Thursday, 22 May 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก 'นัทตี้ ไดอารี่' กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน

ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ซึ่งนโยบายข้อที่ 9 กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที”

เมื่อวานนี้  (25 ต.ค.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)  ร่วมแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรณีปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก “นัทตี้ ไดอารี่” กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ,  กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับเน็ตไอดอลสาว ชื่อ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน ซึ่งในเวลาต่อมาจำนวนผู้เสียหายได้เพิ่มขึ้น และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายหน่วยงาน เช่น บช.สอท. และสถานีตำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

สำหรับ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary เป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เคยเป็นอดีตศิลปินจนเคยมีผลงานเพลงในประเทศเกาหลีใต้ ก่อนผันตัวเป็น "Youtuber" เจ้าของช่อง “Nutty’s Diary” มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ต่อมาเริ่มมีการลงโฆษณาและชักชวนประชาชนลงทุนผ่านทางแอปพลิเคชัน Instragram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อรับฝากเทรดหุ้น และอนุพันธ์ของหุ้น มีการลงโพสต์โชว์ผลกำไร และอ้างตัวเป็นโค้ชเทรดหุ้นว่ามีใบอนุญาตรับรองจาก ก.ล.ต. สามารถสอนนักเรียนเทรดหุ้นได้ และยังมีการกล่าวอ้างว่า ได้มีการจัดตั้งบริษัท สุชาดา จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และได้รับใบอนุญาตการลงทุนจาก ก.ล.ต. อีกด้วย

ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาได้ให้ผู้หลงเชื่อเข้าพูดคุยผ่านกลุ่ม Line ที่มีสมาชิกจำนวนกว่า 3,000 คน มีการอัปเดตและลงข้อมูลชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อที่เข้าร่วมกลุ่มเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจนี้มีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น มีการซื้อคอนโดที่พัทยาจำนวนหลายห้อง ซื้อโรงงาน คลินิก ที่ดิน รถยนต์หรู และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซึ่งภาพลักษณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตัดสินใจร่วมลงทุน ในส่วนรูปแบบการลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาจะเปิดให้ลงทุนขั้นต่ำเป็นจำนวน 5,000 บาท สูงสุดไม่เกินจำนวน 5,000,000 บาท ต่อ 1 บิล โดยแต่ละคนจะมี่กี่บิลหรือกี่แนบท้ายสัญญาก็ได้ โดยระยะเวลาในการได้รับกำไรจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน นับจากวันที่ระบุในสลิปโอนเงิน ในส่วนกำไรจากการเทรดจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำสัญญา เช่น สัญญา 3 เดือน มีอัตรากำไร 25% ของเงินทุน สัญญา 6 เดือน มีอัตรากำไร 30% ของเงินทุน สัญญา 12 เดือน มีอัตรากำไร 35% ของเงินทุน โดยสามารถรับเงินจากกำไรที่ได้จากการเทรดได้ทุกเดือนตามข้อตกลงในการทำสัญญา โดยจะให้ผู้เสียหายโอนเงินพร้อมส่งข้อมูลและสลิปโอนเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน Line

จากการที่เหยื่อลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาไม่ได้ระบุว่าจะนำเงินที่ได้รับฝากนั้นไปลงทุนในหุ้นบริษัทใด สุดท้ายเมื่อถึงเวลารับเงินปันผล ผู้ที่หลงเชื่อลงทุนกลับไม่ได้รับเงินปันผลและไม่สามารถขอรับเงินลงทุนคืนได้แต่อย่างใด คาดว่ามีผู้เสียหายทั่วประเทศรวมกันกว่า 6,000 ราย สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท โดยมีผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้วจำนวน 475 ราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออำนาจศาลทั่วประเทศออกหมายจับ นางสาวสุชาตาฯ อายุ 31 ปี ได้ทั้งสิ้น จำนวน 13 หมายจับ และหมายจับ นางธานิยาฯ อายุ 66 ปี (มารดาของนัทตี้) ได้ทั้งสิ้นจำนวน 2 หมายจับ และอยู่ระหว่างดำเนินการออกหมายจับเพิ่มเติมอีกหลายคดี ซึ่งต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีมติรับคดี นางสาวสุชาดาฯ หรือ นัทตี้ เป็นคดีพิเศษ

จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แจ้งไปยัง INTERPOL และตำรวจในประเทศต่าง ๆ เพื่อสืบสวนหาข่าวนำผู้ต้องหาทั้ง 2 มาดำเนินคดีในประเทศไทยเนื่องจากเป็นคดีที่สำคัญ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนในวงกว้าง และจากการสืบสวนทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศต่าง ๆ จนท้ายที่สุดพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปยังประเทศอินโดนีเซีย เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียจึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ที่เมืองดูไม จังหวัดรีเยา บนเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 

ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นทำให้ทราบว่า ทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปพำนักอยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นเวลานาน โดยไม่มีทั้งหนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวประชาชนของประเทศไทย ต่อมาได้ลักลอบเข้าประเทศอินโดนีเซียผ่านเกาะบาตัม ซึ่งเป็นเกาะและเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดเกอปูเลาวันรีเยา ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองดูไม จึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว และนำไปสู่การขยายผลจับกุม นางธานิยาฯ ผู้เป็นมารดาได้ในที่สุด จากนั้นได้เพิกถอนวีซ่าของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ประสานสถานทูตไทยในอินโดนีเซีย และตำรวจชุดจับกุมเพื่อยืนยันตัวบุคคลและผลักดันผู้ต้องหากลับประเทศไทย โดยได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , บช.สอท. และ DSI เพื่อรอรับตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การติดตามจับกุมคนร้ายในคดีนี้ เกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์อันดี และการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างตำรวจไทย ตำรวจอินโดนีเซีย และตำรวจประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก ทำให้สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และเยียวยากลุ่มผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า ใครที่คิดจะทำความผิดและหลบหนีไปต่างประเทศก็จะไม่รอดพ้นตำรวจไทยในการติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ผีร้ายฮาโลวีน!! ที่จะมาหลอกหลอนคุณจนหมดตัว

(31 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพที่ก่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนระวังภัย 5 ผี มิจฉาชีพ ที่พี่น้องประชาชนต้องระวัง อย่าให้มาหลอกหลอน สร้างความเสียหายในสังคม

1. ผีขายของ - โฆษณาขายสินค้าราคาถูก หากหลงเชื่อจะถูกหลอก ได้แค่วิญญาณของสินค้า (ไม่รับสินค้าจริง) หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงปก

2. ผีดูดทรัพย์ - ชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ใช้ระยะเวลาสั้น สุดท้ายเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือหลอกเอาเงิน

3. ผีหลอกรัก - แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติหน้าตาดี มีฐานะ ทักมาสร้างสัมพันธ์ จากนั้นจะอ้างเหตุสารพัด หลอกให้โอนเงินไปให้

4. ผีทักแชต - ส่งข้อความหลอกลวงแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการ หรือเอกชน แนบลิงก์ให้กด ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล

5. ผีชวนเปิด - ชักชวนให้เปิดซิมผี บัญชีม้า ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ แลกกับค่าตอบแทน จากนั้นจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้เจ้าของซิมผี บัญชีม้า ถูกดำเนินคดี

นอกจากนี้ พี่น้องประชาชนยังต้องระมัดระวังในการเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฮาโลวีน โดยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และสังเกตทางออกฉุกเฉินอยู่เสมอ เพื่อจะได้หนีออกจากสถานที่ดังกล่าวได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด รวมไปถึงการดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการผลัดหลง หรือถูกผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสล่อลวงบุตรหลานของท่านไป

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการหลอกลวง หรือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 และหากท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีมอบรางวัลโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ครั้งที่ 1 

(7 พ.ย.67) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , คุณพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พร้อมหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีมอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจร ประเภทบุคคลและหน่วยงาน ตามโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานของตำรวจจราจร ลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน ภาคีเครือข่าย และตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตำรวจจราจร ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ    

สำหรับ 'โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย' ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โดยได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อดำนินตามโครงการ เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท ต่อเนื่องปีที่ 2 โดยให้ทุกกองบัญชาการ กองบังคับการ และสถานีตำรวจในสังกัดทั้ง 1,484 สถานี ขับเคลื่อนดำเนินการให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จราจรทุกนาย ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลัก 5S อันได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) , SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) , SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) ,SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) , STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน) และให้หน่วยงานระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ ควบคุมกำกับดูแลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ลดลงได้มากกว่าร้อยละ 5 หรือ 10 คนขึ้นไปเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี

ตามปีปฏิทิน (ปี พ.ศ.2564 ถึงปี พ.ศ.2566) , ข้อมูลการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และผลการการบังคับใช้กฎหมาย (หมวก/เมา/เร็ว) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ตามปีปฏิทิน รวมทั้งมีการตรวจสอบติดตามประเมินผล เพื่อพิจารณาคัดเลือก สุภาพบุรุษจราจรประเภทบุคคล กองบังคับการละ 2 นาย แบ่งเป็น ระดับชั้นสัญญาบัตร 1 นาย และชั้นประทวน 1 นาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 194 นาย และคัดเลือกสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงานในสังกัดแต่ละกองบัญชาการที่ชนะเลิศ 1 หน่วยงาน รองชนะเลิศ 2 หน่วยงาน รวมทุกกองบัญชาการจำนวนทั้งสิ้น 32 หน่วยงาน โดยมอบรางวัล จำนวน 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 (เดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) มอบรางวัลเดือนกันยายน 2567 และครั้งที่ 2 (เดือนกันยายน ถึงธันวาคม 2567) มอบรางวัลเดือนมกราคม 2568 และยังมีรางวัลนวัตกรรมที่มอบให้กับหน่วยงานนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยจะมีการมอบรางวัลในเดือนมกราคม 2568 

จากผลการขับเคลื่อนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้เพิ่มความเข้มข้นในการกวดขันวินัยจราจร และการบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ลดลงจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ใน เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม จำนวน 356 ราย คิดเป็น -8.55 เปอร์เซ็นต์

โดยในวันนี้เป็นการมอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจรครั้งที่ 1 (ห้วงเดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) โดยเป็นรางวัลประเภทบุคคล จำนวน 30 นาย เป็นสุภาพบุรุษจราจรในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล , มอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน ชนะเลิศ ระดับกองบังคับการ จำนวน 11 หน่วยงาน และมอบรางวัล ระดับกองบัญชาการ 3 หน่วยงาน โดยครั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การจัดพิธีวันนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับตำรวจจราจร ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่และหน่วยงานที่ขับเคลื่อนโครงการฯได้เป็นอย่างดีต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนลอยกระทงปลอดภัย ต้องใส่ใจส่วนรวม แนะ 6 สิ่งต้องคำนึง ก่อนนึกถึงพระแม่คงคา

(14 พ.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ และเนื่องด้วยวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่จะถึงนี้เป็น “วันลอยกระทง” ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองด้วยการลอยกระทงตามแม่น้ำลำคลอง เพื่อขอขมาพระแม่คงคาและขอให้สิ่งไม่ดีลอยไปกับกระทง รวมไปถึงทางภาคเหนือยังมี “ประเพณียี่เป็ง” โดยเป็นการปล่อยโคมลอยหรือโคมไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบูชาและขอขมาแม่คงคา เช่นเดียวกัน ซึ่งในช่วงเทศกาลดังกล่าวจะมีพี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น เพื่อให้เทศกาลลอยกระทงเป็นไปอย่างปลอดภัย สนุกสนาน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแนะนำ 6 สิ่งที่ต้องคำนึง ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ดังนี้

1. “ความปลอดภัยทางน้ำ” ควรระมัดระวังไม่ลงไปลอยกระทงในน้ำโดยตรง และเด็กเล็กควรอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เสมอ โดยผู้ดูแลสถานที่ลอยกระทงควรจัดเตรียมเสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

2. “หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด” โดยเฉพาะบริเวณริมตลิ่ง แม่น้ำ และท่าเรือต่าง ๆ เพราะอาจเกิดอันตรายจากการเบียดเสียดกัน หรืออาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสในการลักทรัพย์ได้

3. “งดเล่นประทัดและดอกไม้ไฟ” เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ หรือทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บได้

4. “ลอยโคมในจุดที่กำหนด” โดยห้ามลอยโคมในบริเวณที่ใกล้กับสนามบิน หรือพื้นที่หวงห้าม เพราะโคมอาจลอยไปรบกวนการบิน หรืออาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

5. “ใช้กระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หลีกเลี่ยงการใช้กระทงที่ทำจากวัสดุย่อยสลายยาก เช่น โฟม พลาสติก และหลีกเลี่ยงการใช้กระทงขนมปัง เพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสียได้

6. “ระวังการลอยกระทงออนไลน์” เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพทำเว็บไซต์มาหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันอันตราย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ ได้ที่สายด่วนดังต่อไปนี้ เหตุด่วนเหตุร้าย สายด่วน 191 , เจ็บป่วยฉุกเฉิน สายด่วน 1669 , เหตุด่วนทางน้ำ สายด่วน 1196 และเหตุเพลิงไหม้ สายด่วน 199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดผลปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง

(18 พ.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร.) แถลงผลการปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” 2 ปฏิบัติการ จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , มล.ภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. , ณวิสิฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลง ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ โดยข้อที่ 9 ได้กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือ และเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. นำ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มาใช้ในการลดความรุนแรงของปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเน้นการตัดช่องติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยจากการสืบสวนของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ต.จิรวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.ฯ รรท.ผบช.สอท. โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. เป็นหัวหน้าสืบสวนฯ 

ปฏิบัติการที่ 1 : พบความผิดปกติของการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่มาใช้หลอกประชาชนจำนวนมาก เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxxx จึงได้มีการตรวจสอบ พบว่ากลุ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าวเป็นหมายเลขที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรหลอกลวงประชาชนให้ร่วมทำกิจกรรมและร่วมลงทุนรูปแบบต่างๆ 

จากการตรวจสอบทำให้ทราบว่าชุดหมายเลข 02 ดังกล่าวนั้น ได้จัดสรรให้แก่ผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยมีนิติบุคคลจำนวน 3 บริษัทได้ขอจดทะเบียนเลขหมายดังกล่าว เพื่อประกอบธุรกิจอุปกรณ์ตู้สาขาแบบ SIP Server ด้วยระบบ SIP Trunk Solution โดยรูปแบบวิธีการทำงานของระบบ SIP Trunk Solution นั้น เป็นเทคโนโลยีเพื่อให้บริการรูปแบบโครงข่ายโทรศัพท์ประจำที่ที่ใช้งานผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถบริหารจัดใช้งานเลขหมายผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานที่ และข้อจำกัดในการวางระบบโครงข่ายสายสัญญาณต่างๆ โดยจะเป็นหมายเลขที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxx ทั้งหมด

จากการสืบสวนทำให้ทราบว่ามีนิติบุคคลจำนวน 3 ราย ได้ขอจดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าว รวมจำนวน 11,201 เลขหมาย จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัททั้ง 3 แห่ง ทำให้ทราบข้อมูล ดังนี้

1. บริษัท หรวนหยุน อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนจำนวน 3,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 256,219,676 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน (ผู้ถือหุ้นใหญ่) จำนวน 1 ราย และเป็นชาวไทยอีกจำนวน 2 ราย 

2. บริษัท ยูน เตี้ยน เค่อ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด จดทะเบียนจำนวน 6,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 345,339,574 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน จำนวน 2 ราย และเป็นชาวไทยจำนวน 1 ราย 

3. บริษัท พรีมา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน จดทะเบียนจำนวน 2,201 เลข พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 128,626,642 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3  ราย ซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหมด 

จากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทั้ง 3 บริษัท ได้ใช้เบอร์ 02 โทรไปหาเหยื่อแล้วจำนวน 730,185,892 ครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ ได้ตรวจสอบการเดินทางของกรรมการบริษัทชาวจีนทั้ง 3 แห่ง กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบการเดินทางเข้าออกประเทศไทย มีเพียงชาวจีน 1 ราย ที่ได้ออกนอกประเทศไทยไปตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2566 และไม่ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จนศาลอนุมัติหมายจับทั้งหมดจำนวน 24 ราย เป็นต่างชาติจำนวน 9 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่กรรมการบริษัทและเป็นผู้จัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท ได้แก่ ชาวจีน จำนวน 3 ราย ชาวสิงคโปร์ จำนวน 1 ราย ชาวมาเลเซีย จำนวน 1 ราย ชาวเมียนมา จำนวน 1 ราย และชาวลาว จำนวน 3 ราย และออกหมายจับคนไทย จำนวน 15 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท, ผู้จัดการค่าใช้จ่าย และบัญชีม้า

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วจำนวน 10 ราย เป็นคนไทยจำนวน 9 ราย และสัญชาติเมียนมาจำนวน 1 ราย โดยดำเนินคดีฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ , ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีการและมีมุ่งหมายเพื่อการมิชอบด้วยกฎหมาย (สมคบกันเป็น อั้งยี่ หรือ ซ่องโจร) , สมคบกันกระทำความผิดฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดฐานบัญชีม้า โดยขณะนี้ได้ประสานตำรวจสากล (Interpol) ในการออกหมายแดงเพื่อจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการชาวต่างชาติที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ กลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินคดีในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กลุ่มคนร้ายต่างชาติร่วมกับคนไทย ใช้กลไกการจดทะเบียนบริษัทมาเช่าโทรศัพท์หมาย 02-xxxxxxx เพื่อทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นโทรศัพท์พื้นฐานทั่วไปในประเทศไทย แต่แท้จริงแล้วโทรมาจากต่างประเทศตามชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะนี้ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มุ่งเน้นการตัดช่องทางสื่อสารของคนร้ายของประชาชน ทำให้คดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ปฏิบัติการที่ 2 : จับกุมแก๊งจีนเทา ใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง 

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จาก “มาตรการระเบิดสะพานโจร” ทำให้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการส่ง SMS ผ่านเครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) โดยเกิดจากการร่วมปฏิบัติการของ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ AIS สืบสวนพบว่ามีคนร้ายขับรถที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ SMS ปลอม ข้อความ “คะแนน 9,268 ของคุณใกล้หมดอายุแล้ว! รีบ แลกของขวัญเลย” บริเวณย่านถนนสุขุมวิทที่มีคนพลุกพล่าน ต่อมาพบคนร้ายเป็นชายสัญชาติจีน ทราบชื่อภายหลังคือ นายหยาง มู่ยี่ อายุ 35 ปี ตรวจสอบภายในรถพบเครื่องจำลองสถานีฐานกำลังทำงานอยู่ และมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ Power Station กำลังไฟ 8,000 W จำนวน 1 ตู้ , เราเตอร์ไวไฟ จำนวน 1 ตัว และโทรศัพท์มือถืออีกจำนวน 4 เครื่อง จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส พบว่าเป็นเครื่องส่งข้อความ (SMS) ซึ่งเป็น ในลักษณะของการจำลองเสา (false base station) เพื่อส่งสัญญาณปลอมของเครือข่าย AIS โดยอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ที่มีลักษณะการดัดแปลงการส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ต่างๆ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบการได้รับอนุญาตจาก กสทช.แต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ผู้ต้องหาใช้ส่งข้อความผ่านเครื่อง false base Station พบว่า ภายในเวลา 3 วัน (11-13 พฤศจิกายน 2567) มีการส่งข้อความไปแล้วเกือบ 1 ล้านครั้ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ “ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” , “ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” และ “ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคม” ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 ดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปถึงตัวผู้จ้างวาน และเครือข่ายของขบวนการนี้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการปิดโอกาสของคนร้ายในการติดต่อประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญกรรมทางเทคโนโลยี ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นต่อไป

สมาคมตำรวจคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 9 รางวัล เสร็จสิ้นแล้ว เตรียมเสนอเพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากลประจำปี 2568 

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย.67) เวลา 17.00 น. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 เปิดเผยว่า สมาคมตำรวจได้จัดการประชุมพิจารณาคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ฯ โดยมี พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองนายกสมาคมตำรวจ และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองประธานอนุกรรมการ นั้น ขณะนี้ได้ผลการคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อส่งผลการพิจารณาคัดเลือกให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 รวมทั้งหมด 9 รางวัล เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนี้

1. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับรองสารวัตร(สอบสวน) ด้านคดีอาญาทั่วไป จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง วิภารัตน์ จำเนียรสุข รอง สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน บก.น.2 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง พิชญา กิติสุธาธรรม รอง สว.(สอบสวน) สน.บางนา บก.น.5 บช.น.
อันดับ 3 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง ฉันทรุจี เชื้อกรุงเทพ รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท.บช.ก.

2. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับรองสารวัตร(สอบสวน) ด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่เด็กหรือสตรี จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง วิรัญชนา คำแพง รอง สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งมหาเมฆ บก.น.5 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ ร.ต.ท.หญิง มนต์สินี ทำขวัญ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกำแพงเพชร ภ.6
อันดับ 3 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง กันทิมา หวังรวมกลาง รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปคม.บช.ก.

3. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสารวัตร(สอบสวน) ขึ้นไป จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง สุนันท์ วิทยาภรณ์พงศ์ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง บก.น.2 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง สราวลี ศรีเมือง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.สอท.3 บช.สอท.
อันดับ 3 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง ณัฐฐาภาณี ดวงดี สว.(สอบสวน) สน.บวรมงคล บก.น.7 บช.น. และ พ.ต.ต.หญิง กมลชนก ตันเอี่ยม สว.(สอบสวน) กก.4 บก.ปคม.บช.ก.

พล.ต.อ.วินัย ฯ กล่าวว่า ขอให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่างในการทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะทำความดี แก่ข้าราชการตำรวจอื่นๆ ต่อไป โดยผู้ที่ได้อันดับ 1 ในแต่ละรางวัล ทั้ง 3 รางวัล จะเสนอชื่อให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ) เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

(4 ธ.ค.67) เวลา 07.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล พิธีทำบุญตักบาตร และพิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ) 5 ธันวาคม 2567 โดยมี คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี 

โอกาสนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดพิธีต่าง ๆ ณ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล ณ ห้องสารสิน , พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล ณ ห้องศรียานนท์ , พิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ห้องโถง ชั้น 1 

จากนั้น เวลา 10.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินทางไปเป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “วันพ่อแห่งชาติ” ประจำปี 2567 ณ บ้านมนังคศิลา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมี คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกิจกรรม

กิจกรรมจิตอาสาครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ โดยได้ประสานหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ , กองบังคับการตำรวจจราจร , กองสวัสดิการ , โรงพยาบาลตำรวจ , กระทรวงแรงงาน , กระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , กระทรวงศึกษาธิการ , กรมประชาสัมพันธ์ , กรมทางหลวง , กรุงเทพมหานคร , การไฟฟ้านครหลวง , การประปานครหลวง , มณฑลทหารบกที่ 11 , สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา , บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด , บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) , บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์

สำหรับกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานครั้งนี้ มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น การจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์สถาบันพระมหากษัตริย์ มอบถุงพระราชทาน โรงครัวพระราชทาน , บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ , บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก , บริการตัดผม , กิจกรรมฝึกสอนอาชีพเสริม , การออกหน่วยบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ , บริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง , การแสดงดนตรีจากวงดุริยางค์ตำรวจ และการให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับในส่วนภูมิภาคต่างๆ ข้าราชการตำรวจในทุกพื้นที่ได้ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน และกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ด้วยเช่นกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมพร้อมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร การจัดงานกาชาด ประจำปี 2567 พร้อมเชิญชวนร่วมสนุกในร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภายในงานด้วย

(9 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการดูแลความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และการออกร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในงานกาชาด ประจำปี 2567 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม 2567 รวม 12 วัน ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์ ผบช.สกบ.รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม จตร.รรท.ผบช.น. , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้กำชับการรักษาความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกการจราจร โดยรอบบริเวณพื้นที่การจัดงานและพื้นที่ต่อเนื่อง , สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาความปลอดภัย , จัดทำแผนเผชิญเหตุ แผนการเคลื่อนย้ายประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย หรือโรงพยาบาลฉุกเฉิน , ระดมกวาดล้างอาชญากรรม และการพิจารณาการตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณโดยรอบพื้นที่การจัดงาน

ในด้านการรักษาความปลอดภัยภายในงานกาชาด ประจำปี 2567 กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดคัดกรอง (walk through) บริเวณทางเข้า โดยรอบสวนลุมพินี มีการสุ่มตรวจใช้แอปพลิเคชัน Crime on Mobile กับบุคคลต้องสงสัย เพื่อตรวจสอบหมายจับการกระทำผิดอาญา และผู้ที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

ในส่วนของการจราจรนั้น คาดว่าตลอดการจัดงานกาชาด ประจำปี 2567 จะมีประชาชนเดินทางไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้การจราจรโดยรอบติดสะสม จึงได้กำชับให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ต่อเนื่องอย่างเต็มกำลัง พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่สนใจมาร่วมงานเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถประจำทาง รถไฟฟ้า BTS MRT รถยนต์นั่งสาธารณะ เพื่อลดปัญหาการจราจรในพื้นที่รอบบริเวณงาน หรือจอดรถนอกพื้นที่และต่อรถที่จัดให้บริการฟรีได้

สำหรับประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานโดยรถยนต์ส่วนตัว จะมีจุดจอดรถจำนวน 4 จุด คือ ลานจอดรถประตูถนนราชดำริ จอดได้ประมาณ 150 คัน , ลานจอดรถสวนลุมพินี ทางเข้าประตู 1 ถนนวิทยุ จอดได้ประมาณ 200 คัน , จุดจอดรถสวนป่าเบญจกิติ จอดรถยนต์ได้ประมาณ 300 คัน จอดรถจักรยานยนต์ได้ประมาณ 400 คัน และจุดจอดรถสนามกีฬาแห่งชาติ จอดได้ประมาณ 100 คัน โดยจุดจอดรถสวนป่าเบญจกิติ และสนามกีฬาแห่งชาติ จะมีรถ Shuttle Bus รับ-ส่งผู้ที่มาร่วมเที่ยวชมงาน 

นอกจากนี้ ยังมีอาคารจอดรถเอกชนที่สามารถรองรับรถของประชาชนที่จะเดินทางไปร่วมงานกาชาด ซึ่งมีค่าบริการที่จอดรถ ได้แก่ อาคาร one Bangkok จอดได้ประมาณ 3,000 คัน , อาคารสินทร ถนนวิทยุ จอดได้ 1,200 คัน , อาคารเคี่ยนหงวน ถนนวิทยุ จอดได้ 50 คัน , โครงการเวลา หลังสวน จอดได้ 200 คัน , อาคารออลซีซั่น ถนนวิทยุ จอดได้ 3,000 คัน , เดอะ เมอคิวรี่ ทาวเวอร์ จอดได้ 390 คัน และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จอดได้ 2,000 คัน

ทั้งนี้ ในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นเจ้าภาพหลักในการออกร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจออกร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตั้งอยู่บริเวณโซน 5 โดยในส่วนของร้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การจัดนิทรรศการ “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” , กิจกรรมยิงปืนอัดลม (บีบีกัน) ปาลูกโป่ง หนุ่มน้อยตกน้ำ ขี่ม้าพาเพลิน , การออกร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งการแสดงของม้าตำรวจ และสุนัขตำรวจ

สำหรับร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะจัดตกแต่งในรูปแบบสวนอังกฤษย้อนยุค ซึ่งจะมีทางเชื่อมต่อกับร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจมีกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน ได้แก่ กิจกรรมจับสลากพฤกษากาชาด ลุ้นรับของรางวัลมากมาย และเลือกช็อปสินค้าที่น่าสนใจ ราคาย่อมเยา จากสมาคมแม่บ้านตำรวจและชมรมแม่บ้านตำรวจทั่วประเทศ พร้อมพบกับศิลปินดาราจำนวนมากที่จะมาร่วมสนุกที่ร้านทุกวัน

กิจกรรมในส่วนของเวทีกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้ร่วมงานจะเพลิดเพลินไปกับการแสดงดนตรีในสวน การแสดงของบุตรหลานข้าราชการตำรวจ เล่นเกมชิงรางวัล และพบกับศิลปินดารามากมายที่สลับสับเปลี่ยนมาร่วมสนุกบนเวทีในทุกวันด้วย

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” ระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม 2567 รวม 12 วัน ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เวลา 11.00 - 22.00 น. วันสุดท้ายปิด 23.00 น. และแพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คัดตำรวจ!! หนุ่ม หน้าตาดี กล้ามโต ให้ผู้ร่วมงานกาชาด ได้ปา ‘ลูกบอล’ เรียกเสียงเฮฮา ลั่นบูธ

(15 ธ.ค. 67) การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 11-22 ธ.ค. 2567 ที่สวนลุมพินี นอกจากจะมีกิจกรรมเสี่ยงโชคอย่างการตักไข่ และสอยดาว รวมทั้งสลากกาชาด รายได้มอบให้สภากาชาดไทยแล้ว บูธที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานและกลายเป็นไวรัล คือบูธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีกิจกรรมที่ชื่อว่า ‘ตำรวจตกน้ำ’ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานต่างสนใจร่วมกิจกรรมอย่างล้นหลาม

โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นเจ้าภาพหลักในการคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมกิจกรรมภายในงานกาชาดประจำปี 2567 เพื่อการกุศล โดยได้คัดตำรวจชายจากทุกกองบังคับการและกองกำกับการในสังกัดตำรวจนครบาล ที่มีหน่วยก้านดี รูปร่างหน้าตาดี สุขภาพแข็งแรง ประมาณ 40 นาย เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยในวันงานตำรวจที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้จะสวมเสื้อกีฬาและกางเกงกีฬาเพื่อความคล่องตัว โดยแต่ละถังน้ำจะมีข้อความว่า 

"มีใจก็มาปา รอช้าอยู่ทำไม" 

และ "ใจเธอที่เย็นชา ยังไม่เท่าน้ำประปาที่เย็นเจี๊ยบ" 

เมื่อเข้าร่วมงานที่ซื้อคูปอง ปาลูกบอลเข้าเป้าที่มีรูปหัวใจ ตำรวจที่นั่งอยู่ด้านบนถังน้ำจะตกลงมา เรียกเสียงเฮฮาแก่ผู้เข้าร่วมงานอย่างสนุกสนาน

นอกจากกิจกรรมตำรวจตกน้ำแล้ว แต่ละหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะจัดกิจกรรมหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน ทั้งการแสดงจากศิลปิน ดารา นักแสดง ตำรวจม้า สุนัขตำรวจ และจากอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นข้าราชการตำรวจ เช่น ทีมสืบนครบาล นำโดย พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือสารวัตรแจ๊ะ, ช่องกากีนั้ง ทีวี นำโดย สารวัตรเติ้ก ผู้กองไอซ์ ผู้กองแพรว ฯลฯ

รวมทั้งการจับสลากพฤกษากาชาด ของร้านสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ชมรมแม่บ้านตำรวจจากแต่ละสังกัด จะสลับสับเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพประจำวัน รวมทั้งการจำหน่ายกาแฟจากร้านปันรักษ์คาเฟ่ภายในงานอีกด้วย

สำหรับการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 จะมีไปถึงวันที่ 22 ธ.ค. 2567 ตั้งแต่เวลา 11.00 ถึง 22.00 น. แนะนำให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดง รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีสีลม และสถานีลุมพินี รวมทั้งรถประจำทางแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยการจัดงานวันสุดท้ายเปิดถึงเวลา 23.00 น.

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ำเตือน ตำรวจอายัดเงินเองได้ ไม่ต้องโอนมาให้ตรวจสอบ หากมีตำรวจวิดีโอคอลให้โอนเงิน มิจฉาชีพแน่นอน

(15 ธ.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยประชาชนในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนเกี่ยวกับรูปแบบของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หลอกลวงให้ผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี และให้โอนเงินมาเพื่อตรวจสอบแสดงความบริสุทธิ์ใจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอย้ำเตือนพี่น้องประชาชน ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ มีอำนาจตามกฎหมายในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด โดยไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของทรัพย์สินโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่

โดยหากพี่น้องประชาชนพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้วิธีการวิดีโอคอลหาท่าน 
เพื่อโน้มน้าวหรือข่มขู่ให้ท่านโอนเงิน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หรือบางครั้งอาจข่มขู่ถึงขั้นให้ถอดเสื้อผ้า ถ่ายคลิปวิดีโอ ขอให้พี่น้องประชาชนนึกไว้ก่อนเลยว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน

ทั้งนี้หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 และถ้าท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหาย สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่ เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน 1441 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top