Thursday, 22 May 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้แทนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน หารือกระชับความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมร่วมเดินหน้ากวาดล้างขบวนการทั้งในเมียนมา กัมพูชา และลาว 

เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ ผบช.ส. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.รรท.รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวสิน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ตรุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด. , พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.ตท. , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รอง ผบก.อก.บช.ส.รรท.ผบก.ปคม. ร่วมหารือกับผู้แทนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย นายหลิว จงอี้ (Mr.Liu Zhongyi) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน/ผู้บัญชาการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรม และคณะ ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการหารือวันนี้เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในการปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ทั้งการป้องกัน , การปราบปรามจับกุม , การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ,การติดตามจับกุม 30 ผู้ต้องหาที่ทางการจีนออกหมายจับคดีหลอกลวงนายหวังซิง นักแสดงชาวจีน ซึ่งทางการจีนจับกุมได้แล้ว 20 คน , การช่วยเหลือบุคคลสูญหายหรือถูกกักไว้โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี , การตัดระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำ ไฟ สัญญาณอินเตอร์เน็ต จากไทยไปยังฝั่งเมียวดี และการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ การบังคับใช้กฎหมาย ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ทางการจีนได้มีข้อเสนอในการจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างไทย-จีน ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอทางการจีนว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้ประสานความร่วมมือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในการร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศ ซึ่งวานนี้ (27 มกราคม 2568) ทางสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้เชิญตนเป็นผู้นำหน่วยปฏิบัติเฉพาะกิจด้านการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Lead the Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce) ซึ่งจะมีการประสานการทำงานร่วมกันในระดับสากล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความยินดีหากทางการจีนเข้าร่วมกับศูนย์ประสานดังกล่าว เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่เพียงจะปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา เท่านั้น แต่จะร่วมมือกันในการขยายผลปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งประเทศกัมพูชา และบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในพื้นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และตัดระบบสาธารณูปโภค เช่น ซิม สาย เสา น้ำ และไฟฟ้า มาโดยตลอด ตามยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” และประสานความร่วมมือกับกองทัพบกและฝ่ายปกครองในการลาดตระเวนตลอดแนวชายแดน ป้องกันการลักลอบให้บริการดังกล่าวจากฝั่งไทย และที่ผ่านมายืนยันว่ายังไม่พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการกระทำความผิดในประเทศไทย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการประสานข้อมูลจากทางการจีนในเรื่องของคนร้ายที่กระทำผิด เพื่อกรณีมีคนร้ายเข้ามาในประเทศไทย แม้ไม่มีหมายจับ แต่ทางการไทยจะใช้ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ในการเพิกถอนวีซ่า และประสานส่งตัวกลับประเทศต้นทางได้ทันที

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ทางการจีนขอขอบคุณและชื่นชมสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และทางการไทย ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งทางการจีนยินดีให้ความร่วมมือกับไทยในทุกด้าน เพื่อการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ เน้นแก้ปัญหาเร่งด่วน 3 ด้าน

(29 ม.ค. 68) เวลา 11.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2568 ข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมวันนี้เน้นย้ำส่วนราชการระดับกระทรวงและเทียบเท่า และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดำเนินการเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนดำเนินการผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. การกระชับความร่วมมือในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน โดยขอให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน มุ่งไปสู่การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น
3. การดูแลความมั่นคง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหลักในการร่วมดำเนินการในเรื่องการป้องกันปราบปรามปัญหายาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวและกลุ่มชาติพันธุ์

ทั้งนี้ ตามนโยบายรัฐบาล 10 นโยบาย ซึ่งมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3 นโยบาย ได้แก่ นโยบายที่ 7 การเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว , นโยบายที่ 8 การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร และนโยบายที่ 9 การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งตามนโยบายดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งรัดดำเนินการ ดังนี้

การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร โดยเน้นการสืบสวนหาข่าวประเทศเพื่อนบ้าน การตรวจสอบและลาดตระเวนชายแดน การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนจุดพักคอย และเส้นทางหลัก เส้นทางรอง พื้นที่ชั้นใน การสืบสวนปราบปรามจับกุม ทำลายเครือข่าย และการป้องกันสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรี โดยบูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม         ยาเสพติด และประเทศเพื่อนบ้าน ในการทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดข้ามชาติ ผู้ค้ารายย่อย สกัดกั้นเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติด ปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายทั่วประเทศ และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ  

การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดมาตรการระเบิดสะพานโจร เพื่อตัดช่องทางการติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ รวมทั้ง กรณีปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังพื้นที่ชายแดน ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ตั้งแต่กระบวนการก่อนเดินทางเข้าประเทศ ขณะอยู่ในประเทศ การสกัดกั้นแนวชายแดน และการช่วยเหลือ ประสานงานจากประเทศที่สาม โดยให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 7 วัน พร้อมคาดโทษตำรวจทุกหน่วยที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกำลังพลจำนวนจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในห้วงเวลานี้ ได้แก่ ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวงไปยังประเทศที่สาม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักในภารกิจสำคัญดังกล่าว และได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านกำลังพลและ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับกระทรวง ทบวง กรม ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในห้วงเวลานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการประชุมและ กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ให้หน่วยในสังกัดไปปฏิบัติ ตั้งแต่ก่อนคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศ การปฏิบัติท่าอากาศยาน เส้นทาง รถเช่า รถสาธารณะ และจุดพักต่าง ๆ ตลอดจนในพื้นที่จังหวัดชายแดน และการสกัดกั้น รวมทั้งการช่วยเหลือประสานงานกับประเทศที่สาม จึงใคร่ขอความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง กองกำลังทหาร ฝ่ายปกครอง และภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่และส่วนกลาง ได้ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน เกิดความผาสุกแก่ประชาชน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยต่อไป 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติตีแผ่ 5 กลลวงมิจฉาชีพ หลอกทำงานชายแดน สุดท้ายตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์

(2 ก.พ. 68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณแนวชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม โดยในห้วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางผ่านบริเวณแนวชายแดนเพื่อไปทำงานในองค์กรอาชญากรรม ซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางไปโดยสมัครใจและผู้ที่ถูกหลอกลวง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอตีแผ่ 5 กลลวงมิจฉาชีพที่หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้ไปทำงานในองค์กรอาชญากรรมบริเวณแนวชายแดน ดังนี้
1. เงินเดือนสูง ไม่ต้องมีประสบการณ์ - คนร้ายจะเสนอเงินเดือนที่สูงผิดปกติ เช่น 30,000-50,000 บาท สำหรับงานทั่วไป โดยไม่ต้องมีประสบการณ์หรือคุณวุฒิการศึกษา
2. ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า - อ้างว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการ เช่น ค่าตั๋วเดินทาง ค่าวีซ่า หรือค่าประกันงานก่อน พร้อมใช้ข้ออ้างว่าจะได้เงินคืนเมื่อเริ่มงาน
3. รีวิวประสบการณ์ปลอม - ลงรับสมัครงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้บัญชีปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ พร้อมรีวิวประสบการณ์ทำงานปลอม อ้างว่ามาจากผู้ที่เคยทำงาน
4. ทำให้ดูเร่งด่วน - บอกว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ต้องตัดสินใจทันที เช่น “รับสมัครด่วน จำนวนจำกัด” พร้อมกดดันเหยื่อให้รีบตัดสินใจโดยไม่มีเวลาคิด
5. หลอกว่าทำงานกาสิโนหรือสถานบันเทิง - อ้างว่าเป็นงานในกาสิโนหรือสถานบันเทิงที่ถูกกฎหมาย แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ทำงานในแก๊ง Call Center

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงให้เดินทางไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะท่านอาจถูกบังคับให้กระทำความผิดและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และหากท่านพบเบาะแสการหลอกลวงให้เดินทางไปทำงาน หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืน

(6 ก.พ.68) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนตามปกติ มุ่งสร้างความสงบเรียบร้อยอย่างยั่งยืนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน เร่งรัดจับกุมบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปอร.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปอร.ตร. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนกำหนดแนวทางการทำงานให้เป็นระบบ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งเร่งรัดขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยได้ประชุมขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อมอบนโยบาย กำหนดแนวทาง กำชับการปฏิบัติให้กับทุกหน่วยทั่วประเทศ และร่วมบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน      

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันมีเรื่องของความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดพฤติการณ์ที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล 17 มูลฐานความผิด อาทิ นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ, รับจ้างทวงหนี้, ผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูล, ลักลอบจับบ่อนพนัน, พนันออนไลน์, call center, มือปืนรับจ้าง, ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด, หลอกลวงนักท่องเที่ยว และขบวนการค้ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆ เหล่านี้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่มีลักษณะเป็นมาเฟียต่างชาติ เรียกค่าไถ่ หรืออาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระดมสรรพกำลังดำเนินการปราบปรามอย่างเต็มกำลังมาโดยตลอด 

โดยในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการคัดกรองเป้าหมาย รวม 943 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปฏิทินมือปืน 2564 จำนวน 240 ราย ผู้มีอิทธิพลที่ส่งมาจากกระทรวงมหาดไทย 130 ราย และกองบังคับการปราบปรามรวบรวม 573 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอิทธิพลเกี่ยวกับการฮั้วประมูล การบุกรุกที่สาธารณะ แก๊งเงินกู้โหด และแก๊งอาชญากรรม ซึ่งนำทั้งหมดมาคัดกรองเป็นเป้าหมายคุณภาพ เหลือเพียง 71 เป้าหมาย
           
สำหรับแนวทางในการรวบรวมเป้าหมาย ได้กำหนดให้ทุกหน่วยดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก รวบรวมจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่มีประวัติการกระทำความผิด และมีหมายจับอยู่แล้ว และส่วนที่สอง รวบรวมจากผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดต่างๆ ที่ประชาชนในพื้นที่มีความรู้สึกว่า หากอยู่ในพื้นที่แล้ว ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน หรือใช้ชีวิตไม่ปกติสุข แล้วให้รายงานมายังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งเป็นเลขาศูนย์ฯ รวบรวม เพื่อดำเนินการต่อไป

ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนร้องเรียนพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ได้ทางเพจ Facebook ชื่อ 'ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ' หรือโทรสายด่วน 1195 หรือ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาลัยและสดุดี 2 ตำรวจกล้า สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 

(20 ก.พ.68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสูญเสียตำรวจน้ำดีจากเหตุคนร้ายลอบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 2 นาย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.25 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ขณะที่ จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ปฏิบัติหน้าที่ชุดสายตรวจ 20 ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบโดยรถจักรยานยนต์สายตรวจ หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีการมั่วสุมยาเสพติดในซอยหลังสถานตรวจสภาพรถยะรัง หมู่ 3 อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุ มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลอบยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย เป็นเหตุให้ จ.ส.ต.เดโชฯ และ ส.ต.ต.ทรงชัยฯ เสียชีวิต 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองสารนิเทศ ขอสดุดีตำรวจกล้าทั้ง 2 นาย ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มความสามารถ พลีชีพในหน้าที่ 'ตำรวจ' รักษาความสงบสุข ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของตำรวจทั้ง 2 นาย พร้อมสั่งดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ กรณี จ.ส.ต.เดโช เขียวแก้ว ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี จะได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,460,960 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'พ.ต.อ.' และ ส.ต.ต.ทรงชัย จันทรภาพ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 2,289,540 บาท พิจารณาความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศเป็น 'ร.ต.อ.'

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขับเคลื่อนปราบปรามยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 3 คดี

ตามที่ นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนใน 2 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่ ยาเสพติด และอาชญากรรมออนไลน์ อย่างเด็ดขาดและครบวงจร นั้น 
 
ในส่วนของยาเสพติด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ตอนในรอบ กทม.และปริมณฑล รวม 9 จว. ทำการสืบสวนหาข่าวเพื่อทำลายแหล่งพักคอยและรวบรวมยาเสพติดที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวตะเข็บชายแดนเข้ามายังพื้นที่ตอนในเพื่อรอเตรียมส่งต่อให้กับลูกค้า หรือที่เรียกกันว่า 'โกดัง' โดยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน ตำรวจภูธรภาค 1 ได้จับกุมคดียาเสพติดรวม 9,727 คดี ผู้ต้องหารวม 9,797 คน  ตรวจยึดของกลางที่สำคัญ ได้แก่ ยาบ้า รวม 35.1 ล้านเม็ด, ไอซ์ 2,870 กิโลกรัม, เคตามีน 36 กิโลกรัม และยาอี 273,349 เม็ด ซึ่งได้มีการแถลงผลการจับกุมอย่างต่อเนื่องไปแล้ว

ในวันนี้ ขอแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ซี่งสามารถทำการจับกุมได้ในวันที่ 18 - 19 ก.พ.68 รวม 3 คดี

คดีที่ 1 จับกุมแหล่งพักคอย 'ทีมโกดังป่างิ้ว อ่างทอง' พร้อมยาบ้า 8.4 ล้านเม็ด ตำรวจภูธรภาค 1 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช. ภ.1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา, พล.ต.ต.กิตติ สกุณี ผบก.ภ.จว.อ่างทอง, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 และ พ.ต.อ.จักรพันธ์ โอสถากันต์ ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.1 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.1

กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น.

สำนักงาน ปปส.ภาค 1 นำโดย นาย ทิพเมษฐ์ สังขวรรณะ ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 1 และ ว่าที่ร้อยตรี อากาศ ปานแย้ม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ สำนักงาน ปปส.ภาค 1

คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือน พ.ย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี และได้มีการสืบสวนขยายผล กระทั่งทราบว่า ยาเสพติดดังกล่าวได้รับมาจากโกดังพัก ยาเสพติด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ป่างิ้ว อ.เมือง จว.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เฝ้าติดตามตรวจสอบบริเวณโกดังดังกล่าวเรื่อยมา

ต่อมาในวันที่ 18 ก.พ.68 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ตรวจสอบพบว่า มีถุงพลาสติกสีดำจำนวนหลายถุงภายในมีสิ่งของบรรจุอยู่ ถูกวางไว้ภายในบริเวณโกดังดังกล่าว เชื่อว่า มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ภายในถุงพลาสติกสีดำ  และได้มีชาย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาภายในบริเวณโกดังดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัวและเข้าทำการตรวจค้นภายในโกดัง ผลการตรวจค้น พบยาบ้า จำนวนประมาณ 8,400,000 เม็ด ซุกซ่อนมากับ ขิง ที่บรรจุรวมกันอยู่ภายในถุงพลาสติกสีดำเพื่อปิดบัง อำพราง จึงได้จับกุมชายทั้ง 4 รายดังกล่าวซึ่งพยายามหลบหนี จากการสอบถามผู้ต้องหารับสารภาพว่ากำลัง จะเตรียมแพคยาเสพติดดังกล่าวเพื่อส่งให้แก่ลูกค้า 

จึงได้ทำการขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นลูกค้าขณะนำรถยนต์มารอรับยาเสพติดได้อีก 1 ราย รวมทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมทั้งตรวจยึดทรัพย์สินจากผู้ต้องหา ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือและยานพาหนะ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป

สำหรับ ยาเสพติดของกลางทั้งหมดที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ หากมีการนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป จะมีมูลค่ารวมสูงถึง 160,000,000 บาท

คดีที่ 2 จับกุมยาเสพติด เครือข่าย 'แจ็ค หนองไผ่' พร้อมยาบ้า 3.2 ล้านเม็ด คดีนี้สืบเนื่องจาก 1)กรณีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67 เวลาประมาณ 02.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ได้พบรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่น วีโก้ สีดำ เสียหลักตกถนนบริเวณพื้นที่ ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ภายในรถพบยาบ้า ประมาณ 3.2 ล้านเม็ด จึงได้ทำการตรวจยึดส่งพนักงานสอบสวน สภ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย    

2)กรณีเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 เวลาประมาณ 17.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.วิเศษชัยชาญ และ กก.สส.ภ.จว.อ่างทอง ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางยาบ้า จำนวน 957,980 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 1,314.3 กรัม เหตุเกิดที่ ต.สาวร้องไห้ อ.วิเศษชัยชาญ จว.อ่างทอง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิเศษชัยชาญ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผลจากทั้ง 2 คดีดังกล่าว ทำให้ทราบว่า ยาเสพติดที่พบทั้ง 2 คดีนั้น มีรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้าสีขาว ตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ผค 8917 เพชรบูรณ์ เป็นผู้ขนลำเลียงยาเสพติดมาจากเขตอีสานเหนือมาส่งแพร่กระจายในพื้นที่ จว.ลพบุรี และ จว.อ่างทอง จึงได้ทำการสืบสวนติดตามพฤติกรรมของรถยนต์กระบะตู้ทึบคันดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 19 ก.พ.68 เวลาประมาณ 16.30 น. พบรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบ เชื่อว่ากำลังขนลำเลียงยาเสพติดจาก จว.เพชรบูรณ์ เข้ามายังพื้นที่ จว.ลพบุรี โดยมีรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโมบิลิโอ้ สีขาว ทะเบียน กบ 5079 เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่รถนำ จึงได้ร่วมกันติดตามจนกระทั่งพบรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบฯ มาจอดอยู่บริเวณบ้านหลังหนึ่ง อยู่ที่ ต.โคกลำพาน อ.เมืองลพบุรี จว.ลพบุรี จึงเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ดังนี้
1. นายฐาปนพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.ลพบุรี ทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติด และนำยาเสพติดจำหน่ายในพื้นที่ จว.ลพบุรี
2. นายเฉลิมพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.ลพบุรี ทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติด และนำยาเสพติดจำหน่ายในพื้นที่ จว.ลพบุรี
3. นายเครดิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่ลำเลียงยาเสพติดจากเขตอีสานเหนือมาส่งในพื้นที่ จว.ลพบุรี
4. นายจีรศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.เพชรบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นรถนำระหว่างขนลำเลียงยาเสพติด

พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางและอายัดทรัพย์สิน ดังนี้
1) ยาบ้า ประมาณ 3,200,000 เม็ด
2) รถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ตู้ทึบ ทะเบียน ผค 8917 เพชรบูรณ์  (รถขนลำเลียง)
3) รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโมบิลิโอ้ สีขาว ทะเบียน กบ 5079 เพชรบูรณ์  (รถนำ)
4) รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น MUX สีเทา หมายเลขทะเบียน 6 กม 5011 กรุงเทพมหานคร 
5) โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง
6) อายัดเงินในบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี เฉลิมพล (ขอสงวนนามสกุล) จำนวน 521,790.84 บาท

จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี ดำเนินการตามกฎหมาย

คดีที่ 3 ร่วมกับ บช.ปส. สกัดจับรถลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน ได้ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 2,464 กิโลกรัม คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มหาราช ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ว่าได้ติดตามรถต้องสงสัยเป็นรถยนต์ตู้ทึบ จำนวน 2 คัน มีรถนำและรถ  ปิดท้าย ขับตามกันมาตามถนนสายเอเชีย จากทางภาคเหนือมุ่งหน้า จว.ปทุมธานี โดยรถตู้ทึบดังกล่าวต้องสงสัยว่าเป็นรถที่ใช้ในการขนยาเสพติด จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มหาราช ตั้งจุดตรวจจุดสกัดรถดังกล่าว พ.ต.อ.วุฒิชัย สุคนธวิท ผกก.สภ.มหาราช จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดที่ตู้ยาม ต.02 ม.4 ต.ท่าตอ อ.มหาราช จว.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สกัดจับรถยนต์ตู้ทึบ 2 คัน พร้อมรถติดตามอีก 1 คัน ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง จากการตรวจค้นรถทั้ง 3 คัน พบมีวัตถุเป็นหีบห่อมีสิ่งของบรรจุไว้ ลักษณะคล้ายยาเสพติด อยู่ในรถยนต์ตู้ทึบทั้ง 2 คัน เมื่อแกะออกมาพบวัตถุเกร็ดใสคล้ายยาเสพติด (ไอซ์) ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยน้ำยาเคมีพบว่าเป็น ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 2,464 กิโลกรัม

จึงทำการจับกุมผู้ต้องหา 3 คน ได้แก่ 
1. นายพิษณุ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ  26 ปี สัญชาติ ไทย ภูมิลำเนาอยู่ที่ จว.บุรีรัมย์  
 2. นายสุวิทย์ (ขอสงานนามสกุล)  อายุ 33 ปี สัญชาติ ไทย ภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์    
3. นายหล้า (ขอสงานนามสกุล)  อายุ 41 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ 
พร้อมด้วยของกลาง 4 รายการ ได้แก่ 
1) รถยนต์กระบะ ตู้ทึบ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 1 ฒศ 6772 กรุงเทพฯ
2) รถยนต์กระบะ ตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า สีขาว ทะเบียน 1ฒว 7280 กรุงเทพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีใหญ่ สมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการตํารวจ

(27 ก.พ.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีสมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) โดยมี รอง ผบ.ตร. , จเรตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วย ผบ.ตร. , คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และ คณะ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ร่วมพิธี ณ สถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) บริเวณลานหอพระนิรันตราย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์ และพิธีสักการะศาลพระนารายณ์ 

สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมบริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช (รัชกาลที่ 4) และทําการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณของสํานักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ข้าราชการตํารวจให้ความเคารพนับถือและศรัทธามาอย่างยาวนาน ได้แก่ ศาลพระชัยมงคล ศาลพระภูมิ ศาลพระวิสุทธิเทพ (ในอนันตะจักรวาฬ ไตรโลกธาตุ) และศาลตายาย มารวมไว้ยังสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) บริเวณลานหอพระนิรันตราย พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ให้มีความเหมาะสม เรียบร้อย สง่างาม รวมถึงสร้างความสะดวกต่อการเข้าสักการะของข้าราชการตํารวจและประชาชนทั่วไป 

สำหรับรูปแบบของศาลใหม่นั้นมีลักษณะเป็นศาลไม้ ทําจากไม้สัก ตั้งบนแท่นปูน ปั้นบัวถอดพิมพ์ โดยศาลพระชัยมงคล ศาลพระภูมิ และศาลพระวิสุทธิเทพ (ในอนันตะจักรวาฬ ไตรโลกธาตุ) มีลักษณะเป็นเรือนไทยแบบเรือนเครื่องสับ ทรงจตุรมุข แท่นปูนทรงทึบ ให้เป็นเสาต้นเดียวตามคติพราหมณ์ ส่วนศาลตายาย เป็นเรือนไทยเครื่องสับทรงผืนผ้า การประดับลวดลายน้อยกว่าศาลเทวดา ส่วนแท่นรับเป็นสี่เสา พื้นตัวเรือนมีสองระดับ คือ ระดับเรือนภายใน สําหรับตั้งรูปตายาย และระดับระเบียงด้านหน้า สําหรบตั้งรูปบริวาร ลักษณะศาลมีพื้นลดระดับนี้ เรียกว่า "เสือหมอบ" เป็นคติการทําศาลตายาย นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ศาลพระนารายณ์ ปางประทับยืนเหนือพญาอนันตนาคราช ลักษณะเป็นองค์สีดําประดิษฐานอยู่กลางสระนํ้าที่รายล้อมไปด้วยตนไม้นานาชนิด

ทั้งนี้ พิธีสมโภชศาลพระภูมิ และสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (แห่งใหม่) เป็นพิธีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นพิธีมงคลครั้งสำคัญ เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการตํารวจ และประชาชนที่เข้ามาสักการะด้วยความเคารพศรัทธาสืบไป 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือน ปชช. ระวัง!! มิจฉาชีพ แอบอ้างเป็น Facebook หรือ Meta เพื่อขโมยบัญชี 

(9 มี.ค. 68) รูปแบบการหลอกลวง !!

มิจฉาชีพส่งอีเมลปลอม หรือข้อความปลอม อ้างว่า “เฟซของคุณจะถูกลบถาวรเนื่องจากละเมิดสิทธิ์เครื่องหมายการค้า กรุณายื่นอุทธรณ์ที่ลิงก์นี้” หรือ “บัญชีของคุณมีพฤติกรรมผิดปกติ คลิกที่นี่เพื่อยืนยันตัวตน”

จากนั้นจะมีลิงก์ปลอมให้กด
หากคุณใส่ Username และ Password ข้อมูลจะถูกขโมย และบัญชีของคุณอาจถูกยึด

วิธีป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์

1. อย่าคลิกลิงก์จากอีเมลหรือข้อความที่ไม่น่าเชื่อถือ
หากได้รับข้อความแปลกๆ ให้เข้าเว็บ Facebook หรือ Meta โดยตรง

2. ตรวจสอบ URL ก่อนกรอกข้อมูล
Facebook จริง URL ต้องเป็น: .com เท่านั้น
URL ปลอมมักมีลักษณะแปลกๆ เช่น: การสะกดผิด และ Domain เป็น .xyz

3. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่าน
Facebook ไม่มีนโยบาย ขอรหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญผ่านอีเมลหรือข้อความ

4. เปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA)
ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้บัญชี แม้ว่ารหัสผ่านของคุณจะรั่วไหล

5. แพลตฟอร์มจะไม่ขอข้อมูลส่วนตัว
หรือขอให้ผู้ใช้ทำตามขั้นตอนใดๆ ผ่านอินบ็อกซ์ และไม่ควรกดลิงก์ใดๆ หากพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย

รอง ผบ.ตร. มอบเข็ม 'สยบไพรีกิตติมศักดิ์' แก่สมาชิกวุฒิสภา ที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

เมื่อวันที่ (12 มี.ค.68) ที่ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธี มอบใบประกาศและเครื่องหมายแสดงความสามารถ สยบไพรีกิตติมศักดิ์ แก่บุคคลผู้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยมี พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง สมาชิกวุฒิสภา, พล.ต.ท.ศรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ปส.2 และ ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธี

สำหรับผู้ที่เข้าเครื่องหมายปราบไพรี กิตติมศักดิ์อครั้งนี้ ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา นายกัมพล สุภาแพ่ง นายเดชา นุตาลัย นายธนกร ถาวรชินโชติ นายนิคม มากรุ่งแจ้ง พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายพิบูลย์อัทฒ์ หฤหรรษ์ปราการ นายมานะ มหาสุวีระชัย นายรุจิภาส มีกุศล นายเศก จุลเกษร นายเศรณี อนิลบล
นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ นายสุวิทย์ ขาวดี
นายอะมัด อายุเคน นายอัครวินท์ ขำขุด 

คณะอนุกรรมาธิการด้านปลอดภัยการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ นาวาเอก(พิเศษ) มนตรี ศิริไพศาล ดร.สมชาย กระแจะเจิม นายสมชาย จรรยา เลขานุการ คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นายอรรถพล เจริญชันษา นายฌาณวัชร์ หุ้นอิทธิดิษฐ์ นิติกรชำนาญการกลุ่มงานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ สำนักกรรมาธิการ 2 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 

โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย พ.ต.อ.ฉัตรชัย โรหิตาภิรมย์พยาบาล (สบ 4) โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.ท.หญิง ภัทรกร ธนกนกบวรกุล พยาบาล (สบ 3) โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.ท.หญิง อรอนงค์ อุทัย นักกายภาพบำบัด (สบ3) โรงพยาบาลตำรวจ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวแสดงคำขอบคุณและความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับมอบเครื่องหมายสยบไพรีกิตติมศักดิ์ ซึ่ง ตร. จะพิจารณามอบให้แก่บุคคล ผู้เสียสละ ช่วยเหลือสนับสนุนและทำคุณประโยชน์ ให้แก่ทางราชด้วยดีเสมอมา เพื่อเป็นเกียรติ และขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีในอนาคต

พร้อมทั้งได้เชิญผู้เข้ารับเครื่องหมายสยบไพรีกิตติมศักดิ์และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมสดุดีและไว้อาลัย ร.ท.ภูริวัฒน์ คำสง ผบ.มว.ปล.ที่ 1 ร้อย ร.ที่ 2 ผู้กล้าที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ จากเหตุคนร้ายซุ่มยิ่งขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเป็นน้องชายของ พ.ต.ท.หญิง ฝนอริน คำสง สว.ฝอ.บก.สอท.2 ปฏิบัติราชการสำนักงาน รอง ผบ.ตร. ซึ่งถือเป็นเสมือนสมาชิกครอบครัวของรองแจง และเป็นมดงานในการประสานการจัดพิธีในครั้งนี้

สำหรับเครื่องหมายสยบไพรี เป็นตราสัญลักษณ์รูป นกอินทรีสยายปีก ทำท่าเหินเวหา ปากคาบปืนเอ็ม 16 พร้อมดาบปลายปืนในกงเล็บมือประกายสายไฟ โดยกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อดีตเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ประทานนามให้แก่หน่วยกองกำลังชุดปฎิบัติพิเศษในการปราบปรามยาเสพติดว่า “สยบไพรี”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสหราชอาณาจักร เปิดตัว 'สถานีตำรวจนำร่อง' เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องหา สู่ความเป็นเลิศด้านสิทธิมนุษยชน

(19 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมและเปิดตัวโครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายพิทยา จินาวัฒน์  ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , Mr. David Thomas Deputy อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย , Mr.David Lawes ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย สหราชอาณาจักร , Ms.Leanne Moorhouse ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องติดตัว จาก Devon & Cornwall Police สหราชอาณาจักร , Mr.Seamus Weightman เจ้าหน้าที่หัวหน้าส่วนคุมขัง จาก Northumbria Police สหราชอาณาจักร พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ธนู พวงมณี ผู้บังคับการกองยุทธศาสตร์ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พ.ต.อ.ธรา แปงเครื่อง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 และ พ.ต.อ.ศิริชาติ จันทร์พรมมา ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ร่วมประชุมและเปิดตัวโครงการฯ ณ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

โครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล จากการริเริ่มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินโครงการฯ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสหราชอาณาจักร โดย Mr. David Thomas อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย โดยการนำแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practice) และบทเรียน (Lesson learned) เกี่ยวกับการควบคุมผู้ต้องหาจากสหราชอาณาจักรมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายและบริบทของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ต้องหาให้ปลอดภัยจากการซ้อมทรมาน และป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และส่งเสริมความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องชีวิต ร่างกาย และวิธีการปฏิบัติ 

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสหราชอาณาจักร ที่จะพัฒนาการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัย โดยแนวทางการปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นนั้นต้องสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง และเป็นผลดีต่อทั้งผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ไปรับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนอร์ทัมเบรีย ณ สหราชอาณาจักร และยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย จากสหราชอาณาจักร มาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อนำแนวทางปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำหลัก "Change by Design" มาพัฒนาแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเน้นการออกแบบเชิงระบบ เริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างห้องควบคุมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ตลอดเวลา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกขั้นตอนต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ห้องขัง นอกจากนี้ ยังพัฒนากระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัยและโปร่งใส โดยการประเมินความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัว การจัดทำบันทึกควบคุมตัวโดยละเอียด มีการบันทึกทรัพย์สินส่วนบุคคล และการตรวจสอบการควบคุมตัวโดยผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะถูกบันทึกลงในบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างกระบวนการที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

เป้าหมายสูงสุดของโครงการสถานีตำรวจนำร่อง คือการป้องกันมิให้เกิดการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว โดยหลักปฏิบัติที่สำคัญของโครงการนี้คือ การประเมินความเสี่ยงและสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัวในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์อย่างมากในกรณีที่ผู้ต้องหานั้นมีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อชีวิต มีอาการบาดเจ็บ หรือมีประวัติการเสพยาเสพติดซึ่งอาจนำไปสู่อาการต้องการเสพยาขั้นรุนแรง เนื่องจากการทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปนั้น สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ประจำห้องขังสามารถตัดสินใจได้ว่ามีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้ต้องหาไปยังโรงพยาบาลหรือไม่ หรือต้องกำหนดระดับการดูแลและตรวจสอบที่ระดับใด การตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็วบนพื้นฐานของข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้สามารถรักษาชีวิตของผู้ต้องหาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ได้ถูกนำมาปฏิบัติและพิสูจน์ว่าเกิดประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตผู้ต้องหาได้จริงในสถานีตำรวจ 2 แห่งแล้ว ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการวิเคราะห์ข้อมูลการควบคุมตัวผู้ต้องหามากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในการบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหา และในระยะต่อไปจะขยายแนวทางการปฏิบัติรูปแบบใหม่นี้ไปยังสถานีตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ก่อนที่จะนำไปใช้ในทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ โครงการ "สถานีตำรวจนำร่อง" นี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมถึงกฎหมาย และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top