Saturday, 5 July 2025
รวมไทยสร้างชาติ

‘อัครเดช’ ย้ำจุดยืน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่แตะหมวด 1-2 พร้อมยึดหลักการปราบทุจริต-คอร์รัปชัน

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ว่า 

“สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติยังเหมือนเดิม คือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และ หมวด 2 พร้อมทั้งต้องคงไว้ซึ่งหลักการการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด” นายอัครเดช กล่าว

‘เอกนัฏ’ แจง ไปให้การศาลและเจ้าพนักงานเป็นประจำ ยัน!! ไม่เคยพูด “คำพูดของทักษิณ ไม่เข้ามาตรา 112”

(27 ส.ค. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

‘อดีตผู้พิพากษา’ ไม่ค้าน ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย 'หากทำเพื่อชาติ - ไม่ระราน 112 - มีฝีมือชัดกว่าคนจากพรรคล้มเจ้า'

(2 ก.ย. 67) นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

“.....เรื่องความคิดเห็นทางการเมืองอาจมีเห็นความแตกต่างกันได้ แต่ไม่ควรจะด่ากันว่าคนที่เห็นต่างกับเราเป็นคนเลวใช้ไม่ได้ ฯลฯ เพราะมันเรื่องของความคิดและเหตุผลของแต่ละคน ผิดถูกอย่างไร อนาคตจะบอกให้รู้เอง

“.....ผมเห็นว่า สภาพปัญหาของบ้านเมืองในปัจจุบัน แตกต่างกันกับเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมาก เมื่อก่อนเราไม่เคยมีพรรคการเมืองที่ต้องล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ปัจจุบันมีแล้วดังที่ศาลรัฐธรรมได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567

“.....ถ้าต้องให้เลือกระหว่างที่พรรคเพื่อไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นยอมเป็นทาสของชาติมหาอำนาจที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกันทั่วโลกตลอดมา และเอาคนที่ไม่เคยทำงานอะไรอันแสดงถึงการมีความรู้ความสามารถมาเป็นรัฐมนตรีและเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามความต้องการของชาติมหาอำนาจบางประเทศที่อยากเห็นประเทศไทยปกครองในระบอบการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะทำให้เขาเข้าแทรกแซงได้ง่ายไม่เหมือนปัจจุบันที่เขาทำไม่ได้

“.....กับการให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล แม้โดยหลักการผมจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

“.....แต่เมื่อคิดถึงความมั่นคงของสถาบันมหากษัตริย์ ซึ่งพรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนาที่ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นและมั่นคงตลอดมาประเทศไทยต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดไป ทั้งจะไม่ยอมให้มีการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และถ้ามี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมก็จะไม่ยอมให้รวมผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ด้วย

“.....ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ผมจึงเลือกที่ต้องยอมลืมความเกลียดชังความขุ่นเคืองใจที่มีอยู่ตลอดมาไว้ชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติและการปกครองของประเทศไทยที่ยังต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่ตลอดไป

“.....ผมจึงต้องทนกล้ำกลืนยอมรับกับการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรรคการเมืองดังกล่าวข้างต้นครับ"

'ฟ้าคราม' ยก!! 'เบน-ชนกนันท์' เลือดใหม่ 'รวมไทยสร้างชาติ' คนจริง!! ช่วยน้ำท่วมชาวแพร่ โดยไม่แคร์ถูกยัดเยียดสร้างระบบอุปถัมภ์

ไม่นานมานี้ ช่องติ๊กต๊อก 'ฟ้าคราม' (@fhakram.chavit) โดยคุณชวิศร์ ชูประทุม อินฟลูฯ อาสา ได้โพสต์คลิปยกย่องการทำงานของ น.ส.ชนกนันท์ ศุภศิริ อดีตผู้สมัคร สส.แพร่ เขต 1 เบอร์ 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายหลังจากเจ้าตัวได้ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ในหลายจุดอย่างรวดเร็วในทันทีที่เกิดเหตุน้ำท่วม เพื่อเข้าไปช่วยเหลือและมอบสิ่งของจำเป็นจำนวนมากแก่พี่น้องชาวแพร่ที่ติดอยู่ในจุดน้ำท่วมแบบทั่วถึง โดยไม่แคร์ว่าจะต้องถูกยัดเยียดข้อหาสร้างระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง

ทั้งนี้ 'ฟ้าคราม' ยังเผยด้วยว่า ในยามที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน หน้าที่ของคนไทย คือ การช่วยเหลือกัน เพราะหลายครอบครัวที่ประสบความเดือดร้อน ออกไปทำงานไม่ได้ บางบ้านมีเด็กเล็ก มีคนป่วย พอออกไปไหนไม่ได้ ก็ไม่มีจะกิน ฉะนั้นยามนี้ใครที่จะมาบอกว่า กลัวเป็นบุญคุณอุปถัมภ์ แล้วให้มองตาจะเข้าใจ มันคงไม่ทำให้ผู้เดือดร้อนอิ่มท้อง พร้อมกับย้ำว่า เรื่องของน้ำใจ เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออื่นใด เป็นจริยธรรมอันดี ทุกคนควรต้องช่วยกัน

สำหรับ 'เบน-ชนกนันท์' แม้จะเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ แต่เป็นหน้าเก่าในพื้นที่ เนื่องจากมีพ่อเป็นอดีตสจ.แพร่ เป็นหลาน 'แม่เลี้ยงติ๊ก' นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีต สส.แพร่หลายสมัย โดยเธอได้ลงพื้นที่สัมผัสกับชาวบ้านร่วมกับพ่อและแม่เลี้ยงติ๊กมาตลอด จึงรับรู้ปัญหาว่าชาวบ้านต้องการอะไร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับการลงพื้นที่เพราะคุ้นเคยกับชาวบ้านเป็นอย่างดี และเหตุการณ์น้ำท่วมหนนี้ เธอก็ทำหน้าที่คนของประชาชนในนามพรรครวมไทยสร้างชาติได้แบบไม่ตกหล่น จนได้ใจชาวในพื้นที่ประสบภัยอย่างล้นหลาม

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำ!! นโยบายรัฐบาลใหม่ ห้ามแก้ ม.112 พร้อมชูโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน

(4 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรีและฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ที่ประชุมได้มีมติ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีการลงมติวาระที่ 3 ในวันที่ 5 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติมีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เนื่องจากมีความต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดการกระจายเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ การมีมติพรรคในการผ่านกฎหมายฉบับนี้จะส่งผลให้รัฐบาลสามารถดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

นายอัครเดช กล่าวว่า ในเรื่องต่อมาคือนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะบรรจุในนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายประกอบด้วย 2 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรกเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันจุดยืนเดิมว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงห้ามให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 หมวด 2 และในประเด็นเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในรัฐธรรมนูญ

นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องสุดท้ายจะเป็นนโยบายของพรรคในเรื่องพลังงาน ที่จะต้องมีการสร้างโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน และการดำเนินการตามแนวทางรื้อ-ลด-ปลด-สร้าง นโยบายนี้จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนได้อย่างมาก ซึ่งจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อร่างกฎหมายโครงสร้างพลังงานผ่านเป็นกฎหมายแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันว่าพร้อมจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวที่ยกร่างโดยนายพีระพันธุ์ต่อไป

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จับมือผู้ค้า-เอกชน จัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ จัดทัพ ‘สินค้าราคาถูก’ ออกจำหน่ายแก่ประชาชน เริ่ม 12-15 ก.ย. นี้

(4 ก.ย. 67) ที่อาคารรัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึงกำหนดการและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ โดยระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศนโยบายของพรรคตั้งแต่เริ่มต้นว่า จะรื้อ ลด ปลด สร้าง เพื่อสังคมที่ถูกต้องและเป็นธรรม 

ปัจจุบันประชาชนชาวไทยกำลังเผชิญความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยด้านอื่น ๆ จึงต้องเร่งลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน โดยนำหลักการการแบ่งปันมาใช้ คนที่มีมากแบ่งปันให้คนที่มีน้อยหรือคนที่ขาดแคลน จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ ร่วมกับผู้ค้าและภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในเบื้องต้น โดยงานนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2567 ณ MBK Center ลานกิจกรรม Avenue A ชั้น G ฝั่งถนนพระราม 1 ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-19.00 น. รวม 4 วัน

ทั้งนี้ ภายในงานจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายมาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ยกตัวอย่าง ข้าวหอมมะลิ 5 กิโลกรัม จำหน่ายเพียง 100 บาท ไข่ไก่คละไซซ์ 40 ฟอง ราคา 100 บาท น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม ราคาเพียง 20 บาท เนื้อไก่สดกิโลกรัมละ 50 บาท และอาหารพร้อมรับประทาน 20 บาททุกเมนู 

นอกจากนี้ ยังมี อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป น้ำมันพืช ผลไม้ตามฤดูกาล ของใช้ภายในบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ มาจำหน่ายในงาน พร้อมมอบส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมให้ผู้ร่วมงานอีกคนละ 200 บาท ด้วย

“พรรครวมไทยสร้างชาติพยายามที่จะแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนด้านค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนตามนโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง และการช่วยเหลือดูแลแบ่งปันกัน ในภาวะต้นทุนในการค้าขายและการผลิตที่สูงขึ้นในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงได้ประสานงานและขอความร่วมมือจากผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภคหลายแห่งและหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระและมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่จะได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ในราคาถูก” นายพีระพันธุ์กล่าว

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึงสิทธิพิเศษที่จะช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมว่า ภายในงานได้รับการสนับสนุนคูปองส่วนลดพิเศษให้ผู้ร่วมงานอีกคนละ 200 บาท เพื่อเป็นส่วนลดเพิ่มเติมในการซื้อสินค้าทุกประเภท วันละ 2,500 สิทธิ รวมทั้งสิ้น 10,000 สิทธิ โดยผู้เข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนเพื่อรับคูปองส่วนลดพิเศษนี้ได้ด้วยตนเองวันละ 2 รอบ ในเวลา 10.30 น. และ 17.00 น.

“ถึงแม้สินค้าทุกอย่างภายในงานจะจำหน่ายในราคาถูกอยู่แล้ว แต่พี่น้องประชาชนก็ยังสามารถจับจ่ายสินค้าเหล่านี้ในราคาที่ถูกลงไปได้อีก จากการใช้คูปองส่วนลดพิเศษ 200 บาท ซึ่งจะมอบให้ภายในงานวันละ 2,500 สิทธิ และสามารถลงทะเบียนรับได้ที่หน้างาน” นายเอกนัฏกล่าว

ขณะที่ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในงานนี้จะมีผู้ค้าและภาคเอกชนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนนำสินค้ามาจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

“ผู้ค้าและภาคเอกชนจำนวนมากติดต่อขอนำสินค้าบริโภคหลายรายการมาจำหน่ายในงานในราคาถูกกว่าท้องตลาดเกือบครึ่ง เช่น น้ำตาลทรายที่จำหน่ายเพียงกิโลกรัมละ 10 บาท เท่านั้น นับเป็นน้ำใจที่มีกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว

ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในงานจะมีศิลปินนักร้องมาสร้างความคึกคัก และยังมีกิจกรรมเสริมสร้างอาชีพ การเสวนา และการแสดงบนเวที ตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงาน อาทิ เวิร์กช็อปสอนการทำอาหารเพื่อต่อยอดด้านอาชีพ ซึ่งอำนวยการสอนโดย อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อาจารย์สอนทำอาหารและพิธีกรชื่อดัง การแสดงจากศิลปินนักร้อง รวมทั้ง โชว์พิเศษจากสมาชิก และ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook Page พรรครวมไทยสร้างชาติ

'เอกนัฏ-รมว.อุตสาหกรรม' น้อมรับเสียงวิจารณ์หลังร่วมงาน 'ครม.อุ๊งอิ๊ง 1' ชี้!! ภัยคุกคามและความท้าทายของชาติเปลี่ยน ทุกคนต้องร่วมมือกัน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมป้ายแดง ในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เคยเป็นแกนนำ กปปส.ไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมาร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่า เมื่ออยู่ในการเมือง ก็ยินดีรับฟังทุกความเห็น และพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน วันนี้เรื่องของบ้านเมืองต้องมาก่อน เชื่อว่า คนที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน ก็อาจมีวิธีที่ต่างกัน ตนในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด บางทีอาจเป็นทางออกทางเดียว ซึ่งยืนยันว่าอยู่ในจุดยืนนี้มาโดยตลอด คือ อุดมการณ์ในการปกป้องและรักษาสถาบัน ที่เป็นเสาหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าจะเสียแนวร่วมหรือกลุ่มสนับสนุนไปหรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ขอให้ผลงานกับระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ "ทุกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำติชม ยินดีรับฟัง อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ผมรัก และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด ก็จะตั้งใจทำงานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ"

เมื่อถามว่ามีหลายคนใช้คำแรงว่า เราหักอุดมการณ์ตัวเอง? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เข้าใจ เพราะตนมายืนอยู่ในตรงนี้ อาชีพนี้ การตัดสินใจและจะทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยืนยันว่า ได้เลือกทางที่ดีที่สุด ณ จังหวะเวลานี้ ภัยคุกคามและความท้าทายของประเทศมันเปลี่ยนไป ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน"

เมื่อถามว่าสามารถทำงานได้สนิทใจหรือไม่ กับลูกของนายทักษิณ ชินวัตร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ก็ต้องทำล่ะครับ วันนี้ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก มันก็สามารถทำงานด้วยกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก"

เมื่อถามว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. หรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ตนยังคงพูดคุยกับทุกคนปกติ ตนเข้าใจแล้วที่ผ่านมาไม่อยากพูดมาก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รับฟัง เข้าใจว่าคนที่ตำหนิมามีความปรารถนาดี ก็ต้องรับฟังและปรับปรุงตัว แต่ย้ำว่าตลอดชีวิตการทำงานการเมืองที่ผ่านมามีจุดยืน ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าไปเป็นพยานให้ นายทักษิณ ชินวัตร คดี 112 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ความจริงมีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ไม่ได้ไปโดยพลการ ซึ่งหากไม่ไป ก็จะต้องถูกหมายจับ จึงต้องไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ หากยังมีข้อสงสัย ตนก็จะหาโอกาสที่แจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง"

เมื่อถามถึงเรื่องของคุณสมบัติ ที่มีการท้วงติงกันก่อนหน้านี้? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "การตรวจสอบคุณสมบัติไม่ใช่หน้าที่ของตน ซึ่งเมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากคดีของตนมีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ดังนั้น ที่จะมีการไปร้องให้ตรวจสอบ ขอไม่พูดถึง เดินหน้าทำงานดีกว่า"

'พีระพันธุ์' ย้ำ!! กม.ใหม่ คิดราคาน้ำมันตามต้นทุนแท้จริง แทนอิงราคาต่างชาติ พร้อมกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน

(10 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ หลังจากได้เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านพลังงาน เพื่อตรวจทานรายละเอียดของกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันที่ผมได้ยกร่างขึ้นมาในเบื้องต้นทั้งหมด 180 มาตรา 

โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และจะกำกับดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย

ในกฎหมายฉบับนี้ ยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และเมื่อภาระต้นทุนน้ำมันของผู้ประกอบการลดลงแล้ว ก็จะอ้างต้นทุนค่าขนส่งแพงไม่ได้ และจะนำไปสู่การปรับลดราคาสินค้าตามมาด้วย  ซึ่งจะเป็นการลดภาระของประชาชนในอีกทางหนึ่ง

"ผมใช้เวลาร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมันที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกํากับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์บนหลังคาบ้าน และขอให้เชื่อมั่นว่า ผมจะเร่งผลักดันกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ รวมทั้งกฎหมายด้านพลังงานอื่น ๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การ 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ระบบพลังงานไทย เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมครับ" นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘พีระพันธุ์’ ปลื้ม!! ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ วันแรก บรรยากาศสุดคึกคัก ประชาชนแห่ซื้อสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด บรรเทาภาระค่าครองชีพ

เมื่อวานนี้ (12 ก.ย. 67) ที่ ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ ณ ลานกิจกรรม Avenue A ชั้น G ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมจับจ่ายสินค้าราคาถูกภายในงานอย่างคับคั่ง

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยถึงแนวคิดในการจัดงานครั้งนี้ว่า ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ เป็นกิจกรรมที่แตกย่อยมาจากแนวคิดใหญ่เรื่อง ‘เศรษฐกิจแบ่งปัน’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นการนำหลักการแบ่งปันมาประยุกต์ใช้เพื่อลดภาระของพี่น้องประชาชนผู้ที่ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอ

โดยคนที่มีมากสามารถแบ่งปันให้คนที่มีน้อยหรือคนที่ขาดแคลน เพื่อสร้างสังคมแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พรรครวมไทยสร้างชาติจึงได้ประสานงานเชิญผู้ค้าและภาคเอกชนที่มีความพร้อมและมีน้ำใจจะช่วยเหลือแบ่งปันให้สังคม มาร่วมจัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าราคาถูกในครั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระด้านค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบันจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยด้านอื่น ๆ และหวังว่าการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ จะสามารถช่วยลดภาระของพี่น้องประชาชน และต่อยอดแนวคิด ‘เศรษฐกิจแบ่งปัน’ ได้อีกระดับหนึ่ง

“พรรครวมไทยสร้างชาติพยายามที่จะลดภาระของพี่น้องประชาชน ตามนโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง ที่ได้ประกาศไว้ และเราได้เล็งเห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนจากภาระค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น จึงได้ประสานงานและขอความร่วมมือจากผู้ค้าและภาคเอกชนที่พร้อมจะเอื้อเฟื้อและช่วยเหลือแบ่งปัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนรวมถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ในราคาถูก โดยหวังว่าการจัดงานรวมไทยสร้างชาติแฟร์ในครั้งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระและมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติต้องขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ฝ่ายที่ช่วยให้งานนี้เกิดขึ้นได้สำเร็จ และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนทุก ๆ ท่านครับ” นายพีระพันธุ์กล่าว  

ทั้งนี้ ภายในงานจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายมาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ยกตัวอย่าง ข้าวหอมมะลิ 5 กิโลกรัม จำหน่ายเพียง 100 บาท ไข่ไก่คละขนาด 40 ฟอง ราคา 100 บาท น้ำตาลทรายแพคละ 2 กิโลกรัม ราคาเพียง 20 บาท เนื้อไก่สดกิโลกรัมละ 50 บาท หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 100 บาท และอาหารพร้อมรับประทาน 20 บาททุกเมนู 

นอกจากนี้ ยังมี อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป น้ำมันพืช ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน มังคุด ลองกอง รวมถึงของใช้ภายในบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ มาจำหน่ายในงานด้วย

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานยังสามารถลงทะเบียนรับคูปองส่วนลดพิเศษ 200 บาท สำหรับซื้อสินค้าทุกประเภทภายในงาน วันละ 2 รอบ ในเวลา 10.30 น. และ 16.00 น. วันละ 2,500 สิทธิ และภายในงานยังมีศิลปินนักร้องชื่อดังมาสร้างความคึกคัก พร้อมเวิร์กช็อปสอนการทำอาหารเพื่อต่อยอดด้านอาชีพตลอดทั้ง 4 วัน ของการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ ณ ลานกิจกรรม Avenue A ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ฝั่งถนนพระราม 1 ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-19.00 น.

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘การเลือกตั้ง’ เท่ากับประชาชนได้ใช้อำนาจตาม รธน. ติง!! ‘หัวหน้าพรรคส้ม’ ไม่ควรสร้างวาทกรรมทำให้สังคมแตกแยก

(16 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ว่า ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 หลังจากที่ได้รับเสียงจากพี่น้องประชาชนให้มาทำงานในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตนขอชื่นชมในสปิริตของพรรคประชาชน ที่ออกมาแสดงความยินดีและยอมรับในผลการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ดี ขอติงและฝากข้อเสนอแนะไปถึง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีออกมาระบุว่า "หนทางในการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนนั้นไม่ง่าย" นั้น ตนมองว่าไม่เหมาะสม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็บัญญัติไว้อยู่แล้วว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย 

ดังนั้นการที่ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การแสดงวาทกรรมของหัวหน้าพรรคประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก กับวาทกรรมแบบนี้

"ดังนั้น พรรคประชาชนควรยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่ามาจากอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอยู่แล้วในปัจจุบันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมให้แตกแยกกันในสังคม ควรมุ่งเน้นทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะดีกว่า” นายอัครเดช กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top