Monday, 6 May 2024
ญี่ปุ่น

สุดช็อก!! เหตุกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่ ‘ญี่ปุ่น’ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เผย ปี 2022 พบเด็กขาดเรียน-ถูกแกล้ง-ใช้ความรุนแรงกว่า 6 แสนเคส

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น รายงานว่ากรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่น พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 680,000 กรณีในปีการศึกษา 2022

ผลสำรวจจากกระทรวงฯ พบว่ากรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายของญี่ปุ่นในปีการศึกษา 2022 ซึ่งสิ้นสุดเดือนมีนาคม รวมอยู่ที่ 681,948 กรณี เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษาก่อนหน้ามากกว่า 60,000 กรณี และเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 10

กรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่นในปีการศึกษา 2022 แบ่งเป็นโรงเรียนประถม 551,944 กรณี โรงเรียนมัธยมต้น 111,404 กรณี โรงเรียนมัธยมปลาย 15,568 กรณี และโรงเรียนการศึกษาพิเศษ 3,032 กรณี

ทั้งนี้ มีกรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่นที่ถูกพิจารณาเป็นกรณี ‘ร้ายแรง’ เนื่องด้วยเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งฆ่าตัวตายหรือไม่มาเรียนทั้งหมด 923 กรณี

ผลสำรวจยังพบโรงเรียนในญี่ปุ่น 29,842 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 82.1 เผยว่ามีการรับรู้ถึงกรณีกลั่นแกล้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีการศึกษาก่อนหน้า ขณะจำนวนพฤติกรรมใช้ความรุนแรงและการไม่เข้าเรียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ด้วย

สำหรับปีการศึกษา 2022 ญี่ปุ่นมีเด็กขาดเรียนเป็นเวลา 30 วันขึ้นไป เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 10 อยู่ที่ 299,048 คน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้นกว่า 54,000 คน หรือร้อยละ 22 จากปีการศึกษาก่อนหน้า

‘โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ’ ปล่อยน้ำบำบัดชุดที่ 2 ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกวันนี้ ยัน!! น้ำที่ปล่อยอยู่ในระดับปลอดภัย วอน ตปท.เลิกแบนปลาทะเลญี่ปุ่น

(5 ต.ค. 66) ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’ ของญี่ปุ่น ทำการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ที่ผ่านการบำบัดแล้วลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกรอบ 2 ในวันนี้

โดย ‘เทปโก’ บริษัทซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะระ คาดว่าจะมีการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วในรอบ 2 นี้ราว 7,800 ตัน จากปริมาณน้ำที่ผ่านการบำบัดทั้งหมด 1.34 ล้านตัน นับตั้งแต่สึนามิพัดถล่มญี่ปุ่นในปี 2011 หลังจากที่ได้ปล่อยน้ำผ่านการบำบัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างกระแสต่อต้านอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้าน

เทปโกยืนยันว่า น้ำเสียดังกล่าวผ่านการกรองสารประกอบกัมมันตภาพรังสีทั้งหมดออกแล้ว เหลือเพียงทริเทรียม ซึ่งเป็นไอโซโทปที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัย

‘ฮิโรคาสุ มัตสึโนะ’ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าการปล่อยน้ำในครั้งแรกเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ และเกิดขึ้นอย่างปลอดภัย โดยไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

มัตสึโนะยืนยันว่า รัฐบาลจะยังคงให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสต่อไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกับเรียกร้องให้จีนยกเลิกการห้ามการนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นทันที และดำเนินการต่างๆ บนพื้นฐานเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

‘คามิกาวะ โยโกะ’ รมว.กต.ญี่ปุ่นคนใหม่ เตรียมเยือนไทย 12-13 ต.ค.นี้ จ่อหารือด้านความร่วมมือ-แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างประเทศทุกมิติ

(6 ต.ค. 66) ‘กระทรวงการต่างประเทศ’ ประกาศการเยือนไทยของ ‘นางคามิกาวะ โยโกะ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นว่า นางโยโกะมีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 12-13 ตุลาคมนี้

โดยในโอกาสนี้ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและกรอบพหุภาคี และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน

การเยือนครั้งนี้ นับเป็นการเดินทางเยือนประเทศไทยครั้งแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่

‘ญี่ปุ่น’ สร้าง ‘Giraffenap’ ตู้งีบหลับแบบยืนคล้ายยีราฟ ตอบโจทย์วัยทำงาน ‘พักสายตา-ร่างกาย’ จากความเหนื่อยล้า

ออฟฟิศสมัยใหม่ในหลาย ๆ ประเทศเริ่มออกแบบให้มีโซนพักผ่อนสำหรับพนักงาน ไว้ใช้แอบงีบหลับพักสายตาสั้น ๆ บริษัทหัวใสแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นจึงได้เอาไอเดียนี้มาทำเป็น ‘Sleeping Pod’ หรือตู้สำหรับนอนงีบหลับที่ไม่ธรรมดา เพราะว่าออกแบบมาให้ผู้ใช้งานต้อง ‘ยืนหลับ’ คล้ายกับวิธีการยืนหลับของยีราฟ โดยให้ชื่อผลงานนี้ว่า ยีราฟแน็ป (Giraffenap)

สำหรับ Giraffenap เป็นตู้แนวตั้ง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนอนหลับในท่ายืนได้ ตัวตู้นี้มีขนาดพอ ๆ กับตู้โทรศัพท์สาธารณะขนาดเล็ก โดยความสูงของตู้อยู่ที่ 2.5 เมตร และกว้าง 1.2 เมตร พร้อมกับออกแบบให้ตู้นี้สามารถป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ รวมถึงยังติดตั้งตัวดับเพลิง พัดลมภายใน ไฟแอลอีดี และตะขอที่แขวนเสื้อมาให้ในตู้ด้วย

ถ้ามองจากภายนอก ตู้นอนหลับแบบยืนนี้ อาจจะดูเหมือนตู้เก็บของ ห้องน้ำหรือแม้กระทั่งห้องสำหรับใช้โทรศัพท์ แต่เมื่อเปิดออกมาจะพบว่าภายในได้ออกแบบตัวที่นั่งอย่างประณีต ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทิ้งตัวนอนในท่ายืน แบบไม่ต้องเกร็งร่างกายเพื่อรับน้ำหนักตัวเองแต่อย่างใด โดยภายในตู้ประกอบด้วยแพลตฟอร์มรองรับน้ำหนักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งโต๊ะรองแขน เก้าอี้รองก้น แท่นรองเข่า รวมถึงพนักเล็ก ๆ ด้านใต้ตู้ สำหรับรองฝ่าเท้า ทำให้เวลานอน เราจะต้องฟุบหน้าไปกับแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่วนขาก็จะอยู่ในลักษณะงอเข่า และเอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

โดยบริษัท Koyoju Plywood Corporation จากจังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตตู้นอนยีราฟนี้ กล่าวว่าบริษัทกำลังมุ่งที่จะสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถมีที่สำหรับงีบหลับได้อย่างง่ายดาย และมองว่าผลงานนี้ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยพัฒนาทั้งในแง่ของธุรกิจของบริษัทและสุขภาพของคนทำงานไปพร้อมกัน เนื่องจากบริษัทมองว่าถ้าคนเราได้งีบหลับ ก็จะเหมือนกับได้ฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า ไม่ต้องทนกับอาการง่วงนอนในเวลาทำงาน และตื่นมามีแรงเพื่อที่จะลุยงานต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งกับบริษัทและตัวพนักงานเอง

แต่สำหรับใครที่อยากจะใช้ตู้นี้ มีข้อจำกัดนิดคือจะต้องสูงไม่เกิน 198 เซนติเมตร หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม เพราะถ้าสูงเกินหรือน้ำหนักตัวมากไป ก็อาจจะไม่พอดีกับตู้ได้ ส่วนราคาวางจำหน่ายตู้นอนแบบยืนนี้ อยู่ที่ตู้ละประมาณ 3,000,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 740,000 บาท

3 การเคลื่อนไหวใหญ่ของญี่ปุ่น ทวงคืนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

👉การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของญี่ปุ่น ก้าวสู่ยุคใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือ การออกมาตรการล่าสุดภายใต้กฎหมายฉบับสำคัญที่มุ่งส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มีด้วยกัน 3 ด้าน ได้แก่

1.เทคโนโลยีคลาวด์
รัฐบาลญี่ปุ่นได้สนับสนุนโครงการคลาวด์ ของ ‘SAKURA internet’ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้าน AI ของญี่ปุ่น รวมทั้งเร่งให้เกิดการวิจัยและพัฒนา generative AI และการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ภายในประเทศ

2.เซมิคอนดักเตอร์ 
รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจให้เงินทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ 8 โครงการ รวมถึงเงินทุนสนับสนุนให้กับ ‘SHINKO Electric Industries’ สูงถึง 17.8 พันล้านเยน หรือประมาณ 4.4 พันล้านบาท เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนด้านเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศที่ครอบคลุมอุปกรณ์การผลิต ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ วัตถุดิบ ตลอดจนการเป็นฐานการผลิต

3.เครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม จำนวน 3 หมื่นล้านเยน หรือคิดเป็น 7.5 พันล้านบาท ภายใต้กฎหมายการส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก ซึ่งมุ่งไปยังผู้ผลิตหลักของกลุ่มเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในญี่ปุ่น โดยรัฐบาลต้องการเสริมสร้างขีดความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ควบคุมที่มีผลกับการพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม อุปกรณ์ควบคุมนี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับญี่ปุ่นซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

4 เคล็ดลับของคุณแม่แดนอาทิตย์อุทัย ที่ทำให้ ‘ญี่ปุ่น’ มีเด็กที่มีสุขภาพดีที่สุดในโลก

(23 ต.ค. 66) ท่ามกลางวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็งที่อุดมด้วยโซเดียม ไขมัน น้ำตาล สารเคมี อันเป็นสาเหตุให้มีเด็ก และเยาวชนทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน เสี่ยงต่อการเป็นโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง แม้อายุยังน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงจะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สวัสดิการความเป็นอยู่ดี มีอาหารการกินสะดวก สบาย แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า เด็กๆ ในประเทศเหล่านี้ จะไม่มีปัญหาในการเลือกรับประทานอาหารการที่สมดุลย์ ถูกหลักโภชนาการแต่อย่างใด และดูเหมือนว่า ยิ่งมีอาหารปรุงแต่งให้เลือกสรรมาก เด็กๆ ยิ่งมีปัญหาสุขภาพ และโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

แต่เมื่อมีการสำรวจโภชนาการเด็กขององค์การ ‘UNICEF’ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในบรรดา 41 ชาติจากสหภาพยุโรป และ กลุ่มประเทศเศรฐกิจชั้นนำในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีเพียง ‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเดียวเท่านั้นที่มีเด็กในอัตราส่วนน้อยกว่า 1 ใน 5 ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาพ่อแม่ชาวตะวันตกอย่างมาก ว่าคุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำอย่างไร ที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเด็กมีสุขภาพดีที่สุดในโลก

ซึ่งพบว่า พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับเพียง 4 ประการ ในการดูแลลูกที่แตกครอบครัวชาวตะวันตกอื่นๆ

1.) ครอบครัวชาวญี่ปุ่นยึดมั่นวิถีการกินอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’
วิถีการรับประทานอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ (食育) คิดค้นโดยนายแพทย์ อิชิสุกะ กาเซ็น เมื่อราวปี 1896 ที่เป็นการสอนหลักด้านโภชนาการของชาวญี่ปุ่น

นายแพทย์อิชิสุกะ ถือเป็นผู้บุกเบิกโภชนาการแนว ‘Macrobiotic diet’ หรือ ‘อาหารมหชีวนะ’ เน้นการบริโภคข้าวเป็นหลัก กับ พืชผักท้องถิ่น พืชทะเล ถั่ว ในสัดส่วนที่สมดุลย์ เหมาะสมต่อร่างกาย ซึ่งในแต่ละมื้อควรประกอบด้วย ข้าวกล้อง 40-60% ผัก 25-30% ถั่ว หรือพืชตระกูลถั่ว 5-10% พืชทะเล หรือสาหร่าย 5-10% และอาหารท้องถิ่นปรุงจากกรรมวิธีธรรมชาติ 5-10% โดยเนื้อสัตว์จะเน้นเป็นปลา หรืออาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่

ประกอบกับการจัดวางเซทอาหารแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘อิชิจู ซันไซ’ (一汁三菜) ที่ต้องประกอบด้วยข้าวสวย 1 ถ้วย ซุปมิโสะ 1 ถ้วย และกับข้าว 3 อย่าง ที่เป็นกับข้าวจานหลัก 1 จาน ที่อาจเป็นปลา ไข่ หรือ เนื้อ กับข้าวจานรอง 1 จาน ที่มักเป็นเต้าหู้ ถั่ว ผักสดท้องถิ่น กับผักดอง 1 ถ้วยเล็ก ใน 1 เซทจะได้สารอาหารครบถ้วนต่อความต้องการของร่างกาย

ซึ่งชาวญี่ปุ่นจริงจังกับการบริโภคอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ อย่างมาก ถึงขั้นตราเป็นกฎหมายพื้นฐานที่ต้องมีหลักสูตรการสอนโภชนาการแนวญี่ปุ่นในระดับโรงเรียน รวมถึงการปรุงอาหาร ถนอมอาหาร และการเพาะปลูกพืชผักท้องถิ่น ให้กับนักเรียนด้วย ที่ทำให้วิถีการกินอยู่แบบญี่ปุ่น ที่เน้นความสมดุลย์ของสารอาหาร จากวัตถุดิบท้องถิ่นถูกปลูกฝังให้แก่เยาวชนของญี่ปุ่นมานานหลายสิบปี จึงส่งผลดีต่อค่าเฉลี่ยสุขภาพของเด็ก และ เยาวชนในประเทศญี่ปุ่น

2.) ส่งเสริมค่านิยมการทำอาหารกินเอง
95% ของโรงเรียนประถม และมัธยมในญี่ปุ่นมีระบบอาหารกลางวันที่ทำขึ้นเองในโรงเรียน ที่มีการคิดเมนูที่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละมื้อ โดยนักโภชนาการอย่างรอบคอบ อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้นักเรียนญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการทำอาหาร มีการผลัดเวรทำหน้าที่บริการเสิร์ฟ แจกอาหารให้กับเพื่อนร่วมชั้น

แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล ผู้ปกครองญี่ปุ่นมักเตรียมข้าวกล่อง ที่เรียกกว่า ‘เบนโตะ’ ให้เด็กไปโรงเรียน ซึ่งครูมักให้เด็กๆ รวมกลุ่มรับประทานข้าวกล่องที่เตรียมมาร่วมกัน มีการพูดคุยเกี่ยวกับข้าวกล่องของนักเรียนแต่ละคน และมีการแลกเปลี่ยน แบ่งปันกับข้าวกับเพื่อน ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการกินอาหารที่ทำเองของชาวญี่ปุ่นที่ให้ประโยชน์ และความสดใหม่มากกว่าอาหารสำเร็จรูป

3.) ชาวญี่ปุ่นวางแผน และเตรียมอาหารล่วงหน้า
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นนิยมเตรียมวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการอาหารให้กับสมาชิกในบ้าน ทั้งผักดอง ผักสด ผลไม้ โปรตีน ที่เตรียมไว้โดยคำนึงถึงคุณค่าโภชนาการแบบ ‘โชคุอิคุ’ เช่นกัน อีกทั้งในบางโรงเรียนยังมีกฏ ห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวที่มีไขมัน น้ำตาลสูง หรือคาเฟอีน เช่น มันฝรั่งทอด คุกกี้ กาแฟ ภายในโรงเรียนด้วย เป็นการจำกัดโอกาสการรับประทานขนมขบเคี้ยวที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเด็ก

4.) ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มน้ำ หรือน้ำชา มากกว่าน้ำอัดลม
นี่อาจเป็นนิสัยการกินดื่มที่ดีอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่เลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำแร่ หรือ ชา มากกว่าน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และเมื่อคนในครอบครัวไม่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำในบ้าน เด็กญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ดื่มน้ำอัดลมตามผู้ปกครองเช่นกัน ซึ่งช่วยลดโอกาสการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มรสหวาน หรือน้ำอัดลมมากเกินไป ที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานแคลอรีส่วนเกินในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุของ ‘โรคอ้วน’ นั่นเอง

และนี่ก็คือเคล็ดลับ 4 ประการของครอบครัวชาวญี่ปุ่น จากการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการวิถีญี่ปุ่น ที่นอกจากจะทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญให้ชาวญีปุ่นมีค่าเฉลี่ยอายุที่แข็งแรง และยืนยาวจนชาวตะวันตกต้องทึ่งกันนั่นเอง 

‘ญี่ปุ่น’ เปิดผลสำรวจพบ ‘วัยทำงาน’ 45% นอนน้อยกว่า 6 ชม.ต่อคืน ชี้!! เสี่ยงเป็น ‘ซึมเศร้า’ เร่งหาวิธีร่นเวลาทำงาน-เซฟสภาพจิตใจ

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า ผลสำรวจจากรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ พบประชาชนที่ทำงานในญี่ปุ่นทั้งหมดร้อยละ 45.5 นอนหลับโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน

สมุดปกขาวที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนนี้ ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสำรวจร้อยละ 10 เผยว่านอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน ร้อยละ 35.5 นอนหลับคืนละ 5-6 ชั่งโมง และร้อยละ 35.2 นอนหลับคืนละ 6-7 ชั่วโมง

ผลสำรวจพนักงาน 10,000 คน พบราวร้อยละ 70 ของผู้นอนหลับตามปริมาณเวลาอันเหมาะสม ไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 40 ในหมู่ผู้นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 3-5 ชั่วโมง

ผลสำรวจจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น พบร้อยละ 27.4 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 4 ชั่วโมง และร้อยละ 38.5 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 5 ชั่วโมง มีแนวโน้มป่วยโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลขั้นรุนแรง

กระทรวงฯ เสริมว่า มีความจำเป็นต้องแก้ไขชั่วโมงการทำงานอันยาวนานอย่างยิ่ง และช่วยให้คนงานมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพิ่มขึ้น เพื่อพวกเขาสามารถรักษาสภาพจิตใจให้แข็งแรงดีได้

'ล่ามญี่ปุ่นชาวไทย' เผยเหตุเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟุบยาว โอกาสฟื้นยาก หลากปัญหารุม ทั้ง 'ใน-นอก' ประเทศ

(31 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก 'ธนากร ใจสุขสกุลดี' ล่ามภาษาญี่ปุ่นชาวไทย ได้โพสต์ข้อความสะท้อนถึงเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่กำลังฟุบยาว ระบุว่า...

ผมเห็นทั้งชาวแม่บ้านและเพื่อนคนไทยหลาย ๆ คนที่อยู่ในญี่ปุ่นพยายามมองโลกในแง่ดีในเรื่องของ การแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 

หลาย ๆ คนมีลูกเกิดในญี่ปุ่น ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะมีความหวังว่า ด้วยความสามารถของชาวญี่ปุ่น สักวันเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะต้องกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งอย่างแน่นอน 

ผมเองก็รักและผูกพันกับชาวเกาะนี้ไม่น้อยกว่าทุกคนหรอกครับ อยากมองโลกสวยเหมือนกันและพยายามมองข้ามจุดด้อยมานานหลายปีแล้ว

แต่อยากให้ทำใจกันหน่อยว่า มันแทบจะไม่มีหนทางเลยที่จะเป็นไปได้ตามที่เราคาดหวัง เราต้องยอมรับความจริงนะครับว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นยากถึงยากมากที่สุด สมัยก่อนที่ผมจะมาอยู่ญี่ปุ่นนะ ผมเคยอ่านบทความจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เขาเขียนคอลัมน์ว่า 'ญี่ปุ่น สังคมที่กลืนกินตัวเอง'

ตอนแรกผมอ่านแล้วก็ผ่าน ๆ ไปแบบไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะคิดว่าคนญี่ปุ่นเก่งและมีดีกว่านั้น ตอนแต่งงานกับภรรยาคนญี่ปุ่นและย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ญี่ปุ่นแรก ๆ ในช่วงปี 2008-2009 ผมยิ่งทึ่งและชื่นชมพวกเขาออกหน้าออกตาจนเพื่อน ๆ หมั่นไส้นะเออ ขอบอก 5555

แต่ยิ่งอยู่นานเข้าเรื่อย ๆ จนสามารถทำความเข้าใจกับภาษาญี่ปุ่นดีขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถอ่านทำความเข้าใจ ศึกษาการเมือง ข้อมูลโครงสร้างสังคม ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจญี่ปุ่นจนเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้พอสมควรแล้ว ผมต้องยอมรับความจริงว่า ปัญหาของญี่ปุ่นใหญ่โตมากกว่าที่ผมรู้และท่าทางจะแก้ยากมากกกก มันเป็นเหมือนงูกัดกินหางตัวเองจริง ๆ นั่นแหละ

พูดง่าย ๆ เลยคือ รายได้กับรายจ่ายมันไม่สมดุลกันไงครับ แรงงานคนหนุ่มสาวขาดแคลน เพราะอัตราการเกิดต่ำมานานเกินสิบปีแล้ว พอขาดแรงงานทำงานรายได้ก็น้อยลง แต่ตรงกันข้ามคนแก่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี และนั่นทำให้รัฐบาลต้องหาเงินมาอุดหนุนคนแก่เป็นจำนวนมหาศาล พอเงินงบประมาณที่เก็บได้จากภาษีไม่พอก็ต้องยอมเป็นหนี้ออกพันธบัตรแบบขาดทุนเพื่อหาเงินมาโปะกองทุนดูแลผู้สูงอายุ พอเงินไม่พอก็สร้างหนี้วนไปเรื่อย ๆ จนหนี้พอกเป็นก้อนโตถึง 260% ของ GDP แล้วในตอนนี้ !!

แล้วทีนี้นะยังไม่พอนะ ปัญหาที่ใหญ่โตมากกว่านั้นยังมีอีกๆๆๆน้า นั่นคือ โคตรเจ้าพ่อมาเฟียตัวจริงผู้อยู่เบื้องหลังก็คือ อเมริกาที่พยายามกดดันให้ญี่ปุ่นเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศ เพราะภัยความมั่นคงที่กดดันมาจากเกาหลีเหนือและจีนนั่นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกอะไรหรอก ใคร ๆ ก็รู้ ญี่ปุ่นเองก็รู้ตัวว่าตัวเองมีเวรมีกรรมกับประเทศแถวนี้อยู่ไม่น้อยเลยต้องหาเงินมาช้อปอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยไฮเทคสารพัดอย่างจากเจ้าพ่ออเมริกาเพื่อป้องกันตัวเองและเพื่อความอุ่นใจไง 

แต่ช้อปยังไงก็ไม่พอ เพราะฝ่ายตรงข้ามก็อัปเดตเทคโนโลยีเหมือนกัน ไหนจะค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนฐานทัพอเมริกา ไหนจะต้องอัปเดตกองทัพตัวเอง ทีนี้เงินก็ไม่พอ แล้วจะทำยังไงดี ยิ่งซื้อยิ่งเป็นหนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะให้ทำยังไง

ปัญหาต่อมาคือ พอเงินไม่พอก็ต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายลงทุกอย่าง ทุกกระทรวง และนี่แหละคือคำตอบสุดท้ายที่ว่า ทำไมญี่ปุ่นถึงไม่มีสินค้าหรือนวัตกรรมไฮเทคใหม่ ๆ เจ๋ง ๆ ออกมาสู่ตลาดโลกเท่าไหร่เลย 

ก็ทุกมหาวิทยาลัย ทุกหน่วยงานถูกตัดงบวิจัยเสียเหี้ยนไงครับ 

ผมไปทำงานล่ามให้หน่วยงานราชการไทยที่มาดูงานโรงเรียน มหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งในญี่ปุ่นมาเลยได้รู้ความจริงว่า รัฐบาลญี่ปุ่นช่างทำไปได้น้อ ตัดงบการศึกษา งบวิจัย จนแทบไม่เหลือและที่ญี่ปุ่นพังก็เพราะอเมริกานี่แหละ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไง ก็ประเทศแพ้สงครามมาอ่านะ ก็ขนาดน่านน้ำในทะเล น่านฟ้าเหนือสนามบินยังไม่ใช่ของตัวเองทั้งหมดเลยคู้นนนน!!! 

ตอนนี้อเมริกาก็ขึ้นดอกเบี้ยแบบขึ้นเอาๆๆๆ ขึ้นแบบไม่สนใจญาติพี่น้องอย่างญี่ปุ่นเลย หรืออเมริกาไม่นับญาติกับญี่ปุ่นวะ...แบบนี้ญี่ปุ่นก็ตายสิครับ นักลงทุนแห่เทขายเงินเยนทิ้งแล้วหันไปซบดอลลาร์แทน ทีนี้ค่าเงินเยนก็เลยร่วงระนาวยาวนานเพราะญี่ปุ่นไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างอเมริกาไง 

ทั้งหมดที่บ่นมามันก็ไม่ใช่ว่าผมมีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรหรอก มันเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นนะเออ ปัญหามันเป็นงูกินหาง ไม่สามารถโทษอเมริกาได้ทั้งหมดหรอกจ้า โทษนายกรัฐมนตรีคนไหน ๆ ก็ไม่ได้ด้วย แต่งบประมาณการวิจัยถูกตัดเหี้ยนจริง ๆ มาตั้งแต่อดีตนายกอาเบะแล้วไม่ได้พูดเล่น นอกจากนั้นค่าเทอมมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นก็แพงมาก เด็กญี่ปุ่นเข้ามหาวิทยาลัยยากมว้าก ไม่รู้จะแพงไปไหน!!

ค่าเทอมแพงบ้าบอ เด็กทำงานเยอะมีรายได้เกินก็ไม่ได้ด้วยนะ ไอ้เรื่องกำแพงรายได้ของผู้ปกครอง

รายได้ภรรยา หรือเด็กถ้าทำงานพาร์ทไทม์เกิน 130 มังแล้วต้องกระทบกับผู้ปกครอง หลุดออกจากฟุโยอะไรนี่ก็เป็นอะไรที่ปัญญา...อ่อนสุด ๆ เลย ทุกคนคิดเหมือนผมไหม แทนที่จะสนับสนุนให้คนออกไปทำงาน นี่อะไรก็ไม่รู้ ห้ามมีรายได้เยอะเกินไปเท่านั้นเท่านี้

โอ้ยยยย เหนื่อยใจ เด็กรุ่นใหม่น่าสงสารมากครับ

สรุปสุดท้ายว่า คนที่จำเป็นต้องอยู่และอยู่มานานแล้วก็ต้องอยู่ต่อไปแต่ต้องปรับตัวนะจ๊ะ และไม่ต้องเอาญี่ปุ่นไปเปรียบเทียบกับประเทศไทยหรอก ที่อยากเน้นคือ เด็กรุ่นใหม่ถ้าไม่ปลื้มวัฒนธรรมญี่ปุ่นจริง ๆ นะ ไม่ต้องมาหรอก มาเที่ยวได้ มาทำงานได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะมารวย หมดสิ้นหนทางรวยแล้วจ้า ผัวรวยก็หายาก ฝันไปเถอะ อยากรวยไปอเมริกาโน่น จบข่าว

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เกือบ 9 ล้านล้านบาท พยุงเงินเฟ้อครัวเรือน-หนุนเอกชนขึ้นค่าแรง-ลงทุนในประเทศ

(2 ต.ค.66) บลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ เตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ วงเงินราว 37.4 ล้านล้านเยน (เกือบ 9 ล้านล้านบาท) เพื่อเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยเหลือภาคครัวเรือน ไปจนถึงการลงทุนในประเทศ

หนึ่งในแผนการช่วยเหลือสำคัญภายใต้มาตรการนี้คือการช่วยบรรเทาผลกระทบเงินเฟ้อให้ภาคครัวเรือนญี่ปุ่น ช่วยภาคเอกชนปรับขึ้นค่าแรง และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังคาดว่ารัฐบาลจะประกาศงบการลงทุนก้อนใหญ่  21.8 ล้านล้านเยน (ราว 5.22 ล้านล้านบาท) รวมอยู่ด้วย

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ เคยเกริ่นถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่เอาไว้ว่า จะมีเรื่องการลดภาษีเงินได้ไปจนถึงการแจกเงินช่วยครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ยังมีขึ้นท่ามกลางคะแนนนิยมของคิชิดะที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดลงมาแตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว โดยผลสำรวจคะแนนนิยมของสถานีโทรทัศน์ เอเอ็นเอ็น พบว่า คะแนนนิยมคิชิดะลดลงมาอยู่ที่ 26.9% ส่วนผลสำรวจของหนังสือพิมพ์นิกเกอิ อยู่ที่ 33% โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 58% ยังระบุด้วยว่า ไม่มีความหวังอะไรมากนักกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับนี้

ทั้งนี้ ค่าแรงที่แท้จริงของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงมา 17 เดือนติดต่อกันแล้ว เนื่องจากอัตราค่าแรงไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการปรับค่าแรงตามฤดูกาลเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีนี้ไปแล้วก็ตาม

'โตเกียว' ทุบสถิติ อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะ 25 องศา ยาวนานมากถึง 141 วันในปี 2023

(5 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเข้าสู่วันที่ 141 ของปีนี้ที่มีอุณหภูมิแตะ 25 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น ซึ่งนับเป็นสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่าเมื่อ 12.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น (4 พ.ย.) อุณหภูมิในโตเกียวพุ่งแตะ 26.3 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่สอดคล้องกับฤดูกาล เนื่องจากระบบความกดอากาศสูงส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกไปสู่ทางตะวันตกของประเทศ

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 ที่ใจกลางโตเกียวมีอุณหภูมิสูงแตะ 25 องศาเซลเซียสในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์อุณหภูมิที่กำหนดให้เป็น ‘วันในช่วงฤดูร้อน’ ในญี่ปุ่น

อนึ่ง รายงานในปี 2022 ระบุว่าสถิติสูงสุดของจำนวนวันในช่วงฤดูร้อนในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ของโตเกียวคือ 140 วัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top