Saturday, 5 July 2025
รวมไทยสร้างชาติ

'อัครเดช' ขอบคุณประชาชน เชื่อมั่น 'พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนปกป้องสถาบัน-เดินหน้า 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ปฏิรูปพลังงานไทย

(29 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึง  'การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567' ซึ่งสำรวจโดยนิด้าโพล ว่า 

ในลำดับแรกต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่เชื่อมั่น และไว้วางใจในการดำเนินงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงทำให้ผลสำรวจทั้งสองส่วนคือ ส่วนของคะแนนนิยมที่มีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ และคะแนนนิยมต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คะแนนนิยมทั้งสองส่วนต่างสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับเหตุผลที่ทำให้คะแนนนิยมทั้งสองส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ตนเชื่อมั่นว่ามาจากการที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญต่อชาติ รวมถึงการที่ บุคคลต่าง ๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหัวหน้าพรรคยังมีนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมด้านพลังงานให้ประชาชน และ นโยบาย 'เศรษฐกิจแบ่งปัน' ซึ่งใช้หลักการแบ่งปันจากคนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็กที่ขาดโอกาสในสังคมนับเป็นแนวคิดหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

การมุ่งมั่นตั้งใจทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นทำให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นผลงานในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ผลงานในรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผลงานการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรของพรรค 

และสำหรับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นอกจากคุณสมบัติที่ได้กล่าวถึงในรายงานของนิด้าโพลแล้ว ตนยังเห็นอีกว่าประชาชนสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจทำงานโดยเฉพาะในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน 

สุดท้ายนี้พรรครวมไทยสร้างชาติขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจในจุดยืนและแนวทางการดำเนินการของพรรคที่จะปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' อันเป็นสถาบันหลักของชาติ และจะดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

‘ปธ.กมธ.อุตฯ’ เยือนนครฉงชิ่ง หารือการลงทุน-นำเข้าสินค้าไทย ดันเพิ่มสัดส่วนสินค้าในอุตฯ EV สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย

(30 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และคณะได้เดินทางมายังนครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมหารือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้การสนับสนุนให้มีการใช้สินค้า หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศไทยโดยผู้ประกอบการชาวไทยในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และยังเป็นการเติมเต็มห่วงโซ่อุปทาน (Suply Chain) ให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีการผลิตในประเทศไทยด้วย 

โดยส่วนหนึ่งของการหารือในครั้งนี้ได้กล่าวถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนแผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board) โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนอยู่ในระดับสูง และในอนาคตจะมีการใช้งาน PCB ในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท 

การร่วมหารือในครั้งนี้ได้รับผลการตอบรับที่ดีมากจากผู้ร่วมหารือทุก ๆ ฝ่าย และมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามข้อหารือต่อไป เพื่อนำไปสู่การใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศไทยมากกว่าที่กฎหมาย หรือเกณฑ์ที่ BOI ได้กำหนดไว้ 

การหารือของประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมและคณะในครั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตวัสดุสำหรับผลิตชิ้นส่วนแผงวงจรพิมพ์ (PCB) และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ‘ฉางอัน’

นอกจากนั้นประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมยังได้มีการร่วมหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน นครฉงชิ่ง 

นายอัครเดช กล่าวในประเด็นนี้ว่า เป็นการหารือเพื่อพัฒนาไปสู่ความร่วมมือกันในอนาคตใน 2 ด้าน ด้านแรก คือ เป็นการหารือเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยมายังนครฉงชิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าทางการเกษตร 

ด้านที่สอง เป็นการหารือเพื่อให้มีการลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และควรต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งทางคณะกรรมการดังกล่าวต่างแสดงความสนใจที่จะร่วมพัฒนาการลงทุนและการค้าร่วมกับไทยในอนาคต 

นายอัครเดช ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวในตอนท้ายว่า การเจรจา และผลักดันในครั้งนี้ นอกจากเป็นสิ่งที่ตนได้ให้ความสำคัญผ่านการร่วมหารือกับผู้แทนของประเทศจีนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว

เรื่องนี้ยังเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายรวมถึงเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คือการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) อันเป็นหนึ่งในการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย

4 รัฐมนตรีรวมไทยสร้างชาติ ลุย!! ตรวจราชการ จ.เชียงราย เร่งดูแลเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย

(2 ต.ค. 67) ที่สนามบินกองทัพอากาศ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะ พร้อมเดินทาง ด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ ไปตรวจราชการ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่จังหวัดเชียงราย หลายพื้นที่ เพื่อกำกับดูแลและเยียวยาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุอุทกภัย พร้อมบูรณาการความช่วยเหลือให้สำเร็จด้วยความรวดเร็ว 

ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.เชียงราย ล่วงหน้าแล้ว และจะร่วมลงพื้นและพร้อมกับคณะ

โดยกำหนดการในการลงพื้นที่ครั้งนี้อยู่ที่ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า โดยคณะ 4 รัฐมนตรีพร้อมทีมงานจะทำการตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยที่พื้นที่หมู่ที่ 9 บ้านแม่ปูนล่าง และสำรวจความเสียหายเส้นทางสัญจรของประชาชน

เปิดประวัติ 'อรพินทร์ เพชรทัต' เลขาฯ รมว.พลังงานป้ายแดง หนึ่งในทีมทำงาน 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทย

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 67) ครม. มีมติเห็นชอบให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วันนี้ THE STAES TIMES จะพาผู้อ่านทำความรู้จักกับ 'เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน' ป้ายแดง

อรพินทร์ เพชรทัตเคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำงานของตนเองไว้ว่า การทำงานของเราจะต้องตอบสนองประชาชนให้ได้มากที่สุด จึงเป็นหลักที่ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน 'ไก่ อรพินทร์' ยังคงทำงานกับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเขตดินแดง-ห้วยขวางอย่างต่อเนื่อง  

ซึ่งสอดคล้องกับครอบครัวของอรพินทร์ที่เป็นครอบครัวการเมืองประจำเขตดินแดง คุณพ่ออย่างชูพงศ์ เพชรทัต เคยดำรงตำแหน่ง สก.เขตดินแดง และคุณแม่อนงค์ เพชรทัตปัจจุบันดำรงตำแหน่ง สก.เขตดินแดง  

การที่เป็นคนทำงานตัวจริงของไก่ เพชรทัตที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องจึงไม่แปลกใจเลยว่าก่อนหน้านี้ช่อของ 'อรพินทร์ เพชรทัต' จะปรากฏในเวทีการเมืองระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงปี 2562-2564 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในยุค พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง และในปี 2565-2566 ได้รับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในยุคของรัฐมนตรี 'ตรีนุช เทียนทอง' 

จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่ปี 2566 จะมีชื่อของ 'อรพินทร์ เพชรทัต' ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็นคนทำงานจริงจัง และรับตำแหน่งเลขานุการในครั้งนี้ต่อเนื่อง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการได้รับความไว้วางใจในฐานะ 'คนทำงานตัวจริง' ของ 'ไก่ อรพินทร์ เพชรทัต'  

นอกจากที่กล่าวมา 'ไก่ อรพินทร์ เพชรทัต' มีประวัติโดยย่อดังนี้ 

>>>อุดมการณ์ทางการเมือง
- ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
- สร้างโอกาสทางสังคมอย่างเท่าเทียม ด้วยข้อมูลข่าวสารและบริการต่าง ๆ ผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อยกระดับ

- คุณภาพชีวิตของประชาชนให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี

- ดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการผลิตและบริการ
- เพิ่มโอกาสได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานของนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกที่

- ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
- เตรียมความพร้อมให้บุคลากรทุกกลุ่ม ทุกสายอาชีพ และคนพิการ ให้มีความรู้และทักษะที่

- เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล
- เพิ่มบทบาทสตรีทางการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติอย่างเสรี และเท่าเทียม
- ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว เพราะสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่จะผลิตทรัพยากร

- มนุษย์ที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าต่อไป
- ต่อต้านความรุนแรง และการคุกคามทางเพศทุกประเภท
- ลดอุบัติเหตุบนถนนให้กับเยาวชนและประชาชน

>>>การศึกษา
มัธยมศึกษา : โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์
ปริญญาตรี : คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปริญญาโท : Comunication Arts - Computer Graphic Design NEW YORK INSTITUTE OF TECHNOLOGY NEW YORK, U.S.A.

>>>ประวัติการทำงาน พ.ศ. 2543 - ปัจจุบัน
- กรรมการบริหาร : บริษัท กราฟฟิค ซิตี้ จำกัด
- กรรมการบริหาร : บริษัท ยูกิ เคส จำกัด
- อดีตหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ : หนังสือพิมพ์ สู่มาตุภูมิ
- อดีตผู้จัดการฝ่ายบุคคล : สมาคมทหาร ตำรวจ พลเรือน ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร
- อดีตกรรมการผู้จัดการ : P O 36 ARTS & CRAFTS CO., LTD.

>>>ประวัติการทำงานด้านการเมือง พ.ศ. 2543 - ปัจจุบัน
- อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค) พ.ศ. 25666 - 2567
- อดีตประธานคณะทำงานสื่อสารและประชาสัมพันธ์ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- อดีตคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาแก๊ส NGV สำหรับรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะและรถแท็กซี่ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการพิจารณาปรับลดราคาและปรับปรุงข้อกำหนดคุณลักษณะน้ำมันเบนซิน (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- อดีตกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 -2567)
- อดีตคณะทำงานและเลขานุการคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ และระบบรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการตรวจสอบการผลิตและการแยกก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตคณะทำงานและเลขานุการคณะทำงานติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ.2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบปริมาณน้ำมันสำรอง(กระทรวงพลังงานพ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยการพลังงานแห่งชาติ (วพช.)(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการโครงการผลิตระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อประชาชน(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการกระทำอันอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566
- อดีตประธานคณะทำงาน กำกับ ดูแลเรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียน และเรื่องขอความช่วยเหลือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566

- อดีตประธานคณะทำงาน กำกับ ดูแล การสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566
- อดีตประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคน ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2565-2566
- อดีตประธานคณะกรรมการต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center, MOE) กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566

- อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุนกีฬา ESPORTS เพื่อการศึกษา พ.ศ.2565-2566
- อดีตที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตโฆษกของกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2562-2563
- อดีตรองประธานคณะกรรมการประสานงานติดตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตคณะทำงานติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) ในกิจกรรม 'ผู้ว่าฯ พบประชาชน' พ.ศ. 2562-2564
- อดีตคณะทำงานติดตามผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2564

- อดีตคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2563-พ.ศ.2564
- อดีตคณะกรรมการบริหารจัดการพื้นที่คลองช่องนนทรีและบริเวณโดยรอบ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2564
- อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2545 (รมว.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์)
- อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2548 (รมว.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์)
- อดีตคณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2551 (รมว.สมชาย วงค์สวัสดิ์)

'พีระพันธุ์' รับปากประชาชนเร่งประสานงานฟื้นฟูพื้นที่ได้รับผลกระทบ ด้าน 'เอกนัฏ สั่งการด่วนแก้ไขปัญหาน้ำประปาให้ ปชช. กว่า 4 พันครัวเรือน

รองนายกฯ 'พีระพันธุ์' พร้อม 3 รัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน บูรณาการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย พร้อมรับปากจะเร่งประสานการเยียวยาช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ขณะที่ชาวบ้านแม่ปูนล่าง อ.เวียงป่าเป้า ฝาก 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' ขอให้ช่วยสร้างระบบน้ำประปา แก้ปัญหาน้ำให้ชาวบ้านในพื้นที่กว่า 4,000 ครอบครัว

(2 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะทำงาน และผู้แทนของหน่วยงานในสังกัดของแต่ละกระทรวง ลงพื้นที่ตรวจราชการหน่วยงานในกำกับดูแลและเยียวยาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุอุทกภัยที่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

ภายหลังจากเดินทางถึงจังหวัดเชียงราย ได้แบ่งภารกิจการตรวจเยี่ยมเป็น 2 คณะ ประกอบด้วย 1. คณะของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม  ซึ่งมีกำหนดการตรวจราชการหน่วยงานในกำกับดูแลและเยียวยาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุอุทกภัย ณ ศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัย บ้านห้วยหินลาดใน หมู่ 7 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย  

และ 2. คณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีกำหนดการตรวจราชการหน่วยงานในกำกับดูแลและเยียวยาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุอุทกภัย ณ บ้านแม่ปูนล่าง หมู่ 9 ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ ระหว่างการลงพื้นที่ นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า ในวันนี้ทางรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติทั้ง 4 กระทรวง พร้อมด้วยคณะทำงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมกับสำรวจว่า ชาวบ้านต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เพื่อนำไปรายงานทางคณะรัฐมนตรี ให้จัดสรรงบประมาณหรือจัดกําลังเข้ามาดูแลช่วยเหลือ ซึ่งพบว่าชาวบ้านได้รับความยากลำบากอย่างมาก และบางครอบครัวยังไม่สามารถกลับเข้าไปพักอาศัยในบ้านเรือนของตนเองได้ เนื่องจากได้รับความเสียหายอย่างหนัก และอยู่ระหว่างการฟื้นฟู ขณะเดียวกัน ยังหวั่นเกรงว่าจะเกิดอุทกภัยรอบใหม่อีกด้วย

“หลังจากได้รับฟังความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และได้รับทราบปัญหาต่าง ๆ จากผู้นําชุมชน หลังจากนี้จะเร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยอย่างเร่งด่วนต่อไป และในวันนี้นอกจากลงมาดูสภาพความเสียหายแล้ว ยังได้นำสิ่งของประเภทอาหารการกิน อุปกรณ์ประกอบอาหาร เตาแก๊สปิกนิก และยารักษาโรค มามอบให้ชาวบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และหลังจากนี้ จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องไฟฟ้าที่ยังขาดแคลนอีกด้วย”

ทางด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ได้รับทราบถึงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ บ้านแม่ปูนล่าง อ.เวียงป่าเป้า ซึ่งนอกจากการเร่งฟื้นฟูซ่อมแซมบ้านเรือนและเยียวยาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนแล้ว ประชาชนในพื้นที่ยังได้ฝากให้ รมว.อุตสาหกรรม ช่วยสร้างระบบน้ำประปาหมู่บ้าน ภายหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายไปแล้ว เนื่องจากประชาชนในพื้นที่กว่า 4,000 ครอบครัวยังขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้

ทั้งนี้ นายเอกนัฏ ได้รับเรื่องที่จะให้การช่วยเหลือชาวบ้าน โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการจัดส่งท่อน้ำ เพื่อวางระบบส่งน้ำเพื่อลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมายังหมู่บ้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนภายหลังจากฟื้นฟูสภาพความเสียหายเรียบร้อยแล้ว

‘อัครเดช’ ชี้!! แก้ปัญหาน้ำท่วมสำคัญกว่าแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณ รบ.โอนเงินหมื่นเข้าบัตรคนจน ตาม รทสช.เสนอ

'อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์' ย้ำแก้รัฐธรรมนูญมีขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องไปเร่ง ชี้ปัญหาของความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญกว่า โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ขอบคุณรัฐบาลใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน โอนเงินหมื่นเข้าระบบช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอพรรครวมไทยสร้างชาติ

(5 ต.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากที่มีการรายงานข่าวถึงความเห็นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถรอได้ ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับความคิดเห็นดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ทุกภาคส่วนควรเร่งใช้สรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงเตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุซ้ำ 

“ขอเน้นย้ำว่าปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถรอได้ แต่ปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการเมืองนั้นมีระยะเวลากระบวนการทำงานของการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดแต่อย่างใด สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนคือปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม”

พร้อมกันนี้ นายอัครเดช ยังเห็นด้วยกับรัฐบาลที่ได้ดำเนินการจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อหัว ไปยังผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยเสนอไปในสภาผู้แทนราษฎรว่า ควรใช้ฐานข้อมูลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการจ่ายเงินไปยังกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ และเมื่อจ่ายเป็นเงินสดแล้วยังทำให้กลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินดังกล่าวสามารถนำไปใช้จ่ายได้คล่องตัว 

‘อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี’ ผนึกกำลัง ’รวมไทยสร้างชาติ’ เสนอกฎหมาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ปฏิรูปเครดิตบูโร

(10 ต.ค. 67) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายเครดิตบูโรภาคประชาชน และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติยื่น 'ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ...) พ.ศ. …' หรือ 'กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโร' 

ในการนี้ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายเครดิตบูโรภาคประชาชนร่วมกับนาย อนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว  

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า “ร่างกฎหมายฉบับประชาชนและร่างฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติมีเนื้อหาตรงกัน โดยมีสาระสำคัญคือ ลูกหนี้จ่ายหนี้ครบปิดบัญชี หรือ ผ่อน 6 เดือนติดต่อกันลบประวัติทันที และเปลี่ยนการแสดงผลเป็นคะแนนเครดิต (Credit Scoring) แทนการแสดงประวัติทั้งหมด รวมถึงฟรีค่าธรรมเนียมในการเช็กคะแนนเครดิตของตนเองด้วย ที่สำคัญที่สุดคือการลบประวัติผู้ที่มีประวัติเสียในเครดิตบูโรจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทันที

โดยกฎหมายเครดิตบูโรฉบับประชาชนได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของผู้บริโภคโดยปัจจุบันมีประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมาย ราว 6 พันคน มาวันนี้ได้แรงหนุนจากส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย ทำให้กฎหมายเข้าสู่สภาได้เร็วขึ้นมาก 

กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรฉบับนี้จะเปลี่ยนโฉมการประเมินการให้สินเชื่อใหม่ ช่วยให้ประชาชนฟื้นตัวได้เร็วไม่ถูกแช่แข็ง สร้างการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร และทำให้ธนาคารมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นในการประเมินสินเชื่ออีกด้วย โดยประชาชนสามารถมีส่วนร่วมเสนอกฎหมายได้ผ่าน เว็บไซต์ของรัฐสภา หรือ www.changeblacklist.org 

นายอนุชา บูรพชัยศรี เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบข้อมูลเครดิตบูโรมาโดยตลอด เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากการเก็บข้อมูลเครดิตบูโรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ซึ่งจำนวนประมาณ 50% เกิดจากความยากลำบากในการดำเนินชีวิตการประกอบธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด

การปฏิรูปการจัดเก็บข้อมูลเครดิตบูโรในครั้งนี้ เป็นการให้โอกาสในการพลิกฟื้นวิถีชีวิต และการประกอบธุรกิจของประชาชน จากเดิมหากมีประวัติที่ไม่ดีถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ประชาชนจำนวนมากสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ มีความจำเป็นต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เงินกู้นอกระบบ

เงินกู้นอกระบบนี้เองที่สร้างปัญหาแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด การทวงหนี้ที่โหดร้าย 

นายอนุชา กล่าวต่ออีกว่า นอกจากการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว ตนและพรรครวมไทยสร้างชาติมีความเห็นว่าจะต้องมีการดำเนินการด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ดังนี้

1.ต้องมีการปรับปรุงแนวคิดของการอนุมัติสินเชื่อของประเทศไทย รวมถึงแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะในรายย่อย
2.หลักการเกี่ยวกับสินเชื่อต้องใช้มาตรฐานสากลเพื่อให้เหมาะสมกับทุก ๆ บริบท 
3.แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว แต่จะต้องไม่ไปสร้างความเชื่อที่ผิดโดยเฉพาะในเรื่องความจำเป็นในการมีวินัยทางการเงิน การกู้ หรือขอสินเชื่อจะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายเกินตัว และต้องป้องกันไม่ให้เกิด Moral hazard ทางการเงินโดยเฉพาะเรื่องการกู้เงินและการชำระหนี้

ถ้าดำเนินการตามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ตนมั่นใจว่าจะทำให้เกิดผลดีกับระบบสินเชื่อในภาพรวม และก็เป็นผลดีกับทั้งลูกหนี้ และสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าร่างกฎหมายเครดิตบูโรฉบับนี้จะเข้าข่ายที่เป็นกฎหมายการเงิน ดังนั้นจึงต้องผ่านการรับรองจากนายกรัฐมนตรี จึงมีขั้นตอนที่อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามตนในฐานะ สส. พรรคร่วมรัฐบาล และกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร หรือ วิปรัฐบาล จะติดตามความคืบหน้าของกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด

‘รองนายกฯพีระพันธุ์’ ผลักดันนวัตกรรมด้านพลังงาน หนุนใช้ ‘ยางพารา – พลาสติก’ สกัดเป็น ‘เบนซิน – ดีเซล’

นวัตกรรมด้านเชื้อเพลิงพลังงานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี หลังจากโลกต้องประสบกับวิกฤตการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในทศวรรษ 1970 ในบ้านเราเอง ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระปรีชาญาณของล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาพลังงานทดแทน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพโดยโครงการส่วนพระองค์จิตรลดา เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2528 จากพระราชดำริว่า ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงมีพระราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 

โครงการฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยการผลิตและกลั่นแอลกอฮอล์จากพืชผลทางเกษตรหลายอย่าง เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง อ้อย มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา จนสามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95%หรือที่เรียกว่า 'เอทานอล' ไปกลั่นแยกน้ำ และใช้เป็นวัตถุดิบผสมน้ำมันเบนซินผลิตแก๊สโซฮอล์ โดยศึกษาทดลองสูตรการผสม และผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ใช้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์ฯ

ต่อมา บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้นำผลการศึกษาของโครงการส่วนพระองค์จิตรลดามาต่อยอด ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เริ่มจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันประชาชนชาวไทยได้มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผสม 'เอทานอล' ซึ่งสามารถผลิตได้เองในประเทศ ช่วยลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นจำนวนมาก

การค้นคว้า ศึกษา วิจัย และพัฒนา นวัตกรรมด้านพลังงานในส่วนของหน่วยราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปนั้นมีมาโดยตลอดเช่นกัน หากแต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่มักจะถูกนำ ‘ขึ้นหิ้ง’ เก็บเอาไว้อันเนื่องมาจาก ต้นทุนสูง มีความยุ่งยาก และไม่คุ้มค่า ฯลฯ ทำให้นวัตกรรมด้านพลังงานเหล่านั้นไม่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาด้านพลังงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นของทั้งโลกใบนี้ด้วย

จากวิธีคิด วิสัยทัศน์ ของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังคงจมปลักอยู่กับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานแบบเก่า ซึ่งต้องนำเข้าเกือบทั้งหมด ผลการศึกษานวัตกรรมด้านพลังงานส่วนใหญ่ที่ปรากฏเหมือนกับไฟไหม้ฟางเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นข่าวเพียงไม่นานแล้วก็เงียบหายไป แต่สำหรับ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญและ ติดตามผลการดำเนินงานนวัตกรรมด้านพลังงานซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์โภคผลอันมากมายและมีความยั่งยืนมาสู้พี่น้องประชาชนคนไทย อยู่เสมอ

ดังเช่น นวัตกรรมด้านพลังงาน ‘ครูน้อย’ นายทวีชัย ไกรดวง (เอ็ม) อายุ 32 ปี ชาวบ้านทุ่งสวรรค์ หมู่ 13 ตำบลท่าศิลา อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ทำการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานขึ้นมาจำนวน 3 ชิ้นงาน ได้แก่ เครื่องกลั่นยางพารา และกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลได้ในเครื่องเดียว ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 2 กิโลวัตต์ แบบระบบหมุนตามแสงอาทิตย์อัตโนมัติ และรถไถนาเดินตามบังคับวิทยุควบคุมระยะไกล ผ่านระบบ GPS 

‘ครูน้อย’ ได้เล่าว่า ตนเรียนมาทางด้านนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ อีกทั้งครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่นาและสวนยาง แต่ตนเล็งเห็นว่า สามารถต่อยอดการเพิ่มมูลค่ายางให้สูงขึ้นด้วยการแปรรูป ประดิษฐ์เครื่องกลั่นยางพาราและกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันขนาดเล็ก และปัจจุบันสามารถกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ในเครื่องเดียว โดยใช้งบประมาณ 370,000 บาท สามารถกลั่นได้ 40 ลิตร/ชั่วโมง โดยได้ทดสอบการใช้น้ำมันกับเครื่องสูบน้ำรถไถนา และเครื่องมือทำการเกษตรอื่น ๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบมาตรฐานเครื่องและประสิทธิภาพของน้ำมันด้วยตนเอง โดยส่วนตัว อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เป็นนวัตกรรมของคนไทย ขยายผล สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในชุมชนและจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป

เมื่อ ‘รองพีร์’ นำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปยังบ้านของ ‘ครูน้อย’ เพื่อเยี่ยมชมผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าว ซึ่ง ‘ครูน้อย’ ได้นำเสนอแบบการสร้างหอกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกได้ถึงชั่วโมงละ 500 ลิตร และอยากจะให้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ประจำแต่ละอำเภอเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้แก่ประชาชนและเกษตรกร ซึ่ง ‘รองพีร์’ ได้ให้การสนับสนุนและมอบให้ดร.ณอคุณ สิทธิพงษ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาในเรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์ และคุณภาพน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น พร้อมยังมอบหมายให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินการ

นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ได้มอบให้ ‘ครูน้อย’ ไปคิดประดิษฐ์แผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่จะผลิตขึ้นเองในประเทศ เพื่อทำให้ราคาระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงอีกด้วย โดย ‘รองพีร์’ เห็นว่าคนไทยจำนวนมากที่มีความสามารถด้านนวัตกรรม แต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน หากคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง จะสามารถมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นฝีมือของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชาวนา เกษตรกร ชาวประมง หรือประชาชนทั่วไปให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดย ‘รองพีร์’ ได้กล่าวชื่นชมนวัตกรรมด้านพลังงานของ ‘ครูน้อย’ พร้อมให้การสนับสนุนต่อยอดขยายผลนวัตกรรมไปยังชุมชนอื่น ตลอดจน การจัดทำและทดสอบมาตรฐานเครื่องและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ นำไปพัฒนาและต่อยอดด้านอื่น ๆ ได้ รวมไปถึงผลงานนวัตกรรม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แบบระบบหมุนตามแสงอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไม่ทั่วถึงต่อไป

ความสนใจ ใส่ใจ และสนับสนุนผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานเช่นนี้ของ ‘รองพีร์’ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมีส่วนอย่างสำคัญที่จะทำให้นวัตกรชาวไทยมีความหวังและเกิดพลังใจในการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและยั่งยืนให้กับประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยโดยรวมทั้งหมดทั้งมวลตลอดไป

‘อัครเดช’ ตอบ ‘สนธิญาณ’ เผย พรบ.ประชามติ ยึดตามรัฐธรรมนูญ 60 ย้ำจุดยืนพรรค!! ไม่แก้ 112- คงปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โต้ข้อกล่าวหาจากสนธิญาณ ยันหลักเกณฑ์ประชามติของพรรคยึดเกณฑ์รับรองรัฐธรรมนูญปี 60 ย้ำจุดยืนพรรคไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 รัฐธรรมนูญ และคงไว้ซึ่งการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด 

(11 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีนาย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ออกมาตั้งคำถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติทรยศต่อจิตวิญญาณของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหรือไม่?

โดยนายอัครเดช เปิดเผยว่า จากการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในชั้นวุฒิสภานั้น ได้มีการแก้ไขในสาระสำคัญให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีออกเสียงข้างมาก 2 ชั้น คือ ได้รับความเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง 

จากข้อมูลการลงประชามติรัฐธรรมนูญล่าสุดมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50ล้านคน ดังนั้นหากจะได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากผู้มีสิทธิไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน ซึ่งเป็นไปได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย เพราะในการลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หรือ รัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง ที่ผ่านมา มีผู้เห็นชอบ 16.8ล้านคน จากยอดผู้มาใช้สิทธิ์ลงประชามติ 29.7ล้านคน เท่านั้น

ซึ่งถ้าใช้หลักเกณฑ์ของวุฒิสภา จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง นั่นคือ 25 ล้านเสียง จาก 50 ล้านเสียง จะเห็นว่าถ้าใช้หลักเกณฑ์วุฒิสภา รัฐธรรมนูญฉบับปี60ที่เรียกกันว่าฉบับปราบโกงก็ไม่ผ่านการเห็นชอบในการออกเสียงประชามติจากพี่น้องประชาชน

ดังนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงใช้หลักเกณฑ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิคือ 29.7 ล้านเสียง ซึ่งคำนวณออกมาแล้วคือประมาณ 15 ล้านเสียงถึงจะได้รับการรับรอง โดยในครั้งนั้นมีผู้เห็นชอบ16ล้านเสียงจึงได้รัฐธรรมนูญฉบับปี60มาซึ่งก็เป็นหลักเกณฑ์เดิมที่ใช้รับรอง รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ  มีความเห็นให้ใช้เกณฑ์ตามร่างที่ผ่านการลงมติของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และจะขอเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการร่วมที่ตั้งขึ้นใหม่ที่พรรคส่งนายวิทยา แก้วภราดัยไปผลักดันประเด็นที่มีสาระสำคัญว่า จะต้องได้รับเสียงเห็นชอบมากกว่าการออกเสียงไม่ประสงค์ลงคะแนน และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ จึงเป็นการยืนยันเจตนารมณ์เดิมของผู้มารับรองรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติในปี พ.ศ. 2560 อย่างชัดเจน

หากแก้ไขตามมติของวุฒิสภาจะทำให้การลงประชามติให้เห็นชอบเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ และทำประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ อาจถึงทางตันทางการเมืองได้และอาจเกิดวิกฤติการเมืองในอนาคตได้อีกด้วย จึงขอยืนยันข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติยังสอดคล้องกับการออกเสียงประชามติเมื่อครั้ง 'ลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560' 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีพฤติกรรมดังที่นายสนธิญาณได้กล่าวหาแต่อย่างใดและถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมกับพรรค

และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ประกาศจุดยืนอย่างหนักแน่นและต่อเนื่อง ว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวดที่ 1 และ 2 รวมถึงต้องคงไว้ซึ่งการปราบปรามทุจริตอย่างเด็ดขาดเช่นเดิม

ตนขอยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติยังสานต่อจิตวิญญาณและเจตนารมณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน รักษาไว้ซึ่ง 3 สถาบันหลักของชาติ  ซื่อสัตย์สุจริต และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างถึงที่สุด

‘รวมไทยสร้างชาติ’ สวนกระแส ย้ำ จุดยืนไม่นิรโทษมาตรา 112 เด็ดขาด ‘เพื่อไทย’ ไร้ข้อสรุปโยนประชุมวิปรัฐบาลอีกรอบ ด้านพรรคอื่นยังสงวนท่าที

(16 ต.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประจำสัปดาห์นี้คงไม่มีเรื่องไหน วาระไหนที่จะสำคัญไปกว่าการเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ในเนื้อในมีการให้ความเห็นถึงการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญารวมอยู่ด้วย 

THE STATES TIMES ได้ทำการสำรวจความเห็นจากทุก ๆ พรรค และทุกฝ่ายทางการเมือง ดูเหมือนหลาย ๆ พรรคพยายามสงวนท่าที แต่หนึ่งพรรคแม้จะอยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนนั้นคือพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาแถลงหลังจากการประชุมพรรค ย้ำชัด ๆ ว่า

พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีมติงดออกเสียงในการลงมติรายงานฉบับดังกล่าว ทั้งในชั้นการรับทราบ และการเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ

ด้วยเหตุผลว่าเป็นการยืนยันในมติเดิมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า จะไม่เห็นชอบในรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน ดังที่เคยได้แจ้งไปเมื่อมีมติพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 26 กันยายน 2567 ซึ่งในครั้งนี้รายงานที่พิจารณาก็ยังมีเนื้อหาเช่นเดิม

นอกจากนี้นายอัครเดชยังมีการย้ำจุดยืนและหยิบยกเอาอุทาหรณ์ข้อเท็จจริงที่เคยเกิดมาแล้วออกมา 

จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ

หากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมเอาผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ด้วยแล้วมีความเสี่ยงว่าการกระทำดังกล่าวจะละเมิดต่อกฎหมาย เช่นที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องในทำนองเดียวกันมาแล้ว 

ขณะที่อีกฟากฝั่งทางการเมืองพรรคประชาชน โดยนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สมาชิกสภาผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรคออกมาแถลงว่า พรรคยังยืนยันในการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112 

ท่ามกลางบรรยากาศที่ขมุกขมัว ทำให้พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลยังคงวุ่น จับต้นชนปลายไม่ถูก การประชุมพรรคที่นำโดยสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ยังหาข้อสรุปในเรื่องรายงานนิรโทษกรรมไม่ได้ 

โดยที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติให้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ที่จะจัดขึ้นในวันนี้(16 ต.ค. 67)เพื่อหาข้อสรุป 

เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการเมืองไทยในอนาคต เนื่องจากรายงานฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการตรากฎหมายนิรโทษกรรมในอนาคต ว่าจะรวมเอาผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 อยู่ในการนิรโทษกรรมหรือไม่

ผู้ที่สนใจการเมืองไทยกรุณาติดตามโดยพลัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top