Monday, 7 April 2025
แพทองธารชินวัตร

‘อุ๊งอิ๊ง’ หารือ!! ผู้นำเปรู เพื่อเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ - การค้าเสรี - สินค้าเกษตร เล็ง!! ผสมผสาน ‘ขนสัตว์อัลปากา - ผ้าไหมไทย’ ร่วมพัฒนาเป็นซอฟต์พาวเวอร์

(17 พ.ย. 67)  นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการเดินทางกลับประเทศไทยช่วงเวลา 18 นาฬิกาของวันนี้ (วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน) ตามเวลาเปรู ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 27 ชั่วโมง โดยจะถึงประเทศไทยในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน ประมาณ 11 นาฬิกา ตามเวลาในประเทศไทย นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สรุปภาพรวมภารกิจ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชม เปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-circular -Green ecocomy สำหรับการประชุมครั้งที่ 31 นี้มีหัวข้อหลัก เช่นการเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Inclusive Growth) เพื่อให้สมาชิกเติบโตไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนการลงทุน และผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA  ขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัลและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายที่ไทยกำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคมีแนวทางเดียวกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืน 
(Sustainability) ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพลังงานแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และวิธีการรับมือกับอุปสรรคและปัญหาจากภัยธรรมชาติ  การนำเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน มาสนับสนุนและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เวทีการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders ) ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยได้คุยกับนักธุรกิจระดับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และ AI ซึ่งหลายบริษัทสนใจลงทุนในประเทศไทยมาก และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเน้นไปที่เทคโลโลยี AI  Semiconductor และ Data center  และ ยังได้พูดคุยกับเอกชนยักษ์ใหญ่  3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok Microsoft และ Google  ที่แจ้งว่าสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม

การลงทุนอย่าง Data center จะทำให้คนไทยเกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี ของไทยตอนนี้เติบโตไม่เต็มศักยภาพ การหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศจะให้คนไทยมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหมื่น การสร้างรายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งทุกกรอบการประชุมต่างๆ ได้ระบุไปว่า ไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชี่นชมเปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปี 2024 นี้  ยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู ซึ่งเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใค ที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก และสามารถเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยในอนาคตได้อีกด้วย 

จะให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำไปพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ ขนสัตว์อัลปากาของเปรูที่มาทำเป็นเสื้อผ้า มาผสมผสานกับผ้าไหมของไทย เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมาเพื่อนำเสนอเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของทั้งสองประเทศ มารวมกันเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พูดคุยถึงความร่วมมือกันในปีหน้า ที่ไทย-จีน จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี โดยจีนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทยในวันที่ 4 ธันวาคมนี้   และจีนยืนยันที่จะมอบหมีแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง  

นอกจากนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาประเทศของจีน ในการลดความยากจนในประเทศรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ และได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประธานาธิบดีจีนกล่าวยินดีและยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS ด้วย

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ทั้ง 2 คืน ทั้งในงานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และ งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคว่า “ได้สร้างความมั่นใจให้กับประเทศไทยและเชิญชวนภาคเอกชนเขตเศรษฐกิบสมาชิกมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอด 3 วัน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก  เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ขณะเดียวกันย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสมาชิกเอเปค โดยมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันจะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น" นายกรัฐมนตรีได้กล่าว

นายจิรายุ กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมในครั้งนี้ ว่าเจ้าภาพเปรูเป็นประธานจัดงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเวทีการประชุมในแต่ละเวทีตลอด 3 วัน ได้สอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของเปรูไว้ทุกเวที นายกรัฐมนตรี ผู้นำของประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างมาก ในทุกครั้งที่ขึ้นกล่าวหรือแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุม โดยสื่อมวลชนต่างชาติ ต่างให้ความสนใจนายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี 1 ใน 2 คนของไทยในการประชุมครั้งนี้อย่างมาก 

หลุดปม!! คดีล้มล้างฯ ภาค 2 นาทีทอง ‘อุ๊งอิ๊ง – ระบอบทักษิณ’

(24 พ.ย. 67) กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1(ทักษิณ ชินวัตร)และผู้ถูกร้องที่ 2(พรรคเพื่อไทย) ยุติการกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และศาลรธน.ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2567 นั้น มีข้อมูลและเหตุการณ์ที่ควรจะได้บันทึก-ขีดเส้นใต้วิเคราะห์เป็นข้อ ๆ พอเป็นสังเขป

1) ภาพรวม ศาลรธน.มีมติ 'ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย' คำร้องประเด็นที่ 1,และประเด็นที่3-6 (กรณีชั้น 14 และครอบงำ ชี้นำ) เป็นเอกฉันท์หรือ9ต่อ0  และมีมติ 7 ต่อ2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในประเด็นที่ 2 (กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา) คีย์เวิร์ดที่ศาลรธน.ไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็นอยู่ตรงข้อความ “แต่การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อการล้มล้างฯ ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่า  น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ”

อีกทั้งประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6  ศาลรธน.เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ

2) น่าขีดเส้นใต้กรณีประเด็นที่ 2 ที่มีบุคคลยิ่งกว่าวิญญูชนอย่างตุลาการศาลรธน. 2 ท่าน (นายจิรนิต หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์) เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ซึ่งจากกรณีนี้มีนักกฎหมายหลายคนเห็นว่าหากมีการยื่นคำร้องตามรธน.มาตา 49 อีกครั้ง โดยผนวกรวมกับประเด็นที่ 1 (กรณีชั้น14) โดยเพิ่มพยานหลักฐานให้น่าเชื่อถือมากขึ้น ศาลรธน.อาจรับไว้พิจารณาก็ได้

3) มีรายงานข่าวทั้งทางเปิดและทางลับว่านายธีรยุทธจะนำข้อมูล-ประเด็นต่าง ๆ ที่ทำไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการยื่นคำร้องในช่องทางอื่น ๆ ต่อไป เขาได้ประกาศแล้วว่าการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องชุดใหญ่ไฟกะพริบไม่เป็นปัญหาเพราะทำด้วยสุจริตใจ สำหรับพรรคเพื่อไทยการประกาศ ‘เอาคืน’ นายธีรยุทธและผู้เกี่ยวข้องด้วยการฟ้องชุดใหญ่ กล่าวอย่างถึงที่สุดนักสังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่เห็นว่า ‘ไม่หล่อ’ เอาซะเลย!! 

4) ผลจากศาลรธน.ไม่รับคำร้องครั้งนี้ โดยภาพรวมฝ่ายต่าง ๆ เห็นว่าศาลเป็นกลางน่าเชื่อถือ แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้พรรคเพื่อไทย ตัวนายทักษิณ ชินวัตร เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ถูกปลดล็อกจากเงื่อนปมมรณะไปได้ แม้จะมีคดีอื่น ๆ ที่มีการร้องเรียนผ่านป.ป.ช.,กกต.แต่กว่าจะทราบผลก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน...นานพอที่จะทำให้ 'ระบอบทักษิณ' ที่คืนชีพได้ในเบื้องต้นแล้วในวันนี้ลงหลักปักฐานได้อีกครั้ง   

5) กล่าวได้ว่าผังอำนาจ-สมการการเมืองของประเทศในขณะนี้ ปฏิเสธได้ยากว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ของทักษิณเป็นแกนนำรัฐบาลในการหยุดหรือตรึงพรรคส้ม..ปมปัญหาตรงนี้ว่าไปแล้วทำให้ประเทศไทยต้องมี 'ค่าใช้จ่าย' ให้กับระบอบทักษิณ..ทั้งความขัดแย้งในสังคมที่ปฏิเสธระบอบทักษิณ, กระบวนการยุติธรรมที่ถูกด้อยค่า..ฯลฯ..

6) แม้จะมีความรู้สึกของผู้คนไม่น้อยว่า ความรู้ ความสามารถในการเป็นนายกฯสองเดือนเศษยังไม่ผ่านหรือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ภาษากายของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในขณะนี้บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีความคึกคัก มีความมั่นใจกับบทบาท-ตำแหน่ง จนแทบจะอ่านใจนายกฯได้เลยว่าเธอขอเวลาอีก3-4เดือน ทุกอย่างจะเข้าที่...ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองเมื่อปมศาลรธน.ถูกถอดสลัก..เป็นโชคดีที่ตัวนายทักษิณมีเวลาที่จะฟูมฟัก  เสริมวิทยายุทธ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ..อย่างช้าผ่านไตรมาสแรกปี2568 อาจจะเห็น ‘นิวอุ๊งอิ๊ง’

7) ซาวเสียงกูรูการเมือง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองและแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน..สามารถสรุปได้ว่าถ้าไม่เกิดเหตุทางการเมืองแบบฟ้าถล่มดินทลาย ช่วงกลางหรือปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 อาจจะเกิดการยุบสภา...ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทวงแชมป์เลือกตั้งกลับมาได้ และ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะเป็นนายกฯอีกรอบ

8) ช่วยกันดูแลประเทศไทย

‘นายกฯ’ เตรียม!! ลงใต้ 6 ธ.ค. นี้ เพื่อช่วยเหลือชาว ‘สงขลา – ปัตตานี’

(1 ธ.ค. 67) หลังเกิดกระแสดรามาในโซเชียลว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ลงพื้นที่ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมชายแดนภาคใต้ แต่กลับเดินกับครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่-เชียงราย ซึ่งเป็นช่วงที่มีการประชุม ครม.สัญจร ล่าสุด มีรายงานว่า นายกฯ มีกำหนดการเตรียมลงพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดปัตตานี เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจติดตามสถานการณ์น้ำ และเร่งรัดการเยียวยา และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งในวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค.จะมีการประชุม ศปช.เพื่อวางกำหนดการ และจุดที่จะลงไปติดตามตรวจเยี่ยม โดยวางไว้เบื้องต้นว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในวันศุกร์ที่ 6 ธ.ค.นี้

นายกฯ ได้สั่งการไปยัง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ให้ประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งรัดให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะจุดที่ขาดแคลนเครื่องมือ และได้ประสานกระทรวงกลาโหมให้ทหารเข้าไปช่วยเหลือประชาชน โดยต้องการให้เร่งรัดขั้นตอนการเยียวยาให้เกิดความรวดเร็ว ไม่ให้ประชาชนต้องรอนาน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ตั้งใจจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมในช่วงแรกแล้ว แต่ติดภารกิจการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่วางกำหนดการไว้ก่อนหน้าแล้ว และหากไปในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมหนัก จะเป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนต้องมาคอยต้อนรับ โดยตลอดช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วม นายกฯได้ติดตามและสั่งการนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกองทัพ ลงไปช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ ล่าสุดรัฐบาลได้มีการสั่งเบิกงบภัยพิบัติให้กับพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชน

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์เหน็บ คนคิดเชิงลบ - ขาดความมั่นใจ หวังกดคนอื่นเพื่อยกตัวเองให้สูง ปมดรามา “สามีคนใต้”

นายกฯ โพสต์อินสตาแกรมหลังเกิดดรามา “สามีคนใต้” ชี้ “คนคิดเชิงลบ ไม่มั่นใจ มักกดคนอื่นต่ำลง ยกตัวสูงขึ้น”

วันนี้ (2 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว บัญชีผู้ใช้ Ingshin21 เมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. หลังเจอกระแสดรามาทั้งในโซเชียลและฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาว่าละเลยภาคใต้ หลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมหนัก แต่ไม่ลงไปดูแลคนในพื้นที่ และเมื่อวานนี้ นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า “คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี

โดยวันนี้ นายกฯ ได้โพสต์ข้อความในสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุข้อความภาษาอังกฤษว่า “Your negativity is a reflection of your own reality.” 100% ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง”

นอกจากนั้น ยังมีการแชร์อีก 1 ข้อความภาษาอังกฤษว่า “INSECURE PEOPLE PUT OTHERS DOWN TO RAISE THEMSELVES UP.” ซึ่งแปลความหมายคือ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”

ดรามาสามีคนใต้!! ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ แซะนายกฯ ตอบเฉิ่ม เสี่ยงให้คิดว่าควรมีผัวให้ครบทุกภาค ด้าน ‘คำ ผกา’ ซัดกลับ มีผัวไม่ดียังไง หลายคนอยากมีแต่หาไม่ได้ โดนสวนแนะใช้น้ำยาบ้วนปาก

ศึกแดง-ส้มกลับมาอีกแล้ว หลังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ถูกดราม่าหนักปมตอบสื่อว่าตนเองไม่ละเลยปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ โดยโยงเข้าเรื่องส่วนตัวของตนเองว่า “สามีเป็นคนใต้” ถ้าไม่รักคนใต้คงแต่งงานไม่ได้ จนเกิดเป็นเสียงวิจารณ์อย่างหนัก ถึงความเหมาะสมในการตอบคำถามดังกล่าว

ล่าสุด เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสส.พรรคก้าวไกล ได้ร่วมวงติเตียนคำตอบดังกล่าวของอุ๊งอิ๊งผ่าน X @AmaratJeab โดยโพสต์ภาพคำพูดของนายกฯ พร้อมกับข้อความ “คำตอบไม่เคยเกินชายคาบ้าน เฉิ่มทุกครั้งที่อ้าปาก แนวคิดคนที่เอาตัวเองเป็นแกนกลางของจักรวาล โลกทั้งใบหมุนรอบตัวฉัน” ทำเอาผู้สนับสนุนขั้วเดียวกันแห่เข้ามาคอมเมนต์เห็นด้วย โดยมองว่าคนที่รับบทบาทเป็นผู้นำประเทศควรมีวุฒิภาวะในการตอบคำถามมากกว่านี้ และไม่พูดเรื่องส่วนตัวรวมกับปัญหาระดับประเทศ

นอกจากนี้ เจี๊ยบ อมรัตน์ ยังโพสต์ข้อความถัดมาระบุว่า “ตอบคำถามยังไง ให้มีความเสี่ยงต้องมีผัวให้ครบทุกภาค” เป็นสาเหตุให้มีทั้งคนที่มองว่านี่เป็นมุกตลกที่ขำขัน ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และชาวเน็ตบางส่วนมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก และไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนถูกนำชีวิตมาดูถูกในเชิงตลกร้ายเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี หรือปุถุชนคนธรรมดาก็ตาม

หลังจากอดีตสส. เจี๊ยบ โพสต์ข้อความดังกล่าว คำ ผกา ตัวแม่ของฝั่งพรรคเพื่อไทยก็ออกมาโต้กลับอย่างเจ็บแสบว่า “มีผัวครบทุกภาคไม่ดียังไงเหรอคะคุณอมรัตน์? ทางนี้ใฝ่ฝันอยากมีตั้งแต่ขั้วโลกเหนือยันขั้วโลกใต้เลยค่ะ เผอิญหาไม่ได้” ทำเอาด้อมส้มและสาวกพรรคแดงตามมาถล่มคอมเมนต์กันยกใหญ่ ซัดกันคนละหมัดอย่างไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 ธ.ค. 67 ได้แคปภาพข้อความของ คำ ผกา มาโพสต์และตอบกลับว่า “ไม่มีตรงไหนบอกว่าไม่ดี เรื่องหาไม่ได้ดิฉันไม่มีประสบการณ์ แนะนำให้ลองใช้น้ำยาบ้วนปาก ยุคนี้แล้วสงสัยใคร่รู้อะไรเสิร์ชถามกูเกิ้ล ขออนุญาตไม่เกลือกกลั้วด้วยอีก #เจี๊ยบอมรัตน์”

ดูลาดเลาแล้วสงครามโซเชียลคงจะไม่จบลงง่าย ๆ โดยเฉพาะนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็เป็นประเด็น แม้แต่ลงสตอรี่คำคมก็ไม่วายจะถูกหยิบยกมาเป็นดราม่า และวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียล แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะบานปลาย กระทั่งผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนหันมาวิวาทะกันเองเช่นนี้ คงต้องติดตามกันต่อว่าปมเล็ก ๆ ที่กลายเป็นมหากาพย์ ‘สามีคนใต้’ จะมีกระแสซบเซาลงจนชาวเน็ตลืมเลือนและเลิกพูดถึงได้วันไหน

‘อุ๊งอิ๊ง’ โพสต์!! ภาพครอบครัวอบอุ่น ผ่านไอจี มอบพวงมาลัยให้ ‘ทักษิณ’ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

(5 ธ.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านไอจีชื่อว่า ‘ingshin21’ พร้อมภาพประกอบ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นและชื่นมื่น มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์พี่สาว นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีน.ส.พินทองทา นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีน.ส.แพทองธาร และหลาน ๆ นำพวงมาลัยมอบให้นายทักษิณ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 โดยมีข้อความระบุว่า …

Happy Father's Day @ home ขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ รักพ่อที่สุดในโลกค่ะ

‘แพทองธาร’ เตรียมแถลงผลงาน 12 ธ.ค. นี้ ชี้!! มีผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง

(8 ธ.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียม แถลงผลงาน โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว ระบุว่า 

2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง 

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น. 

ถ่ายทอดสดที่ช่อง NBT2HD และ Facebook Live: Live NBT2HD

‘แพทองธาร’ ได้รับการจัดอันดับจาก ‘นิตยสาร Forbes’ ติดอันดับ 29 ‘สตรีทรงอิทธิพล’ จาก 100 คนทั่วโลก

(15 ธ.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับการจัดอันดับจาก นิตยสาร Forbes ติดอันดับ 29 ‘สตรีทรงอิทธิพล’ จาก 100 คนทั่วโลก โดยได้อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ต่อมาสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่ง ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ในเดือนสิงหาคม 2567

จากนั้นเธอสาบานตนเข้ารับตำแหน่งก่อนวันเกิดอายุครบ 38 ปีเพียงไม่นาน ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย แพทองธารเป็นบุตรสาวคนเล็กของทักษิณ ชินวัตร ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2544 ถึง 2549 ส่วนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาของเธอดำรงตำแหน่งดังกล่าวระหว่างปี 2554 ถึง 2559

ด้าน นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับ Top 100 The World’s Most Powerful Women ประจำปี 2024 ของนิตยสาร Forbes ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินที่ทรงอิทธิพล มีชื่อเสียงระดับโลก ปรากฎชื่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ติดอันดับที่ 29 จากสตรีทรงอิทธิพล 100 คนทั่วโลก และถือเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลอันดับ 3 ของเอเชีย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่นานาประเทศเล็งเห็นถึงศักยภาพผู้นำหญิงของไทยที่มีความโดดเด่นในเวทีโลก 

นางสาวแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยนับแต่ก้าวแรกที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ได้แสดงภาวะผู้นำในการรับมือกับภาวะวิกฤตภายในประเทศหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะการจัดการปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด เหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ที่ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงเดินหน้าผลักดันนโยบายต่าง ๆ ต่อเนื่องจากรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจากการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล รอบ 90 วันที่ผ่านมา มีหลายนโยบายที่ทำสำเร็จไปแล้ว และจะมีการดำเนินการต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น พักหนี้เกษตรกร 3 ปี การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยฟรีวีซ่า โครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ กฎหมายสมรสเท่าเทียม โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่  การแก้ปัญหาไร้สัญชาติให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงยังมี นโยบายที่ให้ความสำคัญกับสตรี เช่น การฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดฟรีสำหรับผู้หญิงทุกคน เป็นต้น นางสาวจิราพร กล่าว

นางสาวจิราพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมานางสาวแพทองธารยังเคยถูกจัดอันดับ 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต (Time 100 Next) ของนิตยสารไทม์ (Time) สหรัฐอเมริกา ในประเภทผู้นำ (Leaders) ร่วมกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลก รวมถึงยังได้รับความนิยมอันดับ 1 ในฐานะนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดของ ‘สวนดุสิตโพล’ แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำหญิงยุคใหม่ที่ได้รับความสนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ตั้งคณะทำงาน 4 ด้าน ‘อาหาร-ค้าลงทุน-ท่องเที่ยว-มั่นคง’ ขอบคุณมาเลเซียต้อนรับอย่างอบอุ่น กระชับความร่วมมือ 2 ประเทศ

(16 ธ.ค. 67) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุม Bilik Mesyuarat Perdana ชั้น 3 ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อบรรลุ "สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" และมุ่งหวังที่จะร่วมมือกันเพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองชาติ

ในเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งกรุงเทพฯ ช้ากว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง) ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย น.ส.แพทองธาร และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ร่วมกันตรวจแถวกองทหารเกียรติยศในพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในโอกาสการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ (Official Visit)

ในการประชุมหารือประจำปี (AC) ครั้งที่ 7 นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของสองประเทศในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสนับสนุนด้านอาหารฮาลาล รวมถึงการเชื่อมโยงด้านคมนาคม พลังงาน และความมั่นคงในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวถึงการเป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้า การศึกษา และการท่องเที่ยว โดยมาเลเซียชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น ภูเก็ต และสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้แนวคิด "6 Countries, 1 Destination"

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มาเลเซีย เป็นมิตรประเทศ ที่ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ อันดีมากอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นหุ้นส่วน ทางการค้า ที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน ขณะเดียวกัน มาเลเซียยังเป็น 1 ใน10 ประเทศ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากอีกด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทั้ง2 ประเทศ มุ่งมั่น ในการประสานความร่วมมือ ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้กล่าวถึงการค้าระหว่างกัน เช่น การนำเข้ายางพาราจากไทย พร้อมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจด้านยางพาราระหว่างสองประเทศ

สำหรับมิติด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นประเด็นภายในของไทย โดยมั่นใจว่าไทยจะสามารถสร้างสันติภาพในพื้นที่ได้ โดยการพูดคุยและพัฒนา

ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวถึงการร่วมมือในด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ และจะร่วมกันจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมความร่วมมือด้านความมั่นคงในปีหน้า

ทั้งนี้ สองประเทศได้ตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันให้ได้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยการค้าชายแดนมีสัดส่วนถึง 30% ของการค้าทวิภาคี และเห็นควรผลักดันการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น

ในด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงโครงการถนนเชื่อมด่านสะเดาใหม่และสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่จะเสร็จตามกำหนด และคาดหวังว่าจะมีโครงการทางรางเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคในอนาคต

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า ซึ่งมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน ภายใต้หัวข้อ "Inclusivity and Sustainability" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "Malaysia Madani" โดยเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยในโอกาสต่อไป

‘จิรายุ’ เผย!! ‘แพทองธาร’ เป็นนายกรัฐมนตรี 3 เดือน ทำงานเข้าตาประชาชน วางเป้า!! ทำให้คนไทย หลุดจาก ‘กับดักความยากจน’ ก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว

(21 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพ ในประเด็น ‘ท่านเห็นว่าบุคคลใดที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นนักการเมืองแห่งปี 2567’ พบว่า ประชาชนชื่นชมและชื่นชอบโหวตให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นอันดับหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจ ถือว่าจะเป็นอีกแรงผลักดันสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป

นายจิรายุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศมาเพียง 3 เดือน ได้เร่งผลักดันแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติและตรงตามความต้องการของประชาชน ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นนี้จะเป็นอีกเสียงที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ความสำเร็จที่เห็นผล อย่างเป็นรูปธรรมในการเดินหน้าในทุกนโยบาย ของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นทั้งคำชมหรือข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับปรุงให้เป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลยืนยันว่าจะขอทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการลงพื้นที่แก้ไขปัญหาในทุก ๆ หมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศและการเป็นตัวแทนของประเทศเพื่อนำพาประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและเชิญชวนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยให้ได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกตารางนิ้วของประเทศ ตามนโยบาย 2568 โอกาสไทยทำได้จริง หลังจากภาวะเศรษฐกิจ สังคมหยุดนิ่งมานานหลายปี

โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวอีกด้วยว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่าปีหน้าจะเร่งสปีดนโยบายต่างๆโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งช่วงหน้าฝน ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงภัยกับอุทกภัยซ้ำซากแบบนี้อีก นอกจากนี้การเร่งรัดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะเร่งทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการปราบปรามยาเสพติดที่ มอบนโยบายเร่งด่วนให้ส่วนราชการให้ดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียืนยันและขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำพาเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนให้ได้ในเร็ววันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ประเทศไทยหลุดกับดักความยากจนและก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top