Monday, 7 April 2025
แพทองธารชินวัตร

‘แพทองธาร’ แถลงผลงาน!! 90 วัน แคมเปญ 2568 เพื่อให้คนไทย ‘มีกิน - มีใช้’ ในสังคมที่เท่าเทียม!!

(22 ธ.ค. 67) นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งโอกาส’ หลังบริหารประเทศครบ 90 วัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ‘2568 โอกาสไทย ทำได้จริง’ มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ผ่าน 5 นโยบายหลักและ 6 แผนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานประเทศในทศวรรษหน้า

ในการแถลงผลงานที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานภายใต้แนวคิด ‘ทุกคนคือทีมเดียวกัน’ โดยระบุว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การแก้หนี้ครัวเรือน การสร้างที่อยู่อาศัย การให้ทุนการศึกษา ไปจนถึงการลดค่าครองชีพและการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล เพื่อให้คนไทยทุกคน ‘มีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี’ ในสังคมที่เท่าเทียม

อาจจะงงๆ กับการหยิบยกตัวเลขบางอย่างมานำเสนอ ในเรื่อง ตลาดเครื่องดื่มของไทย พวกซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำแร่ น้ำหวาน มีการส่งออก มากกว่าปีละ 7 หมื่นล้านบาท รัฐสามารถเก็บภาษีได้ แสนแปดหมื่นห้าพันล้านบาท ต่อปี 

รัฐบาลไทยเก่งมากในเรื่องการจัดเก็บภาษี ที่สามารถเก็บภาษี ได้มากกว่า มูลค่าส่งออก ถึง 2.5 เท่า !!!

ซึ่งก็เคยมีการหยิบยกคำให้สัมภาษณ์ บางประเด็น ที่เหมือนทีมงานเศรษฐกิจอาจไม่ได้จัดเตรียมข้อมูลให้ เลยทำให้การสื่อสาร มีผิดพลาด เช่น ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปัจจุบัน (24 ก.ย. 67) ว่า เรื่องของเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นในข้อเท็จจริงแล้วทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลเองเราสามารถทำได้ในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อดีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ให้ได้

การที่ค่าเงินบาทแข็ง คงไม่ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกเป็นแน่ ถึงแม้จะมีการให้สัมภาษณ์ ในเวลาถัดมาแก้ประเด็นการสื่อสาร ที่อาจผิดพลาด แต่มันทำลายความน่าเชื่อถือต่อภาพการบริหารเศรษฐกิจ ของหัวเรือใหญ่ทีมรัฐบาล

สำหรับประเด็นในการแถลงผลงาน 90 วัน ก็มีการนำเสนอแผนงานในปี 2568 ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นนโยบายประชานิยม รัฐบาลเดินหน้า 5 นโยบายหลัก ‘ล้างหนี้ประชาชน-บ้านเพื่อคนไทย-ทุนการศึกษา-รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-ดิจิทัลวอลเล็ต’

บ้านเพื่อคนไทย ทำให้นึกถึงภาพโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 ลอยเข้ามาในหัว

ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 1 ที่แจกไปแล้วกว่า 1.45 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงพอประเมินได้

รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ลำพัง การชำระหนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีมูลค่าหนี้สินสูงระดับแสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นภาระหนี้สินทั้งในส่วนของค่าจ้างงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M Electrical and Mechanical) ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

รวมถึงหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา (O&M Operation and Maintenance) แตะ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 จากการว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ก็เพิ่งเริ่มได้ชำระหนี้บางส่วนตามแผน และยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องอีก

ล้างหนี้ประชาชน การเสพติดนโยบายประชานิยม ย่อมส่งผลต่อวินัยทางการเงินของภาคประชาชน ซึ่งจะทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ เป็นเหมือนฟองสบู่ที่ใกล้จะแตก ธนาคารแห่งประเทศไทย เอง ก็พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การคลัง แต่ไม่รู้ว่าจะทานไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มมีเสียงจากฝั่งการเมือง เกี่ยวกับการจะนำเงินสำรองของประเทศ ออกมาใช้

วิกฤต ต้มยำกุ้ง ปี 2540 จะมาโผล่ ในปี 2568 อีกหรือไม่ ... ขอส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยคำอวยพรว่า ‘ประชาชนเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกกันให้ดีๆ’ ระมัดระวังดูแลสถานะการเงินของตนเอง

สุขสันต์วันปีใหม่ ต้อนรับปีมะเส็ง 2568 ขอให้สุขภาพดีกันทุกท่านครับ

สื่อตั้งฉายารัฐบาล 2567 รัฐบาล (พ่อ)เลี้ยง - นายกฯ แพทองโพย วาทะแห่งปี 'สามีเป็นคนใต้'

(23 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยการตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2567 ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติส่วนตัว ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จึงมีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี 2567 ดังนี้ 

ฉายารัฐบาล รัฐบาล 'พ่อ' เลี้ยง

ด้วยความเป็น 'พ่อ' ของหัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อ 'ทักษิณ ชินวัตร' ขึ้นชื่อดีกรีความรักลูกไม่น้อยหน้าใคร ทั้งปกป้อง เลี้ยงดู อุ้มชู ปูทาง จนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่มี DNA เดียวกันเป๊ะ จนไม่พ้นเสียงครหา รัฐบาลนี้ 'พ่อคิด ลูกทำ'

1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 
'ฉายา แพทองโพย'

ล้อมาจากชื่อของนายกฯ 'แพทองธาร' กับประเด็นดรามา 'ไอแพด' คู่ใจ โพยยุคไอที ถือติดมือได้ทุกที่ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว พกโพยเครื่องเดียวอ่าน จด โหลดข้อมูลเสร็จสรรพ จนเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเมื่อยกขึ้นอ่าน ระหว่างพบผู้นำ แขกต่างชาติ กลายเป็นประเด็นตอบโต้เผ็ดร้อนกับชาวเน็ต และตอกย้ำแบบโนสนโนแคร์ด้วยภาพชูไอแพดคู่ใจ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือแม้แต่ยกไอแพด ขึ้นอ่านแถลงข่าวการระบายน้ำภาคเหนือ ลงสู่แม่น้ำโขง จนถูกวิจารณ์ยกใหญ่

2.นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​ และ​รมว.กลาโหม 
ฉายา 'สหายใหญ่ใส่บู๊ต'

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ติดโผได้รับฉายาไม่ขาด 'สหายใหญ่' ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 วันนั้น สู่ 'บิ๊กอ้วน' แห่งกองทัพไทยในวันนี้ ปรับโฉมกุนซือการเมือง มายกมือตะเบ๊ะ เสื้อตึงเป๊ะ ใส่ 'ท็อปบูต' นั่งเก้าอี้กลาโหม จากที่เคยอยู่กันคนละฝั่ง วันนี้ต้องคุมบังเหียนมาทำงานร่วมกับเหล่าทหาร ส่งท้ายปีจับมือท็อปบู้ตพากันลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม และยังต้องรับบทหนัก ถึงหนักมาก คอยระวังหลังให้กับ 'นายกฯอิ๊งค์' อีกด้วย

3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย 
ฉายา 'ภูมิใจขวาง'

นอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ยังสวมหมวกหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำงาน 3 เดือนใน 'รัฐบาลแพทองธาร' สร้างสีสันจากบุคลิกและสไตล์การพูดหยิกแกมหยอก พร้อมสโลแกนขอทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่นับจากลงเรือร่วมรัฐบาล มียกมือค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของสส.พรรคแกนนำ ล่าสุดโหวตสวนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจาก พรรครัฐบาล ต้องจับตาบทบาทจากนี้ 'รมต.หนู' จะปล่อยของ โชว์ลีลา สร้างผลงาน ให้ประทับใจอย่างไร

4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน 
ฉายา 'พีระพัง'

พังอุดมการณ์จากพรรคขั้วตรงข้าม 'ชินวัตร' ตกลงปลงใจมาจับมือร่วมรัฐบาล 'นายกฯอิ๊งค์' คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ ถูกคาดหวังจะมาแก้ปมเรื่องพลังงาน ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำมันถูกลง เจ้าตัวยังหมายมั่นปั้นมือประกาศแก้กฎหมายรื้อโครงสร้างภาษีน้ำมัน จนเปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจน หรือจะซุ่มทำเงียบ ๆ งานนี้สังคมช่วยลุ้นจะทำได้ทันรัฐบาลนี้ หรือจะพังพับไปก่อน

ด้านงานการเมืองยุค 'หัวหน้าพี' คุมบังเหียน 'รวมไทยสร้างชาติ' ดูยิ่งโลว์โปรไฟล์ จัดกิจกรรมพรรคได้เงียบกริบตามสไตล์ จนเกิดกระแสข่าวรอยร้าวภายใน ถูกจับจ้องถึงสัมพันธภาพกับลูกพรรค จะกอดคอรักกันนานแค่ไหน

5.พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง ​รมว.ยุติธรรม
ฉายา 'ทวีไอพี'

ล็อกเป้าคุมเก้าอี้กระทรวงยุติธรรม เรียกได้ว่าเลื่อยขาเก้าอี้ไม่มีสั่น ไม่บอกก็รู้ว่า 'นายใหญ่' ไว้ใจแค่ไหน นับตั้งแต่ภารกิจพานายใหญ่กลับบ้าน ถึงอีพี 2 ส่งนายใหญ่ขึ้น 'ชั้น 14' ครองเตียง 'วีไอพี' แทนนอนเรือนจำถึงได้พักโทษ ทำให้สังคมมองว่าเป็นนักโทษวีไอพี

ต่อเนื่องที่เร่งออกระเบียบคุมตัวนอกเรือนจำ เสียงลือ แซ่ดเตรียมปูทางสำหรับ 'วีไอพีหญิง' ตามรอยพี่ชายหรือไม่ เมื่อเดินงานเข้าตา พ.ต.อ.ทวี น่าจะถือบัตรวีไอพี ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี ไปอีกยาว

6.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉายา 'ประชาธิเป๋'

แปะยี่ห้อ 'ประชาธิปัตย์' รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประกาศพาค่ายสะตอกลับมายิ่งใหญ่ ไปๆ มาๆ พลิกหนีบทฝ่ายค้าน ไม่ติดอดีต ไม่ฟาดฟันทางการเมือง กลืนอุดมการณ์คู่ปรับนับทศวรรษกับ 'เพื่อไทย' กระโดดมาร่วมรัฐบาล เดินเป๋จากเส้นทางอุดมการณ์กว่า 70 ปี จนได้ตั๋วคุมงานกระทรวงใหญ่ แต่ผลงาน ได้เห็นเค้าแค่ลางๆ ยังไม่ชัดเจน

7.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม
ฉายา 'รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ'

เรื่องจริงหรือฝัน ทำบรรดาแม่ยก แทบไม่เชื่อสายตา ว่า 'ขิง เอกนัฏ' คีย์แมนรทสช.ต้องยอมทำเพื่อชาติ ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เคลียร์ประเด็นคุณสมบัติคนเคยมีคดี ก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแบบใสๆ ภายใต้การนำของ”คนชินวัตร“ลั่นในใจไม่ลบ ไม่เคยลืมอดีต ก่อนยก วาทะเด็ด “ต้องทำงานโดยคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าคิดถึงบ้านเมือง ก็ทำงานร่วมกันได้” ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง เร่งโชว์ผลงานเดินเครื่องกวาดล้างโรงงานเถื่อน สารเคมีอันตราย ให้เข้าตาประชาชน

8.น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฉายา 'จิราพอ(ล)'

จาก สส.รุ่นใหม่ดาวเด่นในสภา พูดจาฉะฉาน ถูกคาดหวังจะเฉิดฉายเมื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ช่วยปรับโฉมงานของรัฐบาล เพราะคุมทั้งสื่อรัฐ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ. )แต่งานกลับเดินไปเนิบๆ

สังคมมาถึงบางอ้อว่ารมต.น้ำ นั่งคุมสคบ.จากคดีดัง “ดิไอคอน กรุ๊ป”และ “บอสพอล” ถึงได้จังหวะโชว์ผลงาน ทั้งที่ขึ้นชั้นรมต.มาตั้งแต่ปลายรัฐบาลเศรษฐา จนถูกตั้งคำถามเรื่องการทำงาน ขึ้นปีใหม่จะเร่งเครื่องไปต่อ หรือพอใจจะทำงานเงียบๆ แบบสโลไลฟ์

กลุ่ม 'รมต.โลกลืม'
นายสุชาติ ชมกลิ่นรมว.พาณิชย์
พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช. พาณิชย์

ทั้ง 3 คน มีบทบาท ได้คุมกระทรวงเกรดเอ ทั้งเรื่องการค้าและการศึกษา ผ่านเก้าอี้รมต.ที่เป็นประตูปูทาง สร้างงานให้โดดเด่นได้ แต่ผลงาน 3 เดือนในรัฐบาล กลับไม่เปรี้ยงแต่เงียบกริบ จนประชาชนเรียกหาให้สตาร์ทเครื่อง ตีปี๊บผลงาน รับศักราชใหม่ สลัดครหารัฐมนตรีโลกลืม

วาทะแห่งปี 'สามีเป็นคนใต้'

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในระหว่างการลงพื้นติดตามการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งถูกตั้งคำถามจากสังคม เปรียบเทียบการลงพื้นที่เพื่อฟื้นฟูภาคเหนือของนายกฯแต่อาจละเลยพี่น้องภาคใต้ ที่ถูกน้ำท่วม

นายกฯชี้แจงย้ำหนักแน่น ไม่ได้ละเลยคนใต้ ด้วยประโยคว่า “โอ้ คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้นะคะ” ยืนยันคำตอบจากใจ ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับประชาชนภาคใด เพราะเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ

คำตอบของนายกฯยังไม่ใช่เหตุผลที่ตรงใจชาวโซเชียล จึงไม่วายถูกตั้งข้อสงสัยว่าเหตุที่ไม่ลงใต้ เพราะภาคใต้ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไร้ที่นั่งสส.มานาน ถึงกับถามย้ำๆขอฟังชัด ๆ จะลงใต้เมื่อไหร่ กระทั่งนายกฯกลับจากเยือนประเทศมาเลเซีย ช่วงฝนเทภาคใต้รอบสอง จึงเปลี่ยนใจ บินลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 17 ธ.ค.2567 จากที่ตั้งใจจะลงไปในช่วงการฟื้นฟู

‘ดร.อานนท์’ วิจารณ์!! นายกฯ ใส่ผ้าซิ่นกลับหัว ชี้!! บรรพบุรุษชินวัตร เคยมีชื่อเสียง ด้านการค้าผ้า

(4 ม.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สวมชุดผ้าไทย พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส ร่วมพิธีทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยผศ.ดร.อานนท์ ระบุว่า ชินวัตรไหมไทยเป็นกิจการที่มีชื่อเสียงของตระกูลชินวัตร และดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ พ่อเลี้ยงเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นปู่ นายทักษิณ ชินวัตร ต่างก็เคยค้าผ้าไหมกันมาก่อน

ทำไมลูกหลานสตรีในตระกูลชินวัตรจึงไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องผ้าไทย จนไม่รู้จักกระทั่งตีนซิ่น หัวซิ่น สวมใส่สลับไปหมด น่าอับอายขายหน้าถึงบรรพบุรุษว่ามีลูกหลานที่มิได้รับการถ่ายทอดสิ่งดี ๆ เช่นภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ มาแม้แต่น้อย นับว่าเสียชาติเกิดที่เกิดมาในตระกูลชินวัตรโดยแท้

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ!! ปชช. เชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อยู่ยาวตลอดทั้งปี มอง!! สถานการณ์การเมืองไทย ยังวุ่นวายต่อไป เหมือนเดิม

(5 ม.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ ของประชาชน เรื่อง ‘การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ในปี 2568’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในปี 2568 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไป ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.61 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 7.33 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง และร้อยละ 2.14 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในปี 2568 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.22 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 15.34 ระบุว่า จะมีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า จะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม ร้อยละ 5.88 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะลาออก ร้อยละ 5.73 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 3.05 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนรัฐประหาร ร้อยละ 2.82 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะเปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 32.82 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น และร้อยละ 10.84 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีเหมือนเดิม

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปในสังคมไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 33.20 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่ลง ร้อยละ 20.46 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีขึ้น และร้อยละ 11.91 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีเหมือนเดิม

นายกฯ เปิดงาน!! 'วันเด็ก' ที่กระทรวงศึกษาฯ แนะน้องๆ ต้องเรียนรู้ เพื่อปรับตัวสู่อนาคต

(11 ม.ค. 68) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด ‘เรียนดี มีความสุข Smart Kids ,Happy Future’ โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และคณะผู้บริหารเข้าร่วม

เมื่อมาถึงตัวแทนเด็กและเยาวชนมอบพวงมาลัยให้นายกฯ จากนั้นนายกฯสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ก่อนเดินมาที่เวทีจัดงาน โดยนายกฯมอบของขวัญให้กับเด็กซึ่งเป็นตัวแทนจากทั่วประเทศ ของขวัญเช่น ตุ๊กตาหมี ลูกฟุตบอล

จากนั้นนายกฯ กล่าวเปิดงานว่า วันนี้ถือว่าเป็นปีแรกของตนในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานวันเด็กที่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก รมว.ศึกษาธิการ เตรียมงานไว้ดีมาก และเมื่อสักครู่ได้เห็นน้อง ๆ มาแสดงบนเวที เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ รู้สึกว่าน่ารักมาก เก่งมากจำบทได้และสามารถพูดได้ ตนประทับใจ ถือเป็นการเริ่มวันเด็กที่สดชื่นและสดใส ลีลาการเต้น สไตล์การเต้นต้องผ่านการฝึกฝน ความชอบ ความตั้งใจ และความสามัคคีในหมู่คณะ รวมถึงต้องอาศัยทุกอย่างให้โชว์ออกมาได้ดี และน่าประทับใจ ซึ่งพี่ขอชื่นชมและขอสนับสนุนให้น้องๆไปทางด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะมันไม่ใช่การที่เราซ้อมวันสองวันแล้วได้เลยน้อง ๆ ต้องซ้อมเป็นเดือนหรือเป็นปีไปชิงแชมป์โลก นำชื่อเสียงกลับมาให้กับประเทศได้มากขนาดนี้ ก็ขอชื่นชมจากใจจริง

นายกฯ กล่าวต่อว่า เรามีครอบครัวมีพ่อ แม่ พี่ น้อง เราเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สมัยใหม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง โดยมีผู้ใหญ่คอยอยู่ข้าง ๆ คอยแนะนำและบอกเล่าประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่เจอมาเพื่อให้เด็กมีความรู้ มีข้อมูลที่มากพอ พร้อมที่จะตัดสินใจ และทำไมคำขวัญปีนี้ถึงพูดว่า ทุกโอกาส คือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง

ซึ่งทุกโอกาส คือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกรุ่น ทุกวัยไม่จำเป็นว่าผู้ใหญ่โตแล้วไม่ต้องเรียนรู้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ทุกคนหันหน้าเข้าหากันเปิดใจ พร้อมเรียนรู้พร้อมรับฟังซึ่งกันและกัน นั่นคือโอกาสแห่งการเรียนรู้ นี่คือที่มาของคำขวัญวันเด็กในปีนี้ และแน่นอนว่าอยากให้น้อง ๆ ได้รู้ว่าโลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เทคโนโลยีเข้ามามาก แต่ทุกคนต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลก และยุคสมัยให้เรารู้คุณค่าของตัวเรา พร้อมที่จะปรับตัวสู่อนาคต

“ในโอกาสวันเด็กปีนี้ ขอให้น้องๆทุกคนได้มีโอกาสในการเรียนรู้เยอะๆ วันนี้กระทรวงศึกษาธิการ สร้างสิ่งน่าเรียนรู้ไว้รอบตัวเราและสร้างสิ่งที่สนุก ต้องขอขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการมาก วันนี้น้องๆเรียนรู้ให้เต็มที่มีอนาคตที่สดใส เพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต” นายกฯ กล่าว

จากนั้นนายกฯเดินทักทายเด็ก ๆ เยาวชน และเยี่ยมชมบูธภาครัฐและเอกชนภายในกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้เยี่ยมบูธของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ถ่ายภาพเซลฟี่กับเด็ก ๆ พร้อมแจกลายเซ็นข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้น้องต้องตา” นายกฯยังได้อุ้มเด็กน้อย ซึ่งเด็กได้ร้องไห้หลังนายกฯอุ้ม จากนั้นนายกฯเดินมายังซุ้มของคิงพาวเวอร์เพื่อแจกลูกบอลให้กับเด็ก ๆ และได้ถ่ายภาพร่วมกับลูกเสือเนตรนารี

ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีเด็กๆ และผู้ปกครองสนใจขอถ่ายภาพร่วมกับนายกฯเป็นจำนวนมาก

‘พี่อิ๊งค์’ ล้อมวงคุย!! ตอบคำถาม ตัวแทนเยาวชน ที่ตึกสันติไมตรี ย้ำ!! ทำงานไม่เหนื่อย ถึงแม้วันหยุดน้อย เพราะมีกำลังใจที่ดี

(11 ม.ค. 68) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งล้อมวงพูดคุยกับตัวแทนเด็กและเยาวชนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จากกรุงเทพมหานคร นครปฐม และสมุทรปราการ จำนวน 40 คน และผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จำนวน 6 คน จากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ประกอบด้วย โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี โรงเรียนนารีนุกูลอุบลราชธานี โรงเรียนสมาคมพยาบาลไทยจังหวัดน่าน และโรงเรียนมัธยมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน

นายกฯ กล่าวว่า พี่จบจากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เป็นโรงเรียนหญิงล้วน จบแล้วไปต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 1 ถึงปี 4 และเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เรียนจบสาขาโรงแรมเพราะว่าที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมก็เลยอยากทำต่อ สรุปมาทำการเมืองแทน ความจริงอะไรที่เราแพลนไว้ไม่ได้ตามที่เราแพลนทุกอย่าง คำขวัญวันเด็กถึงได้พูดว่าพร้อมปรับตัวสู่อนาคตวันนี้น้อง ๆ มีคำถามอะไรถามได้เลย

โดยนักเรียนจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ถามนายกฯว่าเหนื่อยหรือเปล่ากับการทำงานในตำแหน่งนายกฯ ซึ่งนายกฯ ตอบว่า คิดว่าทุกตำแหน่งเหนื่อยคนละแบบ ความจริงเป็นนายกฯเหนื่อยแต่เหนื่อยปกติ อาจจะมีวันหยุดน้อยหน่อย เพราะเราหยุดอาจจะโดนว่าก็เลยทำให้ไม่ได้หยุด เป็นนายกฯหยุดอาจจะผิดเล็กน้อย แต่ความจริงไม่เหนื่อยเพราะมีกำลังใจที่ดีเวลาผลงานที่ทำออกไปแล้ว เราทำด้วยความตั้งใจเพราะเราตั้งใจทำ บางคนบอกว่าได้รับประโยชน์มันอิ่มใจ ใจมันฟู สิ่งที่พี่กำลังจะทำเรื่องของทุนการศึกษา ถ้ามีใครได้มีโอกาสในการศึกษาเพิ่มขึ้นจากรัฐบาลนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้หายเหนื่อย เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจทำงานให้นโยบายออกเยอะๆ ประชาชนได้ประโยชน์เยอะ ก็จะหายเหนื่อย

จากนั้นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนหอวัง เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ถามว่าเป็นผู้นำหญิงที่อายุน้อยที่สุดคิดว่ามันยากหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ทุกอายุมีความสามารถ การเป็นนายกฯอายุน้อยที่สุดสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทย ความจริงแล้วคิดว่าเนื้องานของการทำงานไม่ได้ต่างกับผู้ชาย แน่นอนมันก็ยังมีในเรื่องของความบูลลี่นิดนึงในความที่เราเป็นผู้หญิง อันนี้ถ้าสังคมเปิดกว้างขึ้น โลกเปิดกว้าง มีการพัฒนาตรงนี้มากขึ้น และเข้าใจมากขึ้นคิดว่าตรงนี้จะน้อยลง ซึ่งเคยอ่านหนังสือเขาบอกว่านักการเมืองหญิงทั่วโลกจะถูกบูลลี่ในเรื่องต่างๆ สมมุติว่าเป็นผู้หญิงทำไมใส่ชุดนี้ ชุดนั้น แต่ผู้ชายใส่ชุดสูทชุดเดียวจบ ก็เลยไม่มีใครสนใจ สิ่งที่ยากคือตรงนี้ เพราะเราเป็นผู้หญิงโดนบูลลี่ในเรื่องนี้ ถามว่าทำอย่างไร เราต้องรู้คุณค่าของตัวเราก่อน ต้องรู้ว่าเรามาทำตรงนี้ เพื่ออะไร มีความตั้งใจอย่างไร เรามีดีอะไรบ้าง เราอยากทำเรื่องดี ๆ ให้ใครบ้าง อันนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจ และต้องมีสติเยอะ ๆ คำว่าสติสอนกันมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ว่าให้มีสติ เราฟังผ่านๆ แต่เมื่อโตขึ้น เมื่อชีวิตมีเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น เราก็จะคิดว่าคำนี้มันสำคัญ พี่ขอบอกไว้ก่อน เผื่อโตขึ้นไปจะรู้สึกว่าคำนี้สำคัญมากคือคำว่าสติ

ต่อมาเด็กนักเรียนจากโรงเรียนราชวินิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ อยากถามนายกฯว่าอะไรคือแรงบันดาลใจของนายกฯ โดยนายกฯ ตอบว่า แรงบันดาลใจมีหลายอย่าง แรงบันดาลใจที่หนึ่ง คือ คุณพ่อพี่เคยเป็นนายกฯเคยทำนโยบายไว้ให้ประเทศชาติ จนถึงทุกวันนี้คือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนฝั่ง นโยบายนี้ยังอยู่ ยังได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่อยากทำนโยบายนี้ ไม่ว่าตัวพี่ไปอยู่ที่ไหน แต่ประโยชน์นี้ยังอยู่ที่ประชาชนอยู่ ถ้าทำได้พี่จะรู้สึกมีความภูมิใจ และรู้สึกว่าเรื่องดีๆยังตกอยู่ที่ประชาชนไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปกี่ยุค กี่สมัยก็ตาม อันนี้คือแรงบันดาลใจแรก ส่วนแรงบันดาลใจที่สอง พี่คิดว่าจากที่เห็นประเทศชาติวุ่นวายแล้วเรามีโอกาสมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ทำเรื่องต่าง ๆ ให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ และแรงบันดาลใจที่สาม คือลูก ๆ อย่างน้อย ๆ ในเทอมที่เป็นนายกฯ พี่ได้สร้างสิ่งดี ๆ ไว้ให้กับประเทศ นั่นก็เป็นการเตรียมพร้อมอนาคตส่วนหนึ่งให้กับลูก ๆ ด้วย

จากนั้นเด็กจากโรงเรียนสมาคมพยาบาลไทยจังหวัดน่าน ถามนายกฯว่าได้เห็นพี่อิ๊งค์ทำกับข้าวให้ลูก ๆ กิน คิดว่าพี่อิ๊งค์เป็นแม่ที่ใจดี และมีเมนูอาหารที่จะมาแนะนำพวกหนูหรือไม่ โดยนายกฯ ยิ้มเขินก่อนตอบว่า พี่ตอบเสร็จแล้วไม่ต้องเชิญพี่ไปออกรายการทำอาหารที่ไหน สมัยตอนที่พี่มีลูกคนแรกลูกสาว 4 ขวบตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ทำอาหารให้ลูกทานได้ 3 มื้อ เพราะว่าเราอยู่บ้านไปซูเปอร์มาร์เกตเอง ซื้ออาหารทำเอง แต่ว่าลูกยังพูดไม่ได้ก็เลยไม่มีคอมเมนต์ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ แต่พอทานได้อยู่ และเมนูโปรดที่ทำกับลูกคือทำอะไรที่เด็ก ๆ ชอบทาน ที่บ้านปลูกผักปลอดสารพิษให้น้องๆไปเก็บผักและนำมาทอดกรอบ เราเรียกกันง่าย ๆ ในบ้านว่า “บุ้งกรอบ” มันทำง่าย ๆ ก็แค่ผสมแป้งสำเร็จรูปและชุปให้เด็ก ๆ ทอด ซึ่งคนถามว่าไม่กลัวร้อนหรอ ซึ่งเด็กประมาณ 3-4 ขวบ เราบอกเขาได้ อย่าไปห้าม ไปตัดโอกาสเขาทุกอย่าง เขาบอกว่าเด็กอย่าไปตัด แต่ให้เติม ทั้งนี้ ที่ทำเมนูบุ้งกรอบเพราะเด็ก ๆ ชอบทานผักบุ้งทอดกรอบ เมื่อเขาทำเองจะได้มีความภูมิใจในการทอดทีละอัน และอีกเมนูหนึ่งที่ทำง่าย ๆ คือให้ฝึกทอดไข่เจียว ให้เลือกรสชาติที่ชอบ แต่แม่คอยย้ำว่าอย่าเค็มเกินไป แต่จะให้ตนทำเมนูที่ยากมากกว่านี้คงต้องไปเรียน อย่างแกงพะแนง และแกงเขียวหวานแม่ทำไม่เป็น

ต่อจากนั้นนายกฯถ่ายภาพกับนักเรียน Thailand Zero Dropout นักเรียนนอกระบบการศึกษาที่ได้รับการนำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง และกลุ่มเยาวชนที่ชนะการแข่งขันกีฬาประเภทจักรยานทรงตัวในรายการแข่ง RSR Runbike Championship in Songkhla ทั้งนี้ตัวแทนนักเรียนได้มอบตุ๊กตาทำมือให้กับนายกฯด้วย

ขณะที่บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก มีเด็ก ๆ ขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นนายกฯ

‘อุ๊งอิ๊ง’ บุก!! นครพนม ช่วยหาเสียงผู้สมัคร ‘นายกฯอบจ.’ ชาวบ้านตะโกนรักนายกฯ มอบดอกไม้ ให้การต้อนรับแน่น

(12 ม.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกฯ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ เดินทางลงพื้นที่ จ.นครพนม

เพื่อช่วยหาเสียงให้กับนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม พรรคเพื่อไทย โดยมีนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม มารอต้อนรับที่สนามบิน

เมื่อ น.ส.แพทองธารและคณะเดินทางมาถึง มีประชาชนและกลุ่มผู้สนับสนุนในพื้นที่ มารอมอบดอกไม้และให้การต้อนรับ พร้อมทั้งตะโกนว่า “เรารักนายกฯ อิ๊งค์” ทั้งนี้ ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกของ น.ส.แพทองธาร เพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียง

โดย น.ส.แพทองธารมีกำหนดการปราศรัยรวม 3 เวที ประกอบด้วย ช่วงเช้าที่สนามกีฬาเทศบาลตำบลนาแก อ.นาแก ซึ่งเป็นเวทีปราศรัยแรกให้กับผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม พรรคเพื่อไทย และช่วงบ่ายหอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ที่มหาวิทยาลัยนครพนม อ.เมือง และอาคารโดมสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ

ครม. ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ชี้ ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว

นายกฯ เผย ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยันกฤษฎีกาไม่ขวาง แต่ต้องปรับคำให้เข้ากับนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ชี้ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดึงท่องเที่ยว งัดธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย

(13 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระเป็นการกำหนดให้มีกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการสถานบันเทิงครบวงจร คณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานสถานบันเทิงครบวงจร และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และแก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดผลดีในอนาคต ในภาพรวม เป็นหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน ตามที่เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป

เมื่อถามว่า เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้วจะสามารถส่งให้สภาพิจารณาได้เลยหรือไม่ หรือต้องนำความเห็นจากกฤษฎีกากลับมาเข้า ครม.อีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นเฉย ๆ และก็บอกว่าไม่ได้ขวาง แต่จะปรับเนื้อหาข้างใน เพราะที่อ่านข่าวมามีบอกว่า ขวาง ยืนยันว่าไม่ได้ขวาง แค่จะปรับคำให้เข้ากับที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และหลังจากนี้ก็สามารถเข้าสภาได้เลย

เมื่อถามว่าเป้าหมายจะเป็นปีนี้เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็พยายามเร่ง แต่กระบวนการต่าง ๆ จะผ่านอย่างไร ถ้าเกิดเร็วก็ดี เช่น ประเทศสิงค์โปร์ มีกาสิโน 10% และที่ท่องเที่ยวอีก 80 - 90% แม้ในอดีตจะบอกว่ามีน้อย แต่เมื่อมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้ามา ก็ทำให้ GDP โตขึ้นอย่างมาก และจะเกิดผลดีต่อประเทศในอนาคต ถ้าผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ส่วนรายละเอียดจกระทรวงการคลังจะแถลงอีกที

เมื่อถามต่อว่าข้อกังวลเรื่องมาเฟีย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องอยู่กับความเป็นจริง ทุกวันนี้มีการพนันไม่ถูกฎหมายเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น การส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ทำอะไรที่อยู่นอกกฎหมาย ทำให้กฎหมายครอบคลุมชัดเจน ชีวิตประชาชนปลอดภัยด้วย และเงินที่ได้ก็เป็นภาษีเข้าประเทศอีก ต้องมองว่าโลกปัจจุบัน ถ้าเอาทุกอย่างมาทำให้โปร่งใสได้ ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศ เป็นเรื่องใหม่ในประเทศเรา เป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เป็นไร เราต้องสื่อสารบ่อยหน่อย ฝากสื่อมวลชนถามคำถาม และจะให้กระทรวงต่าง ๆ ชี้แจงรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจภาพรวมพร้อมกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้มีการสอบถามไปยังกฤษฎีกาว่าถึงความชัดเจนว่า เมื่อ ครม.ส่งให้กฤษฎีการปรับแก้คำให้ถูกต้องแล้ว แล้วสามารถส่งเข้าสภาพิจารณาเลยหรือไม่ ซึ่งทางกฤษฎีกาแจ้งกลับมาว่าจะต้องให้ ครม.ให้ความเห็นชอบอีกครั้งก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภา

‘แกนนำ คปท.’ ชี้ 'อิ๊งค์' อาจมีสิทธิ์หลุดจากเก้าอี้นายกฯ เซ่นตั้ง 'หมอเลี้ยบ' นั่งรองประธานที่ปรึกษาของนายกฯ

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า “รัดแน่นกว่าเดิม”

กรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อาจขาดคุณสมบัตินั้น ก็น่าสนใจ

เลขาฯกฤษฎีกา ท่านก็บอกให้กลับมาศึกษาการตีความ ซึ่ง กฤษฎีกาเคยตีความไว้แล้วนั้น

มีอีกกรณี และน่าจะหลายกรณี เมื่อเทียบเคียงกับการตีความของกฤษฎีกา เทียบเคียงกับกรณีของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีลักษณะตีความคล้ายกันเป๊ะ ๆ

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเดียวกัน ก็เข้าข่ายชัดเจนเมื่อเทียบกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง

เหตุเพราะ

1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็มีตำแหน่ง รองประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี

2.ประธานคณะกรรมการพัฒนาการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

3.กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯเป็นประธาน

เมื่อเทียบเคียงกับกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แล้วยังรับตำแหน่งประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ด้วย

ซึ่ง ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย นั้นเป็นตำแหน่งที่ กฤษฎีกา ตีความว่า เป็นตำแหน่งที่มีลักษณะ "ควบคุมบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญ"

เมื่อมาเทียบเคียงกับกรณี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว ตำแหน่ง ที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร มอบให้ในข้อ 2-3 ที่เขียนมาตอนต้น เหมือนกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับมอบหมายชัดเจน

เช่นนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ดังนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีสิทธิ์หลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแน่นอน

นายกฯ ใช้ AI พูดภาษาจีน สร้างความเชื่อมั่น นทท. จีน เที่ยวไทยปลอดภัย ต้อนรับตรุษจีน

นายกฯ สื่อสารภาษาจีนผ่าน AI สร้างความเข้าใจ และเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ นนท.จีนในไทย

(22 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สื่อสารถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่าน ‘เทคโนโลยี AI’ ที่ช่วยแปลภาษาจากไทยเป็นจีน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนถึงความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในประเทศไทย

โดยรัฐบาลได้เดินหน้ายกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางเข้าประเทศไทย และพัฒนาระบบให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกท่าน พร้อมเชิญชวนพี่น้องชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงนี้และในโอกาสที่ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top