Thursday, 22 May 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องในวันสำคัญทางศาสนา 'วันวิสาขบูชา' 22 พฤษภาคมนี้ กำชับตำรวจทั่วประเทศตรวจตราเข้มงวด

วันนี้ (21 พฤษภาคม 2567) พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า ด้วยวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เป็น“วันวิสาขบูชา” และมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยรับผิดชอบควบคุม กำกับ ดูแล ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 

วันวิสาขบูชาปีนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) สั่งการหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายในวันสำคัญทางศาสนาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ ได้กำชับให้สถานีตำรวจทุกแห่งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนผู้ประกอบการ ร้านค้าทุกประเภท ทั้งร้านค้าในชุมชน ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสถานบริการและสถานประกอบการที่เปิดให้บริการลักษณะที่คล้ายสถานบริการ ให้งดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งชนิดขายส่งและขายปลีกทั่วราชอาณาจักร ตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 00.01 - 24.00 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ยกเว้นเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ หากผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 39 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น การขาย การดื่มในสถานที่ห้าม และการขายให้แก่บุคคลที่ห้ามขาย โดยให้เน้นการตรวจตราร้านข้ามต้มโต้รุ่ง คาราโอเกะ ร้านอาหารตามสั่งริมทาง บริเวณสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง วัด หรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สถานที่ราชการ สวนสาธารณะ อย่างจริงจังและเคร่งครัดพร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเต็มกำลัง ในการออกตรวจและจับกุมผู้กระทำความผิดเมื่อได้รับการร้องขอ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ใช้กิริยาวาจาที่สุภาพเหมาะสม กวดขันจับกุมหากปรากฏการกระทำผิดซัดเจน โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติให้เกิดความเรียบร้อย และขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

“ ตำรวจ ปส.สกัดจับนักบินซิ่งแหกด่านหนีตายได้พร้อมยาบ้า 2ล้านเม็ด ”

ตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้การอำนวยการของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดย - พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร    รอง ผบ.ตร รรท. ผบ.ตร(ผอ.ศอ.ปส.ตร.)
- พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. (รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
โดย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย  ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สมเกียรติ  วัฒนพรมงคล,พล.ต.ต.สมบูรณ์  เทียนขาว,พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์  รอง ผบช.ปส. กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3

โดย พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์    ผบก.ปส.3  ,พ.ต.อ.ธีระ ทองระยับ ,พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด ,พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ ,พ.ต.อ.หญิง วรรญ์ญาลัดดา พิรุณสารโยธิน พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3,พ.ต.ท.วสุภัทร คำมี และพ.ต.ท.ทรงพล อาวพิทักษ์ รอง ผกก.2 บก.ปส.3

ด้วย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567) เวลาประมาณ 23.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย คือ
1. นายจะคา อายุ 40 ปี ที่อยู่ หมู่ 4 ต.แม่ทะลบ อ.ไชยปราการ จว.เชียงใหม่
พร้อมด้วยของกลางจำนวน 3 รายการ คือ
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ประมาณ 2,000,000 เม็ด
2.รถยนต์กระบะ(เสริมโครงเหล็ก) ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ รีโว่ สีเทา ติดโครงเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่
3.โทรศัพท์มือถือจำนวน  2 เครื่อง

พฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่า ห้วงกลางคืนวันที่ 21 พ.ค. 67  จะมี นายจะคา ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ รีโว่ สีเทา ติดโครงเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่ (เสริมโครงเหล็ก) จะทำการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน บ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่  เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังบริเวณเส้นทางลำเลียง   กระทั่งเวลา 22.30 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่พบรถคันดังกล่าวขับเข้าไปยังพื้นที่ บ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. รถดังกล่าววิ่งออกมา พบว่ามีสิ่งของบรรทุกท้ายกระบะ เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งจุดสกัดบริเวณสถานีตำรวจชุมชนตำบลม่อนปิ่น ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ แต่รถคันดังกล่าวได้ฝ่าการสกัดขับชนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่และรั้วข้างทางออกไป เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป จนกระทั่งสามารถสกัดรถคันดังกล่าวได้ที่บริเวณริมถนนโชตนา ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่  เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัว และเข้าทำการตรวจค้นผลการตรวจค้นพบยาเสพติดของกลาง จึงได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

โดยกล่าวหาว่า “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนโดยทั่วไป โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน ”

จากการซักถาม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนได้รับจ้างในการลำเลียงจากชายไม่ทราบชื่อ - นามสกุล เป็นชนเผ่าชายแดนภาคเหนือได้ แจ้งไปขนยาเสพติด จำนวน 20 กระสอบ ที่บริเวณสวนส้มทางไปบ้านหนองเต๋า หมู่ที่ 10 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยตกลงคาจ้างเป็นเงิน จำนวน 30,000 บาท เมื่อทำงานสำเร็จ ให้นำไปทิ้งในจุดนัดหมาย ในพื้นที่ ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่   กระทั่งเวลานัดหมาย จึงได้ขับรถยนต์กระบะ ทะเบียน ยท 8953 เชียงใหม่ ซึ่งเป็นรถยนต์ของตน ไปรับยาเสพติดยังจุดที่นัดหมาย  เมื่อไปถึงมีคนมาช่วยกันขนขึ้นรถ จากนั้นได้เอาพลาสติกสีดำปิดทับ จากนั้นจึงขับรถยนต์กลับออกมาตามเส้นทางเดิม และ
เมื่อขับไปถึงบริเวณถนนสาธารณะบ้านป่าฮิ้น หมู่ที่ 4 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตัวจะเข้าตรวจค้น จึงได้ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่และรั้วข้างทางหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด จนถึงพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมได้  ก่อนหน้านี้ เคยรับจ้างลำเลียงยาเสพติดในลักษณะดังกล่าวนี้มาแล้ว จำนวน 1 ครั้ง เมื่อประมาณกลางเดือนเมษายน 2567 ได้ค่าจ้าง 15,000 บาท

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวชัย ผบช.ปส. เผยว่า  ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมตรี และ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ให้เพิ่มความเข้มในการสกัดกั้นการลำเลียงในพื้นที่ชายแดน บช.ปส.จึงร่วมกับฝ่ายทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาข่าวเพื่อสกัดจับนักบินที่พยายามลักลอบลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ตอนใน จึงมีการสกัดจับกุมได้อย่างต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมานี้ รวมทั้งในครั้งนี้ที่เจ้าหน้าที่ได้สามารถสกัดจับกุมเป็นนักบินระยะสั้นตามแนวชายแดนเช่นเดียวกับการจับกุมที่ผ่านมา

สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรอยู่เกินวีซ่าแอบย่องรับงานดูแลนักท่องเที่ยวแบบ VIP พบประวัติตุ๋นเงินเหยื่อกว่าสิบล้านหนีซุกไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.ท.วิรชา สนั่นศิลป์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรอยู่เกินวีซ่าแอบย่องรับงานดูแลนักท่องเที่ยวแบบ VIP พบประวัติตุ๋นเงินเหยื่อกว่าสิบล้านหนีซุกไทย กก.สส.บก.ตม.1 จับกุมนายหมิง (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณล็อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่งในย่าน ถ.รัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีชายชาวต่างชาติลักษณะคล้ายคนจีน มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะทำงานและอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้ทำการสืบสวนจนพบว่าชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวคือนายหมิง ซึ่งพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมย่านรามคำแหง จากการเฝ้าติดตามพฤติกรรมพบว่านายหมิงมักจะเดินทางออกจากคอนโดมิเนียมไปรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและพาไปที่พัก และช่วยประสานงานกับสถานที่ต่าง ๆ ในลักษณะ private tour เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาติดต่อธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องการท่องเที่ยวในรูปแบบของบริษัทนำเที่ยว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พยานหลักฐานครบองค์ประกอบความผิด จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบเอกสารนายหมิงขณะกำลังอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ในการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก จากการตรวจสอบพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายหมิงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๓ ก.พ.๖๗ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีดังกล่าว
จากการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงของสาธารณรับประชาชนจีน รับแจ้งว่านายหมิง มีประวัติกระทำความผิดฐานฉ้อโกงวิสาหกิจ กล่าวคือเมื่อช่วง เดือน มกราคม 2566 นายหมิงได้แอบอ้างตนเป็นผู้จัดการฝ่ายขายประจำเขตของบริษัทไวน์แห่งหนึ่ง และได้ไปติดต่อเสนอขายไวน์หายากมูลค่าสูงให้กับผู้ค้าปลีกหลายราย โดยหลอกว่าจะให้ลดราคาสิทธิพิเศษ 10% ชักจูงให้โอนเงินค่าสินค้าไปยังบัญชีธนาคารของตนเองจำนวนสามครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 2 ล้านหยวน และนายหมิงก็มิได้จัดหาไวน์ให้จริง แต่กลับตัดการติดต่อกับผู้เสียหายทั้งหมด ต่อมาสำนักงาน
ความมั่นคงสาธารณะเมืองฉือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย ได้ออกประกาศสืบจับ และเพิกถอนหนังสือเดินทางของนายหมิง

กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดรับสมัครพนักงานราชการ ตำแหน่งเจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษา 1 อัตรา

พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งเจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษา จำนวน 1 อัตรา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประจำกองสารนิเทศ

สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัคร ต้องมีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 , ปวช. , ปวส. หรืออนุปริญญา มีสัญชาติไทย อายุระหว่าง 18 – 35 ปี โดยขอรับใบสมัครและยื่นใบสมัครด้วยตัวเองที่ฝ่ายอำนวยการ กองสารนิเทศ อาคาร 12 ชั้น 3 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ.พระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 22 – 30 พฤษภาคม 2567 ในวันและเวลาราชการ
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายอำนวยการ กองสารนิเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2205 1004 หรือทางเว็บไซต์ https://saranitet.police.go.th

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอบคุณพี่น้องประชาชน ร่วมใจเปิดทางให้ตำรวจนำส่งอวัยวะหัวใจ ดวงที่ 97 ระยะทางเกือบ 300 กม. ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเศษ ถึงที่หมายทันเวลา

วันนี้ (6 มิถุนายน 2567) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ขอขอบคุณตำรวจจราจรในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ระยอง และชลบุรี , ตำรวจทางหลวง , ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ที่ร่วมอำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่งโรงพยาบาลศิริราช ดวงที่ 97 และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีตลอดเส้นทางในการเปิดทางให้กับรถฉุกเฉิน จึงนำส่งได้ทันเวลาทำให้ภารกิจส่งต่อชีวิตใหม่ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี พร้อมกันนี้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรทุกนายที่มีส่วนร่วมในภารกิจนี้อย่างอย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรกำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด
 
โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 12.20 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลงานจราจร สั่งการให้ตำรวจจราจรและตำรวจทางหลวงตลอดเส้นทางตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลต้นทางใน จ.จันทบุรี ถึงโรงพยาบาลศิริราช ได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกการจราจร โดยทำหน้าที่รถนำให้แก่รถพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราช ในการนำส่งหัวใจที่ได้รับการบริจาคไปปลูกถ่ายให้กับผู้รอรับบริจาค เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้ป่วย และด้วยความร่วมมือในครั้งนี้จากตำรวจจราจรทุกทางร่วมทางแยก และความร่วมมืออย่างเต็มที่จากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนที่เปิดทางให้ จึงใช้เวลาเดินทางทั้งหมดเพียง 2 ชั่วโมง 19 นาที ในระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร นำส่งถึงมือแพทย์ที่รออยู่ในห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยทันเวลา 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า กรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้นับเป็นรายที่ 97 แล้ว ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ ซึ่งการนำส่งอวัยวะหัวใจนั้น ถือเป็นภารกิจที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริจาคอวัยวะหัวใจ และครอบครัวของผู้บริจาคยอมมอบบริจาคหัวใจ เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาค ซึ่งระยะเวลานับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่ายผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา 

ทั้งนี้ ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้ สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ และหากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197

สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับและแสดงความขอบคุณคณะตำรวจอินโดนีเซียที่เดินทางร่วมในภารกิจควบคุมตัว “แป้ง นาโหนด” กลับมาดำเนินคดียังประเทศไทย

วันนี้ (6 มิถุนายน 2567) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ รอง ผบช.ส. , พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม. และ พ.ต.อ.ณัฏฐ์ สุวรรณวัฒนะ รอง ผบก.ตท. ให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียจำนวน 10 นาย ที่เดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำจากประเทศอินโดนีเซีย ในภารกิจควบคุมตัวนายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด กลับมาดำเนินคดียังประเทศไทย นำโดย พ.ต.อ.(พิเศษ) ออดี้ ซนนี ลาตูเฮรู หัวหน้าแผนกอาชญากรรมระหว่างประเทศ ตำรวจสากลอินโดนีเซีย ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ตำรวจอินโดนีเซียได้เยี่ยมคารวะ พูดคุยกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือของตำรวจสองประเทศ จากนั้น รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณความร่วมมือในการคุมตัวนายเชาวลิตฯ ให้กับคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียด้วย

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะแสดงความขอบคุณอย่างสูง ต่อความร่วมมืออันยอดเยี่ยมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ที่ได้มอบให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยในคดีส่งตัวนายเชาวลิต ทองด้วง ผู้ร้ายข้ามแดนชาวไทยที่หลบหนีคดีอาญาที่ร้ายแรงในประเทศไทย คดีนี้มีความท้าทายเป็นพิเศษ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพของทั้งสองประเทศ  ความสำเร็จของการปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นหลักฐานแสดงถึงความทุ่มเทอย่างไม่ลดละ และการสื่อสารที่ต่อเนื่องระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศ โดยต้องอาศัยความร่วมมือที่ซับซ้อนและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ การส่งมอบตัวผู้ต้องหากลับไทยจนประสบความสำเร็จในครั้งนี้ เสริมสร้างความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้งสองประเทศ ในความร่วมมือเพื่อรักษาหลักนิติธรรม และร่วมกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นคุ้มครองประชาชนจากภัยอาชญากรรมไซเบอร์ เดินหน้า 'ล้มคน-ล้มเสา-ล้มบัญชี'

วันนี้ (7 มิถุนายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลการปฏิบัติ 3 ด้านดังต่อไปนี้

- “ล้มคน” สืบสวนจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งหลอกลงทุน เว็บพนันผิดกฎหมาย โดยในห้วง 1 ต.ค.66 ถึง 30 เม.ย.67 ได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิดรวมกว่า 14,826 คน

- “ล้มเสา” ร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. สืบสวนการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพที่ใช้ในการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง และสามารถยึดอุปกรณ์ของกลุ่มมิจฉาชีพได้เป็นจำนวนมาก

- “ล้มบัญชี“ สืบสวนขยายผลผ่านเส้นทางการเงิน บัญชีม้า และมีการอายัดเงินอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 1 พ.ย.66 ถึง 30 เม.ย.67 อายัดเงินได้รวม 4,561,641,953 ล้านบาท และได้ร่วมมือกับ ป.ป.ง. เพื่อเฉลี่ยทรัพย์คืนให้กับผู้เสียหายต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จากภัยอาชญากรรมทุกรูปแบบ และขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ โดยหากประชาชนได้รับความเสียหายจากคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th เว็บไซต์เดียวเท่านั้น และที่หมายเลขโทรศัพท์ 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขันกีฬา โครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 เสริมความสามัคคีและสมรรถนะร่างกายของตำรวจ

เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน 2567) เวลา 18.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผย.ตร.) เป็นประธานปิดโครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 ณ สนามศุภชลาศัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.สกพ. และข้าราชการตำรวจจำนวนมากเข้าร่วมเชียร์กีฬาและร่วมพิธีปิดโครงการ 

ซึ่งในวันนี้มีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมตำรวจภูธรภาค 2 และทีมตำรวจภูธรภาค 9 ผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมตำรวจภูธรภาค 9 สามารถคว้าชัยชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4 ต่อ 2 จากนั้นเป็นการแข่งขันฟุตบอลทีมอาวุโส ระหว่างทีมตำรวจภูธรภาค 2 และทีมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ด้วยสกอร์ 2 ต่อ 1

นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันกีฬาสนุกสนานของข้าราชการตำรวจหน่วยต่างๆ และครอบครัวข้าราชการตำรวจ เข่น การแข่งขันวิ่งผลัด 4 สายงาน เป็นการวิ่งผลัดของตำรวจหน่วยงานต่างๆ โดย 1 ทีม จะประกอบด้วยสายงานสืบสวน จราจร ป้องกันปราบปราม และกองร้อยควบคุมฝูงชน แต่งกายในชุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทีมที่ชนะเลิศ ได้แก่ ทีมตำรวจภูธรภาค 2 , การแข่งขันวิ่งผลัดสามัคคีครอบครัวตำรวจ ทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมครอบครัวตำรวจภูธรภาค 2  

ในช่วงสุดท้ายเป็นพิธีปิดโครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 โดยมีผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพลกล่าวรายงานวัตถุประสงค์ โดยการแข่งขันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเสริมสร้างและพัฒนาสมรรถภาพทางกีฬาและร่างกายให้แก่ข้าราชการตำรวจ ในปีนี้มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 17 ประเภทกีฬา เริ่มแข่งขันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงพิธีปิดในวันนี้ 

จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ เป็นประธานมอบถ้วยและเหรียญรางวัลให้แก่นักกีฬาที่ชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ได้แก่ กรีฑา กอล์ฟ ตะกร้อ ต่อสู้และป้องกันตัว เทนนิส เทเบิลเทนนิส บาสเกตบอล แบดมินตัน เปตอง ฟันดาบ ฟุตซอล มวย ยิงปืน ยูโด วอลเลย์บอล ฟุตบอล และมอบรางวัลให้กับกลุ่มที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด ซึ่งได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว รวมทั้ง มอบรางวัลให้กับทีมที่ชนะเลิศวิ่งผลัด 4 สายงาน และวิ่งผลัดสามัคคีครอบครัวตำรวจ ด้วย

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับทีมชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาแต่ละประเภท ซึ่งการแข่งขันกีฬานี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีส่งเสริมโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามัคคี และเพิ่มสมรรถนะร่างกายของตำรวจ ให้มีทักษะและมีประสิทธิภาพ เพื่อความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา กำชับปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด วางตัวเป็นกลาง

เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน 2567) เวลา 15.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ให้ขับเคลื่อนและเป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) 

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จัดให้มีการรับสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. และได้ผ่านพ้นขั้นตอนการรับสมัครดังกล่าวแล้ว โดยในภาพรวมการรับสมัครทั่วประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้มาสมัคร สว. จากทั่วประเทศมากกว่า 48,000 คน ซึ่งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย และรักษาความสงบเรียบร้อยประจำสถานที่รับสมัคร รวมถึงผู้บังคับบัญชาที่ควบคุมการปฏิบัติดังกล่าวให้เป็นไปตามแผนด้วยดี , ตำรวจทางหลวงในการนำขบวนรถขนส่งบัตรเลือก สว. , เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในการรักษาความปลอดภัยประจำรถขนส่งบัตรของบริษัทไปรษณีย์ไทย  และตำรวจพื้นที่ที่มีจุดพักรถในเส้นทางการขนส่งบัตรทุกสาย โดยภารกิจยังคงมีต่อเนื่องจนกระบวนการเลือกในแต่ละระดับจะแล้วเสร็จ โดยการเลือก สว.ระดับอำเภอ ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2567 ได้กำชับการทำหน้าที่ และให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องรายงานความพร้อม หรือหากมีข้อมูลการข่าวที่จำเป็น ขอให้หน่วยได้รายงาน เพื่อวางแผนการปฏิบัติให้เหมาะสม

นอกจากนี้ พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า ในภารกิจรักษาความปลอดภัยและการรักษาความสงบการเลือก สว.ครั้งนี้ ใช้กำลังตำรวจทั่วประเทศเกือบ 2 หมื่นนาย ได้สั่งการกำชับให้ตำรวจทุกหน่วยปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางตัวเป็นกลาง ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. สำหรับในส่วนของการจับกุมและการดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือก สว. และการกระทำความผิดอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือก สว.ในทุกระดับ ให้พนักงานสอบสวนประสานการปฏิบัติกับ กกต. ดำเนินการด้วยความรอบคอบ ยึดหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พร้อมกำชับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจสอบกระทำความผิดตามกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นบนโซเชียลด้วย ทั้งนี้ กรณีมีเหตุสำคัญที่เกี่ยวข้อง ให้รายงานมาที่ศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยทันที

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)

วันนี้ 10 มิ.ย.67 เวลา 09.00 โรงแรม ทีเค พาเลซ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น (TK Palace Hotel and Convention). ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่,กรุงเทพมหานคร

ท่าน พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผบช.สยศ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ.เดินทางเป็นประธานในพิธีเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police) พร้อมคณะผู้บริหารตัวแทนจากบริษัทไพร์ม โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส จำกัดผู้ร่วมพัฒนาและดำเนินโครงการ โดยการอบรมจัดขึ้นในวันที่10-11 มิ.ย.2567 โรงแรมTK Palace ห้อง ลาเวนเดอร์ 2-3  

โดยการอบรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)”ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานยุทธศาตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการข้อมูลต่างๆให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่ทันสมัย และง่ายต่อกระบวนการทำงานตลอดจนการบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลให้ปลอดภัยห่างไกลอาชญากรรมดิจิทัล การอบรมในวันที่10-11 มิ.ย.2567นั้นเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับรองผู้บังคับการ,ผู้กำกับการและรองผู้กำกับการโดยแบ่งออกเป็น3หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรที่1 อบรมการใช้ประโยชน์จากการรายงานดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร,หลักสูตรที่2 การใช้งานซอฟต์แวร์สำหรับการแสดงผลข้อมูลและจัดทำรายงาน(Analytics Software and Dashboard),หลักสูตรที่3 การใช้งานและดูแลระบบสำหรับผุ้ดูแลระบบ(Aamin) 

ด้าน พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ. กล่าวว่า โครงการนี้มีความคิดริเริ่มตั้งแต่ ท่าน พล.ต.อ.สุวัจน์ แจ้งยอดสุขอดีตผบ.ตร.ซึ่งในขณะนั้นท่านอยากให้มีแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและสามารถบริหารข้อมูลต่างๆภายใต้หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ จึงทำให้เกิดโครงการ(One Police)ขึ้น โดยหลักๆโครงการนี้จะเป็นการรวมข้อมูลของกองบัญชาการหรือกองบังคับการที่คิดว่าข้อมูลนั้นต้องการความปลอดภัยและสามารถต่อยอดการปฎิบัติหน้าที่คดีต่างๆได้ต่อไป  โดยคาดหวังที่จะพัฒนาเป็นBIG DATA ที่คอยสนับสนุนข้อมูลในการปฎิบัติหน้าที่ต่างๆ  ควบคู่กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยและเท่าทันเทคโนโลยีในปัจจุบันอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top