Thursday, 16 May 2024
เลือกตั้ง66

‘ลุงตู่’ ฝาก ‘ประชาชน-ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต’ ทบทวนให้ถี่ถ้วน ไทยมาไกลแค่ไหน ก่อนจรดปากกา

อีกไม่กี่อึดใจประชาชนคนไทยจะได้มีโอกาสเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้กันอย่างแน่นอน และเชื่อว่าการเลือกตั้งหนนี้ คนกลุ่มใหม่ที่บ้างก็เรียกว่า New Voter เอย หรือ First Voter เอย ก็จะได้มีโอกาสใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยข้อมูลจาก rocketmedialab.co ระบุhttp://rocketmedialab.coว่า ผู้คนเลือดใหม่กลุ่มนี้ ที่กำลังจะเลือกตั้งครั้งนี้ อยู่ที่ 4,012,803 คน โดยจำนวน First Voter ในการเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ คิดเป็น 7.67% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด

THE STATES TIMES ได้มีโอกาสสอบถาม ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เกี่ยวกับการเลือกตั้งหนนี้ ที่จะมีเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต โดย ลุงตู่ กล่าวว่า...

“ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับพวกเขา ที่มีโอกาสใช้สิทธิในครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งผมเองก็ขอให้น้อง ๆ ทุกคน มีสติในการเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติในการที่จะเป็น นายกรัฐมนตรี และ ส.ส.ให้ดี”

ลุงตู่ กล่าวต่ออีกว่า “ผมอยากให้การเลือกตั้งหนนี้ เป็นการรวมพลังของคนไทยทุกคนในการร่วมมือกันช่วยกันร่วมมือพาบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีการแบ่งอายุ หรือวัย เพราะทั้งหมดคือคนไทยด้วยกัน เลือกเพื่อพาประเทศไทยให้เดินข้างหน้า เลือกเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในอนาคตอีก เพราะบ้านเมืองเราขัดแย้งกันไม่ได้อีกแล้ว

“...และส่วนตัวผม ก็อยากให้ประชาชนทุกท่านลองตั้งสติดี ๆ แล้วมองดูภาพประเทศไทยที่แท้จริงว่า วันนี้ประเทศของเราอยู่จุดไหนแล้ว เราเดินหน้ามาไกลหรือยัง แล้วจะเดินหน้าไปต่อไปพร้อมกันได้หรือไม่ หลายสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ทันใจหรือถูกใจ เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินการ หลายอย่างเราทำมากว่าจะเสร็จ ก็ 4 ปี 5 ปี 8 ปี”

ลุงตู่ เล่าต่ออีกว่า “แน่นอนว่าบางอย่างมันต้องใช้เวลานานกว่าที่กล่าวไป เพราะโลกมันเปลี่ยนทุกวัน มันต้องมีการปรับแก้และพัฒนากันทุกวัน ทุกเดือน ทุกช่วงเวลา การประชุมในต่างประเทศทุกครั้งล้วนมีวาระที่เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น หน้าที่ของเราก็คือ ต้องกลับมาทบทวนโจทย์เหล่านี้ แล้วทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้าทันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งวันนี้เรากำลังอยู่จุดนั้น”

“ผมไม่ติดขัดเรื่องการคิดเร็วนะ แต่หากคิดเร็วเกินไป แล้วเกิดปัญหาที่คาดการณ์ไม่ได้ แก้ไม่ได้ มันก็จะยิ่งเป็นปัญหาหนักขึ้นไปอีก เพราะวันนี้ประเทศไทยเราอยู่ในจุดที่ รู้เท่าทันนานาชาติ แล้วก็วางตัวเอง วางประเทศไว้ให้ในจุดที่สมดุลได้แล้ว นี่คือประเทศไทยของเรานะจ๊ะ...ขอบคุณทุกคนนะจ๊ะ” ลุงตู่ กล่าวทิ้งท้าย

ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย ‘จตุพร’ เห็นพ้อง ‘สุริยะใส’ แรงหนุน ‘บิ๊กตู่’ พุ่งแรงโค้งสุดท้าย ‘ทักษิณ-พิธา’ ตัวกระตุ้นชั้นดี อาจลงเอยเหมือนปี 2562

(12 พ.ค. 66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการที่ล้วงลึกทุกฉากการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ใน EP.10ซึ่งอีก 2 วันจะถึงวันเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ มีนัยสำคัญต่อบ้านเมืองของเราอย่างยิ่ง แขกรับเชิญในครั้งนี้เป็น 2 แกนนำนักต่อสู้ นักวิชาการ

ท่านแรกเป็นอดีตแกนนำ นปช. อดีต ส.ส 2 สมัย พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชาชน ปัจจุบันก็เป็นคนทำสื่อเหมือนกัน คณะหลอมหลวมประชาชนคนไทย คือ 'คุณจตุพร พรหมพันธ์ุ' อีกท่านเป็นนักวิชาการ ผู้ประสานงานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านทุกข์มามากมาย วันนี้เป็นคณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต 'รศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา' และดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส

>> สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งมีอะไรผิดคาดหมายหรือไม่?

ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “ต้องบอกว่ามันตรงกับที่คาดการณ์ นับวันยิ่งใกล้เลือกตั้ง การเลือกข้างยิ่งชัดขึ้น ระหว่างเอาคุณทักษิณ ไม่เอาคุณประยุทธ์ วันนี้คุณประยุทธ์ต้องขับเคี่ยวกับพลังเงียบ ต้องดึงพลังเงียบที่หายไป ที่ทิ้งไปกลับมา แต่เหมือนคุณประยุทธ์มีบุญเยอะ ตัวผมกับคุณจตุพรก็เห็นตรงกันว่าการที่คุณทักษิณออกมาขออนุญาตกลับบ้าน ก็เหมือนเป็นหัวคะแนนเบอร์ใหญ่ คุณพิธาก็มีกระแสเรื่อง ‘ช้างป่วย’ สิ่งเหล่านี้ทำให้กระแสของคุณประยุทธ์ถูกกระตุ้นและเป็นแรงกระเพื่อมได้มากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีบ้างเป็นเป็นกระแสรอง แต่ในช่วง 4-5 วันสุดท้ายเป็นอย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่

>> หลายพรรคเสนอสูตร ไม่เอาลุง ไม่เอาความขัดแย้ง หรือเลือก…ไม่รู้หวยจะออกยังไง

ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “ต้องยอมรับว่าในภาพรวมการเมืองยังเป็น 2 ขั้วอยู่ การสร้างขั้วที่ 3 มันสร้างไม่ได้ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ถ้ามันสร้างได้การเมืองจะไม่ขัดแย้งกันมาขนาดนี้ คือคนจะตีกันบางทีเข้าไปห้ามมันเจ็บตัวนะ พูดง่าย ๆ มาผิดจังหวะ จังหวัดที่เขากำลังร่ายรำ ถ้าจังหวะมันผิดมันหมดราคาไปเลย”

>>โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง มีอะไรผิดความคาดหมายหรือไม่?

นายจตุพร กล่าวว่า “นายทักษิณทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพลเอกประยุทธ์ ถ้าพลเอกประยุทธ์ไม่มีนายทักษิณจะเหนื่อยกว่านี้ จะเสียเสียงที่เรียกตนเองว่าอนุรักษ์นิยม อาจไม่ฟื้นตื่นมาอย่างรุงแรงในปรากฏการณ์โค้งสุดท้าย”

“นายกทักษิณออกมาทวีตคำขออนุญาต 4 คำ และก็ปิดท้ายด้วยเจ้านายของเรา ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงต่าง ๆ มันคล้าย ๆ ปี 62 ที่แบ่งเป็น 2 ซีกเลย สุดซ้ายก็ไปอนาคตใหม่ สุดขวาก็มาทางพลังประชารัฐ ขณะนั้นมีพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” นายจตุพรกล่าว

นอกจากนี้นายจตุพรยังระบุอีกว่า “สิ่งที่น่าสนใจในรอบนี้คือ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็สร้างรอยแผลเอาไว้ เช่น กกต. จัดการการเลือกตั้งล่วงหน้าพบปัญหามากมาย ตั้งแต่ชื่อ เบอร์ หน้าคูหาเลือก การขนบัตรเลือกตั้ง หรือว่าจำนวนรายชื่อที่ไม่ตรงกับหน่วยหรือเขตเลือกตั้ง หมายความว่าแปะไว้ เป็นโมฆะได้ถ้าในอนาคตจะเลือกเส้นทางนี้”

“ดาบมีอยู่หลากหลายรูปแบบ รูปแบบเลือกตั้งเป็นโมฆะ วันนี้ถ้าเอาอันจริง ๆ ก็เป็นไปได้ ถ้าต้องการจะนำมาใช้ หรือการยุบพรรคก็เห็นได้ชัดว่าเกิน 1 พรรคการเมืองที่ไปอยู่ในแดนของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมือง” นายจตุพรกล่าว

>> แลนด์สไลด์พรรคเดียวเกิน 250 พรรค จะถึงหรือไม่?

นายจตุพร กล่าวว่า “เชื่อว่าตอนนี้คงยาก ผมเชื่อว่าไม่ถึง 250 หรือจะต่ำกว่า 200 เสียด้วยซ้ำ”

ดร.สุริยะใส กล่าวเสริมว่า “ตัวเลขค่อมกันอยู่ ฝั่งนี้ 270 ฝั่งนู้น 230 อย่าง 270 ต้องการ ส.ว. ร้อยกว่าเสียง จะไปหาจากไหนอีกเป็นร้อย มันเป็นไปไม่ได้เลย มีคนมาถามผมนะว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยตั้งได้ไหม ผมบอกเลยรัฐประหารเขาก็ทำมาแล้ว เลือกตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย มันจะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร”

>>ทำไมสูตรเพื่อไทย+พลังประชารัฐเป็นไปไม่ได้เลย

นายจตุพรกล่าวว่า “เรื่องนี้ผมเปิดประเด็นเป็นคนแรก และที่ผ่านมาเพื่อไทยก็อึกอักมาตลอด แต่พอจวนตัวก็ออกมาปฏิเสธ แต่คนก็ไม่เชื่อแล้ว และลองสังเกต คนจากพรรคพลังประชารัฐย้ายไปอยู่เพื่อไทย ปราศรัยดุเดือดผิดสังเกต นั่นจึงทำให้ผมคิดว่า หากไม่มีปรากฏการณ์อะไร 2 พรรคนี้ก็จะไม่มารวมกัน แต่ถึงอย่างไร สูตรนี้ก็ยังไม่ปิดตาย”

>>คิดว่าไทม์ไลน์จะมีอะไรผิดเพี้ยนไปหรือไม่?

ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “อยู่ที่ตัวเลขเหมือนกันนะ ครั้งที่แล้วก็เบียดกันที่ตัวเลข ก็เลยช้าไปด้วยตัวของมันเอง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่เขาเอาเหตุการณ์จากเลือกตั้งปี 62 มาเป็นบทเรียน หากสังเกตจะมีการเคลื่อนไหวของ 2-3 พรรค มีนัยของการใช้เกมมวลชน บริกรรมเกมมวลชนต่อเนื่องหลังวันที่ 14 พ.ค. 66 จะเป็นประเภทแบบว่าเสร็จเลือกตั้งไม่กลับบ้าน เขาจะต้องยื้อ ต้องงัดข้อกันเหมือนปี 62”

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า “ฝ่ายที่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลครั้งที่แล้ว เขาแอคชันชัดเจนมาก มันเป็นสิทธิของเขา แต่ก็ทำให้เห็นว่าเขากังวล กลายเป็นเกมยื้อ จนอาจจะมีอะไรแทรกขึ้นมา เช่น การวินิจฉัยยุบพรรค การเลือกตั้งใหม่แบบยกแผงจนทำให้คะแนนสวิงกลับ อันนี้เรื่องใหญ่ วันที่ 14 พ.ค.นี้ เลือกตั้งเสร็จมันไม่ได้จบเลย แต่จะจบเพราะหีบใส่บัตรกลับบ้าน นำบัตรกลับไปนับ มันจบแค่นั้น แต่ว่าการเมืองมันเพิ่งเริ่ม”

>> หลัง 14 พ.ค. จะมีเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเลยใช่หรือไม่

ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “จะยุ่งไปหมดเลย หากพูดตรงๆ ไม่มีอคติชี้นำนะ ข้อร้องเรียนหลายเรื่องมีน้ำมากกว่าตอนปี 62 นะ ทั้งเรื่องเฉพาะตัวบุคคลและนโยบายหลายพรรค และทั้งหมดมันคาอยู่ในคำวินิจฉัยกกต. และยังไม่อ่าน ยังไม่ได้แจ้งผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุบพรรค ตัดสิทธิผู้สมัคร แต่อยู่ที่จะหยิบมาเล่นเวลาไหม เหมือนมีกระสุนบรรจุรอไว้อยู่แล้ว”

>> เหตุการณ์การเมืองจะไปลามไปถึงขั้นยุบพรรค แจกใบเหลืองใบแดง เลยหรือไม่?

นายจตุพร ได้กล่าวว่า “ผมเชื่อว่า กกต. ชุดนี้ เป็น กกต. ที่คนไม่รู้จักคณะกรรการเลย ที่สำคัญที่สุดคือ กกต. เงียบผิดสังเกต เพราะฉะนั้นผมมองว่า เรื่องประเด็นการยุบพรรคจะนำไปสู่หลาย ๆ เหตุการณ์ ถ้าคุมสถานการณ์ไม่ได้ ก็จะกลายเป็นอีกเรื่องเลยนะ ส่วนเรื่องการพลิกจากแพ้เป็นชนะ ผมพอจะเป็นร่อยรอย แต่หากสถานการณ์พลิกไปอีกแบบหนึ่ง ผลก็คงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง”

นายจุตพรยังกล่าวอีกว่า “วันที่ 14 พ.ค. ไม่ใช่เป็นคำตอบสุดท้าย ระยะเวลาตามกฎหมายเลือกตั้ง มันทอดเวลายาวนาน ซึ่งจะทำให้อะไร ๆ เกิดขึ้นได้ เพราะ กกต. ก็ออกแบบเรื่องกระบวนการยุบพรรคอย่างรวดเร็ว แม้ตอนนี้เขายังไม่ลงมือ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ว่าถ้าทันทีที่มีการเลือกตั้งเสร็จแล้วมีการขยับ หนึ่ง เราจะเห็นการตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญหลังจากการรับรอง หรือก่อนรับรอง ส.ส. ถ้าก่อนรับรอง ส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้งมา นี่คือจบเลยนะ สองก็คือถ้าไปลงดาบหลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับรอง การย้ายพรรคที่กำหนดเอาไว้ แต่ไม่ได้ไปอย่างพร้อมเพรียงกัน นี่คือจุดหักเหของยอดจำนวน ทำให้จากชนะกลายเป็นแพ้ จากแพ้กลายเป็นชนะ”

เท่านั้นยังไม่พอ นายจตุพร กล่าวเสริมอีกว่า “ต้องยอมรับว่า ข้อเท็จจริงที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มันมีอยู่จริง ชนิดที่ดิ้นกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กกต. ก็ไม่เลือกใช้ในจังหวะนี้ แต่ผมเชื่อว่า กกต. จะเลือกใช้หลังจากเลือกตั้งได้เสร็จสิ้น”

>> พูดถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 พ.ค.66 ที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ทวีตข้อความออกมา 2 รอบ เกี่ยวกับการกลับมาที่ประเทศไทย

ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “เราต้องยอมรับกันก่อนว่าคุณทักษิณอยากกลับบ้านแน่นอน และก็หาจังหวะกลับ และจังหวะกลับรอบนี้ก็คงเป็นจังหวะสุดท้าย เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็พอจะเข้าทางอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น ดูแนวโน้มแล้วก็คือน่าจะกลับจริง แต่จะกลับในเงื่อนไขไหน และการออกมาพูดแบบนี้ย้ำๆ ซ้ำๆ นายทักษิณมั่นใจแค่ไหนว่าจะส่งผลบวกกับพรรคเพื่อไทย?”

ดร.สุริยะใส ระบุอีกว่า “คนก็คงไม่อยากเห็นความวุ่นวายหลังเลือกตั้ง ภาพจำของคุณทักษิณมันมาพร้อมกับความวุ่นวาย นายทักษิณคงมั่นใจในตัวเอง แม้คะแนนคุณอุ๊งอิ๊งลดยังไง ก็สู้ได้”

ทางด้านนายจตุพร แสดงความคิดเห็นว่า “ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ก็ใช้คำว่าขออนุญาต ถึง 2 ครั้ง วันที่ 9 พ.ค. ทวีตแรกก็ใช้คำว่าอนุญาต 2 ครั้ง และทวีตปิดท้ายด้วยคำว่า เจ้านายของเรา เพราะฉะนั้นวันเกิดของนายทักษิณคือ 26 ก.ค. หลังจากนั้น 2 วันคือวันเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวง ร.10 ฉะนั้นการใช้คำว่าขออนุญาถึง 4 ครั้ง พร้อมกับคำว่า เจ้านายของเรา ผมมองว่านี่อาจจะเป็นปัญหา”

“คดีของนายทักษิณที่ศาลพิพากษาจำคุกไป 12 ปี มี 1 คดีที่โทษ 2 ปีมันขาดอายุความ แต่อีกคดีที่โทษ 10 ปี คดีไม่มีอายุความ ฉะนั้นในส่วนของคดีที่สิ้นสุดแล้ว ก็จะเป็นเรื่องของนายทักษิณกับราชทัณฑ์ หากนายทักษิณกลับมาประเทศไทยเมื่อใด ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ต้องพาตัวไปส่งที่เรือนจำ จะเป็นอื่นไม่ได้” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ยังกล่าวอีกว่า “ผมไม่ทราบว่านายทักษิณคิดด้วยสมมติฐานอะไร บางครั้งคนทั่วไปมองภายนอกก็คิดว่าฉลาดล้ำลึก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลายครั้งก็ไม่ใช่อย่างนั้น ในทางการเมือง หากคนจะเลือกยังไงเขาก็เลือก แต่ถ้าหากเป็นเหมือนเมื่อปี 2562 ตอนนั้นคะแนนกระจายออกเป็น 2 ทิศทาง คนที่รับไม่ได้กับเรื่องนายทักษิณก็เลือกพลเอกประยุทธ์ ส่วนใครที่ไม่ได้เห็นด้วยที่นายทักษิณจะกลับมาและไม่ได้ชอบพลเอกประยุทธ์ก็เลือกก้าวไกล ทำให้เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ตายสนิท”

นอกจากนี้ นายจตุพร กล่าวเสริมว่า “เพราะฉะนั้น ในครั้งนี้ที่นายทักษิณออกมาก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยเลย แต่กลับไปสร้างแรงบวกให้กับพลเอกประยุทธ์ นายทักษิณกลายเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้เลย คนฝั่งอนุรักษ์นิยมเขามองว่าคนที่จะมาสู้กับนายทักษิณได้ก็มีแต่พลเอกประยุทธ์เท่านั้น ในขณะที่คนอีกฝั่งก็มองว่าแนวทางที่นายทักษิณพยายามอยู่นั้นมันไม่ใช่ ก็จะไปเทคะแนนให้กับพรรคก้าวไกลหรือไทยสร้างไทย และบอกเลยว่าบริบทนี้จะนำพาสู่ความวุ่นวาย”

“คู่แข่งของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ คือพรรคก้าวไกลนะ ลองถามส.ส.ของเพื่อไทยสิว่าได้ประโยชน์อะไรจากสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า นี่จึงเป็นการสร้างความแข็งแรงให้พรรคก้าวไกล” นายจตุพร กล่าว

>> เมื่อถามว่าสุดท้ายแล้วคิดว่านายทักษิณจะกลับมาหรือไม่

นายจตุพร กล่าวว่า “คนมันโกหกจนกระทั่งไม่มีคนเชื่อแล้วเนี่ย พูดแบบนี้มา 20 ครั้งแล้ว ไหนจะที่พูดแบบไม่เป็นทางการอีกเป็นร้อยๆ ครั้งล่ะ และถ้าเกิดไม่กลับรอบนี้อีกล่ะ? จะเอาหน้าไว้บนคอไหวเหรอ?”

ส่วน ดร.สุริยะใส แสดงความคิดเห็นว่า “ผมคิดว่านายทักษิณ ตั้งใจกลับ แต่จะได้กลับหรือไม่ ก็ไม่รู้นะ เพราะมันไม่ง่ายนะที่จะให้การจัดตั้งรัฐบาลสอดรับกับการกลับมายังประเทศไทย ดูๆ แล้วก็มีแต่ความเสี่ยง มองไม่เห็นทางที่จะจบแบบแฮปปี้เลย เว้นแต่ว่าจะเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย ยอมรับความผิดตามกฎหมาย”

>> เมื่อถามว่าคิดว่านายกคนที่ 30 จะเป็นคนเดียวกับนายกฯ คนที่ 29 ก็คือพลเอกประยุทธ์ใช่หรือไม่?

นายจตุพร กล่าวว่า “ตอนนี้ดูเหมือนพลเอกประยุทธ์จะไม่มีอะไร แต่จริงๆ เขามีแต้มต่อนะ เพราะสตาร์ตที่ 250 ในขณะที่คนอื่นสตาร์ตที่ 1”

ส่วน ดร.สุริยะใส กล่าวว่า “คิดว่าโอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะได้เป็นนายกฯ มีสูง”

>> สุดท้ายให้ฝากถึงนายกฯ คนต่อไปที่จะเข้ามาบริหารประเทศไทย

ดร.สุริยะใสกล่าวว่า “ปัญหาในประเทศนี้มีเยอะ ส่วนปัญหาใหม่ที่รออยู่ก็แยะ แต่ที่แย่ก็คือมีคนจำนวนมากกำลังบอกว่าคำตอบสุดท้ายของประเทศคือ 14 พ.ค.นี้ ทั้งที่ 14 พ.ค. เป็นการเริ่มต้นของปัญหาใหม่ ๆ ดังนั้นการมองที่ไกลกว่าการเลือกตั้งเป็นวาระที่สำคัญ อย่างน้อยคนไทยทุกคนต้องเปลี่ยนมุมมอง ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเข้าใจว่าประเทศมีปัญหา และไม่แค่ตัดสินผลแพ้ชนะในวันเลือกตั้งเท่านั้น”

‘พปชร.’ ปิดจ๊อบหาเสียง ชู ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ ด้าน ‘บิ๊กป้อม’ กร้าว!! ภารกิจสุดท้าย คือ การเป็นนายกฯ ของคนไทย

‘พปชร.’ ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย” ประกาศนั่งนายกฯ เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

(12 พ.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย ก่อนประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพฯ มีประชาชนกว่า 4,000 คน มาร่วมรับฟังการปราศรัย พร้อมชูสโลแกน ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ ที่จะนำพาทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง

ทั้งนี้การปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 14.30 น.โดยมีนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีพูดเป็นคนแรกว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ วันที่ 14 พ.ค.นี้ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร? อยากเห็นเศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอรัปชั่น ยาเสพติดระบาดทั่วเมือง ที่ผ่านมา การเมืองไทยไม่ไปไหนเพราะติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง

นายสกลธี กล่าวต่อว่า คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้นประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

นายวราเทพ กล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทน กก.บห. พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่ พล.อ.ประวิตร ที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มีส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม.12 คน เพียงพรรคเดียว ได้ ส.ส.116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพ กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุย กับทุกพรรค นั่นก็คือ พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่วุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความแกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเมฃทแรงกาย แรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

จากนั้น เมื่อเวลา 15.40 น.พรรคพลังประชารัฐเปิดตัว พล.อ.ประวิตร อย่างยิ่งใหญ่นำขบวนโดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน พร้อมธงโบกสะบัด โดย พล.อ.ประวิตร เปิดตัวด้วยการเดินอย่างกระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย รวมถึงติดไมค์ลอยคล้องหูด้วย

ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยปิดเวทีว่า ทุกนโยบายที่หาเสียงไว้ ผมขอสัญญาว่า จะทำให้สำเร็จ เพราะผมเป็นคนที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ผมมีเพียงภารกิจเดียว และเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิตผม คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ผมขอให้ทุกคนช่วยกัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ผมสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นต่างได้จากทุกฝ่ายได้ โดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของผมมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูภยันตราย ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคงป้องกันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ผมได้เห็นแล้วว่า ประเทศของเรายังมีปัญหาอีกมาก โดยเฉพาะปัญหาความยากจน และปัญหาเรื่องปากท้องไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ผมและพรรคพลังประชารัฐ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาของประชาชนในทุกเรื่องให้ได้ เรารับรองว่า เราจะก้าวไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากพี่น้องประชาชน เมื่อทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะทำทันที โดยขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารของพรรคจะทำงานเพื่อประชาชนทุกคน ขอให้เชื่อมั่นว่าผมจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เราจะช่วยกันนำพาประเทศนี้ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และ ผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขตของพรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศ

“ประเทศเราถ้ามีความสงบแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ประเทศของเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครของพรรคทุกคนยินดีที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้พวกเราทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเบอร์ 37 ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ก่อนปิดเวที พล.อ.ประวิตร ได้ถ่ายภาพร่วมกับ กก.บห. ผู้สมัคร ส.ส.กทม.และถ่ายภาพร่วมกับประชาชนที่มาร่วมในเวทีปิดปราศรัยด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับชาวจีน ที่เดินทางจากต่างประเทศมาร่วมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร โดยระบุว่า เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงอยากมาถ่ายรูปคู่ด้วย

‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ ปราศรัยโค้งสุดท้าย คนล้นฮอลล์อิมแพ็ค อารีน่า ปลุก ปชช.จับปากกา กา ‘เพื่อไทย’ เข้าสภาฯ ปิดเกม 2 ลุง

(12 พ.ค. 66) ที่ อิมแพ็คอารีนา เมืองทองธานี พรรคเพื่อไทย จัดงาน ปราศรัยใหญ่ เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมฟังปราศรัยของพรรคเพื่อไทย โดยต่างใส่เสื้อสีแดง มาจับจองพื้นที่กันเต็มทั้ง 3 ชั้นของฮอลล์ด้านใน ขณะที่ด้านนอก ได้มีป้าย และ สแตนดี้ ขนาดเท่าตัวจริงของแคนดิเดตให้ประชาชนได้ถ่ายภาพ

โดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และ นางสาวแพทองธาร ได้เดินทางมาถึงพื้นที่ดังกล่าวแล้ว และทักทายกับประชาชนที่มาร่วมงาน ประชาชนหลายคนต่างนำโทรศัพท์มาถ่ายภาพ ซึ่งวันนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ได้เตรียมขึ้นเวทีปราศรัยครั้งนี้ด้วย ขณะที่ นายชัยเกษม นิติสิริ อีก 1 แคนดิเดตฯ นั้น ยังคงพักรักษาตัวอยู่

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า วันนี้พร้อมมาก อาทิตย์นี้ ทุกคนต้องไม่ลืมมาใช้สิทธิ์ กาให้แม่นๆ พาเพื่อไทยเข้าทำเนียบไปพร้อมๆ กัน

ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่า นโยบายหลักๆ เชื่อว่าโดนใจพี่น้องประชาชน ยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้ง เรามีจุดประสงค์ปิดเกม 2 ลุง ต้องเลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานยังมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ที่เดินทางมาร่วมงานด้วย อาทิ เชน เดอะ สตาร์, ฟ้า พรหมศร, ซีนิว และ เจ๊แต๋ว ฮาลั่นทุ่ง นักแสดงอิสระ ที่มาร่วมฟังปราศรัยในครั้งนี้ด้วย

โดยฟ้า พรหมศร กล่าวว่า เราต้องการคนทำงานเป็น ทำงานมาก่อน ทำงานได้ เราวินาศสันตะโรมา 8-9 ปี จะเสี่ยงไม่ได้ เราต้องการคนทำงานจริงจัง ฟ้ามั่นใจว่า เพื่อไทย ทำงานเป็น ทำงานได้ ทำงานไว แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน

‘จุรินทร์’ ปลุกพลังเงียบ ‘เซฟ ปชป.’ เพื่อเป็นเสาหลักพาชาติรอด วอน คนไทยอย่าเลือกตามกระแส แต่เลือกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

(12 พ.ค. 66) ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์จัดการปราศรัยใหญ่นัดสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง ภายใต้ชื่องาน ‘#SAVEประชาธิปัตย์ เพื่อ #SAVEประชาธิปไตยไม่โกง’ โดยมีแกนนำพรรคฯ อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฯ, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคฯ ดูแล กทม., น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.รวมถึงคณะผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

ต่อมา นายจุรินทร์ กล่าวปราศรัยว่า ขอขอบคุณประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ไม่เคยทอดทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหนที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายการปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง เพราะวันที่ 14 พ.ค.นี้ เป็นวันเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการแข่งขันที่รุนแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แข่งขันกันทั้งคน ทั้งนโยบาย แข่งขันทั้งพรรค และทั้งการสร้างกระแสทางการเมือง เพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เสียงของตัวเองเป็นเลิศ สามารถแลนด์สไลด์ได้

ที่สำคัญ ตนเป็นห่วงว่าแม้ฝุ่น PM 2.5 หมดไปแล้วด้วยฝนหลวงที่ลงมาชะล้าง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ PM 500 กับ PM 1,500 ตนจึงอยากกับทุกคนว่า การเลือกตั้งเที่ยวนี้ ประชาชนในกรุงเทพฯ และประชาชนทั้งประเทศอย่าลงคะแนนเลือกตั้งตามกระแส และอย่าเลือกเพราะผลประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ขอให้เลือกอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกเพื่ออนาคตของกรุงเทพฯ และประเทศไทยของเรา สำหรับ กทม. พรรคประชาธิปัตย์พร้อมทั้งผู้สมัครของเรา 33 คน 33 เขต และยังมีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การเลือกตั้งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์เที่ยวนี้ ตนขอบอกว่า ตั้งแต่นับหนึ่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว มาจนถึงวันนี้ ทุกอย่างดีขึ้นเป็นลำดับ เสียงตอบรับจากคนไทยทั้งประเทศดีขึ้นในทุกภาค ขณะที่ 3 ทัพของพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าบุกตะลุยไปทั่วประเทศ ตนจึงขอให้พลังเงียบและพลังประชาธิปัตย์ช่วยกันตะลุยหาเสียงต่อไปจนนาทีสุดท้าย เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนไทยทั่วประเทศถล่มทลาย เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่คู่ฟ้าไทยตลอดไป

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า สัญญาณที่พรรคประชาธิปัตย์ได้แถลง เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอเน้นย้ำกับชาว กทม.และคนไทยทั้งประเทศ ว่าขอเรียกร้องให้ช่วยกัน ‘Save ประชาธิปัตย์’ เพื่อ ‘Save ประชาธิปไตย’ ต่อไป เพราะนี่คือทางรอดทางเดียวของประเทศ และทำไมต้อง ‘Save ประชาธิปัตย์’ คือ

1.) เพราะถ้ามีไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะไม่มีสถาบันการเมืองที่อยู่คู่กับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประเทศ

2. เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีอายุยืนยาวที่สุดในเอเชียอาคเนย์ คู่กับพรรคอัมโนของมาเลเซีย

3.) เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ไม่ใช่ของจอมพลคนใดจอมพลคนหนึ่ง ไม่ใช่ของนายพลคนใดนายพลคนหนึ่ง ไม่ใช่นายทุนคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่พรรคเพื่อครอบครัวใดเพื่อครอบครัวเดียว ไม่ใช่พรรคของนายพล เพื่อนายพล ไม่ใช่พรรคเพื่อนายทุนเพื่อนายทุน แต่ประชาธิปัตย์เป็นพรรคของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน  และใน 140 ประเทศ บรรดาพรรคการเมืองทั้งหมดในประเทศไทย มีสมาพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมประชาธิปไตยโลกให้การยมอรับว่าเป็นประชาธิปไตยตัวจริง คือพรรคประชาธิปัตย์

4.) พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกรุ่นและของคนไทยทั้งประเทศ

5.) นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์อาจไม่หวือหวา แต่ตกผลึก และมีความรับผิดชอบ รวมถึงทำได้จริง ที่สำคัญ ไม่พาประเทศไปสุ่มเสี่ยง แต่สามารถพาประเทศรอดได้จริงในอนาคต ถ้ามีโอกาสตั้งรัฐบาล และนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เป็นระเบิดเวลาของประเทศ เพราะไม่เปลี่ยนทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะถ้าสิ่งนั้นดีอยู่แล้ว แต่ไปเปลี่ยนก็จะพาประเทศไปไม่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่กระทบกับหัวใจคนทั้งประเทศ

6.) พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใดที่ทุจริตจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า จาก 6 เหตุผลดังกล่าว ตนขอส่งสัญญาณไปยังคนกรุงเทพฯ และคนไทยประเทศว่าทำไมพวกเราต้องประกาศวิงวอนขอให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ และขอให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้อยู่คนไทยต่อไป และนอกจากนี้ เราต้องเซฟประชาธิปไตยไม่โกง ให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบเท่านั้น เพราะถ้าประชาธิปไตยครึ่งใบก็ไปต่อไม่ได้ แต่ถ้ามีประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่พอ เพราะมีหลายยุคหลายสมัยที่ประเทศไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่แค่ประชาธิปไตย แต่โคตรโกง เพราะสุดท้ายคนที่เสียหายคือประชาชนและประเทศชาติ อีกทั้งที่ผ่านมา เมื่อประชาธิปไตยไปต่อไม่ได้ เพราะมีการยึดอำนาจก็ต้องไปดูว่ารัฐบาลก่อนหน้านั้น ทำอะไรไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คดโกง ดังนั้นนอกจากจะเซฟประชาธิปัตย์ ต้องเซฟประชาธิปไตยไม่โกง เพราะเป็นทางรอดทางเดียวของประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง

“นี่คือสิ่งที่ผมอยากส่งสัญญาณให้ชัดเจน ว่าถ้าประชาชยไว้ใจพรรคประชาธิปัตย์ ผมยืนยันว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลได้ พรรคประชาธิปัตย์จะพาประเทศรอดแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ เพราประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าทุกครั้งที่ประเทศเกิดวิกฤติ ประสบปัญหาเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์กู้วิกฤตทุกครั้ง เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ และถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลได้ การปฏิวัติจะเป็นศูนย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่โกง ไม่สร้างเงื่อนไข นี่คือสัญญาณทั้งหมดเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นเสาหลักในการเซฟประชาธิปไตยไม่โกง และเป็นทางรอดของประเทศต่อไป จึงขอส่งสัญญาณไปยังชาว กทม. และคนไทยทั้งประเทศ ทั้งพลังเงียบ พลังประชาธิปัตย์ ช่วยวิงวอนประชาชนทุกคนไปช่วยกันเลือกพรรคประชาธิปัตย์ 14 พ.ค.” นายจุรินทร์ กล่าว

ลุงตู่สู้ไม่ถอย!! ‘บิ๊กตู่’ ทิ้งทวน!! ปลุกพลังคนรักชาติ อย่าปล่อยให้ตนสู้คนเดียว กร้าว!! ‘รทสช.’ จะไม่ยอมถอยหลัง ขอพาประเทศเดินไปข้างหน้า

(12 พ.ค. 66) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดเวทีปราศรัยใหญในหัวข้อ ‘อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว ออกมาช่วยกันรักษาบ้านเมือง รวมทุกหัวใจ รวมไทยสร้างชาติ’ ซึ่งเป็นเวทีปิดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ ขึ้นปราศรัย โดยได้กล่าวว่า วันนี้ตนค่อนข้างจะมีอารมณ์นิดนึงแต่ไม่ได้โกรธเคืองใคร แต่มีอารมณ์ เพราะซาบซึ้ง ที่พูดวันนี้ซาบซึ้งกับพวกเราทุกคน ที่มานั่งรอ 2 ชั่วโมง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมถึงบอกว่า วันนี้ผมไม่เสียใจที่ได้เป็นทหารมา ได้ดูแลปกป้องแผ่นดินผืนนี้มาให้ไว้กับพวกเรา ผมต้องการให้แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินแห่งสันติสุข เป็นแผ่นดินที่ปลอดภัย มีคนไทยร่วมรักสามัคคีซึ่งกันและกัน เราไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นดิน ท่านรับได้หรือไม่ อะไรจะเสียหายบ้าง รู้หรือไม่ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นดินในครั้งเดียวได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะพลิกเอาอะไรขึ้นมา วันนี้เรามีของเราอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวของเรา คนไทยทุกคน พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน ทุกคน ทุกช่วงวัย เพราะฉะนั้น ที่ผมบอกว่า หัวใจผมโตขึ้น เพราะหัวใจผมยิ่งใหญ่ขึ้น ผมต้องรักคนให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเจ็บปวดที่หลายคนไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาวันนี้ คือ คนให้กำลังใจผมมากกว่า ทำให้ผมมีกำลังใจในการที่จะพาประเทศไทยเดินต่อไปข้างหน้า ผมจะไม่ยอมก้าวถอยหลังอีกแล้ว เราต้องจับมือกัน จูงมือกัน ลากกันไป เพื่อเดินไปข้างหน้า อย่าให้อะไรมาชะงัก หรือดึงรั้งคนไทยทุกคนที่จะก้าวไปข้างหน้า เราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ต้องพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความรัก ความสามัคคีให้มากยิ่งขึ้น เพื่ออนาคตของลูกหลาน และของพวกเราทุกคน เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายรากเหง้าประเทศของคนไทยโดยเด็ดขาด สังคมครอบครัว การเคารพผู้ใหญ่ การนับถือศาสนา สังคมและชุมชนที่ม่ความรักความสามัคคี มีมิตรไมตรี มีรอยยิ้มให้แก่กัน เราจะต้องไม่ให้สิ่งเหล่านั้นสูญหายไปจากประเทศไทยโดยเด็ดขาด ผมเห็นรอยยิ้มของทุกคนในวันนี้แล้วผมชื่นใจ ทุกคนต้องไม่ปล่อยให้ผมสู้อยู่คนเดียว ใครจะสู้ไปกับผมบ้าง ขอบคุณทุกคน เราจะต้องรวมใจออกมาปกป้องคุณค่าของความเป็นคนไทยและประเทศไทยเราไม่อาจทำให้ประเทศล่มสลายได้”

‘ชพก.’ งัดหมัดเด็ด ชู ทลายทุนผูกขาด สร้างประเทศแห่งโอกาส  ช่วยคนตัวเล็กลืมตาอ้าปาก พาคนไทยหลุดพ้นความจน

(12 พ.ค. 66) พรรคชาติพัฒนากล้า จัดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในหัวข้อ ‘ร่วมสร้างประเทศแห่งโอกาส สู้ทุนผูกขาด เศรษฐกิจต้องเรา’ ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคทยอยเดินทางเข้าร่วมงานจนแน่นห้องคอนเวนชั่น พร้อมถือป้ายสนับสนุนผู้สมัครในเขตต่าง ๆ และป้ายข้อความสนับสนุน นายกรณ์ จาติกวณิช ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค

โดยเวลา 18.00 น.ได้ live สดผ่านทางเพจของ พรรคชาติพัฒนากล้า โดยทีมขุนพลขึ้นเวทีช่วงแรกได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี นายวรวุฒิ อุ่นใน รองหัวหน้าพรรค นายรวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค

จากนั้น เป็นเวทีของตัวแทนผู้สมัครขึ้นมากล่าวความในใจ ได้แก่ นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม ผู้สมัคร เบอร์ 9 เขตบางซื่อ ดุสิต (เฉพาะแขวง ถ.นครไชยศรี) อดีตสื่อมวลชนสายการเมือง  มากว่า 10 ปี เรียนรู้กฎหมายหลายฉบับ ไม่ได้เป็นลูกคนร่ำรวย แต่พรรคชาติพัฒนากล้าให้โอกาสเข้ามาทำงานการเมือง และพร้อมเป็นกระบอกเสียงให้คนเมือง เพื่อนำปัญหาของพี่น้องประชาชนเข้าการแก้ไข ขอเลือกจากนโยบาย อย่าเลือกด้วยความกลัว

นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี ผู้สมัคร เบอร์ 3 เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม (นวมินทร์ นวลจันทร์) กล่าวว่า เป็นนักการเมือง เพราะมีความเชื่อในการบริหารงานบริษัทระดับโลก มาช่วยผู้ประกอบการคนตัวเล็ก การหากินปัจจุบันลำบาก เพราะขาดโอกาส ปัญหาคือ มันมีนายทุนผูกขาด ครอบงำพรรคการเมือง ถ้าเลือกพรรคชาติพัฒนาเราจะสร้างโอกาสให้ท่าน กฎหมายหลายฉบับกีดกันคนทำมาหากิน มีลักษณะทำนาบนหลังคน มีสินบนนำจับ ผมจะสู้เพื่อพี่น้องประชาชน พ่อค้าแม่ค้า และจะเข้าไปแก้ไข พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กฎหมายอาหารและยา ถ้าตนได้เป็น ส.ส.จะเข้าไปทำทันที เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม

นายนที ศิริธรรมวัฒน์ ผู้สมัคร เบอร์ 11 เขตพญาไท ดินแดง เจ้าของโครงการ ‘กล้าปลดหนี้’ ที่สามารถช่วยปลดหนี้ให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็กได้หลายราย ชูทุบทุนผูกขาด เพื่อเปิดโอกาสให้คนตัวเล็ก ลืมตาอ้าปากได้ พร้อมนำเสนอนโยบายหาเงินเข้าประเทศ 5.5 ล้านล้านบาท และขอให้เลือกชาติพัฒนากล้าทั้งประเทศ คนไทยไม่มีจน

นางสาววิเวียน จุลมนต์ ผู้สมัครเบอร์ 10 เขตจตุจักร หลักสี่ ซึ่งเป็นผู้สมัครมาเป็นจิตอาสาทางออนไลน์ และตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.เพราะทนเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคมเกิดขึ้น โดยมีอุดมการณ์เดียวกับพรรคคือ กล้าชนทุนผูกขาด และจากการลงพื้นที่ ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการให้พรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปทำงานแก้ปัญหาด้านพลังงาน และลดค่าครองชีพให้พวกเขา วันที่ 14 พฤษภาคม อย่าลังเล กาเบอร์ 14 พวกเราพร้อมทำงาน

นายธาม สมุทรานนท์ ผู้สมัครเบอร์ 8 เขต บางกะปิ วังทองหลาง เป็นผู้สมัครที่อายุน้อยที่สุดในพรรค ลงพื้นที่ท่ามกลางแรงกดดัน แต่ด้วยอุดมการณ์การเมืองที่ตรงกันกับพรรคชาติพัฒนากล้า และผู้ใหญ่ในพรรคทั้งนายกรณ์ และนายอรรถวิชช์ รับฟังตน ซึ่งมีปมในใจ ที่ตนทิ้งไม่ได้ สมัยที่ตนเป็นเด็ก คุณทวดล้มในบ้านแล้วเสียชีวิต นั่นคือแรงบันดาลใจให้คิดโครงการอารยสถาปัตย์ ซึ่งนายกรณ์และนายอรรถวิชช์เห็นด้วย และนำมาเป็นนโยบายของพรรค โดยจะทำบ้านที่ปลอดภัยให้ผู้สูงอายุหลังละ 50,000 บาท ทั่วประเทศ เป้าหมาย 1 ล้านหลัง ถึงเวลาที่เราจะต้องยึดประเทศจากทุนผูกขาด จากความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมในสังคม ตนจะสู้สุดหัวใจ สู้ถวายหัว เพื่อพรรคชาติพัฒนากล้า

‘ก้อง อรรฆรัตน์’ อึ้ง!! ถาม กกต.เบอร์ผู้สมัครมีครบหมด แต่ทำไมเบอร์ 13 ของตัวเองกลับหายอยู่เบอร์เดียว?!!

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 นายอรรฆรัตน์ นิติพน หรือ ‘ก้อง’ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตประเวศ-สะพานสูง เบอร์ 13 พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์คลิปผ่านติ๊กต็อกส่วนตัว ชื่อ ‘kongmushroom’ โดยได้ระบุว่า…

“เรียนประชาชนคนไทย และ กกต.ครับ มีเรื่องหน้าพิศวงเกิดขึ้นที่ซอยอ่อนนุชครับ เรื่องมีอยู่ว่า มีเบอร์ของผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 11, หมายเลข 12 และ หมายเลข 14 คำถามคือ หมายเลข 13 หายไปไหนครับ? เหตุการณ์พิศวงนี้เกิดขึ้นที่ LPN อ่อนนุชครับ”

‘ชัยวุฒิ’ ถก 'อ.ปวิน' แลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นต่างทางการเมือง ชี้!! การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจนำปัญหามาสู่ประเทศได้

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 66 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มาร่วมให้สัมภาษณ์และพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง และความคิดเห็นทางการเมือง ในรายการ ‘Pavin Channel’ ของรองศาสตราจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการ นักเขียน นักรัฐศาสตร์และอดีตนักการทูตชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต

โดยนายชัยวุฒิได้กล่าวว่า ตนนั้น มีความดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้มาคุยกับอาจารย์ปวิน อีกทั้งตนนั้นมีความรักและเคารพอาจารย์ปวินเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจารย์นั้นเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ และคิดว่าตนและอาจารย์ปวินคงทำงานร่วมกันได้ แม้ว่าทั้ง 2 คน จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อยู่คนละฝ่าย แต่ตนเชื่อว่า ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ อยากให้บ้านเมืองของพวกเรามีความเจริญก้าวหน้า อยากให้คนไทยมีชีวิตที่ดี อยากเห็นประเทศไทยเป็นบ้านที่น่าอยู่ของทุกคน 

แต่เนื่องจากทุกวันนี้การทำการเมืองนั้นมีความยากลำบากมากขึ้น ตนได้ไปร่วมดีเบต ได้ไปพูดคุยมาหลายเวที ก็มองเห็นถึงความขัดแย้งที่มีค่อนข้างเยอะ เพราะมีคนที่เห็นต่างกันหลายกลุ่ม หลายฝ่าย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งตนคิดว่า ความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน มันมีความรุนแรงมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่บางพรรคมีนโยบายบางอย่างออกมา เป็นนโยบายที่จะเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนนั่น เปลี่ยนนี่ ทำให้ตนคิดว่า มันยังไกลเกินไปสำหรับตอนนี้ และอาจส่งผลให้มีความวุ่นวายทางการเมืองเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งตนคิดว่าอาจารย์ปวินก็คงจะเคยเห็นมาก่อนแล้ว การที่ประเทศต่างๆ มีปัญหา และมีความวุ่นวาย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รวดเร็วและรุนแรงจนเกินไป

“ผมคิดว่า สิ่งนี้คือเรื่องสำคัญ พรรคพลังประชารัฐจึงมีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง นี่ไม่ใช่วาทกรรมนะครับ สิ่งนี้เป็นความคิดของลุงป้อมจริงๆ ที่อยากจะประสานให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย มาพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน เราสามารคิดต่างกันได้ครับ แต่เราต้องรักและสามัคคีกัน เราต้องจับมือและเดินไปด้วยกันกับ พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ขอฝากด้วยครับ”

โดยหลังจากนั้น ทางอาจารย์ปวินได้ออกมาตอบกลับคลิปดังกล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณคุณชัยวุฒิมากเลยนะครับ ที่มาเป็นแขกให้กับช่อง ‘Pavin Channel’ ผมก็ขอถือคตินี้เช่นกันครับ ว่า ผมให้พื้นที่กับคนต่างด้วย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ได้มีโอกาสเชิญน้องบอส มีนชัยนันท์ มาร่วมในรายการ วันนี้จึงถือโอกาสเชิญคุณชัยวุฒิ หรือ ‘พี่โอ๋’ มาหาเสียงในช่องนี้ด้วย มาฟังมุมมองในด้านการเมืองของพี่โอ๋ และสิ่งที่พี่โอ๋อยากเห็นในการเมืองไทย ใครก็ตามที่อยากจะเลือกพี่โอ๋ เชิญตามสบาย โหวตกันได้เต็มที่เลยนะครับ”

เปิดข้อห้าม กฎหมายเลือกตั้ง ม.79 วันที่ 13-14 พ.ค.นี้ ห้ามทำอะไรบ้าง ฝ่าฝืนระวังเจอโทษหนัก ทั้งจำทั้งปรับ!!

(13 พ.ค. 66) ห้ามโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัคร ส.ส. หรือพรรคการเมือง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 (วันก่อนเลือกตั้งหนึ่งวัน) จนจบวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 กฎหมายเลือกตั้งกำหนดห้ามไม่ให้ผู้ใด โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองก็ตาม (มาตรา 79)

กฎหมายไม่ได้ระบุนิยามของ ‘การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง’ ไว้ตรงๆ จึงต้องอาศัยการตีความ ตัวอย่างของการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการโฆษณาหาเสียงให้พรรคการเมือง เช่น
- การสวมเสื้อ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ฯลฯ ที่มีสัญลักษณ์โลโก้พรรคการเมือง หรือมีสีและหมายเลขพรรคการเมือง
- การโพสต์ข้อความ การอัปโหลดภาพหรือคลิป ที่มีเนื้อหาสื่อไปในทางช่วยหาเสียงให้พรรคการเมือง ลงบนโซเชียลมีเดีย
- การแจกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหาเสียง บริเวณใกล้หน่วยเลือกตั้ง หรือที่อื่นๆ

หากฝ่าฝืน โทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 156)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top