Monday, 6 May 2024
ญี่ปุ่น

สุ่มเสียบที่ญี่ปุ่น ‘เพจท่องเที่ยวดัง’ แชร์ประสบการณ์ ‘สุ่มแทงคน’ ในญี่ปุ่น เผย!! ชาวญี่ปุ่นบางคน ตกงาน-เป็นบ้า ก่อเหตุเพราะอยากติดคุก

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ที่นี่เที่ยว ญี่ปุ่น’ ได้ออกมาโพสต์เตือนหลังตนเจอเหตุการณ์สุ่มแทงคนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดเหตุห่างจากเจ้าตัวไปเพียงไม่กี่ก้าว โชคดีที่เหยื่อปลอดภัยและยังมีพลเมืองดีหลายคนให้การช่วยเหลือ โดยผู้โพสต์เล่าว่า “ทำไมชีวิตต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้…

อ้อมจะเดินข้ามถนน มีผู้ชายเดินสวนทางมาจากคาบุกิโจว ทางแยกไฟแดง ตรงก็อดซิลลา ชินจูกุ น้องผู้หญิงโดนแทง เหมือนสุ่มแทง อ้อมกรี๊ดสิคะรออะไร!!! พี่ ๆ ผู้ชายพากันวิ่งจับตัวคนร้าย ส่วนน้องผู้หญิงล้มไป อ้อมมือสั่นเลยค่ะ

อ้อมส่งข้อความไปบอกเจ้านายว่า ไม่ไหวแล้วกลัว เจ้านายงง คุยกับลูกค้าจนกลัวเหรอ พอดีอ้อมนัดประชุมงาน ก้าวขาไม่ออก บอกเจ้านายว่า ไปช้านะ ขอโทษที่ช้า

พอเจอหน้าบอกหนูกินข้าวไม่ลงแล้ว ช่วยด้วย มือสั่น น้ำตาไหล นายบอก ไปทำบุญด่วน มันคลาดเราเพียงเสี้ยวเดียว แล้วไม่ต้องห่วงตอบลูกค้า เดินดูทาง เอาชีวิตตัวเองก่อน คนญี่ปุ่นบางคนหมดหนทางอยากติดคุก ตกงาน เป็นบ้า ต้องระวังตัวเอง ดูทางด้วย

‘ญี่ปุ่น’ พิชิตแชมป์ ‘เวิลด์ เบสบอล คลาสสิค 2023’ โค่น ‘สหรัฐฯ’ คว้าถ้วยใบที่ 3 กลับบ้านในรอบ 14 ปี

ทีมเบสบอลของญี่ปุ่นพิชิต สหรัฐฯ ในรอบชิงดำของศึก เวิลด์ เบสบอล คลาสสิค 2023 ทำให้พวกเขาได้แชมป์โลกไปเชยชมเป็นสมัยที่ 3

ทีมเบสบอลชายทีมชาติญี่ปุ่นคว้าแชมป์ เวิลด์ เบสบอล คลาสสิค ประจำปี 2023 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากเอาชนะ สหรัฐอเมริกา ในรอบชิงชนะเลิศ 3-2 ที่สนาม โลนเดพ็อต พาร์ค ในเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา

ญี่ปุ่น ทำผลงานได้ดีมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะครบทั้ง 4 นัดจนทำให้ได้เข้าสู่รอบน็อกเอาต์ โดยในรอบก่อนรองชนะเลิศนั้นพวกเขาผ่าน อิตาลี มาได้ ด้วยสกอร์ 9-3 แล้วจากนั้นก็เฉือนชนะ เม็กซิโก 6-5 ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะมาพิชิต สหรัฐฯ ในรอบชิงดำ

‘นายกฯ คิชิดะ’ ถูกคนร้ายปาระเบิดควันใส่ ขณะปราศรัยที่วากายามะ เคราะห์ดี จนท.เข้ารวบตัวคนร้ายไว้ได้ทัน รีบนำตัวออกจากพื้นที่ทันที

(15 เม.ย. 66) ตำรวจญี่ปุ่นรวบตัวชายต้องสงสัยปาวัตถุคล้ายระเบิดควันเข้าใส่นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ขณะกำลังกล่าวปราศรัยกลางแจ้งที่เมืองวากายามะ (Wakayama) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 เม.ย.) โดยผู้นำญี่ปุ่นถูกกันตัวออกจากพื้นที่ และไม่ได้รับอันตราย

สถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่ทีมอารักขาจะรีบกันตัวนายกฯ ออกจากพื้นที่ และตำรวจสามารถควบคุมตัวชายต้องสงสัยไว้ได้ในที่เกิดเหตุ

สื่อญี่ปุ่นยังเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ที่ผู้คนต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ขณะที่ตำรวจหลายนายรีบพุ่งเข้ากดตัวชายต้องสงสัยลงกับพื้นและนำตัวเขาออกไป

‘ญี่ปุ่น’ ทุ่มงบกลาโหมขั้นสูงสุด แต่ขาดกำลังพลสู้รบ ชี้!! กองทัพไฮเทคไกลความจริง เหตุยังต้องใช้คนดูแล

(2 พ.ค. 66) รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายส่งเสริมกลาโหมถึงขั้นสูงสุด แต่กลับขาดแคลนกำลังพลที่เต็มใจจะสู้รบจนถึงเดือนมีนาคม 2023 กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น (หรือ SDF เป็นบุคลากรจากญี่ปุ่นที่ถูกจัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เพื่อแทนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ถูกยุบไป และฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองญี่ปุ่น) ยังบรรลุไม่ถึงครึ่งทางของเป้าหมายการเปิดรับกำลังพล ซึ่งตั้งยอดไว้ที่ 9,245 นายในปีงบประมาณที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป หนังสือพิมพ์ Nikkei รายงานข่าวว่ามีเพียง 4,300 คนเท่านั้นที่มีความกระตือรือร้นในการรับใช้ชาติ

การขาดแคลนกำลังพลนับเป็นปัญหาที่รุมเร้าญี่ปุ่นมานานหลายปี ก่อนหน้านี้ SDF เคยเกณฑ์พลได้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือและจีนจะตึงเครียดมากกว่าแต่ก่อนก็ตาม ปัจจัยสำคัญสำหรับปัญหาการระดมพลคือ ข้อมูลประชากรของญี่ปุ่น ในปี 1994 กลุ่มเป้าหมายอายุระหว่าง 18-26 ปีมีจำนวนประมาณ 17 ล้านคน จนถึงปี 2018 ความเป็นไปได้ของจำนวนผู้สมัครใจเข้ารับราชการทหารลดน้อยลงเหลือ 11 ล้านคน ปัจจุบัน SDF มีกำลังพลประจำการทั้งสิ้น 247,150 นาย และยอดกำลังสำรอง 56,000 นาย (ข้อมูลปี 2018) นอกจากนี้อาชีพทหารในญี่ปุ่นยังขาดแรงจูงใจอยู่มาก เมื่อเทียบกับอาชีพตำรวจซึ่งให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการมากกว่า รวมถึงที่พักอาศัยไม่ดีพอ การต้องย้ายที่ประจำการบ่อย และโอกาสในอนาคตที่ไม่แน่นอน เหล่านี้ยังเป็นอุปสรรค

ปี 2018 รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขีดจำกัดอายุของผู้สมัครเป็น 32 ปี เพื่อขยายกลุ่ม อีกทั้งยังตั้งงบประมาณให้กระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในห้าปีข้างหน้า ตลอดจนเพิ่มอัตราค่าจ้างและการลงทุนในค่ายทหาร ทดแทนที่พักอาศัยของทหาร ที่ปกติเหมือนตู้แช่แข็งในฤดูหนาวและคล้ายซาวน่าในฤดูร้อน

อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่น่าสงสัยว่าแคมเปญที่โฆษณาเกี่ยวกับความสุขสบายของค่ายทหาร และสิ่งจูงใจทางการเงินนั้นจะช่วยแก้ปัญหาด้านกำลังพลของ SDF ได้จริงหรือไม่ นักวิจารณ์หลายคนกลับชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคพื้นฐาน นั่นคือ ชื่อเสียง ไม่ว่าในกรุงโตเกียวหรือเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น แทบไม่มีทหารในเครื่องแบบเดินตามท้องถนนให้พบเห็น สมาชิกของกองทัพต่างรู้ดีว่า ที่นอกกำแพงค่ายทหารพวกเขามักจะพบกับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน มากกว่าสายตาที่ให้ความเคารพ นอกจากนี้ข่าวเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งหรือพฤติกรรมที่หยาบคายของทหารหนุ่มยังทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพเสื่อมเสีย แต่พวกเขาจะได้รับความนิยมหรือคำชมเฉพาะในยามที่ปฏิบัติการควบคุมภัยพิบัติต่างๆ

โตโมะฮิโกะ ทานิกุชิ-ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยสึกุบะ และอดีตที่ปรึกษาของชินโซ อาเบะ เชื่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับสันติกำลังจุดชนวนความสงสัยเกี่ยวกับคนในเครื่องแบบ ใครก็ตามที่อ่านข้อความในรัฐธรรมนูญแบบคำต่อคำ จะได้ข้อสรุปว่ากองกำลังติดอาวุธของญี่ปุ่นจริงๆ แล้วขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 9 ระบุว่าญี่ปุ่นสละสิทธิ์ในการทำสงครามในฐานะประเทศเอกราช อดีตผู้รุกรานซึ่งยึดครองคาบสมุทรเกาหลีจนถึงปี 1945 ให้คำมั่นว่าจะไม่สร้างกองทัพอีกหลังจากพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาญี่ปุ่นได้รับสิ่งที่เรียกว่า กองกำลังป้องกันตนเอง เป็นกองกำลังที่สามารถขับไล่ศัตรู แต่ไม่มีศักยภาพในการคุกคามใดๆ ปัจจุบันกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในกองทัพที่มีอุปกรณ์พร้อมรบดีที่สุดในเอเชีย ซึ่งความเป็นจริงข้อนี้ก็ห่างไกลจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว

‘การบินไทย’ รุกเพิ่มความถี่เส้นทางบิน ‘จีน-ญี่ปุ่น’ เล็งเพิ่มไฟลต์ 1 ก.ค.นี้ คาดรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้าน

‘การบินไทย’ เผยไตรมาส 1/66 กำไร 1.2 หมื่นล้าน โตต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ดีกว่าแผนที่กำหนดไว้ เผย 1 ก.ค.นี้ รุกเพิ่มความถี่เส้นทางบินสู่จีน-ญี่ปุ่น อีกระลอกใหญ่ พร้อมเตรียมรองรับไฮซีซั่นไตรมาส 4 เต็มที่ หลังรับมอบเครื่องบินใหม่ปีนี้ครบ 4 ลำ คาดรายได้รวมปี’ 66 ไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้าน ขนส่งผู้โดยสารกว่า 9 ล้านคน

(13 พ.ค. 66) นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการดีกว่าแผนที่กำหนดไว้ค่อนข้างมาก โดยบริษัทการบินไทยและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 41,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีรายได้รวม 11,181 ล้านบาท (271.2%) หรือประมาณ 3 เท่าตัว และมีกำไรสุทธิ 12,523 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดทุน 3,243 ล้านบา

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นถึง 30,502 ล้านบาท หรือ 681.5% เนื่องจากให้บริการเส้นทางบินสู่ 34 เส้นทางทั่วโลก ทั้งยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย และเพิ่มความถี่ในเส้นทางที่ได้รับความนิยม อาทิ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เป็นต้น รวมถึงการกลับมาให้บริการเส้นทางบินสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้งตั้งแต่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ประกอบกับมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) โดยรวมเฉลี่ยสูงถึง 83.5%

“ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา การบินไทยและไทยสมายล์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือมีเครื่องที่ใช้ทำการบินรวม 65 ลำ มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบิน 12.3 ชั่วโมง มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 121.4% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 3.52 ล้านคน เพิ่มขึ้น 245.1%” นายชาย กล่าว

นายชายกล่าวด้วยว่า ตามแผนการขยายฝูงบินและเพิ่มปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) บริษัทจะดำเนินการเช่าเครื่องบินใหม่ (แอร์บัส A350) เข้ามาเสริมฝูงบินอีกรวม 11 ลำ ภายในปี 2567 โดยปีนี้จะรับมอบจำนวน 4 ลำ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับมอบเครื่องบินลำแรกเข้ามาประจำฝูงบินแล้ว ส่วนลำที่ 2 จะรับมอบประมาณเดือนมิถุนายน ที่เหลืออีก 2 ลำจะทยอยเข้ามาประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 เพื่อรองรับไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 4/2566

ด้านนายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บริษัทมีแผนนำเครื่องบินที่รับมอบใหม่มาทำการบินเส้นทางสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากเป็นตลาดที่เพิ่งเปิดและการบินไทยยังทำการบินได้ไม่มากนัก รวมถึงเส้นทางสู่ญี่ปุ่นที่ได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2566 นี้เป็นต้นไป บริษัทมีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบินสู่จีนให้เป็นวันละ 1 เที่ยวบิน (daily fight) ทุกเส้นทาง จากปัจจุบันเส้นทางสู่เซี่ยงไฮ้ทำการบินอยู่จำนวน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์, กวางเจาให้บริการอยู่จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และปักกิ่ง 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

ส่วนเส้นทางสู่ญี่ปุ่นก็มีแผนจะเพิ่มความถี่ต่อเนื่องเช่นกัน กล่าวคือ เพิ่มเส้นทางบินกรุงเทพฯ-โตเกียวจากปัจจุบัน 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-โอซากา ปัจจุบันให้บริการอยู่ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-นาโกยา ปัจจุบันให้บริการอยู่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็นต้น

และฮ่องกง ซึ่งมีแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้นก็เตรียมแผนเพิ่มเที่ยวบินจากปัจจุบัน 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เช่นกัน ขณะที่เส้นทางยุโรปที่มีแผนให้บริการสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน หรือ daily fight ในเมืองสำคัญๆ และ 2 เที่ยวบินต่อวันสำหรับเส้นทางสู่ลอนดอน, แฟรงก์เฟิร์ต

“ในช่วงไตรมาส 2 ปกติจะเป็นโลว์ซีซั่น เราจึงไม่ได้คาดหวังมากนักในแง่การเติบโตของรายได้ แต่ตลาดยุโรปสู่ไฮซีซั่นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ตอนนี้ก็เริ่มมีบุ๊กกิ้งเข้ามาแล้ว เราจึงต้องเตรียมแผนรองรับเช่นกัน เพราะยุโรปยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญถึงประมาณ 40% ของเรา” นายกรกฎ กล่าว

นายชายกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับภาพรวมทั้งปี 2566 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้านบาท และขนส่งผู้โดยสารรวมกว่า 9 ล้านคน

ต่างชาติขนเงินลงทุนไทย 4 เดือนแรก ทะลุ!! 3.8 หมื่น ลบ. เพิ่มขึ้น 6% จากปี 65 ‘ญี่ปุ่น’ ครองแชมป์อันดับ 1  

(19 พ.ค. 66) นายทศพล ทั้งสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รายงานว่าในเดือน เม.ย. 66 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 43 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 13 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 30 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 5,654 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 487 คน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์

ขณะที่ช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 (ม.ค. – เม.ย.) ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 217 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 69 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 148 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 38,702 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 2,419 คน

โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 55 ราย (คิดเป็น 25%) เงินลงทุน 14,024 ล้านบาท, สิงคโปร์ 35 ราย (16%) เงินลงทุน 4,854 ล้านบาท, สหรัฐอเมริกา 34 ราย (15%) เงินลงทุน 1,725 ล้านบาท, จีน 14 ราย (6%) เงินลงทุน 11,230 ล้านบาท, สมาพันธรัฐสวิส 11 ราย (5%) เงินลงทุน 1,692 ล้านบาท และอื่น ๆ 68 ราย (33%) เงินลงทุน 5,177 ล้านบาท

รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรง จากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานสลิงและอุปกรณ์ช่วยยกในงานขุดเจาะปิโตรเลียม, องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบระบบไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า, องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบการให้บริการรายการโทรทัศน์ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet Protocol Television : IPTV), องค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาในการใช้งานยางล้ออากาศยาน และองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการแก่ไขปัญหาเครื่องอัดอากาศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย 217 ราย เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการลงทุน 38,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจ้างงานคนไทย 2,419 คน เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด คือ ‘ญี่ปุ่น’

โดยธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 66 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ บริการขุดเจาะหลุมปิโตรลียมภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับ สัมปทานในอ่าวไทย บริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ปรับปรุง พัฒนา ทดลองระบบ เชื่อมระบบ และการเปิดใช้งาน ตลอดจนการบริหารจัดการ สำหรับโครงการรถไฟฟ้า

บริการก่อสร้าง รวมทั้งติดตั้งและทดสอบเกี่ยวกับการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และสถานีควบคุมก๊าซธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก ดังนี้

บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาและแนะนำเชิงเทคนิค การแก้ไขปัญหาด้านเทคนิค รวบรวมข้อมูลด้านเทคนิค เป็นต้น

บริการกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) โดยเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มกลางสำหรับซื้อ-ขายสินค้า

บริการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งให้บริการแก่กิจการของวิสาหกิจในเครือในต่างประเทศ

ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 (ม.ค. – เม.ย.) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 43 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 7,521 ล้านบาท คิดเป็น 19% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 17 ราย ลงทุน 2,816 ล้านบาท, จีน 8 ราย ลงทุน 725 ล้านบาท, ฮ่องกง 3 ราย ลงทุน 2,920 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ อีก 15 ราย ลงทุน 1,058 ล้านบาท

โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ
1.) บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการการผลิต ด้านการบริหารจัดการคุณภาพสินค้า และด้านการบริหารจัดการระบบการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

2.) บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือและอุปกรณ์

3.) บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร และชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม 

4.) บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ

5.) การค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อค้าส่งในประเทศ เป็นต้น

นักรัฐศาสตร์ญี่ปุ่น บินมาไทย เพื่อศึกษาการเมืองหลังเลือกตั้ง  โดยมองเป็นกรณีที่น่าวิเคราะห์ เพราะมีความเกี่ยวพันกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น บินตรงมาไทยขอศึกษาเรื่องการเมืองไทยในขณะนี้เพราะสร้างความสับสนให้นักวิเคราะห์มาก

นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ (ต๊ะ) สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการที่ ท่านศาตราจารย์ Asami ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น ที่ได้บินตรงมายังประเทศไทยเพื่อขอศึกษาเรื่องการเมืองไทย โดยระบุว่า ...

ท่านศาสตราจารย์Asami ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น บินตรงมาไทยขอศึกษาเรื่องการเมืองไทยในขณะนี้เพราะสร้างความสับสนให้นักวิเคราะห์มาก
การเมืองไทย

1. ใครมีโอกาสเป็นนายกและแกนนำการจัดรัฐบาล?
ตอบ ตอนนี้เราต้องรอการรับรองจาก กกต ว่าพรรคใดจะมี สส มากที่สุด และสูตรการจับขั้วรัฐบาลจะเปลี่ยนไหม แต่ พรรคก้าวไกลได้รับฉันทามติจากประชาชน เราจึงต้องเคารพสิ่งนี้ก่อน อย่างไรก็ดี หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีข้อผิดพลาดในเรื่องคุณสมบัติ ทำให้โอกาสพรรคก้าวไกลลดลง และต้องดูผลคำตัดสินว่า จะกระทบถึง ว่าที่ สส ในพรรคก้าวไกลหรือ ไม่ หากมีผล พรรคเพื่อไทยที่ได้อันดับสองก็ยังมีโอกาสมากกว่า

2.กลุ่มอนุรักษ์นิยมมีท่าทีอย่างไร
ตอบ เราสงบ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคที่ได้เสียงมากกว่าจัดตั้งรัฐบาลก่อน 
แม้ว่าจะมี สว ในมือ?
ตอบ ผมเชื่อว่า พวกเราและ สว เคารพเสียงประชาชน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงอื่นจนไม่สามารถจัดรัฐบาลได้ เราจึงจะพิจารณาทางเลือก

3.นักธุรกิจญี่ปุ่นกังวล เรื่องการประท้วงรุนแรง รวมถึงโอกาสเกิดรัฐประหาร
ตอบ ตลอด 8 ปีกว่าในการบริหารงานท่านนายกประยุทธ์ มีการประท้วงตลอดแต่ไม่รุนแรง และการทำรัฐประหารต้องมีเงื่อนไขที่ชอบธรรม ไม่สามารถอยู่ๆตัดสินใจทำรัฐประหารได้ มิเช่นนั้นประชาชนไม่ยอมรับ 

4.นักธุรกิจญี่ปุ่นชอบประเทศไทยมาก แต่ช่วงหลังมักไปลงทุนที่เวียดนาม และอินโดเนเซียมากกว่า
ตอบ เราเสียเปรียบเรื่องขนาดตลาด โดยในประเทศเรามีประชากรไม่มากเมื่อเทียบกับ เวียดนาม ฟิลลิปินส์ และอินโดเนเซีย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สูงส่งผลกระทบการเติบโตชนชั้นกลาง และเรายังมี FTA น้อยฉบับกว่าคู่แข่ง ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์เร่งทำงานอยู่ คาดว่าจะมีคู่ค้า และกลุ่มประเทศที่ลงนามร่วมกับเราเร็วๆนี้ ส่วนการสร้างกำลังการบริโภค เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องร่วมกันทำงาน
การเมืองญี่ปุ่น

ถาม ท่าน อาจารย์ ท่านนายกรัฐมนตรี คิชิดะบริหารเป็นอย่างไร
ตอบ ท่านนายก คิชิดะ บริหารงานแบบอนุรักษ์นิยม ประชาชนไม่เกลียด และไม่ได้ชอบท่าน น่าจะมีโอกาสบริหารได้ยาวนาน
ถาม เมื่อเทียบกับท่านนายกคนก่อน ที่ได้รับความนิยมสูงและมีหัวก้าวหน้าเป็นอย่างไร 
ตอบ ท่านนายกคนก่อนได้รับความนิยมสูง แต่ก็มีคนต่อต้านมากจึงไม่สามารถบริหารได้ยาวนาน
ถาม ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำโลกด้านนวัตกรรม ด้านการค้า ตอนนี้พลังเศรษฐกิจของญี่ปุ่นถดถอยไปมาก ผมเกิดมาในยุค 90 ตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นเจ้าโลก แต่วันนี้ถดถอยมาก เราจะมีโอกาสเห็นญี่ปุ่นกลับมาหรือไม่
ตอบ ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นติดกับความเป็นอนุรักษ์นิยมจนแก้ไขยากมาก ผู้นำ ผู้บริหารรุ่นใหม่ ในบริษัทขนาดยักษ์ยากที่จะขึ้นมาเป็น CEO ยกเว้น StartUp ใหม่ๆ แม้กระทั่งวงการเมืองก็ยากที่ รัฐมนตรีหรือ นายกจะมีอายุน้อย ที่หัวก้าวหน้า
ถาม ท่านนายก Koizumi เป็นคนหัวก้าวหน้าและปฎิรูปญี่ปุ่นจนพ้นจากกับดักการเติบโต ท่านยัง Privatize Japan Post bank สำเร็จ ญี่ปุ่นมีโอกาสจะได้ผู้นำเช่นนี้ไหม รวมถึงลูกชายท่านที่มีบทบาทได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย
ตอบ ท่าน Koizumi คงเป็นคนสุดท้ายที่จะเป็นผู้นำที่มีหัวก้าวหน้าและเปลี่ยนญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับจนอนุรักษ์นิยม ส่วน J post bank แม้จะปฏิรูปแล้วแต่การบริหารยังยึดกับรูปแบบเดิมๆ ยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร ส่วนลูกชายท่าน Koizumi เพิ่งจะ 40 กว่าคงต้องรออย่างน้อย 10กว่าปีถึงจะได้ขึ้นมา
ถาม โลกยุคใหม่การเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ภาคสภาบันการเงิน การค้าปลีก บริษัทการค้า(โชโกะ โชชา) ได้รับผลกระทบมาก ตอนนี้ Apple มี บริการธนาคารแล้วจะกระทบกับญี่ปุ่นมากขนาดไหน
ตอบ ญี่ปุ่นเป็นประเทศสูงอายุประชาชนอนุรักษ์นิยมมาก ขนาดบริการธนาคารยังต้องมีสมุดบัญชี ประชาชนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ขนาดตลาดภายในยังมีที่ในบริษัทการค้าในประเทศ แต่ถ้าแข่งขันต่างประเทศต้องคิดหนักทีเดียว
ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์
สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

กรุงเทพฯ ครองแชมป์ เมืองที่นักท่องเที่ยว จองมาพักมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของ Agoda

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ายินดีของวงการท่องเที่ยวไทย เมื่อล่าสุดทาง Agoda แพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ออกมาเผยข้อมูลการจองที่พักของนักท่องเที่ยว โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวจองมาพักมากที่สุดเป็นอันดับ 1

นั่นก็คือกรุงเทพมหานครนั่นเอง นอกจากเมืองกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยยังได้ถูกจัดอันดับเป็นที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย

‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ขายหุ้น TSMC เกลี้ยง  หวั่นปัญหาจีน-ไต้หวัน เตรียมเบนเข็มไปที่ ญี่ปุ่น

ความตึงเครียดระหว่าง จีน - ไต้หวัน ที่ส่อเค้าทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก รวมไปถึงมหาเศรษฐีนักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกา อย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ที่เริ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์เช่นกัน

และสิ่งที่ทำให้นักลงทุนอึ้งไปตาม ๆ กัน เมื่อ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้ง ของบัฟเฟตต์ ได้เทขายหุ้นในบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกออกไปในสัดส่วน 86% ของมูลค่ารวม 4,100 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้เข้าซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ผิดกับวิสัยการลงทุนของบัฟเฟตต์ที่มักจะลงทุนและถือครองหุ้นนั้นในระยะยาว

บัฟเฟตต์ได้ชี้แจงในบทสัมภาษณ์ Nikkei เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 ว่า การเทขายหุ้น TSMC ออกไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากมีความกังวลในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐต่อกรณีไต้หวัน ซึ่งบริษัท TSMC ก็เป็นบริษัทในไต้หวันและมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่ไต้หวันด้วย 

บัฟเฟตต์ ยอมรับว่า TSMC เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม มีคนเก่ง ๆ อยู่มาก และบริหารจัดการดี และโดยส่วนตัวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ มอร์ริส ฉาง (Morris Chang) ผู้ก่อตั้ง TSMC แต่ก็โชคร้ายมีชัยภูมิแย่เพราะดันตั้งอยู่ไต้หวัน ดังนั้น ภูมิรัฐศาสตร์แห่งนี้ จะได้รับผลกระทบทุกครั้งที่จีนกับสหรัฐฯ ขัดแย้งกัน 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ ได้เข้ามาลงทุนโดยตรงในเอเชีย ซึ่งเริ่มจากการลงทุนใน PetroChina ในปี 2002 จากนั้นในจึงเป็น Posco ผู้ผลิตเหล็กของเกาหลีใต้ในปี 2006 ส่วนปี 2008 เขาเริ่มลงทุนใน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเซินเจิ้น ประเทศจีน แต่ก็ได้ทยอยขายหุ้นออกไปออกไป และกลับไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ตนเองคุ้นเคย

ซึ่งจากตัวเลขการลงทุนของ Berkshire Hathaway ณ สิ้นเดือนมี.ค. 66 พบว่า กว่า 77% ของพอร์ตการลงทุนผ่านหุ้นมูลค่า 3.28 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 10.8 ล้านล้านบาท) นั้น จะประกอบไปด้วยหุ้นสหรัฐเพียง 5 ตัวเท่านั้น ได้แก่ Apple, Bank of America, American Express, Coca-Cola และ Chevron

ทั้งนี้ นอกจากเทขายหุ้น TSMC ออกไปแล้ว ยังพบว่า Berkshire Hathaway ได้ซื้อหุ้น Apple เพิ่มขึ้นอีก 20.8 ล้านหุ้น มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 5.8% 

และแม้ว่า บัฟเฟตต์ จะทยอยขายหุ้นที่ลงทุนอยู่ในจีน และไต้หวันออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งการลงทุนในเอเชียเสียทีเดียว แต่เริ่มมองหาแหล่งลงทุนใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ

แหล่งลงทุนที่ บัฟเฟตต์ ให้ความสนใจก็คือ ญี่ปุ่น นั่นเอง โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ นิกเคอิ เอาไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่า Berkshire Hathaway ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน 'ห้ากลุ่มบริษัท' ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นเป็น 7.4% ได้แก่ Itochu, Marubeni, Mitsubishi Corp., Mitsui & Co. และ Sumitomo Corp. 

โดยมูลค่าตลาดรวมของการถือครองสินทรัพย์ในญี่ปุ่นของ Berkshire Hathaway ณ วันที่ 19 พ.ค. อยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นการลงทุนนอกสหรัฐ ที่มากที่สุดของบัฟเฟตต์ อีกด้วย

แม้ว่า การลงทุนในญี่ปุ่น อาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่หวือหวาได้เช่นเดียวกับ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก แต่บัฟเฟตต์มองว่า บริษัทของญี่ปุ่นมีประวัติของรายได้ที่มั่นคง เงินปันผลที่เหมาะสม และมีการซื้อคืนหุ้น (Share Buybacks) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบัฟเฟตต์ มีความชื่นชอบอย่างยิ่ง เนื่องจากการซื้อคืนหุ้น เพิ่มความเป็นเจ้าของบริษัท โดยไม่ต้องซื้อหุ้นเพิ่ม

อาจกล่าวได้ว่า การย้ายเงินลงทุนออกจากจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน แล้วเข้าไปยังญี่ปุ่น เป็นการตัดสินใจที่ง่ายมากสำหรับ บัฟเฟตต์ เพราะไม่ต้องวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน แถมยังได้ลงทุนในตลาดที่ตรงตามสไตล์ที่มองถึงความมั่นคงในระยะยาวนั่นเอง

‘อุตสาหกรรม AV’ แหล่งผลิตรายได้มหาศาลของประเทศ กับการล่วงละเมิดเด็กผู้หญิง ที่คนในสังคมยอมปิดตาข้างหนึ่ง


‘JK business’ ธุรกิจด้านมืดของญี่ปุ่น

‘ประเทศญี่ปุ่น’ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นประเทศที่เจริญเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย และอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในความเจริญก้าวหน้าแบบสุดล้ำของญี่ปุ่นนั้น ก็ยังคงมีด้านมืดอยู่เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ครั้งนี้จะขอหยิบยกเอาเฉพาะเรื่องราวที่มีความน่าสนใจมาก ๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ก่อน เรื่องราวที่มีความน่าสนใจรองลงมาจะได้นำมาเล่าเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป


ด้วยเหตุที่รายได้สำคัญส่วนหนึ่งของรัฐฯ มาจาก ‘อุตสาหกรรมสื่อลามก’ (Adult video : AV) เพราะอุตสาหกรรมหนังโป๊ในญี่ปุ่นผุดขึ้นทั่วไปทุกหนทุกแห่ง จนกล่าวกันว่า อุตสาหกรรมหนัง AV เป็นตัวสร้างรายได้เข้ารัฐฯ รายใหญ่ รองจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปกติธรรมดา ก็กลายเป็นผลประโยชน์ของเหล่าบรรดายากูซ่านักเลงใหญ่ของญี่ปุ่นไปด้วย ผลประโยชน์อันมหาศาลของอุตสาหกรรม AV นี้กลายเป็นที่แหล่งรายได้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของสาวญี่ปุ่นมากมายในฐานะตัวเลือกที่เป็นได้ทั้งอาชีพหลักและรายได้เสริม รวมไปถึงนักเรียน-นักศึกษาที่หลงเข้ามาและไม่สามารถออกจากโลกมืดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปสู่วงการค้าประเวณีในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา ธุรกิจมืดนี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘Joshi Kosei’ หรือ ‘JK business’


‘JK business’ เป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกเดตหลอก ๆ กับสาวมัธยมปลาย เกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่ Maid café เป็นที่นิยมของบรรดาหนุ่ม ๆ นักเที่ยวในย่านอากิฮาบาระ กรุงโตเกียว ได้ยุติลง ทำให้ JK business เข้ามาแทนที่ ตัวย่อ ‘JK’ ย่อมาจาก ‘Joshi Kosei’ (女子高生) แปลว่า ‘นักเรียนมัธยมหญิง’ โดยหญิงสาวใน JK business ได้รับค่าจ้างสำหรับกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินและการพูดคุย และบางครั้งเป็นการทำนายโชคชะตา และอีกกิจกรรมหนึ่งคือ ‘การนวดกดจุด’


ในปี ค.ศ.2017 รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่น ‘ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วนในการกำจัดการค้ามนุษย์’ และยังคง ‘อำนวยความสะดวกในการค้าประเวณีเด็กสาวญี่ปุ่น’ ต่อไป ญี่ปุ่นได้รับการยกระดับเป็นสถานะ ‘Tier 1’ (ประเทศที่รัฐบาลปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายตามรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และความรุนแรง ค.ศ. 2000 (TVPA) อย่างเต็มที่) ในช่วงสั้น ๆ ในรายงานปี ค.ศ. 2018 และ 2019 แต่ได้ถูกลดระดับอีกครั้งเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานของปี ค.ศ. 2020, 2021 และ 2022

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo* ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเพิกเฉยของรัฐบาลต่อปัญหานี้อย่างรุนแรง นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอธิบายว่า “ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่น่าละอาย สร้างอุปสรรคไม่ให้วัยรุ่นที่หลบหนีกลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกล่อลวง หรือบังคับให้เข้าสู่อุตสาหกรรมบริการทางเพศของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”


รถบัสสีชมพูที่ของ Colabo ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี

*Colabo ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของญี่ปุ่น ที่ช่วยเหลือเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการให้คำปรึกษา และเชื่อมโยงพวกเขากับโครงการสนับสนุนของรัฐบาล ให้บริการเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งหลายคนพบในสถานบันเทิงยามค่ำคืนของญี่ปุ่น การบริการของ Colabo รวมถึงรถบัสสีชมพูที่ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อปรึกษา พูคุย รับประทานอาหาร และสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของ Colabo


กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ JK business เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายจังหวัดในญี่ปุ่น ได้ดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปราม JK business เพราะอาจนำไปสู่การค้าประเวณีของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลายจังหวัดได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำจังหวัด เพื่อห้ามการทำ JK business จังหวัดคานางาวะเป็นจังหวัดแรกที่ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุม JK business ในปี ค.ศ. 2011 และในปี ค.ศ. 2014 ตำรวจคานางาวะได้เข้มงวดเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการขายบริการทางเพศ ของเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้จำนวนสถานบริการที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีให้บริการในพื้นที่ลดจำนวนลงอย่างมาก


ในปี ค.ศ.2017 สภากรุงโตเกียวได้ออกกฎหมายหลักที่กำหนดเป้าหมาย เพื่อจัดการกับ JK business โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่ทำเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ ตำรวจนครบาลโตเกียวซึ่งครอบคลุมกรุงโตเกียวได้ปราบปราม JK business และจับกุมเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานแห่งชาติ ธุรกิจที่กระทบต่อกฎหมายระเบียบศีลธรรมสาธารณะ และกฎหมายสวัสดิการเด็ก กฎหมายใหม่นี้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรม ที่ได้รับการควบคุมนอกเหนือจากการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนของนครโตเกียวฉบับก่อนหน้า กฎหมายห้ามผู้เยาว์มีส่วนร่วมในกิจกรรม ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้าเพศตรงข้าม เช่น การนวด การอนุญาตให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูปถ่ายของตนเอง การมีส่วนร่วมในการสนทนากับลูกค้า การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแก่ลูกค้า และการไปเดินเล่นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากการกระทำเหล่านี้ไม่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้า ก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังห้ามโฆษณาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า มีเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานในสถานประกอบการ แม้ว่าจะไม่มีพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานอยู่เลยก็ตาม ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนี้ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน


ในปี ค.ศ.2018 จังหวัดโอซาก้าได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเยาวชนของจังหวัด เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับของกรุงโตเกียว เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เยาว์ ผู้กระทำผิดมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 เยน แม้ว่าธุรกิจจะเลิกจ้างพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว หลังการตัดสิน ทางการอาจออกคำสั่งระงับการดำเนินธุรกิจเป็นเวลา 6 เดือน การละเมิดคำสั่งนี้อาจส่งผลให้ถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับสูงสุด 500,000 เยน และชื่อของสถานประกอบการจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย


จากการสำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 มีสถานประกอบการที่ประกอบการ JK business ทั่วประเทศ 131 แห่ง ในจำนวนนี้ให้บริการนวดแก่ลูกค้า 99 ราย ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม 22 ราย ให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูป 7 ราย และทำกิจกรรม เช่น พูดคุย เล่นเกม หรือดูดวงกับลูกค้า 3 ราย โดย 71% ของสถานประกอบการที่ดำเนินการ JK business ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ในขณะที่ 20% ตั้งอยู่ในนครโอซาก้า ที่อยู่ในกรุงโตเกียว 29% ตั้งอยู่ในย่านอากิฮาบาระ 29% ในย่านอิเคะบุคุโระ และ 12% ในย่านชินจูกุ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนธุรกิจที่ประกาศไม่ใช่จำนวนธุรกิจที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี คอยให้บริการลูกค้าจริง ๆ แต่เป็นจำนวนธุรกิจที่โฆษณาว่า มีนักเรียนหญิงมัธยมปลายให้บริการลูกค้า ในสังคมญี่ปุ่นจะยอมรับในสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าตัวพวกเขาเองจะเข้าใจว่าการปฏิบัตินั้นถูกตัดสินในทางลบก็ตาม เพราะชาวญี่ปุ่นจะไม่สร้างความเดือดร้อน หรือรบกวนคนรอบข้าง ดังนั้น พวกเขาจึงชอบที่จะจัดการเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่น


ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับการค้าประเวณีผู้ใหญ่และเด็ก พระราชบัญญัติความมั่นคงในการจ้างงาน (ESA) และพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน (LSA) บังคับใช้แรงงานที่มีความผิดทางอาญา ซึ่งคุ้มครองเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของคนงาน และเป็นมาตรการต่อต้านการค้ามนุษย์ทางเพศ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและการลงโทษ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็กและภาพอนาจารและการคุ้มครองเด็ก” ได้กำหนดให้มีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์จากเด็ก รวมทั้งการซื้อหรือขายเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตภาพอนาจารเด็กหรือการค้าประเวณี


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2013 มีมติของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเกี่ยวกับ ‘นโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก’ การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อกำจัดการตกเป็นเหยื่อทางเพศของเด็กหญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าประเวณีเด็กและการผลิตภาพอนาจารเด็ก คณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ควบคุมมาตรการโดยรวมต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ตำรวจยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็ก จังหวัดหลัก 7 แห่ง ยังคงใช้กฎหมายห้ามประกอบการ JK business ห้ามหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในบริการหาคู่โดยได้รับค่าตอบแทน หรือกำหนดให้เจ้าของ JK business ลงทะเบียนบัญชีรายชื่อพนักงานกับคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะในท้องถิ่น เป็นต้น โดยปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำปี ค.ศ.2022 ซึ่งอยู่ในสถานะที่เท่ากันกับประเทศไทยของเรา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top