Sunday, 19 May 2024
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘ธนกร’ แนะ!! ตำรวจควรใช้โอกาสนี้ ถอนรากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังรวบเครือข่ายรายย่อยออกจากเล้าก์ก่าย เพื่อหาตัวการใหญ่

(19 พ.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศให้การช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่เล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมา ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โอกาสการช่วยเหลือคนไทย ที่มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าอาจถูกหลอกเป็นเหยื่อของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อสาวถึงตัวการรายใหญ่ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยพบว่ามีการว่าจ้างคนไทย หลอกคนไทยด้วยกันเองให้ไปทำงานกับขบวนการนี้และไม่เพียงเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น ยังมีเหยื่อที่ถูกบังคับค้าประเวณี ค้ามนุษย์ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย

เมื่อถามว่า แต่ตัวการรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังส่วนมากจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน นายธนกร กล่าวว่า ขบวนการนี้ทำเป็นเครือข่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนมีข้อมูลว่าผู้ต้องหามีทั้งคนไทยที่สมรู้ร่วมคิดหลอกคนในประเทศออกไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน หากติดตามสืบสวนสอบสวนแล้วจะสามารถสาวไปถึงตัวการที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเมียนมา กัมพูชา ไทยได้ประสานความร่วมมือระหว่างกันเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยเฉพาะคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ประสานกัมพูชา เพื่อดำเนินการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหามาแล้วหลายราย

“ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้โอกาสที่ช่วยเหลือคนไทยในเมียนมาออกมาได้ สืบสวนสอบสวนสาวให้ถึงต้นตอผู้บงการรายใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังจากที่ใช้เครือข่ายโทรหลอกลวงประชาชนทำสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก บางคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวคิดสั้นก็มี ซึ่งเชื่อว่ามีคนไทยรู้เห็นสมคบคิดในขบวนการนี้ด้วย ทั้งนี้ หากตัวบงการรายใหญ่อยู่ต่างประเทศทั้งในเมียนมาและกัมพูชา ก็สามารถประสานความร่วมมือเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ ขอให้ใช้โอกาสนี้ ถอนรากถอนโคน ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการเร่งแก้ปัญหาให้กับประชาชน” นายธนกร ระบุ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ขอเชิญชวนเข้าร่วมงานกาชาดประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคม นี้ อิ่มบุญ อิ่มใจไปพร้อมกัน

พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า ด้วยสภากาชาดไทยจัดงานกาชาดประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคม 2566 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร และทางระบบ Online ภายใต้แนวคิด “งานวันกาชาด 100 ปี รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้” พร้อมเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานย้อนวันวานด้วยการ “นุ่งโจงห่มไทยเที่ยวงานวันกาชาด” โดยในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมออกร้านในงานกาชาดด้วยเช่นกัน ณ โซน 5 

สำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติปีนี้ มีกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมมากมาย ได้แก่ นิทรรศการเกี่ยวกับวิวัฒนาการตำรวจไทย “ย้อนรอย 100 ปีกิจการตํารวจไทย” มีมุมให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมถ่ายภาพกับภาพเหมือนของตำรวจโบราณ , ความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ “ตํารวจไซเบอร์ผู้พิทักษ์ภัยออนไลน์ 24 ชั่วโมง” , กิจกรรมบนเวทีและการแสดงของศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากมาย ที่จะมาสร้างความสนุกในทุกวัน โดยในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะได้พบกับ คุณอินดี้ อินทัช เหลียวรักวงศ์ , ฟังเพลงยุค 90”S โดย คุณต๊ะ บอยสเกาท์ , ร่วมเล่นเกมส์กับคุณน้ำหวาน เดอะเฟซ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม “สนุกกับเกม” ได้แก่ เกมปาโป่ง และเกมตักไข่นำโชค ให้ผู้เข้าร่วมชมร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมสนุกและชิงของรางวัลมากมายอีกด้วย

ในส่วนร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ มีการออกร้านจำหน่ายสินค้าของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ซึ่งคัดสรรสินค้าคุณภาพงานฝีมือจากหน่วยงานและครอบครัวข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ , มีการลุ้นรางวัลกับกิจกรรม “พฤกษากาชาด” และจำหน่ายสลากกาชาดของสมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อออกรางวัลให้กับผู้โชคดี โดยมีของรางวัลใหญ่มากมาย นอกจากนี้ ในแต่ละวันจะมีศิลปินดารามาร่วมกิจกรรมที่ร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจในทุกวันอีกด้วย สำหรับในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะได้พบกับ คุณแจ๊ส ชวนชื่น , คุณหมิว ลลิตา , คุณบอย พีชเมคเกอร์ และคุณเจี๊ยบ พิจิตรา

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า ในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคมนี้ เวลา 17.00 น. ขอเชิญประชาชนร่วมเฝ้าทูลละอองพระบาท รับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานกาชาด ประจำปี 2566 “งานวันกาชาด 100 ปี รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้” ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร

พร้อมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมงานกาชาด ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคม 2566 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ในร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ณ โซน 5 อิ่มบุญ อิ่มใจไปพร้อมกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงข่าวจัดการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลประเพณี ตำรวจไทย-ตำรวจมาเลเซียชิงถ้วย “รุจิรวงศ์” ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 12-15 ธ.ค.66 ณ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

วันที่ 8 ธ.ค.66 เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ประธานคณะกรรมการอำนวยการบริหารการกีฬาประเภทรักบี้ฟุตบอล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลประเพณีตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ชิงถ้วย "รุจิรวงศ์" ครั้งที่ 34 โดยมี พล.ต.ต.เทอดศักดิ์ รุจิรวงศ์ ที่ปรึกษาคณะทำงานการจัดการแข่งขันฯ และพ.ต.อ.เศรษฐสิริ นิพภยะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

สำหรับการแข่งขันกีฬารักบี้ประเพณีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย มีวัตถุประสงค์
เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีระหว่างตำรวจไทยกับตำรวจมาเลเซียอย่างเน้นเฟ้น ในการบูรณาการทำงานร่วมกัน ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่จะมาคุกคามประชาชนระหว่างสองประเทศ โดยการจัดการแข่งขันครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช 2504 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในยุคสมัยของ พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ ได้ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลานานกว่า 62 ปี มีการจัดการแข่งขันมาแล้วถึง 34 ครั้ง โดยจะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ในการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลชิงถ้วย "รุจิรวงศ์" ครั้งที่ 34 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 12 - 15 ธ.ค.66 และจะมีการแข่งขันจริงในวันที่ 14 ธ.ค.66 ณ สนามกีฬาราชนาวี สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

การแข่งขันกีฬารักบี้ประเพณีระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ครั้งที่ 34 แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การแข่งขันชิงถ้วย "รุจิรวงศ์" ประเภทอายุไม่เกิน 45 ปี
2. การแข่งขันชิงถ้วย "สุวิมล" ประเภทอาวุโส อายุเกิน 45 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนพี่น้องประชาชน และข้าราชการ
ตำรวจ ร่วมรับชมผ่านและส่งกำลังใจแก่นักกีฬาตำรวจไทยในการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลประเพณี ระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ชิงถ้วย "รุจิรวงศ์" ครั้งที่ 34 ในวันที่ 14 ธ.ค.66 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ณ สนามกีฬาโรงเรียนนานาชาติรักบี้ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

‘ทรู-ดีแทค’ ขานรับ ‘กสทช.’ ผนึกกำลังสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพิ่มมาตรการระงับเบอร์โทรต้องสงสัย เสริมเกราะป้องกันให้ลูกค้า

(13 ธ.ค. 66) จากกรณีภัยคอลเซ็นเตอร์และกลโกงทางไซเบอร์ ทำความเสียหายให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ มีความห่วงใยและพร้อมเดินหน้าร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ กับทุกภาคส่วน โดยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ ‘กสทช.’ สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของรัฐบาล โดยมุ่งไปที่เบอร์โทรต้องสงสัยที่โทรออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดปกติ โดยจะดำเนินการส่ง SMS ไปยังหมายเลขต้องสงสัยทั้ง ‘ทรูมูฟ เอช’ และ ‘ดีแทค’ พร้อมระงับการใช้เบอร์ทันที เพื่อให้ติดต่อกลับยืนยันตัวตน ว่าเป็นผู้ใช้งานจริงและดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบในการใช้บริการ โดยสามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ทรู 1242 ดีแทค 1678 หรือทรูชอป และศูนย์บริการดีแทค

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยภัยคุกคามจากมิจฉาชีพที่มาในหลากหลายรูปแบบ สร้างความเดือดร้อนในวงกว้าง จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันขจัดภัยอย่างจริงจัง ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม ตระหนักถึงภารกิจสำคัญในการดูแลลูกค้าทุกคนให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามที่มาจากยุคดิจิทัล และต้องการร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนกับทุกภาคส่วน จึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐฯ ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. สนับสนุนมาตรการขจัดภัยไซเบอร์ของของภาครัฐ ที่กำหนดให้ระงับการใช้เบอร์โทรต้องสงสัยที่มีการใช้งานโทรออกมากผิดปกติ ซึ่งทั้งดีแทค และทรูมูฟ เอช มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ จะดำเนินการส่ง SMS และระงับการใช้งานเบอร์ที่ต้องสงสัยทันที ซึ่งเป็นเลขหมายแบบเติมเงินเท่านั้น ไม่รวมถึงเลขหมายแบบรายเดือน หรือเบอร์ที่ลงทะเบียนภายใต้หน่วยงานหรือองค์กร

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้บริการ พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว โดยกรณีที่เป็นผู้ใช้งานจริงและใช้งานอย่างถูกต้อง สามารถติดต่อกลับที่คอลเซ็นเตอร์ดีแทค 1678 หรือทรู 1242 และ ทรูชอป หรือศูนย์บริการดีแทค เพื่อยืนยันตัวตน ให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับความมุ่งมั่นตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่จะเดินหน้ายกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที เสริมเกราะป้องกันลูกค้าและคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสัมมนาโฆษกหน่วยระดับกองบัญชาการและกองบังคับการทั่วประเทศ เสริมประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างตำรวจกับพี่น้องประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ (14 ธ.ค.66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการพัฒนางานด้านการประชาสัมพันธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และโฆษกหน่วยระดับกองบัญชาการและกองบังคับการทั่วประเทศ เข้าร่วม 

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 ธันวาคม 2566 ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 2 ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ปฏิบัติหน้าที่โฆษกระดับกองบัญชาการ เข้าร่วมสัมมนา 30 หน่วย และระดับกองบังคับการ 3 หน่วย รวมจำนวน รวม 74 นาย มีวิทยากรที่มีความรู้และประสบการณ์ตรง ร่วมบรรยายพิเศษในการสัมมนาครั้งนี้ อาทิ คุณหนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย นักแสดงและพิธีกรข่าวชื่อดัง , คุณกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ดร.สุภนันท์ ฤทธิ์มนตรี ผู้ประกาศข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้ารับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะด้านการสื่อสาร มีทักษะการเป็นโฆษก ตลอดจนได้รับทราบแนวทางและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน การสร้างเครือข่าย เพื่อสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสัมฤทธิ์ผล 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการสื่อสารงานรัฐ ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ชัดเจนและเป็นความจริงให้กับประชาชนได้อย่างทันต่อสถานการณ์ ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจที่เกี่ยวข้องประชาชนหลายมิติ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ตลอดจนภาพลักษณ์ขององค์กร จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสามารถสื่อสารได้หลากหลายในทุกช่องทางและทันต่อสถานการณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้จัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านการประชาสัมพันธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อที่จะให้โฆษกของหน่วยต่างๆ ได้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถปฏิบัติหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารหน่วยของตน เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจชวนเที่ยวงานกาชาด ร้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ โดยวันอาทิตย์นี้พบดารามีชื่อเสียงมากมาย พร้อมประมูลของรักดารา

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า  งานกาชาด 100 ปี ภายใต้แนวคิด "รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้" ชวนให้ผู้ร่วมงาน "นุ่งโจงห่มไทย" มาเที่ยวงานกาชาดในปีนี้ โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 8-18 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. ณ สวนลุมพินี ซึ่งทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับชมรมแม่บ้านตำรวจภาคต่างๆทั่วประเทศ และกองบัญชาการต่างๆ จัดกิจกรรมสลากบำรุงกาชาดไทย เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศล บำรุงสภากาชาดไทย และการออกร้านค้าของสมาคมแม่บ้านตำรวจ จำหน่ายพฤกษากาชาด ราคา 30 บาท พร้อมของรางวัลพิเศษมากมาย อาทิ ทองคำ ,รถมอเตอร์ไซค์ , โทรศัพท์มือถือ , เครื่องใช้ไฟฟ้า , บัตรกำนัล และของต่างอีกมากมาย ซึ่งในแต่ชมรมแม่บ้านตำรวจหมุนเวียนสับเปลี่ยนเป็นเจ้าภาพร้านค้าในแต่ละวัน และยังมีกิจกรรมแนวใหม่ Immersive Exhibition ที่ทันสมัยและน่าสนใจ 

ในวันพนุ่งนี้ (อาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2566) เวลา 18.00 น. พบกับศิลปิน เชียร์ ฑิฆัมพร , ท็อป จรณ และกรุ๊งกริ๊ง รังสิมา  พิเศษสุด มีการประมูลของรักของสุดหวงของดารา นักร้อง นักแสดง อีกหลายท่าน อาทิ คุณพีช พชร จิราธิวัฒน์ , คุณโก้ าศิน , คุณอาเล็ก ธีรเดช , คุณมาร์ช จุทาวุฒิ , คุณวุ้นเส้น วิริฒิภา 

จึงขอเชิญชวนทุกท่านพบกันที่ร้านสมาคมแม่บ้านตำรวจในงานการชาดได้ที่ โซน 5 สวนลุมพินี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับมือกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และ ภาคีเครือข่าย เปิดโครงการ “ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน Traffic Forward รวดเร็ว ปลอดภัย เข้าใจ ไปด้วยกัน” วาง  F4 เป็นยุทธศาสตร์หลัก หวังปรับใช้ช่วงปีใหม่ ลดอุบัติเหตุ เจ็บ ตาย 

วันนี้ (18 ธ.ค.66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผบ.ตร. ประธานพิธีเปิดโครงการ“ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน Traffic Forward รวดเร็ว ปลอดภัย เข้าใจ ไปด้วยกัน” ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้รับเกียรติจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาด้านการจราจรอย่างจริงจัง จึงได้จัดทำโครงการ “ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน Traffic Forward รวดเร็ว ปลอดภัย เข้าใจ ไปด้วยกัน” โดยได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่าย เพื่อรณรงค์และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการจราจรให้แก่ประชาชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีการขับเคลื่อนงานจราจร 4 ด้าน (F4) ได้แก่  

1. “Forward Faster” ขับเคลื่อนด้านอำนวยการจราจรบนถนนอย่างรวดเร็ว โดยมีการนำ โดรน (Drone) บินตรวจสภาพการจราจร และส่งภาพไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อรายงานสภาพการจราจรและสั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยนำร่องในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจะขยายผลให้ครอบคลุมทุกจังหวัดต่อไป 
2. “Forward Safer” ขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ใน 10 มาตรการเร่งด่วน Quick Win เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนบนท้องถนน ซึ่งจะมีการประเมินผลทุกไตรมาส 
3. “Forward Attitude” ขับเคลื่อนด้านทัศนคติตำรวจ และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยการปรับแนวคิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามแนวคิด “เตือนก่อนปรับและปรับแบบเป็นขั้นบันใด” ผ่านช่องทาง Line Official ชื่อ“ขับดี”  
4. “Forward Participation” ขับเคลื่อนด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อร่วมก้าวไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยให้ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับงานจราจรผ่าน แอปพลิเคชั่น “Traffy Fondue” หรือ Facebook Page : “อาสาตาจราจร”  

หลังจากเปิดโครงการฯ ได้มีการมอบรางวัล “โครงการอาสาตาจราจร” และรางวัล “คลิปวิดีโอสั้น การสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน” ให้แก่ประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นเป็นการเสวนาด้านการจราจร โดยได้รับเกียรติจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเสวนากับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในหัวข้อ “ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน“ และ “การขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน” และในช่วงบ่ายเป็นการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั่วประเทศ ในหัวข้อ “การบังคับใช้กฎหมายเพื่อความปลอดภัยทางถนน”  

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนงานจราจร 4 ด้าน (F4) ดังกล่าว จะมีการนำไปใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่ประชาชนและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งเป็นแนวทางการขับเคลื่อน งานจราจร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลคดี บจก.ซิปเม็กซ์ (Zipmex) วันนี้ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา  

ผบช.สอท. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท.บช.สอท. นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นางสาวนภนวลพรรณ ภวสันต์ ผู้ช่วยเลขาธิการสายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล ก.ล.ต. นายนพดล อุเทน ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและพัฒนามาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ นายพีรธร วิมลโลกการ ผู้อำนวยการกองกำกับและตรวจสอบ ปปง. ร่วมกันแถลงข่าว กรณีมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายมาร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน บช.สอท., ปอศ. และสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ ให้ดำเนินคดีกับบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด และ นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ในฐานความผิด ฉ้อโกงประชาชนซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เมื่อปี 2561 ให้มีบริการการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ต่อมาในปี 2563 ได้มีการชักชวนประชาชนให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้กับทางบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ภายใต้บริการที่มีชื่อเรียกว่า Zip up และ  Zip up+  โดยเป็นบริการเปิดรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลจากลูกค้าและจะให้ผลตอบแทนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้โอนสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าที่มาลงทุน ไปยังต่างประเทศเพื่อลงทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ขาดทุนจนไม่สามารถนำมาเงินมาคืนให้กับลูกค้า จนกระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้ประกาศระงับการถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัลจาก “ZipUp” หรือ “Z Wallet” ทำให้ผู้ลงทุนได้รับความเสียหาย ต่อมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการตรวจสอบและสั่งให้ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ นำส่งข้อมูลเกี่ยวกับกิจการและการดำเนินงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ไม่นำส่งข้อมูลดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก็นำส่งข้อมูลเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน จึงได้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน  

กรณีบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 51 ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 75 ตาม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ทั้งนี้นอกเหนือจากการกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต. ได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด และ นายเอกลาภฯ รวมแล้วเป็น จำนวน 10,977,000 ล้านบาท ในฐานความผิดที่เกี่ยวข้อง ตาม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้างกับประชาชน  จึงได้มีคำสั่งที่ 411/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อรับผิดชอบการสืบสวนคดีดังกล่าว โดยได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสอบปากคำผู้เสียหาย จำนวน 485 คน (เอกสารคำให้การ 20,210 แผ่น) รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 900 ล้านบาท(คาดว่าจะมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์เพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง) ทางคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม มาตรา 4, 5, 12, 15 แห่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และความผิดตาม มาตรา 75 แห่ง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561  และ ความผิดมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” ประกอบกับคดีนี้มีธุรกรรมทางการเงินที่มีความสลับซับซ้อนต้องรวบรวมและวิเคราะห์พยานหลักฐานจำนวนมาก ซึ่งมีจำนวนผู้เสียหายตั้งแต่สามร้อยคนขึ้นไป หรือมีจำนวนเงินที่กู้ยืมรวมกันตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านบาทขึ้นไปอันเข้าลักษณะการเป็นคดีพิเศษ  
ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.๒๕4๗ จึงได้มีหนังสือส่งสำนวนการสอบสวนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษ ตามระเบียบและกฎหมายต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ ชม!! ‘กองพิสูจน์หลักฐานกลาง’ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานแบบมืออาชีพ-น่าเชื่อถือ จนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล

(25 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ต่ออายุการรับรองระบบงานหน่วยตรวจ ตามมาตรฐาน มอก.17020 - 2556 (ISO/IEC 17020 : 2012) ให้แก่ กลุ่มงานตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานสำหรับหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยตรวจสอบ ว่ามีความเป็นกลาง มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีจรรยาบรรณ และมีความน่าเชื่อถือของขั้นตอนและวิธีการตรวจ รวมถึงความเหมาะสมของเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าการให้บริการงานตรวจ อยู่บนหลักวิชาการ มีความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยเฉพาะงานตรวจพิสูจน์หลักฐานในคดีต่าง ๆ ที่ต้องใช้กระบวนการด้านวิทยาศาสตร์และหลักนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การตรวจลายนิ้วมือ รวมทั้งตรวจสอบวัตถุพยาน เพื่อประกอบการพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรม จะต้องมีความเป็นมืออาชีพ และได้รับการยอมรับ

“การต่ออายุการรับรองระบบงานให้แก่ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในครั้งนี้ ถือเป็นการยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกระบวนการตรวจสอบที่ได้มาตรฐานสากลระดับโลก สามารถสร้างความเชื่อมั่น ในกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เพราะ สมอ. เป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองระบบงานหน่วยตรวจตามมาตรฐานสากล ที่ได้รับการยอมรับจากองค์การภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่าด้วยการรับรองระบบงาน (The Asia Pacific Accreditation Cooperation : APAC) และองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองห้องปฏิบัติการ (International Laboratory Accreditation Cooperation : ILAC) จึงทำให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยอมรับในระดับสากลด้วยเช่นกัน” รมต.พิมพ์ภัทรา กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “สมอ. ได้ต่ออายุใบรับรองระบบงานหน่วยตรวจ ตามมาตรฐาน มอก.17020 - 2556 (ISO/IEC 17020 : 2012) ให้แก่ กลุ่มงานตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีก 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2571 โดยมีขอบข่ายในการรับรอง ดังนี้ 

1) การตรวจพิสูจน์จุดลักษณะสำคัญพิเศษของลายนิ้วมือ ฝ่ามือ และฝ่าเท้าแฝง 
2) การตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ และฝ่าเท้าแฝง เพื่อยืนยันตัวบุคคล 
3) การตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือแฝง และลายพิมพ์นิ้วมือกับฐานข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมืออัตโนมัติของกองทะเบียนประวัติอาชญากร 

โดยการต่ออายุครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ครั้งแรกได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2556 ซึ่งรวมระยะเวลากว่า 10 ปี ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ยังคงรักษาคุณภาพและการตรวจพิสูจน์อย่างมีระบบตามมาตรฐานสากลไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งภายหลังจากที่ได้รับการรับรองระบบงานแล้ว จะทำให้ผลการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล ลดความแคลงใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะคดีความที่มีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น กรณีคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ หรือกรณีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีคนต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น” นายวันชัยฯ กล่าว

ตร. เตือน 6 ภัยออนไลน์ส่งท้ายปี ที่มิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกหลวงประชาชน

วันนี้ (27 ธันวาคม 2566) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งช่วงเวลาของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนออกไปท่องเที่ยว ซื้อของขวัญ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ในวันหยุดร่วมกับครอบครัว นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเอาโอกาสนี้มาเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังตนเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ เพราะอย่าลืมว่า แม้จะเป็นวันหยุด แต่มิจฉาชีพไม่เคยหยุด ซึ่งรูปแบบของภัยออนไลน์ที่พี่น้องประชาชนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีดังนี้

1. “การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์” โดยมิจฉาชีพจะหลอกลวงด้วยการโฆษณาขายสินค้าราคาถูก หรือส่วนลดพิเศษเฉพาะในช่วงเทศกาล เพื่อจูงใจให้เหยื่อหลงเชื่อสั่งซื้อสินค้า

2. “การหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล” โดยมิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นร้านค้าต่าง ๆ แล้วโฆษณาว่าจะมีโปรโมชันพิเศษในช่วงเทศกาล หรือแจกของรางวัลต่าง ๆ แต่จะต้องลงทะเบียนก่อน หากเหยื่อหลงเชื่อ กรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์มือถือ และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก็จะถูกมิจฉาชีพนำไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบต่อไป

3. “การหลอกรับบริจาค” โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนอาจต้องการทำบุญเพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคลกับชีวิต มิจฉาชีพอาจมีการประกาศเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ โดยอ้างบุคคลหรือกิจกรรมต่างๆ จึงควรตรวจสอบข้อมูลในกิจกรรมที่จะร่วมทำบุญว่า เป็นความจริงหรือไม่ อย่างไร ก่อนจะร่วมบริจาคเงินร่วมทำบุญออนไลน์ต่าง ๆ

4. “การสร้างข่าวปลอม” เพื่อสร้างยอดติดตาม หรือสร้างความตื่นตระหนก ซึ่งมิจฉาชีพอาจเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงหรือบิดเบือน เกี่ยวกับ อุบัติเหตุ การเดินทาง หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ในช่วงเทศกาล มาเผยแพร่เพื่อแสวงหาประโยชน์ หรือสร้างความเสียหายให้สังคม

5. “การหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม” ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาล เช่น แอปพลิเคชันแต่งรูปปลอม แอปพลิเคชันจองที่พักปลอม เป็นต้น โดยหากเหยื่อหลงเชื่อติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม ก็อาจถูกมิจฉาชีพควบคุมเครื่องระยะไกล หรืออาจถูกเข้าถึงข้อมูลภายในโทรศัพท์มือถือได้

6. “การหลอกขายทัวร์และที่พักราคาถูก” ซึ่งในช่วงเทศกาล กลุ่มมิจฉาชีพมักจะหลอกลวงด้วยการแอบอ้างเป็น โรงแรม ที่พัก หรือบริษัททัวร์ จากนั้นจะลงโฆษณาในช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะที่พบได้บ่อยคือทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มักจะมีการสร้างเพจปลอมเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังและอย่าเชื่อในสิ่งที่ราคาถูกหรือดีเกินจริง เพราะสิ่งที่เห็นหรือได้ยินในสื่อสังคมออนไลน์ อาจเป็นกลลวงของมิจฉาชีพในการหลอกลวงแสวงหาประโยชน์จากพี่น้องประชาชน โดยขอให้ยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top