Wednesday, 8 May 2024
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดค่ายส่งสุขทางการเงิน โครงการ Money Management & Investment เพื่อให้ความรู้ด้านการบริหารการเงิน การวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สิน ให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้าง 30 บุคคลต้นแบบ

วันนี้ (6 มีนาคม 2567) เวลา 09.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดโครงการ Money Management & Investment เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวข้าราชการตำรวจ ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร กรรมการบริหารสมาคมฯ/ที่ปรึกษาโครงการ , คุณพรรณวดี  ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมพิธี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดทางออนไลน์ โดยระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ดำเนินโครงการ Money Management & Investment ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ปีนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาความรู้ด้านการเงินให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนนายสิบตำรวจ และข้าราชการตำรวจวัยทำงานจนถึงวัยใกล้เกษียณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้น 3,584 คน ปีนี้ได้พัฒนาหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ทางการเงิน 1 วัน สู่กิจกรรม Happy Money In action “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3 วัน 2 คืน มุ่งเน้นการให้ความรู้และสร้างบุคคลต้นแบบ และต้นกล้าทางการเงินให้กับกลุ่มผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน 30 ครอบครัว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะทางการเงินดีขึ้น มีเป้าหมายทางการเงิน มีวินัยทางการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สินที่มีลดลงอย่างต่อเนื่อง มีความสุขทางการเงินมากขึ้น สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนตำรวจได้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจมีหลายโครงการที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ ให้มีความมั่นคงในด้านสวัสดิภาพความเป็นอยู่ สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และสมาชิกแม่บ้านตำรวจ และสามารถนำมาต่อยอดในโครงการ Money Management & Investment  ได้แก่ โครงการ One Province One Product (OPOP) “1 จังหวัด 1 ผลิตภัณฑ์” ได้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2565 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวข้าราชการตำรวจ ได้นำผลิตภัณฑ์ของแต่ละครอบครัวมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจช่วยในเรื่องการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้มาตรฐาน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินครูปาน สมนึก คลังนอก ,คุณหมู Asava  เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเป็นที่ปรึกษาโครงการ และช่วยพัฒนาช่องทางการตลาด เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวตำรวจให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะจัด “งาน Side by Side ช้อป ชิม แชร์ จากใจเรา…ถึงมือคุณ” ระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม 2567 นี้ ที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ 

ในส่วนโครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ สมาคมแม่บ้านตำรวจยังได้จัดทำแฟรนไชส์ “กาแฟอาซ้อ” ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด หรือ นมตรามะลิ โดยใช้กาแฟเมล็ดพันธุ์จากดอยสามหมื่นของตำรวจตระเวนชายแดน  เพื่อให้ครอบครัวตำรวจที่อยากจะเริ่มธุรกิจ ได้มีโอกาสทำ ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจจัดทำ Brand ให้ โดยได้มอบให้กับครอบครัวตำรวจที่มีบุตรออทิสติก จำนวน 18 ครอบครัว

ด้าน พล.ต.ท.ธัชชัย ฯ กล่าวว่า ปัญหาทางการเงินทำให้เกิดความเครียดและภาวะกดดันมากมาย อาจส่งผลต่อหน้าที่การงาน การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถ้าไม่ติดอาวุธความรู้ให้กับตนเอง และคู่ชีวิตของเรา ก็จะยากในการแก้ไขปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้ การดำเนินโครงการของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดค่ายขึ้นมาในปีนี้ ต้องการให้การอบรมมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ที่มีความตั้งใจในการลดภาระหนี้สิน สามารถพบทางสว่างสามารถเดินไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้อย่างสัมฤทธิ์ผล เพราะถ้าเราสุขเงินแล้ว เราก็จะ สุขกาย และสุขใจ ตามมา มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

‘เศรษฐา’ ลั่นกลางวง!! ตำรวจมีปัญหานายกฯ ต้องเป็นที่พึ่ง ย้ำ!! จากนี้ ‘ห้ามให้ข่าว-หยุดดรามา’ ต้องสามัคคีไม่แบ่งฝ่าย

(21 มี.ค.67) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการขึ้นไป โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รอต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาก่อนเวลา 15 นาที จากนั้นได้มีการพูดคุยกันวงเล็กกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า วันนี้ นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มือกฎหมาย เข้าร่วมประชุมด้วย

ต่อมานายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานมอบนโยบาย ทั้งนี้ ในช่วงของการมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าฟังด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนได้เข้ารับฟัง

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผมเชื่อว่าทุกท่านเข้าใจดีที่เรามาประชุมวันนี้เพราะอะไร ชัดเจน ว่าตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ขอพูดสั้นๆ ง่ายๆ และเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ หากองค์กรตำรวจมีปัญหา นายกฯ ต้องเป็นที่พึ่งของตำรวจ และขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย เพื่อให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจระดับสูงทั้งสองคนที่เป็นข่าวเมื่อวานนี้ และปัญหาที่เกิดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่าให้การดูแลพี่น้องประชาชนหย่อน จะต้องมีการบริหารจัดการเกิดขึ้นมา เราต้องคำนึงถึงหน้าที่ที่เรามีอยู่ เราอยู่ตรงนี้เราอยู่เพื่ออะไร ผมขอสั่งให้ยุติการให้ข่าว เกี่ยวกับเรื่องทั้งสองท่าน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปข้างหน้า เพื่อให้เกิดความถูกต้องและความเป็นธรรมกันทั้งสองฝ่าย ใครที่เคยเทคไซส์เคยให้ข่าว ขอให้หยุดเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการขึ้นแล้ว ส่วนเรื่องการแทรกแซงผมเคยได้พูดไปแล้วว่า ตนไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นตัวละครของเรื่องเหล่านี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ให้กระบวนการเป็นตัวพิสูจน์เอง อย่าไปแทรกแซงผู้ใต้บังคับบัญชา จึงได้มีการให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ผมมองว่าถ้าการที่คนในเครื่องแบบทะเลาะกันประชาชนก็เดือดร้อน

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หลายอย่างอยากให้บริหารจัดการให้ดีตามหน้าที่ที่เราควรจะต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามยาเสพติด เพราะยาเสพติดไม่ใช่แค่การปราบปรามในประเทศ ยังมีการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ จะต้องมีการประสานงานจากหน่วยงานอื่น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่าบอกว่าเป็นหน้าที่ของใครหากยาเสพติดเข้ามาในประเทศ พวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบไม่ใช่ว่าเป็นความรับผิดชอบของทหาร เพราะประชาชนเดือดร้อน

นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องของการปราบปรามหนี้นอกระบบปล่อยให้มีการกู้ยืมเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนยังไม่เห็นถูกบริหารจัดการได้อย่างดีพอทั้งที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล อีกทั้งการเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ก็ยังมีจำนวนน้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของผู้มีอิทธิพลควรที่จะเข้าสู่การประนอมหนี้ขอให้กำชับผู้การจังหวัด ผู้กำกับทุกคน เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้และประสานงานกับฝ่ายปกครองกระทรวงมหาดไทย ส่วนการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี และแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน เป็นที่ประจักษ์ดีแล้วว่าเราให้ความสำคัญสูงมาก เพราะว่าราคายางพาราที่สูงขึ้นได้ในปัจจุบันเนื่องจากการทำงานของหลายๆ ฝ่าย กระทรวงเกษตรฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายทหาร ฝ่ายกระทรวงการคลัง หากราคายังขึ้นไม่ถึง 95 บาทต่อกิโลกรัม ผมเชื่อว่าประชาชนจะมีกินมีใช้ ทำให้ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาลดน้อยลง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนการปราบปราม บ่อนการพนันสถานบริการต่างๆ ขอให้ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก บ่อนต่างๆ อย่าให้มี การปราบปรามเว็บพนันออนไลน์เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอเลยว่า ต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นใครที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ขอให้ขะมักเขม้นให้ดี อาวุธเถื่อนอาวุธสงคราม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เรื่องอื่นๆ ของเล็กๆ น้อยๆ มากอย่างการเผาป่า PM 2.5 ในภาคเหนือภาคตะวันตกและภาคอีสาน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างเราต้องช่วยกัน ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการทุกๆ ภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฝ่ายทหาร ต้องยึดมั่นในข้อบทกฎหมายอย่างภาค 5 ผู้บัญชาการภาค 5 ได้ทำไป เรื่องของการจับคนเผาป่า และมีเงินรางวัลนำจับ ถือเป็นวิธีการหนึ่ง เชื่อว่าพวกท่านมีอำนาจที่จะออกกฎเฉพาะกิจแต่แถวพื้นที่ของท่านเองเพื่อไม่ให้มีการเผาป่าเกิดขึ้น

ส่วนนโยบายเรื่องการท่องเที่ยวติดเป็นเรื่องสำคัญการดูแลนักท่องเที่ยว นโยบายของรัฐบาลมีการผลักดันให้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ระบบการตรวจคนเข้าเมืองที่มีปัญหาซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องให้ความสำคัญการลงพื้นที่ลงมาตรวจเช็กกับผู้ใต้บังคับบัญชาเองถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำ เรื่องของไก่ผีต่าง ๆ ตื่นแล้วครับชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ต้นว่ารถท่านที่อยู่ในพื้นที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้มีการกระชับทำงานอย่างเร่งด่วน ตนลงไปดูเรื่องสวัสดิการตำรวจชั้นผู้น้อย น่าจะมีความคืบหน้าไปได้จึงอยากขอคำตอบตรงนี้ ซึ่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ให้การตอบรับเรื่องนี้และขอให้เดินหน้าไปได้เร็ว

“เรื่องสุดท้ายผมก็พูดไปแล้ว คือเรื่องที่ต้องให้พวกเรากันเองมีความสมัครสมานสามัคคี เชื่อว่าทุกคนก็เป็นคน มีการรักชอบใครต่างๆ กันไป ไม่เชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เข้าใจถึงปัญหา ที่เกิดขึ้นทั้งหลายเรื่องความสว่างสมานสามัคคีการเทคไซส์ แบ่งพรรคพวก แบ่งลูกน้องอะไรยังไงทั้งหลาย เราเชื่อว่าเก็บรักความรักไว้ในใจของตัวเองดีกว่าวันนี้เอาประชาชนเป็นที่ตั้งและดูแลประชาชนให้ดีที่สุด เรื่องของคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมซึ่งเราก็มีคณะกรรมการแล้ว 3 ท่าน ซึ่งหลังจากที่มีบทสรุปแล้วก็จะเข้าก.ตร.เพื่อจะให้ทำอีกครั้งหนึ่ง ขออย่าห่วงนะผมให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายเพราะไม่ฝักใฝ่กับใครคนใดคนหนึ่ง เราอยู่ตรงนี้ดูแลประชาชน ขอยืนยันตรงนี้ก็แล้วกัน ตนเชื่อว่าทำงานด้วยกันได้ และองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเดินได้อย่างสมศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านพล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จะเดินหน้าและปฏิบัติตามนโยบาย ข้อสั่งการทุกเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้มอบให้อย่างจริงจัง ตนเองก็จะทำหน้าที่รักษาการเพื่อนำไปสู่ ความสงบสุขและความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน

‘บิ๊กโจ๊ก’ ฮึดสู้ครั้งใหญ่!! หลังถูกเด้งแพ็กคู่เข้ากรุ ‘บิ๊กต่อ’ เละเทะ ส่วน ‘บิ๊กต่าย’ ย่องจันทร์ส่องหล้า

ต้องเรียกว่า เปิดสัปดาห์ใหม่สัปดาห์นี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่ถูกเด้งคู่ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฮึดสู้ จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบ

1) ยกเลิกการเดินทางไปอังกฤษระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-1 เม.ย. 67 พร้อมอ้างว่านายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ (ภูมิธรรม เวชยชัย) มอบหมายภารกิจพิเศษให้ทำด่วน

2) ให้ทนายความไปยื่นฟ้องผู้มีคำสั่งแต่งตั้งและพนักงานสอบสวน สน.เตาปูนในคดีเว็บพนัน BNK Master รวม 30 นาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

3) ให้ทนายยื่นหนังสือต่อรักษาการ ผบ.ตร.พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ขอให้ดำเนินการตามคำสั่งของ ผบ.ตร. (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) ที่เคยแถลงร่วมกับบิ๊กโจ๊กเมื่อ 20 มี.ค. โดยสั่งการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมสำนวนทั้งหมดส่งให้ ป.ป.ช. เป็นผู้พิจารณา  

4) นายษิธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายคนดังและเป็นที่รู้กันว่าสนิทสนมกับบิ๊กโจ๊กได้ออกมาแถลงถึงเส้นเงินจากเว็บพนัน ซึ่งเป็นการขยายผลเพิ่มเติมจากที่ทีมทนายเคยแถลงมาครั้งหนึ่งแล้ว

ต้องยอมรับการว่าการแถลงของทนายตั้ม แม้จะเป็นบริบทเดียวกับที่ ‘ผู้การนำเกียรติ’ ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก 1 ใน 8 ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ แต่ทนายตั้มก็มีตัวละครใหม่ ๆ อย่าง ‘ดาบยาว’ ,'รองฟาง' นายตำรวจคนของบิ๊กต่อ มาขับเน้นสีสัน และกล่าวหาว่าเส้นเงิน ‘พิมพ์วิไล’ แห่งเว็บ BNK Master นั้น มุ่งตรงไปที่ภรรยา พี่ชายของบิ๊กต่อ แบบเต็ม ๆ

ในมุมวิเคราะห์ก็ต้องบอกว่างานนี้…จริง ๆ ทั้งต่อ ทั้งโจ๊ก ก็เสียหายหลายแสน เสียชื่อเสียงอยู่แล้ว จากกรณีถูกเด้งเข้ากรุ แต่ปฏิบัติการของบิ๊กโจ๊กล่าสุดนี้ ยิ่งทำให้ทั้งคู่กอดคอกันจมน้ำนานขึ้น บิ๊กโจ๊กหวานเจี๊ยบนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นแมวสิบชีวิต ต้นทุนไม่สูงมาก แต่บิ๊กต่อหวานแหวว คำก็น้อง สองคำก็พี่นี่สิ…งานนี้ขาดทุนย่อยยับ…

เชื่อกันว่าด้วยชื่อชั้น 2-3 เดือนบิ๊กต่อก็คงได้กลับ สตช. เกษียณที่ตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ก็จะเป็นการเกษียณภายใต้สภาพของ ผบ.ตร. ที่บาดเจ็บ บาดแผลพุพอง

ส่วนตำแหน่ง ผบ.ตร. หากวันนี้ (26 มี.ค.) การประชุม ก.ตร. ไม่มีการพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อกำหนดการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2566 โดยอนุโลม ก็แปลว่า...จะไม่มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง รองผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ที่ไปเป็นเลขาธิการสมช. โอกาสที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร.คนเมืองแพร่ จะขยับเป็น รองผบ.ตร. ในเดือนเม.ย. แล้วผงาดขึ้น ผบ.ตร. เดือนต.ค.2567 ก็ปิดฉาก…

ผบ.ตร.ที่ 15 ‘บิ๊กต่าย’ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ก็แบเบอร์ ข่าวว่าก่อน 20 มี.ค. บิ๊กต่ายได้ไปจันทร์ (ส่องหล้า) มาแล้ว..!!

แต่ตรงข้าม…ถ้าหากมีการอนุโลมข้อกำหนดฯ ก็แปลว่าบิ๊กจวบจะบินเร็วเหนือเสียงเข้าป้าย…

ป่านนี้ก็รู้กันแล้ว หวยออกทางไหน!! ‘เล็ก เลียบด่วน’ นำเสนอเป็นข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้แต่เพียงเท่านี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือน 5 สิ่งที่จะต้องเจอ เมื่อรับจ้างเปิดบัญชีม้า

วันนี้ (7 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพมักใช้บัญชีม้าเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพื่อถ่วงเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนและอายัดเงินที่ได้จากการกระทำความผิด

วิธีการได้มาซึ่งบัญชีม้าเหล่านี้ เกิดจากการที่มีผู้ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตน เห็นว่าการขายบัญชีธนาคารเป็นวิธีการที่ได้เงินมาง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากบัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพ ทำให้ปัจจุบันได้มีการออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียไปซึ่งทรัพย์สิน และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ และหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ได้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด หรือซิมผี บัญชีม้า

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนที่น้องประชาชน ถึง 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากท่านรับจ้างเปิดบัญชีม้า ดังต่อไปนี้
1. ถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีท่านไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด

3. มีประวัติอาชญากรรรมติดตัว

4. ถูกดำเนินคดีหลายท้องที่ ตามที่มิจฉาชีพได้นำไปใช้หลอกลวงผู้เสียหาย

5. ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนเคยหลงเชื่อขายบัญชีธนาคาร หรือซิมโทรศัพท์มือถือให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบไปติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อหยุดวงจรฉ้อโกงออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชน 

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมกำชับตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย

วันนี้ (10 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวจะมีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยกำหนดให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวันในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น วันที่ 11-17 เมษายน 2567

พล.ต.ท.กรไชยฯ เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 พร้อมกำชับมาตรการกวดขันผู้ขับขี่รถที่ฝ่าฝืนกฎจราจรก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โดยในที่ประชุมได้มีการเน้นย้ำเรื่องการวางแผนบริหารการจราจร เพื่อทำให้การจราจรเกิดความคล่องตัว พร้อมวางแนวทางป้องกันอุบัติเหตุและบังคับกฎหมายอย่างจริงจังอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในการคืนพื้นผิวจราจรก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ , การตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ , กรณีเกิดอุบัติเหตุสำคัญต้องจัดการบริหารเหตุการณ์ให้เกิดความเรียบร้อย อีกทั้งวางมาตรการห้ามรถบรรทุกวิ่งในช่วงประชาชนเดินทางไป-กลับ แต่หากมีความจำเป็นให้ขออนุญาตกับตำรวจทางหลวง ตลอดจนอำนวยความสะดวกการจราจรในสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการจราจร ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจราจรให้แก่ประชาชน

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางสูงสุดในช่วงวันที่ 11 - 12 เมษายน 2567 แต่เมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกันบ้างแล้ว คาดว่าประชาชนจะเดินทางกลับมากที่สุดในวันที่ 16 - 17 เมษายนนี้ เบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนา มากกว่าช่วงสงกรานต์ปี 2566 ประมาณร้อยละ 3.1

นอกจากนี้ ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้พร้อมก่อนออกเดินทาง และตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างเส้นทางก่อนการเดินทาง เพื่อการเดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย ไร้กังวล ซึ่งตำรวจทางหลวงได้รวบรวมเส้นทางสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยพี่น้องประชาชนสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดูและวางแผนการเดินทางได้ และหากรถยนต์ไฟฟ้าของพี่น้องประชาชนเกิดปัญหาระหว่างการเดินทาง สามารถขอความช่วยเหลือกับตำรวจทางหลวง ได้ที่สายด่วน 1193

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวด้วยว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้อยากให้ประชาชนเดินทางกลับอย่างปลอดภัยและเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด กำชับให้ตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะ 10 ข้อหาหลัก ซึ่งมาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการมานั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย และเป็นการป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎจราจรจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายบนท้องถนน ทั้งนี้ หากพบอุบัติเหตุ หรือรถเสีย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 หรือ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 หรือ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ตลอด 24 ชั่วโมง

ตร.สรุปผลการปฏิบัติและปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ภาพรวมอุบัติเหตุลดลง 7.22% พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และขอบคุณ ปชช.ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้อุบัติเหตุลดลง

วันนี้ (18 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมและแถลงปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวได้มีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน 

โดยการอำนวยความสะดวกและจัดการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกำลังตำรวจกว่า 30,000 นาย ดูแลการจราจรตลอด 7 วัน มีปริมาณรถเข้า-ออกจากกรุงเทพมหานคร บนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ จำนวน 6,882,802 คัน (ออกจาก กทม. จำนวน 3,469,720 คัน และเข้า กทม. จำนวน 3,413,082 คัน) วันที่ประชาชนเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร มากที่สุดคือ วันที่ 12 เมษายน 2567 วันที่ประชาชนเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครมากที่สุดคือ วันที่ 17 เมษายน 2567

มีการเปิดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) จำนวน 108 ครั้ง (ระบายรถขาออก 63 ครั้ง / ขาเข้า 45 ครั้ง) ,รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ที่ขออนุญาตเดินรถในช่วงเวลาห้าม ผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 36,423 คัน อนุญาตให้เดินรถได้ 35,632 คัน รถที่ได้รับอนุญาตมากที่สุดคือ รถบรรทุกน้ำมันหรือแก๊ส รองลงมาคือรถบรรทุกอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค มีรถที่ไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 791 คัน และพบผู้ฝ่าฝืนเดินรถในเวลาห้าม จำนวน 785 ราย เนื่องจากเป็นสาเหตุให้การจราจรติดขัด

สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก มีการตั้งจุดตรวจทุกวันเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนทั่วประเทศ แบ่งเป็น จุดกวดขันวินัยจราจร 11,883 จุด, จุดตรวจแอลกอฮอล์ 7,953 จุด พบผู้ที่ฝ่าฝืนทั้งสิ้น 281,602 ราย ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา 21,670 ราย ข้อหาไม่สวมหมวกนิรภัย 31,234 ราย และข้อหาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 119,816 ราย โดย 10 ข้อหาหลักนี้ จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่น จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

ส่วนการป้องกันและลดอุบัติเหตุ รัฐบาลกำหนดค่าเป้าหมายให้จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (สงกรานต์ 2564-2566) โดยการเกิดอุบัติเหตุ 7 วันของเทศกาลสงกรานต์ 2567 เกิดจำนวน 2,044 ครั้ง ลดลงจำนวน 159 ครั้ง (ลดลง 7.22%) จำนวนผู้เสียชีวิต มีจำนวน 287 ราย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 23 ราย (เพิ่มขึ้น 8.71%) จำนวนผู้บาดเจ็บ มีจำนวน 2,060 คน ลดลง 148 คน (ลดลง 6.7%) และการดำเนินคดีข้อหาเมาขับซ้ำสอง มีจำนวน 96 ราย

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า การอำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เทศกาลสงกรานต์ 2567 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้ตำรวจอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ลดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยจากสถิติพบว่าปีนี้การเกิดอุบัติเหตุลดลงมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยลดลงถึง 7.22% แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในการดูแลตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีวินัยจราจร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อุบัติเหตุทางถนนลดลง นอกจากนี้ ขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลผู้ใช้ทางอย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการสรุปข้อมูล วิเคราะห์สภาพปัญหาและถอดบทเรียน ปัญหาการปฏิบัติทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงเทศกาลสำคัญต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนสายใต้สะดือ ต้องระวัง 4 ภัยมิจฉาชีพ ที่พุ่งเป้ามาที่คุณ

วันนี้ (28 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพที่มีเป้าหมายเป็นบรรดาหนุ่มสาวสายใต้สะดือ หรือผู้ที่มีชื่นชอบในพฤติกรรมกามารมณ์ โดยใช้กลวิธีต่าง ๆ ในการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากผู้เสียหาย

ซึ่งภัยมิจฉาชีพที่พุ่งเป้ามาที่บรรดาสายใต้สะดือ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังต่อไปนี้

1. “หลอกโอนเงินค่าซื้อ-ขายบริการทางเพศ” มักจะมาในรูปแบบเพจหรือกลุ่มลับนัดซื้อ-ขายบริการทางเพศ เมื่อติดต่อไปก็จะชักชวนให้เลือกคู่นอน โดยมีภาพหญิงสาวให้เลือกหลายคน เมื่อเหยื่อตัดสินใจเลือกแล้ว คนร้ายจะให้ติดต่อเพื่อนัดหมาย โดยจะใช้กลอุบายต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินให้ก่อน เช่น ต้องจองเวลา ต้องจ่ายค่าห้อง ต้องจ่ายค่าเดินทาง หรือถ้าโอนเงินมาก่อนจะได้รับโปรโมชันพิเศษ เป็นต้น

2. “หลอกถ่ายคลิปลามกอนาจาร” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย คุยสร้างความสัมพันธ์ จากนั้นจะชักชวนให้วิดีโอคอลขณะสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง หากหลงเชื่อก็จะถูกบันทึกภาพขณะทำกิจกรรมดังกล่าว จากนั้นมิจฉาชีพก็จะส่งคลิปมาข่มขู่เพื่อเอาทรัพย์สิน แลกกับการไม่เผยแพร่คลิปวิดีโอ

3. “หลอกชวนมีเพศสัมพันธ์” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย คุยสร้างความสัมพันธ์ จากนั้นจะนัดให้ไปร่วมหลับนอน ซึ่งเมื่อพบตัวจริงอาจไม่ตรงกับรูปในโปรไฟล์ หรือถ้าแย่กว่านั้น อาจตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ เช่น การชิงทรัพย์ ลักทรัพย์ การข่มขืน หรือการแอบถ่ายคลิปขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

4. “หลอกขายภาพ-คลิปลามก” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย เพจคนกลางซื้อขาย หรือกลุ่มลับต่าง ๆ ชักชวนพูดคุย อ้างว่าถ้าจ่ายเงินให้ จะส่งภาพและคลิปลามกของตนเองหรือหนุ่มสาวในสังกัดให้ดู แต่เมื่อจ่ายเงิน กลับได้แค่ภาพทั่วไป ไม่ได้ภาพและคลิปลามก จากนั้นคนร้ายหลอกเรียกเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  อ้างว่าเป็นค่าประกันความเสี่ยงต่าง ๆ จนเหยื่อได้รับความเสียหายจำนวนมาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในรูปแบบดังกล่าว และขอให้คอยสอดส่องบุตรหลานของท่านและบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ ลุยตรวจสอบเพลิงไหม้ ‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ คาด!! ลุกไหม้จากก้นบุหรี่ที่ดับไม่หมด หลังมีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบ

จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณระเบียงอาคาร 1 ชั้น 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นสำนักงานของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ นั้น

คืบหน้าล่าสุด (2 พ.ค. 67) เมื่อเวลา 15.15 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณชั้น 6 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า “เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบที่เกิดเหตุ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้ตรวจสอบต้นเพลิง เป็นจุดที่วางกองวัสดุเก่าที่ไม่ใช้งานแล้ว อาทิ แผ่นกันสาด จุดที่ไฟไหม้สิ่งที่พบมากสุด คือ ก้นบุหรี่ทั้งเก่าและใหม่ กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นตั้งข้อสันนิษฐานว่า เพลิงอาจลุกไหม้มาจากก้นบุหรี่ที่ยังดับไม่หมด และลมพัดมาจากบริเวณบันไดหนีไฟที่มีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบบุหรี่”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวอีกว่า “ในจุดเกิดเหตุไม่ตรวจพบระบบไฟฟ้า จึงคาดว่าไม่ใช่สาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร และอีกประเด็นเรื่องที่คาดว่าไม่ใช่สาเหตุ คือเรื่องอุณหภูมิความร้อนจากแสงแดด ที่ตกกระทบกับกองวัสดุที่ไม่ใช้งาน ซึ่งจากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบโดยละเอียดว่าเกิดจากอะไรต่อไป”

“ทั้งนี้ ช่วงนี้ที่สภาพอากาศร้อนอุณหภูมิสูง ขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนในการจุดธูป จุดเทียน หรือสูบบุหรี่ จะต้องทำการดับให้เรียบร้อยก่อนที่จะออกจากบ้าน ก้นบุหรี่ต้องดับในจุดที่ดับบุหรี่เท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องตรวจสอบว่าปิดเรียบร้อยก่อนที่จะเดินทาง ถ้าเป็นไปได้ควรถอดปลั๊กออก เนื่องจากหากเสียบปลั๊กและอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในห้อง อาจจะเสี่ยงต่อการจุดติดไฟได้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top