Thursday, 22 May 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตำรวจภาค 4 เข้ม “ร้อยเอ็ดโมเดล” สกัดจับยาบ้า 1 ล้านเม็ด เตรียมขยายผลจับกุมผู้สั่งการ

ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาชญากรรม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้ระดมสรรพกำลังทั้งตำรวจในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง กวาดล้างจับกุมยาเสพติด และบูรณาการกับหน่วยงานจังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินมาตรการป้องกันและบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งเปิดปฏิบัติการเด็ดปีกค้ารายย่อยในพื้นที่ตำรวจภาค 4 มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด โดยอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด นำโดย พล.ต.ต.ทรงพล บริบาลประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.ภาสกร หินเธาว์ ผกก.สภ.ธวัชบุรี, ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด พร้อมหน่วยบูรณาการในพื้นที่ ได้ร่วมกันจับกุมคดียาเสพติด 2 ราย ผู้ต้องหา 6 คน ของกลางยาบ้า จำนวน 1,000,000 เม็ด ตรวจยึดทรัพย์สินฯ 1.รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 500,000  บาท 2.รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท

คดีที่ 1 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลำเลียงยาบ้าจำนวนมากผ่านพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.67 เวลา 19.30 น. ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ตำรวจ สภ.จังหาร และฝ่ายข่าว กกล.สุรนารี ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 5 คน คือ นายธีระชัย, นายสุขสรรค์, นายเจษฎา, นายพิสุทธิศักดิ์, นายชโยทัย ได้บริเวณริมถนนเส้นทางระหว่าง จ.กาฬสินธุ์-จ.ร้อยเอ็ด ต่อเนื่อง บริเวณบ้านแซงแหลม ม.6 ต.แสนชาติ อ.จังหาร ต.ร้อยเอ็ด และ บริเวณสวนด้านทิศตะวันตกบ้านหัวขวา-บ้านกุดโค ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พร้อมของกลางยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด พร้อมตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน เป็นรถกระบะ isuzu สีขาว หมายเลขทะเบียน จฉ 20xx ชลบุรี 1 คัน ราคาประมาณ 500,000 บาท และรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท รวม 900,000 บาท เบื้องต้นแจ้งหาว่าร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า จนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน กระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยในกลุ่มประชาชน เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า รับจ้างขนยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยผู้ว่าจ้างอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส. สภ.จังหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและสืบสวนจับกุมผู้ว่าจ้างรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ส.ค.67 เวลาประมาณ 11.00 น.ตำรวจ สภ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ได้จับกุมตัวนายเรวัติ อายุ 23 ปี ได้ที่ หมู่ 6 บ้านฝั่งแดง ต.อุ่มเม้า อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด หลังพบพฤติกรรมการเสพยาเสพติด เบื้องต้นชุดสืบสวนจะทำการขยายผลหาผู้ค้ายาเสพติด และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป พร้อมกันนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฎหมาย ก่อนนำผู้ต้องหา ส่ง พงส.สภ.ธวัชบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลจับกุมผู้ค้าและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป

สำหรับในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ได้มีการกวาดล้างจับกุมยาเสพติดอย่างเข้มข้น และสกัดจับกุมการขนยาเสพติดรายใหญ่ผ่านเส้นทาง จ.ร้อยเอ็ด มาแล้ว  หากมีการจับกุมผู้เสพยาเสพติด ก็จะนำตัวไปบำบัด และนำข้อมูลจากผู้เสพไปขยายผลจับไปกุมผู้ค้า ผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดตามแนวทาง “ร้อยเอ็ดโมเดล”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนระวังมิจฉาชีพเลียนแบบโดเมน “.go.th” ของแท้จะต้องอยู่ช่องแรกถัดจาก https:// เท่านั้น

วันนี้ (11 สิงหาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ โดยปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่าได้มีกลุ่มมิจฉาชีพทำการเลียนแบบโดเมน “.go.th” ซึ่งเป็นโดเมนที่มีไว้สำหรับหน่วยงานราชการ แล้วนำมาใช้ในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน

โดยมิจฉาชีพจะสร้างลิงก์ที่มีข้อความ “.go.th” ลงท้าย ไว้ในส่วนที่เป็นพาธ (Path) หรือเส้นทางที่นำไปสู่ไฟล์หรือตำแหน่งต่าง ๆ ของข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่ง Path จะอยู่ด้านหลังของชื่อโดเมนเสมอและคั่นเครื่องด้วยหมายทับ “/” เช่น หากเป็น URL https://www.royalthaipolice.go.th/index.php Path ของ URL ดังกล่าวคือ “index.php” ส่วนเว็บไซต์ปลอมที่สร้างเลียนแบบที่ตรวจสอบพบคือ https://dif.link/www.ccid1.ccib.go.th ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากไม่ได้สังเกตให้ดี อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการที่ลงท้ายด้วย “.go.th” แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียง Path ของเว็บไซต์ https://dif.link เท่านั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในการกดลิงก์ URLs ต่าง ๆ โดยให้สังเกตก่อนว่าเป็นเว็บไซต์ที่ท่านต้องการเข้าใช้งานจริงหรือไม่ และในส่วนของการสังเกตว่าเป็นโดเมน “.go.th” ของจริงหรือไม่ ให้ดูจากโดเมนของเว็บไซต์ ซึ่งจะอยู่หลัง “https://” และอยู่ก่อนหน้า “/” เช่น https://www.royalthaipolice.go.th/ เป็นต้น

ในส่วนของเว็บไซต์เลียนแบบที่ตรวจสอบพบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี มิจฉาชีพอาจสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการตรวจสอบหาเว็บไซต์ปลอมในลักษณะดังกล่าวอยู่เสมอ และจะได้การสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนอย่าหลงเชื่อเพจปลอมเลียนแบบเพจดัง พร้อมย้ำช่องทางรับแจ้งความออนไลน์มีเว็บไซต์เดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ฟันธงเลยว่ามิจฉาชีพแน่นอน

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันพบว่ามีมิจฉาชีพสร้างเพจปลอมในหลายรูปแบบ เพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์จำนวนมาก โดยพบว่ามักมีการสร้างเพจปลอมเลียนแบบเพจจริงที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และการสร้างเพจปลอมเพื่อหลอกขายสินค้าหรือหลอกให้บริการต่าง ๆ แล้วหลอกให้กดลิงก์ หลอกขายสินค้าถูกกว่าท้องตลาด สร้างโปรโมชั่นลดแรง ดึงดูดใจผู้บริโภค แล้วบูสต์โพสต์ด้วยการยิงโฆษณาพร้อมลงข้อความขายสินค้าแบรนด์ดังต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบมิจฉาชีพที่เปิดเพจปลอมแอบอ้างว่าสามารถรับแจ้งความออนไลน์ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ หากหลงเชื่อติดต่อสอบถาม มิจฉาชีพเหล่านี้จะมีกลโกงหลอกขอข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้โอนเงินค่าดำเนินการ หรืออื่นๆ ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อนจำนวนมาก จึงได้สั่งการอย่างเข้มงวดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและปราบปรามมิจฉาชีพลักษณะดังกล่าว พร้อมให้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่พี่น้องประชาชน เพื่อสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ในลักษณะนี้

วิธีสังเกตเพจปลอมเบื้องต้นคือ เพจปลอมส่วนใหญ่จะไม่มีเครื่องหมายยืนยันตัวตน (Facebook verified badge) ที่เป็นเครื่องหมายถูกสีฟ้าด้านหลังชื่อบัญชี , มีผู้ติดตามเพจจำนวนน้อย , เพจถูกสร้างมาได้ไม่นาน , ซื้อโฆษณาจากแพลตฟอร์มต่างๆ มากผิดปกติ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อที่ระบุไว้ไม่ตรงกับหน่วยงานจริง โดยหากพบเพจลักษณะดังกล่าว ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม อย่างหลงเชื่อ เลิกสนใจ ไม่คลิกดู ไม่คลิกลิงก์ใดๆ และไม่ติดต่อทางช่องทางแช็ตใดๆ เด็ดขาด ทั้งนี้ ก่อนสั่งซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน เช่น ความโปร่งใสของเพจ จำนวนผู้ติดตาม บัญชีปลายทาง หากไม่มั่นใจสามารถนำบัญชีปลายทางตรวจสอบได้ที่ checkgon.com หรือ โทร.ปรึกษาสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พ.ต.อ.หญิง ฉันฉายฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีเพจเฟซบุ๊กจำนวนมากที่เกี่ยวกับการรับแจ้งความ หรือรับปรึกษาคดีอาชญากรรมออนไลน์ แต่ไม่ใช่ช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้ประชาชนระวังมิจฉาชีพใช้วิธีนี้หลอกลวงซ้ำซ้อน โดยบางเพจไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะชวนลงทุนต่างๆ ซึ่งประชาชนอาจหลงเชื่อและเกรงใจ เนื่องด้วยเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตัวจริงที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการรับแจ้งความ  แต่บางเพจเรียกค่าดำเนินการด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัว หรือการโอนเงินในกรณีที่ไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ หากพบเจอเหตุการณ์ที่มีลักษณะดังกล่าว ขอให้ติดต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือโดยทันที ซึ่งขอย้ำว่าช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงช่องทางเดียวเท่านั้นคือ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ไม่มีการรับแจ้งความหรือให้ความช่วยเหลือทางแพลตฟอร์มอื่น หรือช่องทางอื่น หากพบเห็นทางช่องทางอื่นนอกเหนือจากเว็บไซต์นี้ ขอให้มั่นใจได้ว่าเป็มิจฉาชีพทั้งสิ้น อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด!!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม 'โครงการอาสาตาจราจร' พร้อมเตือนการใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ เสี่ยงอุบัติเหตุ

วันนี้ (20 สิงหาคม 2567) เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , ผู้แทนจากสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนมิถุนายน 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 10 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการอาสาตาจราจร เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีผลประจักษ์ชัด ได้รับความสนใจจากภาคประชาชน ร่วมส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มโครงการ ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น 

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสา ตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100 คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก 

นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้วยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนน เรื่องการใช้โทรศัพท์ในระหว่างการขับขี่รถ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เนื่องจากพบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพิ่มสูงขึ้น ทั้งการคุยโทรศัพท์ และการใช้ในวัตประสงค์อื่น เพราะการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ส่งผลให้สมาธิในการควบคุมรถ การรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมบนถนนลดลง ในระดับที่เป็นอันตรายส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงขอให้ใช้เครื่องมือช่วยในการรับฟัง หรือหยุดรถในจุดปลอดภัยก่อน หรือหากงดใช้จะเป็นแนวทางที่สร้างความปลอดภัยได้ดีที่สุดสำหรับทุกคน รวมไปถึงคนเดินเท้า โดยเฉพาะในขณะข้ามถนน หากใช้โทรศัพท์จะเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนการใช้เล่มทะเบียนรถปลอม หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน มีโทษตามกฎหมายอาญา จำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีประชาชนนำใบคู่มือจดทะเบียนรถปลอม (เล่มทะเบียนรถปลอม) หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน เบิกเงินเกินบัญชี หรือขอเครดิตด้วยวิธีการอื่น เป็นจำนวนมากซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

การปลอมแปลงเอกสารทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ แก้ไข ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หากได้กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร มีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้

ผู้ที่ทำเอกสารปลอม มีความผิดฐานทำเอกสารปลอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ เช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาซื้อขาย และสัญญาเช่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจดทะเบียน และพินัยกรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท
- การแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ที่ใช้เอกสารปลอม กรณีมีการอ้างหรือใช้เอกสารที่ปลอมขึ้นตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอม หรือพบเบาะแสว่าทีบุคคลใดรับจ้างทำเอกสารปลอม สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วน 191 และสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบเงินช่วยเหลือตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ จ.มหาสารคาม ถูกรถจักรยานยนต์พุ่งชนขณะตั้งจุดตรวจ

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หน.คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยัง สภ.เขวาใหญ่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวานนี้ (30 สิงหาคม 2567) เวลา 11.45 น. เพื่อมอบเงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 100,000 บาท กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ ได้รับบาดเจ็บ ถูกรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนขณะปฏิบัติหน้าที่

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ร.ต.อ.รณชัย ภูหักทำ และตำรวจจราจร สภ.เขวาใหญ่ จ.มหาสารคาม ได้ร่วมกันวางอุปกรณ์บนพื้นถนนเพื่อตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร บริเวณหน้าตู้ยามขามเรียง ถนนทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 2202 ทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก โดยวางกรวยสะท้อนแสงตามแนวเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ นำป้ายแผงไฟแสดงจุดตรวจ มีสัญญาณไฟวับวาบ มีป้ายชื่อผู้ควบคุมพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ วางตั้งบนถนนให้เห็นเด่นชัดในเขตปลอดภัย และนำรถยนต์ของทางราชการที่ใช้ในงานจราจร มาจอดไว้เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้ถูกต้องตามยุทธวิธีตำรวจในการตั้งจุดกวดขันวินัยจราจร และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในเวลา 10.00 น. จากนั้นได้มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า สีแดง ขับขี่มุ่งหน้ามายังจุดตรวจด้วยความเร็ว ตำรวจจราจรในจุดตรวจได้ให้สัญญาณหยุด แต่เด็กชายอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ได้พยายามจะหลบหนี จนพุ่งชน ร.ต.อ.รณชัย ฯ ได้รับบาดเจ็บ ฟันหน้าบนหัก 3 ซี่ ถูกนำส่งโรงพยาบาลมหาสารคาม โดยแพทย์วินิจฉัยว่ากระดูกขากรรไกรล่างหัก ต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.นิธิธรฯ ได้มอบเงินเงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 100,000 บาท ให้กับ ร.ต.อ.รณชัย ภูหักทำ รอง สว.จร.สภ.เขวาใหญ่ ตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้มอบสิ่งของเครื่องบริโภคให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.เขวาใหญ่ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย 

ด้าน พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า จากคลิปกล้องวงจรปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร การสวมหมวกนิรภัย การขับขี่รถโดยมีใบอนุญาตขับรถจากนายทะเบียนขนส่ง ไม่ขับรถขณะมึนเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่น (เสพยาเสพติด) นั้น เป็นข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามหากมีการใช้รถใช้ถนน หากฝ่าฝืนนอกจากจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตกับทั้งผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางอีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถแจ้งอุบัติเหตุ เหตุร้าย หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่สายด่วน 191 จราจรทุก สน./สภ.ทั่วประเทศ , สายด่วน 1197 ตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล , สายด่วน 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ และสายด่วน 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

รรท.รอง ผบ.ตร. เปิดอบรมยกระดับการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต พร้อมแสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ

(9 ก.ย. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล ที่ตระหนัก และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์  และภาคประมง ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งหวังให้ ตร.มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.
ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ต.ท.ประจวบฯ เปิดโครงการสัมมนาพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศ  ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 11 ก.ย.67 ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ  โดยมีผู้เข้ารับการอบรมเป็น รอง ผบก.สส. และ รอง สว. - ผบ.หมู่ ผู้รับผิดชอบงานล่วงละเมิด  ทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ทุก บก./ภ.จว. ในสังกัด บช.น. และ ภ.1 - 9 รวม 180 คน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ เป็นปัญหาระดับโลกที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยต้องมีการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันปราบปรามการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ปัจจุบันรูปแบบของการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ได้แก่ สื่อแสดงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การตระเตรียมเด็กออนไลน์เพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ       การส่งข้อความหรือรูปภาพยั่วยุทางเพศ การแบล็คเมล์ทางเพศออนไลน์ การถ่ายทอดสดการละเมิดทางเพศต่อเด็ก และการกลั่นแกล้งรังแกกันในโลกออนไลน์ ซึ่งการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในการจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ของสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2024 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Tier 2 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม    ดังนั้น การสัมมนาในวันนี้จึงมีความสำคัญ และเป็นการมุ่งพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยึดหลักเด็กเป็นศูนย์กลาง วิเคราะห์เป้าหมายและข้อมูลเบาะแส รับแจ้งเหตุและการบริหารจัดการเคสอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความรู้ความเชี่ยวขาญและทักษะในการสืบสวนพยานหลักฐานทางดิจิทัล นำความรู้ในการสืบสวนทางเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความรู้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ร่วมกับ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง จตร./หน.ชป.TICAC, นางเตือนใจ คงสมบัติ ผู้ตรวจราชการ พม., นายรัชพล มณีเหล็ก ผอ.กองต่อต้านการค้ามนุษย์, นายวิจิตา รชตะนันทิกุล อดีตที่ปรึกษาวิชาการ พม. และ NGOs ได้แก่ ผู้แทนมูลนิธิไอเจเอ็ม, คลินิก กม.แรงงาน HRDF แม่สอด, ศูนย์พิทักษ์เด็กพัทยา มูลนิธิ A21, โครงการ ASEAN - ACT ประจำประเทศไทย, ไซเบอร์ วินร๊อก อินเตอร์เนชั่นแนล, องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประจำประเทศไทย และ มูลนิธิ Spring เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการปราบปรามการค้ามนุษย์และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือต่างๆ ในการปฏิบัติงาน

สำหรับความผิดฐานค้ามนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมในระหว่างวันที่ 15 - 30 ก.ย.67 ส่วนความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต ได้ส่งการระดมกวาดล้างจับกุม ในระหว่างวันที่ 20 ส.ค. - 30 ก.ย.67 ด้วยการป้องกันปราบปรามที่เข้มข้น ได้มุ่งเน้นผลการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วน ในการเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว  การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงจะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล เสริมสร้างความเสมอภาค  เท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อยสืบไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจที่มีประสิทธิภาพ

(17 ก.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 ให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์นโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในเรื่องศักดิ์ศรี ขวัญกำลังใจ คุณภาพชีวิต สวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว จึงมอบหมายให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของสำนักงกงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจ มีลักษณะเด่น คือ มีความรู้ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมาย ด้านนิติเวชศาสตร์ และด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยมอบหมายให้โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1-3 และเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 

โดยในปี 2529 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือให้โรงพยาบาลตำรวจเป็นโรงพยาบาลสมทบ ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติทางคลินิกให้กับนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาแพทย์ ตรงตามข้อกำหนดของแพทยสภา ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 สถาบัน ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงจะได้เป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และให้การสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ตำรวจ ชั้นปีที่ 1-3 คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต่อไป

พล.ต.อ.สราวุฒิฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติตกลงทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒยินดีเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้แก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และจะให้การสนับสนุนการศึกษาเพื่อผลิตแพทย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทั้งสองฝ่าย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตามการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือนี้ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาทางการแพทย์ งานวิชาการ งานวิจัยและด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาด้านการเรียนการสอนด้านการแพทย์อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองวิจัยสำนักยุทธศาสตร์ตำรวจ ได้รับมอบหมายให้ร่วมจัดโครงการฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตของข้าราชการตำรวจ

(23 ก.ย. 67) พล.ต.ต หญิง ศรีสกุล เจริญศรี ผบก.วจ.เปิดเผยว่า กองวิจัย สำนักงานยุทธศาสตร์ตํารวจ ได้มอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสั่งการของ พลตำรวจโท ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร. ในนามตามนโยบายของ ผบ.ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นโรงพยาบาลตำรวจและสำนักงานกำลังพล และ สยศ.ตร.โดย พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผบช.สยศ.ตร.ผู้เสนอโครงการ  จัดโครงการฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตของข้าราชการตำรวจ ระหว่างวันที่ 22-25 ก.ย. 67 ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ The Cop Seminar & Resort อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และมีพิธีเปิดวันที่ 22 ก.ย. 67 เวลา 13.00 น. ที่ผ่านมาโดยมี พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ รอง.ผบช.สกพ. เป็นประธานพิธีเปิด และมีผู้เข้าร่วมอบรมประกอบด้วย บช.น., ภ.1-9, บช.ก., สยศ.ตร, สกพ., กมค., รพ.ตร. สก. และ วจ. ในการอบรมสัมมนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเฝ้าระวังและแก้ไขตำรวจให้มีความรู้มีการป้องกันและระวังตัวเองในการปฏิบัติหน้าที่และไปเผยแพร่ต่อในหน่วยงานต่างๆที่สังกัดอยู่ทั่วประเทศเพื่อเป็นการสร้างวัคซีนความเข้มแข็งป้องกันตัวเองและหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพไม่มีเหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวรวมถึงหน่วยงานต่างๆอย่างสูงสุด เพื่อได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลประชาชนและสังคมในการทำงานของข้าราชการตำรวจให้สมกับคำว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และเป็นตำรวจของประชาชนได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมและประเทศไทยต่อไปจาก พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล (ผู้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ และสวนสนาม เป็นเกียรติแก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567

(24 ก.ย. 67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประจำปีพุทธศักราช 2567 เช่น พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ , พิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ , พิธีวางพานพุ่มฯ , พิธีสวนสนาม และพิธีเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา เนื่องในงานเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

โดยในเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน ในพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถวายราชสักการะพระบรมรูป รัชกาลที่ 9 และพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567 แก่ข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ระดับ พ.ต.อ.ขึ้นไป ณ ห้องประชุมเตมียาเวส 

จากนั้น เวลา 19.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นประธานพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และรับการเคารพจากกองเกียรติยศ ต่อมา ผบ.ตร.เป็นประธานตรวจพลสวนสนาม พิธีมอบแหวนอัศวิน และกล่าวอําลาชีวิตราชการ จากนั้นเป็นขบวนสวนสนาม และพิธีเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ พิธีสุดท้ายในเวลา 22.00 น. ข้าราชการตํารวจในสังกัดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ตั้งแถวซุ้มกระบี่หน้าประตูทางออกหอประชุมชุณหะวัณ และยืนแถวรายทางจากหน้าหอประชุม ถึงลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นเกียรติแก่คณะผู้เกษียณอายุราชการ ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการแล้ว การที่ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการ จนวันเกษียณอายุราชการอย่างราบรื่น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่ง ขอให้ท่านใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีศักดิ์ศรี และมีความสุขต่อไป นอกจากนี้ ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายพึงระลึกเสมอว่า การที่เราได้อาสามาเป็นตำรวจนั้น หน้าที่หลักคือการดูแลทุกข์สุขของประชาชน เสียสละอุทิศกายและใจให้กับการทำงาน เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับประชาชน โดยเฉพาะหน้าที่ที่สำคัญที่สุด คือการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้ตำรวจทุกนายได้ภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ ตามรอยพระยุคลบาทในฐานะข้าของแผ่นดิน โดยมีเจตนาอันแน่วแน่ ในอันที่จะมุ่งหมายประพฤติปฏิบัติตนเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน ให้สมกับคำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top