Saturday, 5 July 2025
รวมไทยสร้างชาติ

'ลอรี่ รวมไทยสร้างชาติ' เผยเหตุผล 4 ข้อสำคัญ ไม่หนุนนิรโทษกรรม ม.112 ชี้!! ขัดแย้งหลักปรองดอง-เสี่ยงทำผิดซ้ำ แนะ!! ขออภัยโทษเป็นรายกรณี

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้เปิดเผย ผลการศึกษาของคณะ กมธ.นิรโทษกรรม ตลอดการประชุม19 สัปดาห์ว่า

ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 ท่าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะไม่เห็นชอบให้มีการรวมนิรโทษกรรมคดี ม.112 และ ม.110 ได้แก่ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส. ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ, นายเจือ ราชสีห์ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการ

นายพงศ์พล กล่าวสรุปว่า ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยที่จะรวมคดีอ่อนไหวทางการเมืองอย่าง ม.112, ม.110  ในการนิรโทษกรรม ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

1. ปัญหาเชิงคุณภาพ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่จะต้องการสร้างความปรองดองสังคม เพราะอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่

2. ปัญหาเชิงปริมาณ ในแง่ของจำนวนคดีม.112 คิดเป็นจำนวนน้อย ไม่ถึง 2% เทียบกับคดีทั้งหมด แต่อาจทำให้การนิรโทษกรรมคดีที่เหลือ 98% มีปัญหาได้

3. กระทำผิดซ้ำ มีโอกาสในการกระทำผิดซ้ำสูง หลังการได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอย

4. คดีลักษณะเฉพาะ คดีม.112, 110 เป็นคดีลักษณะเฉพาะพิเศษ ไม่สามารถแก้โดยนิรโทษกรรมได้ คล้ายกับความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีม.135 ควรให้เป็นการพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณีไป

คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาแนวทางทางการตราพรบ.นิรโทษกรรม คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ได้มีมติสุดท้าย ใช้กระบวนการ 'ผสมผสาน' นิรโทษกรรมโดยกรอบกฎหมาย ร่วมกับการมีคณะกรรมการ คอยวินิจฉัยและอุทธรณ์ 

ความเห็นคณะ กมธ.นิรโทษกรรม แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง โดยเป็นการบันทึกความเห็นอย่างมีอิสระ ไม่มีการโหวต

ผลความเห็นล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 67 จากคณะ กมธ.นิรโทษกรรม 36 ท่าน ไม่รวมประธาน 1 ท่าน และคณะกรรมาธิการถอนตัว 1 ท่าน เหลือ จำนวน 34 เสียง ดังนี้

-  ไม่นิรโทษ 112 จำนวน 13เสียง
-  นิรโทษ 112 จำนวน 3 เสียง
-  นิรโทษ 112 โดยห้ามกระทำผิดซ้ำ จำนวน 12 เสียง 

“โดยผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ เตรียมยื่นให้ประธานสภาฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าในวาระการประชุมสภา ในลำดับต่อไป ฝากถึงพี่น้องคนไทยที่รักสถาบัน และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างใกล้ชิด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ จวก!! ‘ปิยบุตร’ พาลไปทั่ว ปม ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรไม่ได้

(31 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ในเชิงตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ และโดยเฉพาะเหมือนเป็นการตำหนิสื่อมวลชน 

เรื่องนำเสนอแต่ข่าวดรามาไม่สนใจกกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลทำถูกต้องหรือไม่ สะท้อนภาพไม่มีใครสนใจกฎหมาย และการยุบพรรคกลายเป็นเครื่องมือของ ‘นิติสงคราม’ ว่า การที่นายปิยบุตร จะชี้แจงลงรายละเอียดถึงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ให้เป็นการต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม

“แต่การออกมาตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ รวมถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เป็นเหมือนภาษิตไทยที่ว่า ‘ขี้แพ้ชวนตี’ หรือ พาลไปทั่ว ไม่เลือกหน้า ตนมั่นใจว่า พี่น้องสื่อมวลชนนั้น ต่างก็ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา การสัมภาษณ์สส.ก้าวไกลถึงคดีนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดการก้าวล่วงอำนาจศาลอย่างไม่สมควร เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พรรคก้าวไกลต่างหาก ควรระวังการก้าวล่วงอำนาจศาล” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนแกนนำพรรคก้าวไกลพร้อมใจกันออกมา แสดงความเห็นในแนวต่อว่ากระบวนการ ไม่เป็นธรรมนั้น นายธนกร มองว่า การที่นายปิยบุตร รวมถึงแกนนำพรรคก้าวไกล ออกมาพูดแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการของกกต.และศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันตัดสินนั้น ถือเป็นการก้าวล่วงศาลอย่างชัดเจนหรือไม่ 

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังนัดรวมพลแฟนคลับเตรียมจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในวันที่ฟังผลตัดสินคดีด้วย จะให้สังคมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงขอถามนายปิยบุตร ว่ามีเจตนาใดแอบแฝงเบื้องหลังหรือไม่ และขอให้หยุดดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม หากไม่ได้ทำผิดอาจจะรอดไม่ต้องถูกยุบพรรคก็เป็นได้ จึงไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาตีตนไปก่อนไข้แบบนี้

“ขอให้ตั้งสติและเลิกใช้คำว่า ‘นิติสงคราม’ เสียที เพราะไม่มีใครใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งใครได้ ถ้าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรคุณไม่ได้ ประเทศไทยเรายึดตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันด้วยหลักการกฎหมาย ยืนบนความถูกต้อง ไม่ใช่ความถูกใจของคนบางกลุ่ม บางพรรค เรามีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ขอให้พรรคก้าวไกลและนายปิยบุตร ยอมรับความจริงตรงนี้ด้วย” นายธนกร กล่าว

‘กมธ.อุตฯ’ เผย ‘กากแคดเมียม’ ขนถึงจ.ตาก ครบ 100% คาด!! ดำเนินการฝังกลบเสร็จเรียบร้อย ภายใน 30 พ.ย.67

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า กมธ.การอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้ากรณีกากแคดเมียมล่าสุด รับรายงานขนย้ายจาก 3 จังหวัด ถึงโรงพักคอยจังหวัดตาก จำนวน 12,912 ตัน ครบ 100% แล้ว ระบุ ขั้นตอนต่อไปรอตรวจสอบความสมบูรณ์ของบ่อในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ คาดดำเนินการฝังกลบได้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 พฤศจิกายน 2567

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นางสาวกมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส.ระยอง นายรัฐ คลังแสง สส.มหาสารคาม และนายชิษณุพงศ์ ตั้งเมธากุล สส.นครปฐม ร่วมแถลงความคืบหน้าการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมในพื้นที่ต่าง ๆ กลับสู่จังหวัดตาก ว่า… 

ในวันนี้ คณะกรรมาธิการได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สนง.ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการขนย้ายกลับไปสู่จังหวัดตากตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2567 จนครบ 100% เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ซึ่งขณะนี้กากตะกอนแคดเมียมอยู่ที่โรงพักคอยทั้งหมด 12,912 ตัน เป็นตัวเลขที่ชั่งน้ำหนักที่ปลายทางที่จังหวัดตาก 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ พบว่า ได้มีการแจ้งขนย้ายจริงคือขออนุญาต 15,000 ตัน แต่มีการแจ้งเข้าไปในระบบอิเล็กทรอนิกส์ 13,800 ตัน แต่จากการตรวจโดยการคํานวณปริมาตรคร่าว ๆ จะอยู่ที่ 12,948 ตัน และเมื่อขนกลับไปแล้วชั่งน้ำหนักจริงก็จะเหลือ 12,912 ตัน

ส่วนขั้นตอนฝังกลบนั้น หลังจากนี้จะต้องทำการตรวจสอบบ่อฝังกลบที่ 4 และ 5 ก่อนว่ามีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบ่อที่ 4 ตอนที่ขนออกมานั้น มีกากแคดเมียมเหลืออยู่ครึ่งบ่อ ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปต้องดําเนินการตรวจสอบการรั่วซึมหรือไม่ โดยทางกรมทรัพยากรเหมืองแร่ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้าไปดำเนินการในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ 

เนื่องจากที่ผ่านมาค่าการตรวจสอบความรั่วซึมของกรมควบคุมมลพิษกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ค่ายังไม่ตรงกัน จึงต้องเข้าไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง และหากว่าตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วซึม ก็จะขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บที่บ่อ 4 ให้เต็ม ส่วนบ่อที่ 5 ขณะนี้ได้ทำการซ่อมแซมไปแล้ว และในวันที่ 5 สิงหาคมที่จะถึงนี้ จะทําการตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่มีการรั่วซึมก็จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยนะครับ 12,912 ตัน ไปเก็บในบ่อที่ 5 ต่อไป

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า หลังจากนี้ คณะทํางานที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง ซึ่งมีท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บไว้ที่บ่อฝังกลบให้เสร็จภายใน 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งก็จะทำให้ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ขั้นตอนต่าง ๆ ยังไม่เสร็จ เพราะว่าต้องรอตรวจสอบบ่อกักเก็บกากแคดเมียมว่ามีความแข็งแรงไม่รั่วซึมก่อน จากนั้นจึงจะสามารถทำการขนย้ายจากโรงพักคอยไปที่บ่อฝังกลบต่อไป

“ตอนนี้ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทั้งที่สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และชลบุรี ได้อุ่นใจว่ากากแคดเมียม ซึ่งเป็นสารอันตรายได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แล้ว และที่สําคัญได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมควบคุมมลพิษได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า ไม่มีสารตกค้างแล้ว 100% ส่วนที่ชลบุรีก็ได้มีการเข้าไปดูดฝุ่นและก็ไม่พบสารตกค้างเช่นกัน รวมถึงอีก 2 บริษัท ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ก็ได้ตรวจสอบสารตกค้าง และตอนนี้สามารถส่งพื้นที่ได้เรียบร้อย ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัด ทั้ง 5 พื้นที่ อุ่นใจได้ ส่วนที่โรงพักคอยจังหวัดตากจะลงบ่อฝังกลบเมื่อไหร่ จะแล้วเสร็จทันกําหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน หรือไม่ ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้หารือร่วมกับทางกระทรวงอุตสาหกรรม และจะติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐต่อไป ส่วนเรื่องของการดําเนินคดีนั้น ก็ยังมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในสัปดาห์หน้าก็จะเชิญหน่วยงานมาชี้แจง และจะรายงานความคืบหน้าให้ได้ทราบต่อไป” นายอัครเดช กล่าว

'สุชาติ-รวมไทยสร้างชาติ' ชวน ชาวไทยทั่วโลก รอชมแมตช์หยุดโลก เชียร์ 'น้องวิว' คว้าทองโอลิมปิก

(5 ส.ค. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อตวามผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ชวนคนไทย เชียร์น้องวิว 

คนทั่วโลก รอชม แมตช์หยุดโลก ไปพร้อมๆ กัน

คงต้องนั่งหน้าจอลุ้นกันทุกวินาที พร้อมส่งพลังใจไปถึง 'น้องวิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์' ที่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ ชิงเหรียญทองแบดมินตันโอลิมปิก 2024 กับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น มือ 2 โลก แชมป์เก่า จากเดนมาร์ก เวลา 20.40 น. โดย T SPORT 7 ยิงสดเกมนี้ 

ส่วนตัวไม่เคยเจอกับ 'น้องวิว' แต่ติดตามผลงานมาตลอด โดยเฉพาะการพาตัวเองไปแข่งขันแบดมินตันโอลิมปิกครั้งนี้  ผมเองชื่นชมในความสามารถของเยาวชนคนเก่งทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนจังหวัดไหน หรือทำอะไรที่เป็นหน้าเป็นตาเพื่อชาติบ้านเมืองเรา ผมก็พร้อมจะสนับสนุนทุกคน 

แต่สำหรับวันนี้ เรามาส่งกำลังใจไปให้น้องวิว กันนะครับ

มือเศรษฐกิจรุ่นใหม่ ดีกรี วิศวะ-เศรษฐศาสตร์-บริหาร อ๊อกซฟอร์ด

นาทีนี้ สื่อดังหลายสำนักตีข่าวไปในทางเดียวกันว่า คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แสดงเจตจำนงว่า สำหรับโควตารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งนั้น หากมีการปรับ ครม.พรรคขอเสนอชื่อของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า คุณขิงได้ทำผลงานในการเลือกตั้ง และงานสภาฯ ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ถือว่ารัฐบาลจะได้ รัฐมนตรี ที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีคุณภาพคนหนึ่งมาร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' นักการเมืองหนุ่มไฟแรงวัยแค่ 38 ปี ตำแหน่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' จนถูกเรียกติดปากว่า 'เลขาขิง' มีดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอก จบปริญญาตรี ควบปริญญาโท ปริญญาตรี ควบปริญญาโทใน 2 สาขา EEM (Engineering, Economics and Management)จาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ ซึ่งมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ตามการจัดอันดับปีล่าสุด 2024 ของ Times Higher Education (THE) World University Ranking

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงเส้นทางการเมืองของ 'เอกนัฏ' จะพบว่า เจ้าตัวเป็นคนที่ชอบติดตามการเมือง มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็กชั้นประถม พูดง่าย ๆ คือ หากเปรียบชีวิตการเมือง ก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในสายเลือดไปแล้ว เพราะตอนเป็นเด็ก เจ้าตัวชอบไปยืนเกาะข้างเวทีปราศรัย ชอบคุยแต่เรื่องการเมืองกับแม่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ 'อ๊อกซฟอร์ด' ประเทศอังกฤษ เพราะเป็นสถาบันที่ผลิตนักการเมืองมาเยอะ 

หลักจากเรียนจบ 'เอกนัฏ' เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว จากคำชักชวน ของ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปรียบเป็นรุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน (อ๊อกซฟอร์ด) ชวนให้มาช่วยงานที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลขณะนั้น และเข้าไปช่วยงานรัฐบาลในตำแหน่ง เลขานุการส่วนตัวของ 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง

เอกนัฏ เล่าว่า สมัยที่เข้าไปช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ ทำทุกหน้าที่ ประสานงานทั้งคนในพรรค ทั้งคนในรัฐบาล และงานความมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการเมือง กระทั่งเมื่อปี 2554 ลงสมัครรับเลือกตั้ง และชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสได้เป็น สส.กทม. เขตทวีวัฒนา เมื่อตอนอายุ 25 ปี ถือว่าเป็น สส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาขณะนั้น 

สำหรับการปักธงการเมืองไปกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น เพราะเขามองว่าพรรคนี้ มุ่งมั่นที่จะให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ เช่น ตนเองได้มาเป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจะพิสูจน์ฝีมือทำให้ได้ เปิดพื้นที่ให้กับทุกคน ไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งรุ่น เอาคนที่ประสงค์ดีมาทำงาน มองการเมืองคือการแข่งขัน เพื่อเอาชนะใจของประชาชน แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตต้องสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง  

เอกนัฏ เล่าอีกว่า ที่มาที่ไปของพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันต้องการให้มีพรรคการเมือง มีการเปลี่ยนแปลง ใกล้ชิดประชาชน มีความยืดหยุ่นตอบสนองความต้องการประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ยึดติดกับความแย้ง ในอดีต ไม่เอาความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน จึงเป็นที่มาในการตั้งพรรค 

ส่วนชื่อ 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจาก 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' หัวหน้าพรรค เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่เคยได้ยินประโยคนี้บ่อย ๆ และคำว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' มีทั้งความหมายและฟังแล้วติดหู จึงนำมาตั้งเป็นชื่อพรรค    

เมื่อพูดถึง 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ก็อดไม่ได้ที่ต้องขยายความช่วงหนึ่งของ รทสช. ที่มีกระแสข่าวว่าเกิดปัญหาภายในพรรค ซึ่งเรื่องนี้ เอกนัฏ ย้ำชัดอีกรอบ ว่า...

"สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านหัวหน้าพรรคพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่า คนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นมาโยง เราก็ต้องเรียนตรง ๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก และจริง ๆ แล้ว ตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย แต่ก็ดันมีการจับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร แล้วผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย ฉะนั้นเมื่อช่วงแรกที่ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคน เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่าง ๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิง เอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

เมื่อถามถึงบริบทของคำว่า 'นักการเมือง'? เอกนัฏ มักพูดเสมอว่า ไม่อยากให้มองว่า อาชีพนักการเมืองมีแต่คนเลว ไม่ควรดูถูกอาชีพนักการเมือง ขอให้คนรุ่นใหม่ปรับมุมมอง อยากให้คนรุ่นใหม่สนใจอาชีพการเมือง เข้ามาลองทำอาชีพนี้ ช่วยทำการเมืองให้สร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้คนดีๆ มีความสามารถ เข้ามาช่วยทำการเมืองให้มันดี ตามที่ใจเราต้องการ แล้วมาช่วยกันพัฒนาประเทศ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่สามารถแยกแยะ เหตุและผลตามข้อเท็จจริงได้

สำหรับคติประจำใจในการทำงานการเมืองของ 'เอกนัฏ' นั้น เจ้าตัวบอกว่า ต้อง 'ขยัน-อึด-อดทน' ซึ่งแม้จะเป็นคำที่ฟังดูแล้วพื้น ๆ แต่มีความหมายใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดในการทำอาชีพนักการเมือง   

>> ขยัน คือ ทำแค่นี้ยังไม่พอ ต้องให้มากกว่าเดิม ต้องทำให้ละเอียดมากกว่านี้  
>> อึด คือ ต้องแข็งแรง แข็งแกร่ง ไม่ว่าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนต้องก้าวต่อไปให้ได้
>> อดทน คือ อาชีพนักการเมือง ต้องรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถูกคำสบประมาท ถูกคำด่าทอ สาดเสียเทเสีย แต่ต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเอง

ก็คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ในห้วงเวลาจากนี้ ชื่อของ 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะถูกบรรจุเข้าสู่ทำเนียบรัฐมนตรีเลือดใหม่ของรัฐบาลนี้เมื่อใด และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

'อัครเดช' ชี้!! 'รวมไทยสร้างชาติ' หนุน ‘เอกนัฏ’ นั่งโควตารัฐมนตรี ยัน!! เป็นคนทำงานทุ่มเท คุณสมบัติพร้อม แง้ม!! เจ้าตัวยังไม่ทราบเรื่อง

(5 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค รทสช. เป็นรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ว่า นายเอกนัฏ ยังไม่ทราบเรื่องหนังสือ แต่เป็นไปได้ว่าหัวหน้าพรรค จะส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากติดประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้พูดคุยเรื่องการเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า ทางพรรคยังเหลือโควตารัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายเอกนัฏ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลุดจากคดีความแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 

ฉะนั้น กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรค คงไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากนายเอกนัฏ ทำงานด้วยความทุ่มเท และที่ผ่านมาทั้งในช่วงหาเสียงและงานในสภาก็มีผลงานที่ชัดเจน ยืนยันว่า ทุกคนพร้อมสนับสนุนให้นายเอกนัฏ ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค รทสช. ดังนั้นหนังสือไม่ใช่ใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการตัดสินใจสุดท้าย อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ขอทุกฝ่าย 'หยุดชี้นำ-กดดันศาล' ปมยุบก้าวไกล ลั่น!! ต้องเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้

(6 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ของพรรคก้าวไกล ว่า...

สำหรับกรณีการอ่านคำพิพากษาในคดียุบพรรคก้าวไกลนั้นตนขอเรียกร้องต่อทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคล และองค์กรต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดให้ความเห็นในการชี้นำ หรือกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในการพิจารณาตัดสินคดีในศาลล้วนเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับพยานหลักฐาน การใช้ดุลยพินิจของศาลล้วนไม่เกินกว่าขอบเขตกฎหมาย การกดดัน หรือชี้นำศาลนั้น มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมขึ้น 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นใด ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะเมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นคำตัดสินของศาลย่อมชี้ขาด และระงับข้อพิพาทดังกล่าว กรณีการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน 

"หากทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแล้ว เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายอัครเดช กล่าว

'ดร.หิมาลัย' เปิดงาน 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' สะท้อนอีกแง่มุมประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

(6 ส.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการเปิดกิจกรรมเสวนา 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารศรีศรัทธา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ / นายภัทรพล แก้วสกุณี อดีตผู้สมัคร สส.เขต 6 จ.ปทุมธานี พรรครวมไทยสร้างชาติ / น.ส.พัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ / นาย อิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนักศึกษาประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ได้กล่าวเปิดงานว่า วันนี้เราจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

"เรามาร่วมไขความจริงกันอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง...

"หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป"

สำหรับการเสวนาในหัวข้อ 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' นั้นได้มีวิทยากรร่วมในการบรรยายจำนวน 5 ท่าน ซึ่งล้วนแต่แสดงความคิดเห็นในหลากหลายแง่มุม ได้แก่...

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินการสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันด้านประวัติศาสตร์ และยังแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับบุคคลในประวัติศาสตร์ รวมถึงความพยายามที่จะถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 ที่ผ่านการศึกษาและค้นคว้าแจกแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือและบิดเบือน 

ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กล่าวถึง ความสำคัญในการจัดการกับประวัติศาสตร์ที่จะทำให้ชี้นำอนาคตของสังคมได้ จึงมีการพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ผ่านการให้ความจริงเพียงครึ่งเดียวในฐานะประชาชนจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และในอีกด้านหนึ่งบรรดาผู้ก่อการต่างยอมรับความผิดพลาดของตนเองที่ก่อในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นสามารถนำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความแตกแยก แม้จะมีอุดมการณ์และความเห็นต่างทางการเมืองของแต่ละกลุ่มบุคคลก็ตาม

ด้านนายจิตรากร ตันโห นิสิตปริญญาโท สาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อสังเกตถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัชกาลที่ 7 ที่พยายามประนีประนอมกับทุกกลุ่มอำนาจในสังคม และไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรแต่อย่างใด รวมการตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด ในหลวงรัชกาลที่ 7 จึงได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญไว้ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในปี 2475 อีกด้วย

ขณะที่ นางสาวปัณฑา สิริกุล ผู้เขียนบทภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้เล่าถึงเส้นเรื่องของประวัติศาสตร์และตั้งข้อสังเกตถึงบางช่วงบางตอนของประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏในตำราและหนังสือใด ๆ โดยเฉพาะการฉ้อโกง และดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมืองของคณะราษฎร ประกอบกับการนำข้อมูลของศาลพิเศษของหลวงพิบูลสงครามมาเป็นข้อมูลประกอบในหนังสือซึ่งขาดความน่าเชื่อถือ เพราะจากการสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลพบว่า การให้การภายในศาลพิเศษนั้น ล้วนเต็มไปด้วยคำให้การเท็จเป็นจำนวนมาก 

ด้าน นายฤกษ์อารี นานา อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตนักเรียนไทยในฝรั่งเศส ได้ให้ข้อสังเกตถึงการปฏิวัติของประเทศฝรั่งเศสหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้เริ่มต้นจากที่ประชาชนต้องการล้มล้างระบอบกษัตริย์ แต่มาจากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาความอดอยาก เรียกร้องให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่หลายปัจจัยนำไปสู่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ที่สุด และต้องใช้ระยะเวลานานนับร้อยปีหลังการปฏิวัติประเทศถึงเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้

'อัครเดช' จี้!! ตำรวจเร่งกวาดล้างมาเฟีย 'เงินกู้-ยาเสพติด' บ้านโป่ง ลั่น!! หากปล่อยเรื้อรัง ไม่พ้น 'ลักทรัพย์-ชิงทรัพย์' ลุกลาม

(7 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตอำเภอบ้านโป่ง เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องอาชญากรรม ซึ่งทำให้ชาวบ้านหวาดผวาอย่างหนัก หลังจากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีเพจดังในโซเชียลมีเดียได้ลงข่าวเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้นอกระบบได้ทําร้ายร่างกายลูกหนี้และเครือข่าย 

จากเหตุการณ์นี้ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ โดยเฉพาะท่านผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้ลงไปเร่งรัดจัดการคดีนี้ พร้อมกับเร่งปราบปรามการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความหวาดกลัวให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จนเกิดเป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชน ในเขตอําเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ว่า ขณะนี้เกิดปัญหายาเสพติดระบาดอย่างหนักในพื้นที่ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจได้เร่งรัดปราบปราม เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงนี้ยาเสพหนักเพิ่มปริมาณขึ้นเยอะมาก จากเดิมที่เคยลงลงพื้นที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยปรากฏว่าพี่น้องประชาชนเข้ามาร้องเรียนเรื่องยาเสพติดเลย แต่ช่วงนี้คงเยอะเป็นพิเศษจนชาวบ้านเริ่มทนไม่ไหว จึงได้เข้ามาร้องเรียนในขณะที่ลงพื้นที่

และแน่นอนว่า เมื่อมียาเสพติดระบาด ยังส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการลักทรัพย์และชิงทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยเช่น ซึ่งเมื่อไม่กี่วันนี้ที่ผ่านมา เกิดเหตุกระชากกระเป๋า โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นใต้สะพานโคกหม้อ ถนนทรงพล เขตตําบลปากแรต อําเภอบ้านโป่ง และยังมีปัญหาการลักทรัพย์สินทางราชการโดยเฉพาะสายไฟฟ้าส่องสว่าง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แต่ทว่ายังไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง ดังนั้น จึงขอให้ทางผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ลงไปเร่งดําเนินการให้ด้วย

นอกจากนั้น ในเขตอําเภอบ้านโป่ง ยังมีการจราจรหนาแน่น และมีการปิดถนนบางช่วงเพื่อทําการก่อสร้าง จึงอยากจะขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ เข้ามาช่วยอํานวยการจราจร เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจไม่ค่อยเพียงพอ จึงขอให้ทางผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดราชบุรีได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ตํารวจจราจรที่มีจํากัด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้ด้วย

“ขณะเดียวกัน ยังได้รับการร้องเรียนจากนายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลห้วยกระบอก ตําบลกรับใหญ่ว่า มีไฟฟ้าตกในเขตเทศบาลตําบลห้วยกระบอกบ่อยครั้ง ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เร่งรัดดําเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกในพื้นที่ให้ด้วย” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

'ลอรี่' ขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ห่วงใย ปมยุบ 'ก้าวไกล' หวัง!! คงไม่นำมาใช้สร้างแรงกดดันต่อกันในเวทีสากล

ไม่นานมานี้ นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ‘ลอรี่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีนายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทย หลังเหตุยุบพรรคก้าวไกลที่ระบุว่าคำตัดสินศาลอาจเป็นการบั่นทอนประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยได้ชี้แจงเป็นภาษาอังกฤษ (แปลไทย) ความว่า...

“ผมลอรี่ พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ ในฐานะตัวแทนประชาชนคนไทย เรายินดีน้อมรับความเป็นห่วงของท่าน แต่คงไม่มีประโยชน์อะไร หากนำมันมาสร้างแรงกดดันต่อกัน ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในเวทีสากล

เพราะประเด็นภายในชาติเรื่องนี้ มีความละเอียดอ่อน ความพยายามที่จะแก้ หรือยกเลิกกฎหมาย ‘Lèse-majesté’ หรือ ม.112 อันเป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ ซึ่งประเทศโดยมากมีบังคับใช้กันทั่ว ถือเป็นพฤติกรรมชัดเจนว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองไทย ที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แยกขาดจากกันไม่ได้

ศาลรัฐธรรมนูญไทย ได้วินิจฉัย เมื่อพรรคมีความผิดสำเร็จในพฤติกรรมที่ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอลง ย่อมเป็นการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายต่อระบอบการปกครองไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้

ผมหวังว่าท่านจะเข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วง กฎหมายต้องเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ ขณะที่พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ ที่ทางพรรคก้าวไกลเปิดตัว ก็สามารถต่อสู้ในแนวทางประชาธิปไตยของตัวเองต่อไปได้

ขอบคุณในความห่วงใย.. แต่ประเทศไทยเราโอเค“


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top