลายในวันนี้มากถึง 6 เท่า หมายความว่าผลิตภัณฑ์ในการออกกรีนบอนด์ กรีนโลน รวมทั้ง บลูบอนด์นั้น จะออกมายังไงก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดปัจจุบัน เชื่อว่า ทุกคนในวันนี้อยากจะเดินหน้าสู่โลกสีเขียว เราจะต้องช่วยกันมากขึ้นกว่าเดิมถึง 6 เท่า” นายรักษ์ กล่าว

ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับสมการ การให้สินเชื่อ และการระดมทุนใหม่ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อของธนาคารไม่ได้ดูเพียงกระแสเงินสดของบริษัทเท่านั้น แต่ยังดูถึงเรื่องการจ้างแรงงาน รวมทั้ง การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทที่ทำดีมากๆ ธนาคารจะให้สินเชื่อกรีนสตาร์ต ที่ออกมาช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเอสเอ็มอีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีการดูแลชุมชน แม่น้ำ หรือลำคลองได้ดี จะได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%

เขาย้ำว่า ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนของไทยต้องร่วมมือกันสร้างบุญใหม่กลบกรรมเก่า เพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งขออธิบายง่ายๆ ในภาษาพุทธศาสตร์ว่า ที่เราทำมาในอดีต ถือเป็นกรรมเก่า ต่อไป เราต้องสร้างกรรมดี เพื่อกลบกรรมเก่า ที่สามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเอง กล่าวคือ หากต้องการให้การปล่อยคาร์บอนจากในอดีต เหลือศูนย์ เราสามารถสร้างกรรมดีได้ด้วยการซื้อคาร์บอนจากชาวบ้าน แต่หากต้องการเป็น NET ZERO เราต้องปลูกป่า ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต จากเดิมที่อาจจะใช้เครื่องจักรที่ไม่ทันสมัย ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน เป็นต้น

“สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องผู้ประกอบการต้องเข้าใจ เพราะการนำงบดุลย้อนหลังมาโชว์ 3-5 ปี แต่มีตัวเลขสีเขียวอันดับสุดท้าย ธนาคารก็ไม่ได้มีการพิจารณาปล่อยสินเชื่อเป็นหลักอีกแล้ว เราจะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อจาก DNA ของธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม” นายรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ธนาคารได้เป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์ของหลายบริษัทในไทย เพื่อช่วยสนับสนุนไปสู่การเป็นบริษัทเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเรามี KPI ในการตรวจวัดบริษัทเหล่านี้ เช่น เรือด่วนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา และธนาคารก็ได้เดินหน้าทำโซล่าฟาร์มตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ธนาคารเดินทางมาตลอด ทำให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำอาเซียนเรื่องพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นการสร้าง DNA ให้กับเราด้วย

'รมว.ปุ้ย' เตรียมชง ครม.พิจารณายกร่างฯ ตั้ง 'อกฮช.' ระดมหัวกะทิ 4 กระทรวง ขับเคลื่อนฮาลาลไทยเชื่อมโลก

(13 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้คณะผู้บริการ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เข้าพบ โดยมี นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, นายพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้บริหาร ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาล โดยล่าสุดได้จัดทำร่างข้อเสนอกลไกในการบริหารจัดการ 'องค์การอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ' หรือ อกฮช. ซึ่งมีประเด็นสำคัญ อาทิ การเสนอแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทย การกำหนดอำนาจหน้าที่ และบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าฮาลาลระหว่างประเทศ ส่งเสริมการผลิตและการขอรับมาตรฐานฮาลาล โดยเบื้องต้นกำหนดใช้พื้นที่ของสถาบันอาหารในระยะเริ่มต้นดำเนินการ และเสนอของบประมาณจัดตั้ง จำนวน 630 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ เตรียมเสนอขอสนับสนุนบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมฮาลาลจาก 4 กระทรวงหลัก ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 27 อัตรา เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น 

ทั้งนี้ สำหรับการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งว่าจะเป็นองค์การมหาชน หรือ หน่วยงานระดับกรม ให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. เป็นผู้ประเมินต่อไป

สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศมุสลิมในฐานะผู้บริโภค กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED เตรียมจัดงาน Thailand International Halal Expo 2024 เพื่อเชื่อมโยงตลาดสินค้าฮาลาลทั่วโลก และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศจำนวน 57 ประเทศ ซึ่งจะมีเวทีสำหรับการจับคู่ธุรกิจ การให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและการขอรับมาตรฐานฮาลาล การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการจัดแสดงสินค้าฮาลาลในธุรกิจอาหาร ธุรกิจบริการ และธุรกิจโรงแรม เพื่อแสดงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทย รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการลงทุนจากประเทศมุสลิมในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top