Thursday, 22 May 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมเปิดศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ทั่วประเทศ กำชับเข้มงวดกำจัดการพนันทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่

วันนี้ (13 มิ.ย.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือ ฟุตบอลยูโร 2024 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. 

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 จะมีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 (UEFA European Football Championship 2024) ณ ประเทศเยอรมัน โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อโทรทัศน์และสื่ออื่นฯ ให้ประชาชนได้รับชมการแข่งขันพร้อมกันทั่วโลก สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใย และคาดว่าจะมีผู้ลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล อันอาจเป็นเหตุให้กลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชนทั่วไป ตกเป็นเหยื่อเข้าไปเล่นการพนันทายผลฟุตบอล ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ให้ทุกหน่วยปฏิบัติ ดังนี้

1. ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการท่องเที่ยว , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 โดยมีผู้บัญชาการ หรือรองผู้บัญชาการที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ เริ่มเปิดศูนย์ฯ พร้อมกันทั่วประเทศในวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น. 

2. จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบตรวจตราสถานบริการ สถานบันเทิง หรือสถานที่อื่นใดที่เปิดให้บริการรับชมการแข่งขันฟุตบอล เพื่อเป็นการป้องกันปราบปรามและสืบสวนจับกุมอย่างเข้มข้น

3. ให้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นหน่วยหลักในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการกระทำผิดผ่านเว็บไซต์หรือสื่ออินเทอร์เน็ต ที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ ชักชวน หรือจัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน หากพบว่ามีการกระทำผิดให้ทำการสืบสวนจับกุม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปิดเว็บไซต์โดยเร็ว

4. บูรณาการการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อแสวงหาความร่วมมือ แจ้งเบาะแสและข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล ตลอดจนเปิดช่องทางการรับแจ้งเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่ายทุกช่องทาง

5. ให้สืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำผิด ผู้สนับสนุน นายทุน เจ้ามือหรือเครือข่ายรับพนันทายผลการแข่งขันฟุตบอล ทั้งที่เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันโดยตรงและรับพนันออนไลน์ หากเป็นความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีวงเงินหมุนเวียนในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นการจัดให้มีการเล่นการพนันทางออนไลน์ อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(9) ให้นำมาตรการการฟอกเงินมาบังคับใช้ทุกกรณีอย่างเคร่งครัด

6. ประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบถึงโทษของการเล่นการพนัน ตลอดจนการขอความร่วมมือจากสถานศึกษาทุกแห่ง ผู้ปกครองของนักเรียน นักศึกษา เยาวชนให้ช่วยสอดส่องดูแลเอาใจใส่บุตรหลานในปกครอง 

7. ให้ทุกหน่วยประสานและสนับสนุนการปฏิบัติกันอย่างใกล้ชิด กรณีที่มีการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญหรือเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024  รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน รวมถึงการจัดแถลงข่าวในพื้นที่ทันทีโดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมสูงสุด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดหวังว่าพี่น้องประชาชนจะรับชมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ในครั้งนี้ อย่างมีความสุข รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการพนัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อสร้างความเข้าใจ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และขอได้ฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสหรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการพนันทายผลฟุตบอล หรืออาชญากรรมอื่น ๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือน ดูบอลให้สนุก อย่าต้องทุกข์เพราะการพนัน

วันนี้ (14 มิถุนายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินให้กับการพนัน และตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือ ฟุตบอลยูโร 2024 ซึ่งเว็บไซต์การพนันผิดกฎหมายต่าง ๆ อาจเปิดรับพนันผลการแข่งขันฟุตบอลเพื่อล่อลวงพี่น้องประชาชน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอให้พี่น้องประชาชนรับชมการแข่งขันฟุตบอลอย่างสร้างสรรค์ อย่าหลงผิดไปเล่นพนันฟุตบอล เพราะผลเสียที่จะตามมานั้นมีมากมาย เช่น

1. เสียทรัพย์ - การพนันอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดหนี้สินและปัญหาทางการเงินในระยะยาว

2. เสียมิตร - การเสพติดการพนันสามารถทำลายความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงได้ และการเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เวลาและเงินที่ควรใช้ในการดูแลครอบครัวลดลง

3. เสียจิต- การพนันสามารถทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า และผู้ที่พ่ายแพ้ในการเดิมพันอาจรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากจนทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่

4. เสียรู้ – การสมัครสมาชิกและเล่นการพนันในเว็บไซต์การพนันผิดกฎหมาย อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัว ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และข้อมูลอื่น ๆ ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด และอาจถูกโกงไม่สามารถถอนเงินจากเว็บพนันได้

5. ติดคุก - ผู้เล่น ผู้ชักชวน และผู้จัดให้มีการพนันฟุตบอลจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12(2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน ขอให้ช่วยกันหยุดวงจรการพนันออนไลน์ โดยหากพบเห็นการกระทำความผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งไปยังสายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'พล.ต.อ.เอก' ชี้!! ปมคำสั่งให้ออก 'บิ๊กโจ๊ก' ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? ควรรอการวินิจฉัยของ 'ก.พ.ค.ตร.' ที่มีผลผูกพันตามกม.จะดีที่สุด

(23 มิ.ย.67) มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะเดินทางไปเป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 5/2567 ในวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567 เวลา 15.00 น.ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

โดยมีวาระที่น่าสนใจกรณี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 177/2567 ลง 18 เม.ย.2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยข้าราชการตำรวจ กรณี ตร. มีคำสั่งที่ 178 /2567 ลง 18 เม.ย.67 ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยที่ประชุมจะพิจารณาผลสรุปการสอบสวนของอนุฯ ก.ตร.วินัย ที่มีผลสรุปคำสั่ง ตร.ที่ 177,178/2567 เรื่องให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อนว่าชอบด้วยกฏหมายหรือไม่

มีรายงานว่าคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับดำเนินการทางวินัย หรือ อนุฯ ก.ตร.วินัย ที่มีพล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน ได้สรุปผลการพิจารณา โดยมีมติว่าคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งลงนามโดยพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ชอบด้วยกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมก.ตร.พิจารณาลงมติ หากก.ตร.เห็นชอบเท่ากับว่าคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการมีผลแล้ว แต่หากก.ตร.มีเห็นแย้งและมติว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายก็อาจจะมีมติให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งต่อไป

ด้านพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ระบุว่า ก่อนหน้านี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นเรื่องให้ก.ตร.พิจารณา 2 ครั้ง เพื่อให้ก.ตร.มีมติให้ผบ.ตร.ยกเลิกคำสั่ง โดยอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย โดยในครั้งที่ 2 ได้แนบบันทึกของคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สรุปว่าคำสั่งไม่ชอบ ซึ่งทางก.ตร.ได้ส่งเรื่องให้อนุฯ ก.ตร.วินัย พิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอเข้าก.ตร.ชุดใหญ่พิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้โดยปกติหากอนุฯ ก.ตร.มีมติอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น

"อย่างไรก็ตามก.ตร.อาจไม่เห็นด้วยก็ได้ และอาจมีมติให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ยกเลิกคำสั่ง เพราะว่าพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อยู่ดีๆ ไปยกเลิกคำสั่ง ตัวเองก็ติดคุก ไม่มีหลังพิง จะอ้างว่ากฤษฎีกามีความเห็นมาก็ไม่เพียงพอ อย่างที่ผมย้ำ ความเห็นของกฤษฎีกาอย่างที่นายวิษณุ ฟันธง เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น ไม่ใช่ความเห็น เพราะหากเป็นความเห็นของกฤษฎีกา ใครถามอะไรไปอันนี้ต้องปฏิบัติตาม" พล.ต.อ.เอก ระบุ

พล.ต.อ.เอก อธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวทางสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาไป 2 เรื่อง เรื่องแรกถามว่าจะต้องกราบบังคมทูลหรือไม่ ส่วนเรื่องที่สองถามว่าจะต้องกราบบังคมทูลเมื่อไหร่ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมกฤษฎี ตอบ 2 อย่างไม่พอ ยังมีแถมข้อสังเกตมาด้วย ตรงนี้เคยมีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่าหากหน่วยงานของรัฐสอบถามประเด็นในข้อกฎหมายเรื่องใด หากคณะกฤษฎีกาชี้มาอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แต่กรณีนี้เป็นเพียงข้อสังเกตุที่ไม่ได้มีการสอบถาม จึงเป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้

"คงต้องรอดูว่าก.ตร.จะพิจารณาอย่างไร หากก.ตร.เห็นว่านายวิษณุพูดมามีเหตุมีผลก็สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกคำสั่ง ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นเรื่องที่แปลก เพราะเท่ากับก.ตร.มาหัก อนุฯ ก.ตร.ที่เป็นลูกน้องตัวเอง"พล.ต.อ.เอก กล่าว

พล.ต.อ.เอก กล่าวด้วยว่า ทางออกที่ดีควรจะรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งตรงนี้มีผลผูกพันตามกฎหมาย ไม่เหมือนกับความเห็นของกฤษฎีกา เพราะการวินิจฉัยของก.พ.ค.ตร. กฎหมายบอกเลยว่าให้เป็นที่สุด หากชี้ว่าคำสั่งมิชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อุทธรณ์ฎีกาอะไรไม่ได้เลย ต้องรับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับเข้ารับราชการทันที หากไม่ทำถือว่าผิดวินัย ติดคุกเลย แต่ในทางกลับกันหากวินิจฉัยแล้วไม่เป็นคุณ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยังสามารถไปฟ้องศาลปกครองสูงสุดต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แสวงหาความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประชาชนและสังคม

ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ราชอาณาจักรไทย พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผบช.กมค., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ที่ปรึกษา ผบ.ตร.ด้านต่างประเทศ, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.ตท., พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ, ป.ป.ส., กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งเเวดล้อม เดินทางไปร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (The 24th ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crimes) (SOMTC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 28 มิ.ย.67 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับผู้แทนจากชาติสมาชิก 21 ประเทศ และประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ (ประเทศคู่เจรจา SOMTC+3) ออสเตรเลีย และแคนาดา โดยมี พล.ต.ท.กงทอง พงวิจิด รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ และ พล.ต.ต.สุลินะ แก้วปะเสิด ปลัดกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (SOMTC) ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักที่ 1 จาก 3 เสาหลักของอาเซียน เพื่อป้องกันและต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ และเน้นการติดตามผลตามแผนงานความร่วมมือ การประสานงานข้ามภาคส่วนและระดับ พหุภาคี การยกระดับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาข้างต้นและประเทศผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายใต้ความร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ใน 10 สาขา ได้แก่ การลักลอบค้าอาวุธ การก่อการร้าย การฟอกเงิน การละเมิดลิขสิทธิ์ทางทะเล การลักลอบขนคนโดยผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ อาชญากรรมทางไซเบอร์ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า โดยประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการป้องกันปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งทุกประเทศที่ร่วมประชุมได้ร่วมติดตามผลการปฏิบัติและพร้อมดำเนินการตามแผนความร่วมมือ ผลการประชุมหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ในประเทศไทย มีการฉ้อโกงออนไลน์และการหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ ผนวกกับการหลั่งไหลของทุนจีนเข้ามาในภูมิภาค โดยคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์มีจำนวนมากถึงร้อยละ 70 ของคดีที่ได้รับแจ้งทั้งหมด ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ใช้เทคโนโลยีและประสานองค์การตำรวจสากลให้การสืบสวนและการจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการค้ามนุษย์และลักลอบขนคน ในปัจจุบันมีเหตุปัจจัยกระตุ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและตะวันออกกลาง ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย และการเปิดประเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องปรับตัวให้เท่าทันเพื่อแก้ไขปัญหา สำหรับการลักลอบค้ายาเสพติด ประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านยาเสพติดเพื่อประชาคมที่มั่นคงของอาเซียน พ.ศ.2559 - 2568 และเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด (ASEAN-NARCO) เป็นหน่วยงานกลางประสานความร่วมมือ ปัจจุบันประเทศไทยสามารถจับกุม และตรวจยึดของกลางยาเสพติดได้ในจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ราคาขายปลีกมีแนวโน้มลดลง สำหรับการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า มีการนำเทคโนโลยีระบบ นิติวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม DNA มาใช้เพื่อระบุตัวตน และจำแนกแหล่งที่มาของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทั้งนี้ การบริหารจัดการชายแดนแบบเชิงรุก ทำให้คดีและผู้กระทำผิดลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ยังได้กล่าวขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ที่ให้ความร่วมมือในการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญของไทย พร้อมทั้งบริหารจัดการส่งตัวผู้ต้องหากลับประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นรูปแบบความร่วมมือที่เป็นแบบอย่าง โดยประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิก ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาค ที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล เคียงข้างและร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาความมั่นคงทุกประเภท นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขยายผลสืบสวน สอบสวนกรณีเพลิงไหม้โรงงานกำจัดของเสียประเภทวัตถุอันตราย

กรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานกำจัดของเสียประเภทวัตถุอันตรายในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยอง นั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนกับวิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย และสุขภาพของประชาชน ในวงกว้างหลายพื้นที่ จึงได้สั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และ พลตำรวจเอก ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ติดตามและขยายผลดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดให้ได้ผู้กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายมาลงโทษโดยเร็ว 

ต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้มีคำสั่งที่ 302/2567 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดีเพลิงไหม้ บริษัท วินโพรเสส จำกัด และ บริษัท เอกอุทัย จำกัด มีหน้าที่สืบสวนสอบสวมรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้ พลตำรวจโท ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน, พลตำรวจโท อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน , พลตำรวจตรี ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นเลขานุการ พร้อมด้วยพนักงานสืบสวนสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ทางคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ทำงานร่วมกับนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และคณะกรมควบคุมมลพิษ กรมน้ำบาดาล กรมป่าไม้ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างรอบคอบ ครบทุกมิติ

วันนี้ (28 มิ.ย.67) เวลา 13.30 น. พลตำรวจโท ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีเพลิงไหม้โรงงานสารเคมี ในจังหวัดระยอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ หองประชุมแจงยอดสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมทั้งหมดเกือบ ร้อยนาย ติดตามความคืบหน้าของคดี ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับไปแล้วบางส่วน จากการสืบสวนสอบสวนยังพบว่ามีการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้ในอีกหลายพื้นที่ รวมทั้งหมด 4 จังหวัด 5 แห่งตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งโรงงานในพื้นที่ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ อ.กลางดง จ.นครราชสีมา, อ.อุทัย อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.บ้านค่าย อ.มาบตาพุด จ.ระยอง โดยผู้ต้องหาได้นำวัตถุอันตรายของมีพิษเหล่านี้ไปเก็บไว้และมีการกำจัดที่ไม่ถูกต้อง ทั้งยังมีการลักลอบปล่อยลงในแม่น้ำลำคลอง พื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและร่างกายของประชาชนอย่างรุนแรงในพื้นที่

ด้านอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียด พร้อมทั้งได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือในการคัดแยกเอกสารที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ได้มีการปลอมแปลงเอกสาร และตราประทับ ตั้งแต่การว่าจ้างการขนส่ง มีการปลอมเอกสารในเกือบทุกขั้นตอน ซึ่งได้ให้นโยบายไว้ว่าเรื่องนี้ต้องทำให้กระจ่างโดยเร็ว และต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับกฎหมายการครอบครองวัตถุอันตราย การกำจัดของเสีย พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม รวมถึงกฎหมายอาญา เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง 

ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น ขณะนี้มีการออกหมายจับไปแล้วในหลายข้อหา มีผู้ถูกกล่าวหาประมาณ 5 คน แต่เชื่อว่าอาจมีผู้ที่เกี่ยวข้องมากกว่า 10 คน ซึ่งจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ โดยพบว่ามีหลายข้อหา เช่น ในเรื่องการขนส่ง พบว่ามีการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตกว่าร้อยครั้ง จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาทุกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน คาดว่าจะได้รับโทษสูงสุดเมื่อขึ้นสู่ชั้นศาล สำหรับการจัดตั้งบริษัท พบว่ามีการตั้งบริษัทอย่างถูกต้อง 1 บริษัท เป็นตัวแทนนำ สิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ไปไว้ตามที่ต่างๆ ทั้งมีการจัดตั้งบริษัทมาอีกหลายบริษัท ทำหน้าที่เป็นนอมินีส่วนหนึ่ง เพื่อไม่ให้มีการสืบสวนติดตามได้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนว่าเป็นลักษณะของกลุ่มขบวนการ ซึ่งกำลังพิจารณาในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ เข้าไปสู่ความผิดมูลฐานฟอกเงิน ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากพบจะได้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าปราบปรามจับกุม พนันออนไลน์และออนไซต์ ช่วงแข่งขันฟุตบอลยูโร ตั้งแต่เริ่มแข่งขันจับกุมผู้ต้องหาแล้วกว่า 2,600 คน

วันนี้ (29 มิถุนายน 2567) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ในห้วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 ระหว่างในวันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์

ผลการจับกุมการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร ปี 2024 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 21-27 มิถุนายน 2567 แบ่งเป็น
1. การจับกุมการพนันออนไซต์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 784 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 3 คน , ผู้เล่น 769 คน , คนเดินโพย 12 คน เงินหมุนเวียน 117,440 บาท 
2. การจับกุมการพนันออนไลน์ สามารถจับกุมได้ 80 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 265 คน แบ่งเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน 35 คน , ผู้เล่น 230 คน เงินหมุนเวียนในระบบกว่า 400 ล้านบาท

ภาพรวมสถิติการจับกุมการพนันออนไลน์และออนไซต์ ตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ วันที่ 14-27 มิถุนายน 2567 มีผลการจับกุมผู้ต้องหา รวม 2,626 คนแบ่งเป็น
1. การจับกุมการพนันออนไซต์ 2,113 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 39 คน , ผู้เล่น 2,052 คน , คนเดินโพย 22 คน เงินหมุนเวียน 339754 บาท 
2. การจับกุมพนันออนไลน์ 142 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 513 คน แบ่งเป็น ผู้จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ 63 คน , ผู้เล่น 450 คน เงินหมุนเวียนกว่า 1,800 ล้านบาท 

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยังคงเดินหน้าอย่างเข้มข้นในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันฟุตบอล  พร้อมฝากเตือนผู้ประกอบการร้านค้าหรือสถานบริการต่างๆ ที่มีการเปิดให้ชมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ขอให้ปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด หากฝ่าฝืนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลปฏิบัติการยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และแก๊งอาชญากรรมทั่วประเทศ ค้น 183 จุดทั่วประเทศ

วันนี้ (3 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตำรวจภูธรภาค 1-9 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ร่วมแถลงผลปฏิบัติการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และแก๊งอาชญากรรมทั่วประเทศ ตามยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ณ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์  กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจาก ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ระดมกำลังตำรวจจาก บช.น. , ตำรวจภูธรภาค 1-9 และ บช.ก. กระจายกำลังเข้าตรวจค้น รวม 183 จุด ทั่วประเทศ เมื่อวานที่ผ่านมา (2 กรกฎาคม 2567) 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1, พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.ฐากูร นัทธีศรี ผบช.ภ.3, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6, พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7, พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9

พฤติการณ์ ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานให้ข้าราชการตำรวจ เพื่อให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหนึ่งในนโยบายนั้น เป็นเรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. (รรท. ผบ.ตร.ในขณะนั้น) เร่งรัดดำเนินการ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร ได้สั่งการและมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. /อนุกรรมการในการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ดำเนินการประชุมวางแผน ทำลายเครือข่ายผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญที่น่าจะก่ออาชญากรรมร้ายแรงในบ้านเมือง

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ ได้มอบหมายให้ บช.ก. เป็นหน่วยงานหลัก ในการขับเคลื่อน มีการเรียกประชุมวางแผนกับ ภ.1 – 9 และ บช.น. มาโดยตลอด เพื่อรวบรวมประสานข้อมูล พร้อมคัดกรองเป้าหมาย ซึ่งก่อนที่จะมีปฏิบัติการในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20-24 มิ.ย.67 ตร.ได้มีการได้มีตรวจค้นอาวุธปืนทั่วประเทศในจุดสำคัญ 1,500 จุด เพื่อให้ได้อาวุธ และลดปัญหาการปะทะกันในปฏิบัติการครั้งนี้ และล่าสุดวานนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.จึงได้สั่งการออกแผนปฏิบัติการ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ในครั้งนี้ ซึ่งแบ่งเป็นเป้าหมายประเภท ผู้มีอิทธิพล 20 ราย, แก๊งอาชญากรรม 116 ราย, กลุ่มเงินกู้โหด 31 ราย, ฮั้วประมูล 19 ราย และ บุกรุกที่สาธารณะ 14 ราย รวมกว่า 200 ราย ตรวจค้น 183 จุดทั่วประเทศ ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการกว่า 2,500 นาย มีผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ จำนวน 19 เป้าหมาย โดยแบ่งแยกเป็นกองบัญชาการ ดังนี้

บช.ก. จำนวน 6 เป้าหมาย ได้แก่

1. แก๊งฮั้วประมูล กำนันนก มีการดำเนินการทั้งหมด 11 โครงการ ซึ่งมี 2 โครงการ พบพยานหลักฐานว่า เครือข่ายกำนันนก มี บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อของกำนันนก ชนะการประมูล โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยมีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่า 70 คน 

ก่อนเกิดเหตุ บริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด เป็นบริษัทในเครือของกำนันนก ก่อนปี 2558 มีรายได้น้อยกว่า 30 ล้านบาท/ปี  ต่อมาได้เข้าร่วมการประมูลโครงการรัฐบาลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทดังกล่าวชนะโครงการ จำนวน 100-200 โครงการ/ปี ซึ่งมีผลประกอบการมากที่สุดใน จ.นครปฐม โดยเข้าร่วมประมูลเข้าร่วม 1,527 โครงการ ชนะ 1,327 โครงการ บริษัทที่แพ้และยื่นซองในโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นบริษัทเดิมๆ ที่เคยเข้าประมูล มีการทำเป็นขบวนการ เห็นได้ว่าทั้งสองบริษัทมีพฤติการณ์ทุจริตฮั้วการประมูลโครงการของรัฐ จึงได้ทำการสืบสวน พบว่า 9 โครงการ มีมูลเหตุเชื่อว่าเป็น โครงการที่มีการฮั้วประมูล แต่พบว่า ปี 2564 มี 2 โครงการ ที่ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด ชนะการประมูล โดยมีทีมฮั้วประมูล ซื้อรายชื่อ 1.2 % จากขบวนขายรายชื่อ และฮั้วไม่ให้บริษัทอื่นยื่นซองประมูล มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกว่า 70 บริษัท และจากการตรวจค้นที่ผ่านมา มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล บริษัทของผู้ใหญ่โยชน์ พ่อกำนันนก มีทีมฮั้วประมูล, ทีมซื้อขายรายชื่อ และ บริษัทที่สมยอม ทั้งหมด 32 ราย เมื่อวันที่ 24 - 25  มิ.ย.67 พงส.ได้เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา แต่มารับทราบข้อกล่าวหา จำนวน 23 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในส่วน 9 รายที่ยังไม่มาพบ อยู่ระหว่างประสานงาน ซึ่งคดีดังกล่าวได้มีการพิจารณาร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากเครือข่ายฮั้วการประมูลที่ จ.นครปฐมแล้ว ยังมีเครือข่าวฮั้วประมูล ในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม 

2. นายณัฐกิตติ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.นครปฐม) ฉายา ส.อบต.นายณัฐกิตติ์ฯ
นายณัฐกิตติ์ฯ สมาชิก อบต.ห้วยขวาง เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เคยต้องคดีอาญาในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่น” ของ สภ.กำแพงแสน ซึ่งมีพฤติการณ์ในคดีเป็นการใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีเสียชีวิต เนื่องจากผู้ตายยืมเงินแล้วไม่คืน อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุในคดี “ฆ่าผู้อื่น” นายณัฐกิตติ์ฯ ยังสามารถซื้ออาวุธซึ่งมีใบอนุญาตตามกฎหมายได้อีกจำนวนมากถึง 14 กระบอก จากการสืบสวนพบว่านายณัฐกิตติ์ฯ มีการทำธุรกรรมสีเทาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกินอัตรา และการพนันรูปแบบต่างๆ

3. นายเฉลิมพงศ์ฯ (ผู้มีอิทธิพล จ.ปราจีนบุรี) ฉายา คิกคาปู้ ปราจีน อดีตลูกน้อง สจ.โต้ง ขาใหญ่เมืองปราจีน มีประวัติทำร้ายร่างกาย, ครอบครองอาวุธปืน และยาเสพติดจำนวนมาก ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นที่เกรงกลัวของชาวบ้านจนมีการกล่าวกันว่า “ตำรวจไม่สามารถทำอะไรมันได้” ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.67 มีพฤติกรรมก่อเหตุทำร้ายร่างกายหน้าสถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ปราจีนบุรี จนมีผู้เสียหายโพสต์ร้องเรียนพฤติกรรมไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของนายเฉลิมพงศ์ฯ ลงโซเชียล ถึงรายการโหนกระแส และสายไหมต้องรอด

4. บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สลิด-ป่าโปร่งแดง 
ผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีพฤติกรรมบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ จากการตรวจสอบพบมีร่องรอยการนำรถแบ็คโฮเข้ามาปรับพื้นที่ เปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าธรรมชาติ ตัดต้นไม้ทั่วบริเวณมีร่องรอยการจุดไฟเผาซากตอไม้จำนวนมาก ลักษณะเป็นการจับจองพื้นที่เพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างร้ายแรง

5. นายเพ็ญเพชรฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุพรรณบุรี) ฉายา “เพชร ภูธร” มีพฤติกรรมเป็นนักเลงอันธพาล ชอบความรุนแรง มีการใช้และสะสมอาวุธปืนผิดกฎหมาย โพสต์ภาพตนเองพร้อมอาวุธปืนข่มขู่ผู้อื่นทางโซเชียล แอบอ้างสนิทสนมบุคคลสำคัญ และหน่วยงานรัฐต่างๆ

6. นายอภินันท์ฯ หลาน ศักดิ์ ปากรอ (แก๊งอาชญากรรม จ.สงขลา) หลาน "ศักดิ์ ปากรอ" อดีตฆาตกรโหดคดีดังฆ่ายกครัว 5 ศพ เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งต่อมานายอภินันท์ฯ ถูกจับกุมตัวพร้อมอาวุธปืนสงคราม จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนเกือบ 100 นัด จากการตรวจสอบอาวุธปืนที่ตรวจพบที่นายอภินันท์ฯ พบเคยถูกใช้ยิงถล่มรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบาลนาสีทอง เสียชีวิตในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ปมเหตุจากการขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น ภ.1 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายภีรวัฒน์ฯ (หัวหน้าแก๊งหนองไทร จ.สระบุรี) มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติดและความรุนแรง มีความอาจเสี่ยงที่จะก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.67 แก๊งหนองไทรได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงถล่มหน้าบ้านคู่อริแต่ลูกกระสุนไปถูกชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ปมเหตุขัดแย้งระหว่างแก๊ง จากการตรวจสอบพบมีประวัติการต้องคดีในข้อหา ครอบครองอาวุธปืน, ยาเสพติด และ ทำร้ายร่างกายหลายคดี

2. แก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว จ.พระนครศรีอยุธยาแก๊งยาเสพติดเครือข่ายจิ๊บไผ่เขียว ถือเป็นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการนำยาเสพติดไปซุกซ่อนในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จึงขยายผลจับกุมเพิ่มเติมจนกระทั่งสามารถตรวจยึดยาเสพติดได้รวมกว่า 7 ล้านเม็ด ถือเป็นการปราบปรามแก๊งยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่

ภ.2 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายศุภกฤชฯ (เงินกู้โหด จ.จันทบุรี) 
หัวหน้าแก๊งปล่อยเงินกู้ตัวตึงตัวแรงในพื้นที่ จ.จันทบุรี แนววัยรุ่นสร้างตัว มีการใช้โซเชียล ข่มขู่ คุกคาม ผู้อื่น, ทำร้ายร่างกาย, ทวงหนี้ มีประวัติคดีการพนัน จำนวน 2 ครั้ง, ลักทรัพย์จำนวน 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังทำธุรกิจสีเทาปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูง มีพฤติการณ์ทวงหนี้โหด ทำร้ายร่างกายลูกหนี้บาดเจ็บหลายราย  

ภ.3 จำนวน 3 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายอำนาจฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ชัยภูมิ)
มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตอาวุธปืนเถื่อนส่งขายทั่วประเทศ มีอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาวุธปืน เช่น ลำกล้องปืน, ด้ามปืน และอุปกรณ์อื่นๆมากมาย ตั้งตัวเป็นแก๊งมอมเมาเยาวชนมั่วสุมเสพยาเสพติด มักยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควร สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
 
2. นายยุรนันท์ฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.ศรีสะเกษ)
มีพฤติการณ์เป็นกลุ่มลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ เพื่อส่งให้ลูกค้าตามอำเภอต่างๆใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้เกิดผู้ค้ารายย่อย และ ผู้เสพยาเสพติดเกิดขึ้นจำนวนมาก ถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างสูง นอกจากนี้ยังมีประวัติการใช้อาวุธปืนข่มขู่บุคคลที่ติดค้างหนี้ยาเสพติด และคดีสมคบจำหน่ายยาเสพติดอีกด้วย 

3. นายสุทธิชัยฯ (แก๊งอาชญากรรม จ.สุรินทร์)
กลุ่มเครือข่ายขายอาวุธปืนออนไลน์ผ่านกลุ่มไลน์ ชื่อ “บาร์เหล้า .01” เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ทำการล่อซื้ออาวุธปืนไทยประดิษฐ์ชนิดหักลำ จึงได้สืบสวนติดตามจับกุมตัว พบนายโชติธนภัทร์ฯ เป็นผู้จัดส่งอาวุธปืน จึงได้มีการขยายผลเข้าตรวจค้นในพื้นที่ ภาค 3 และ ภาค 6 จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางอีกจำนวนหลายรายการ ซึ่งถือเป็นการทลายแหล่งผลิตและจำหน่ายอาวุธปืนสำคัญในย่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงได้ในที่สุด

ภ.4 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายกานี หรือ มืด (แก๊งอาชญากรรม จ.สกลนคร)
เป็นแก๊งจำหน่ายยาเสพติดที่มีพฤติกรรมอุกอาจ รุนแรง มักใช้อาวุธปืนในการข่มขู่ชาวบ้าน มีประวัติยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ขณะทำการล่อซื้อยาเสพติดจนหลบหนีการจับกุมไปได้ นอกจากนี้สมาชิกแก๊งของนายกานีฯ 
ยังประวัติคดีจำหน่ายยาเสพติด, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และ พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะหลายคดี

2. นายณัฐวุฒิ (แก๊งอาชญากรรม จ.บึงกาฬ)
เป็นตัวการทำอาวุธปืน ประกอบ ซ่อมแซม ขายอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบพบมีประวัติคดีโชกโชน ไม่ว่าจะเป็น คดีเสพยาเสพติด, ครอบครองปืนไม่มีทะเบียน, ทำ อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน และสำหรับผลิตอาวุธปืนเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจค้นที่พักพบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนปืน และ สิ่งของผิดกฎหมายหลายรายการ 

ภ.5 จำนวน 1 เป้าหมาย ได้แก่

1. นายภาณุ หรือซิว (แก๊งอาชญากรรม จ.เชียงใหม่)
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สืบทราบว่า นายภาณุฯ มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พบมีการนำปืนหลากหลายชนิดมายิงเล่นภายในพื้นที่ฟาร์มกัญชา ในพื้นที่ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแนะนำ 6 วิธีป้องกัน และเตรียมความพร้อมรับมือเหตุเพลิงไหม้ 

วันนี้ (8 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีเหตุเพลิงไหม้ภายในชุมชนตรอกโพธิ์ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธ์วงศ์ เขตสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และมีทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจากกรณีการเกิดเหตุเพลิงไหม้ จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน ถึงวิธีการและข้อควรปฏิบัติในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว 6 วิธี ดังนี้ 

1. “การติดตั้งและดูแลรักษาระบบไฟฟ้า” ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน โดยเฉพาะปลั๊กพ่วงและแบตเตอรี่ต่าง ๆ 

2. “การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้อง” ควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ได้ใช้งาน และหลีกเลี่ยงการใช้ปลั๊กพ่วงหลายเครื่องพร้อมกันเกินกำลังไฟที่ปลั๊กพ่วงรองรับ 

3. “การจัดการกับสิ่งของที่ติดไฟได้” ควรเก็บกวาดวัสดุที่อาจติดไฟได้ง่าย เช่น กระดาษ โฟม ใบไม้แห้ง หรือขยะ ที่อาจติดไฟได้ ออกจากบริเวณบ้านหรือบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ 

4. “การเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิง” ควรเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ดับเพลิงเบื้องต้น เช่น ถังน้ำ หรือถังทราย และหากเป็นไปได้ควรมีถังดับเพลิงติดบ้านไว้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน 

5. “การเตรียมพร้อมรับมือ” ควรศึกษาเส้นทางในการอพยพ การใช้อุปกรณ์ดับเพลิง และการฝึกซ้อมในการรับมือเหตุเพลิงไหม้ 

6. “ไม่กีดขวางการดับเพลิง” ไม่วางสิ่งของหรือจอดรถยนต์กีดขวางอุปกรณ์สำหรับดับเพลิง หรือถนน เพราะจะเป็นอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นเหตุเพลิงไหม้ หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งไปยังสายด่วนดับเพลิง 199 , สายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติประชุมเตรียมความพร้อมรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร งานมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

เมื่อวานนี้ (8 กรกฎาคม 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร งานมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองประธานอนุกรรมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมด้วยผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และผู้แทนกระทรวงคมนาคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม กรมประชาสัมพันธ์ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการแพทย์กรมสุขภาพจิต กรมเจ้าท่า กรมขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การไฟฟ้าวัดเลียบ การประปานครหลวง สำนักเทศกิจ  สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักอนามัย ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลได้จัดมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นราชสักการะ ธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.00 – 22.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 26 ริ้วขบวนเฉลิมพระเกียรติ , การแสดงศิลปะวัฒนธรรม ดนตรีไทย ดนตรีสากลเฉลิมพระเกียรติ , นิทรรศการสวนแสง และชิม ช้อปอาหาร-ผลิตภัณฑ์ตลาดวัฒนธรรม 

สำหรับพิธีเปิดงานมีขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 เวลา 19.30 น. ณ ท้องสนามหลวง โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธี และก่อนพิธีเปิด เวลา 17.30-19.00 น. มีกิจกรรมการเดินริ้วขบวนเฉลิมพระเกียรติฯ ประกอบด้วย ริ้วขบวน 26 ขบวน ที่มีทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ข้าราชการ ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาคต่างๆ เข้าร่วมกว่า 2,800 คน โดยใช้เส้นทางถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่บริเวณแยก จ.ป.ร. เลี้ยวขวาเข้าถนนราชดำเนินกลาง มุ่งหน้าบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งจะมีการใช้ช่องการจราจรบางส่วนในการเดินขบวน อาจส่งผลให้การจราจรมีความหนาแน่น ขอให้พี่น้องประชาชนหลีกเลี่ยงในห้วงเวลาและเส้นทางดังกล่าว

ส่วนการจัดการจราจรเส้นทางรอบท้องสนามหลวง ระหว่างการจัดงานมหรสพสมโภช 11 – 15 กรกฎาคม 2567 ประชาชนสามารถใช้เส้นทางเดิมได้ปกติ โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน หรือขอความร่วมมือประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง โดยขอให้ใช้เส้นทางอื่นเพื่อความสะดวกในการบริการจัดการจราจร 

การให้บริการประชาชนที่นำรถส่วนตัวมาในงาน ได้มีการจัดพื้นที่จอดรถไว้ที่ลานจอดรถท้องสนามหลวงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-15 กรกฎาคม 2567 รองรับได้ 400 คัน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ยังได้จัดรถให้บริการรับ-ส่งประชาชนฟรี ตลอดงาน ตั้งแต่เวลา 12.00 - 22.00 น. จำนวน 5 เส้นทาง ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัย-สนามหลวง , วงเวียนใหญ่-สนามหลวง , สายใต้ใหม่-สนามหลวง , หมอชิต-สนามหลวง และสนามหลวง -ท่าเตียน-ท่าช้าง  

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยและชาวต่างชาติ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ทศมินทรราชา 72 พรรษา มหาวชิราลงกรณ” ตลาดวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ ชมการแสดงเวทีย่อย (การแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน) และชมการสาธิต อาหารย้อนยุคและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม วิจิตรตระการตาและตื่นตาตื่นใจกับสวนแสงเฉลิมพระเกียรติ “มหาทศมินทรราชา” ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ภายในงานมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยประชาชนอย่ากดลิงก์ SMS แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อและได้รับความเสียหายจากการหลอกลวง ซึ่งในช่วงเดือน มิถุนายน พ.ศ.2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบพบว่า คนร้ายเริ่มกลับมาใช้วิธีส่งข้อความ SMS แอบอ้างเป็น บริษัทขนส่ง กรมที่ดิน กรมขนส่งทางบก การไฟฟ้าฯ โดยแนบลิงก์ให้กดใน SMS ตามที่ได้ตรวจสอบ พบดังนี้
https://Flash.anke.cc      แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-qr.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-af.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-fh.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fla-ah.com              แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flfah-line.cc            แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flo-sh.cc                 แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fly-fh.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fly-sh.com              แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
th-flash.com                  แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.th-flash.com          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.Flsah.line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flgqh-line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.flbgh-line.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.fifgh-line.cc           แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flashline.com                แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flash-line.com               แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flfah-line.cc                   แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
flash-expres.com          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.oy-th.cc                 แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง
www.kerry.orth.cc          แอบอ้างเป็นบริษัทขนส่ง                                                                      
dit-gk.cc                       แอบอ้างเป็นกรมขนส่งทางบก
www.dlt-xf.com              แอบอ้างเป็นกรมขนส่งทางบก
dol-th.cc                       แอบอ้างเป็นกรมที่ดิน
www.pea.xw-th.com       แอบอ้างเป็นการไฟฟ้าฯ

โดยในเบื้องต้นทางสำนักตำรวจแห่งชาติได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ระงับการเข้าถึงลิงก์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เชื่อว่าในอนาคตจะยังคงมีลิงก์หลอกลวงจากมิจฉาชีพในลักษณะเดียวกันอีก โดยข้อความและลิงก์ที่แนบมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ จึงขอแจ้งเตือนภัยพี่น้องประชาชน ดังนี้

จุดสังเกต ลิงก์ที่คนร้ายส่งมามักจะสะกดชื่อผิดหรือมีข้อความที่ไม่ปกติต่อท้ายลิงก์
Domain ของ Website ปลอมมักจะจดบน Domain Free หรือ Domain ที่ไม่น่าเชื่อถือเช่น .cc
SMS ปลอมในบางครั้งคนร้ายจะใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อให้ส่ง SMS ปลอมเข้ามาอยู่ในกล่องข้อความของ SMS จริงได้ เมื่อกดลิงก์เข้าไปจะเป็น Line หน่วยงานที่คนร้ายแอบอ้าง เมื่อเหยื่อเพิ่มเพื่อนคนร้ายในไลน์ คนร้ายจะโทรมาพูดคุยโน้มน้าวเหยื่อและส่งลิงก์ให้ติดตั้ง Application ควบคุมโทรศัพท์มือถือ ให้ติดตั้งในเครื่องเหยื่อ  พร้อมให้ตั้งรหัสผ่าน 2 ชุดไม่ซ้ำกัน ซึ่งส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเอารหัสเดิมๆที่เคยใช้ใน Application ธนาคารใส่ไปด้วย

วิธีป้องกัน ไม่กดลิงก์ใดๆที่ส่งมาใน SMS หากมีข้อสงสัยให้ติดต่อหน่วยงานที่ปรากฏในข้อความ SMS เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงของ SMS ที่ได้รับ พี่น้องประชาชนท่านใดที่ได้รับ SMS แล้วน่าสงสัยว่าน่าจะหลอกลวง โปรดอย่ากดลิงก์ใน SMS ดังกล่าว และส่งข้อมูลดังกล่าวโดย Capture หน้าจอ SMS ที่ท่านได้รับให้ครบถ้วนพร้อมระบุ วันที่ และเวลาที่ได้รับ SMS รวมไปถึงเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ส่ง SMS มาให้ท่าน แจ้งเบาะแสผ่านทางช่องทาง www.thaipoliceonline.go.th (ช่องทางแจ้งเบาะแส) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับช่องทางรับรู้ข่าวสารเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน AOC 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบกรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.go.th


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top