Tuesday, 30 April 2024
ซาอุดีอาระเบีย

‘รมว.กต.ไทย-ซาอุฯ’ เร่งสานต่อพลวัตรความร่วมมือทวิภาคี ส่งเสริมด้านการศึกษา-ท่องเที่ยว หนุนความสัมพันธ์ภาค ปชช.

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78)

ทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสานต่อพลวัตความร่วมมือทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์เมื่อปี 2565 โดยยินดีที่จะได้มีโอกาสพบหารือกันอีกในห้วงการประชุม ASEAN – GCC Summit ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ที่กรุงริยาด และการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดีฯ – ไทย (STCC) ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือแนวทางการ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน อาทิ การใช้ระบบ e-Visa ของซาอุดีอาระเบีย การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทย และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างซาอุดีอาระเบียกับภูเก็ต

‘ซาอุฯ’ กร้าว!! หาก ‘อิหร่าน’ มี ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ซาอุฯ ก็จำเป็นต้องหามาประดับกองทัพเช่นกัน

หากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง เมื่อนั้น ซาอุดีอาระเบียก็จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน จากคำเตือนของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งบางช่วงบางตอนได้มีการเผยแพร่เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

"ประเทศใดก็ตามที่กำลังมีอาวุธนิวเคลียร์ มันเป็นความเคลื่อนไหวที่แย่ๆ" มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียกล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ริยาดจะตอบโต้อย่างไร หากว่า เตหะรานกลายเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ 

"ถ้าหากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศใดที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังทำสงครามกับที่เหลือของโลกใบนี้"

เจ้าชายกล่าวต่อว่า “เหล่ามหาอำนาจโลกจะมาพร้อมกับมาตรการตอบโต้ร่วมกัน เพราะว่าโลกไม่อาจเห็นอีกหนึ่งฮิโรชิมา ถ้าว่าโลกเห็นประชาชน 100,000 คนต้องตาย คุณจะทำสงครามกับทั้งโลก” 

ทั้งนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย อ้างถึงกรณีสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 ใน 2 เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นห่างกัน 4 วัน และจนถึงปัจจุบัน ยังเป็นแค่การใช้อาวุธนิวเคลียร์เพียงครั้งเดียวของโลกในความขัดแย้งหนึ่ง ๆ

ผู้สื่อข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ขอคำตอบตรงกว่านี้จากเจ้าชาย โดยถามว่า “ถ้าอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แล้วท่านล่ะ?” ซึ่งในเรื่องนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ตอบว่า “ถ้าพวกเขามี เราก็จำเป็นต้องมีเช่นกัน”

อิหร่านซึ่งยังคงอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา ปฏิเสธซ้ำ ๆ ต่อคำกล่าวอ้างของสหรัฐฯ อิสราเอลและประเทศอื่น ๆ ว่าพวกเขากำลังหาทางพัฒนาอาวุธปรมาณู

ระหว่างปราศรัยกับสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (19 ก.ย.) ประธานาธิบดีเอบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน เน้นย้ำว่าเตหะรานจะไม่มีวันสละสิทธิในการมี ‘พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ’ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้อยู่ในหลักการด้านการป้องกันตนเองและหลักการทางทหารของอิหร่านแต่อย่างใด

ไรซี บอกด้วยว่าประเทศของเขากระตือรือร้นในการคืนสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 หรือ แผนปฏิบัติการร่วมที่ครอบคลุม (Joint Comprehensive Plan for Action หรือ JCPOA) ซึ่งเสนอยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรแลกกับการที่เตหะรานจำกัดกิจกรรมทางนิวเคลียร์ พร้อมเน้นย้ำว่าการถอนตัวฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงนี้ ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการตอบโต้ที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่อิหร่านได้ทำตามพันธสัญญาต่าง ๆ ส่วนหนึ่งในข้อตกลง JCPOA ทุกประการ

เสียงเตือนของมกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน มีขึ้นแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน 2 ชาติที่เป็นคู่อริกันมานาน ปรับท่าทีเข้าหากัน และได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตัดขาดกันไปนานกว่า 7 ปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผ่านการมีจีนเป็นคนกลาง

‘ปานปรีย์’ เผย ‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมเยือนกัมพูชา 28 ก.ย.นี้ นับเป็นอาเซียนประเทศแรก ก่อนเยือนซาอุฯ กระชับความสัมพันธ์

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเตรียมเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาเป็นประเทศแรกในอาเซียน ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกับประเทศไทย และจะพยายามเดินทางไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนให้ได้มากที่สุด ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อนแนะนำตนเองและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายปานปรีย์ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรีนั้น ด้วยความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน แม้จะหยุดชะงักชั่วระยะหนึ่ง แต่ขณะนี้กลับมาดำรงความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งระหว่างเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ที่สหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสหารือทวิภาคี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ได้รับการตอบรับอย่างดี แต่การเยือนของนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน แต่นักลงทุนของซาอุดีอาระเบีย สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งไทยต้องเตรียมการอย่างดี

นายปานปรีย์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการลงสมัครสมาชิก ‘Human Rights Council’ (HRC) ของไทย นั้นถือว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นหนึ่งในเสาหลักของสหประชาชาติ โดยไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน HRC มาแล้ว เมื่อปีค.ศ. 2012 ส่วนในวาระปี ค.ศ. 2025-2027 ไทยยืนยันความประสงค์ ที่จะกลับเข้าเป็นสมาชิกอีกรอบ

‘หนุ่ม คงกะพัน’ ยืนยัน ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ไม่มีอยู่จริง แค่กระแสข่าวที่ตีแผ่ จนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

เมื่อไม่นานนี้ ‘พี่หนุ่ม คงกะพัน แสงสุริยะ’ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย ได้ออกมาเล่าย้อนความคดีดังในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ‘คดีเพชรซาอุฯ’ ผ่านรายการ ‘แฉ’ ตอน ความลับ 30 ปี ‘เพชรซาอุฯ บลูไดมอนด์’ โจรกรรมสะท้านโลก ออกอากาศเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ดำเนินรายการโดย มดดำ คชาภา, ดีเจดาด้า และ น็อต วรฤทธิ์ 

โดยพี่หนุ่มได้เล่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2532 หรือเมื่อ 34 ปีก่อน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘เกรียงไกร มงคลสุภาพ’) อดีตคนงานไทย ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดประจำพระราชวังของ ‘เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อัล ซะอูด’ แห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ทำการขโมยเพชรและเครื่องประดับ โดยเริ่มจากการฉกฉวยของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ช้อนส้อมที่ทำจากทองคำขาว ซึ่งก็นับว่ามีมูลค่ามากแล้ว

หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขโมยของชิ้นใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นการโจรกรรมเครื่องเพชรกว่า 4 กระสอบ น้ำหนักรวมกันกว่า 91 กิโลกรัม หอบหนีกลับประเทศไทย โดยสาเหตุของจุดเริ่มต้นเกิดจากการที่นายเกรียงไกรเสพติดการเล่นพนัน และต้องหาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ จนนำไปสู่การโจรกรรมเพชรล็อตใหญ่จากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย

หลังโจรกรรมสำเร็จ นายเกรียงไกรได้กระจายเพชรที่ขโมยมาได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง ไปยังร้านค้าเพชรและตลาดเพชรพลอยทั่วประเทศ โดยรายงานของตำรวจพบว่า ร้านของ ‘นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์’ พ่อค้าเพชรย่านบ้านหม้อ เป็นแหล่งใหญ่สุดในการรับซื้อเพชรจากเกรียงไกร และขายต่อไปยังพ่อค้ารายย่อย-กลุ่มบุคคลต่างๆ นายสันติจึงเป็นผู้กุมความลับเรื่องการกระจาย ‘เพชรซาอุฯ’

ต่อมา ได้มีการอุ้มหายภรรยาและลูกชายของนายสันติ จากการวิธีการเค้นสอบนอกรีตด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนสนิทของ ‘พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ’ ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจในเวลานั้น ที่ต้องการจะไล่ล่าหาเครื่องเพชรส่งคืนซาอุฯ เพื่อกู้หน้าและเรียกคืนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยและวงการตำรวจ

จนในที่สุด ‘พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์’ อดีตผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 นักสืบมือฉกาจ ผู้ได้รับฉายา ‘เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เมืองไทย’ ได้ตามสืบจนสามารถนำส่งคืนราชวงศ์ซาอุฯ ได้จำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ พี่หนุ่มได้เล่าว่า ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ในตำนานนั้น ‘ไม่มีอยู่จริง’ แต่เพชรที่ทางราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการได้รับคืน คือ ‘สร้อยพลอยสีแดงเม็ดใหญ่’ ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งใช้ประกอบพิธีละหมาด รวมถึงสร้อยไข่มุก โดยข้อเท็จจริงนี้ ทางการของประเทศซาอุดีอาระเบียก็ได้มีการออกมายืนยันแล้วเช่นกัน ว่าไม่ได้มี ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ปรากฏอยู่ในรายชื่อของมีค่าที่ถูกขโมยแต่อย่างใด เรื่องราวและตำนานอาถรรพ์ทั้งหมดนั้น ถูกนำเสนอโดยสื่อในขณะนั้น ที่ต้องการจะตีกระแสข่าวจนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

อีกทั้ง พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ยังได้เคยออกมาเปิดเผยว่า สิ่งที่ราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ ‘อัลบั้มภาพถ่ายครอบครัวของราชวงศ์’ ซึ่งเป็นความทรงจำที่สามารถประเมินค่าได้ และหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีพัฒนาการในการเก็บไฟล์ภาพแบบดิจิทัล การจะเก็บรักษาภาพถ่าย คือต้องนำภาพถ่ายมาอัดล้าง และเก็บรักษาไว้ในอัลบั้มเท่านั้น

โดยอัลบั้มภาพถ่ายแห่งความทรงจำของราชวงศ์ซาอุฯ นั้น ได้ถูกนายเกรียงไกรขโมยติดมือมาพร้อมกับเครื่องเพชรด้วย และต่อมา นายเกรียงไกรหวาดระแวง กลัวจะถูกตามรอยสืบสวนสาวเบาะแสมาถึงตนได้ จึงทำการ ‘เผา’ อัลบั้มภาพถ่ายเป็นการทำลายหลักฐานจนสิ้นซาก

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นการโจรกรรมสะท้านโลก สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย จนเกิดเป็นรอยร้าวฉานยาวนานกว่า 30 ปี ก็ได้จบลง ภายใต้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยฝีมือการบริหารของรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ ที่พยายามติดต่อ เจรจาในทุกมิติกับทางซาอุฯ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถฟื้นสายใยสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้อีกครั้ง

‘นายกฯ’ ถึงกรุงริยาด พร้อมร่วมประชุมสุดยอด ‘ASEAN-GCC’ ครั้งที่ 1 กระชับสัมพันธ์อาเซียน-รัฐอ่าวอาหรับ ก่อนเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ

นายกฯเศรษฐา เดินทางถึงกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียแล้ว เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับครั้งที่ 1 ทันที ก่อนเข้าเฝ้าเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนและเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation (BRF) ครั้งที่ 3 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 05.40 น. ของวันที่ 20 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่นกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย (ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชม.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับครั้งที่ 1 (ASEAN-GCC Summit) ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2566

โดยเมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ร่วมพิธีการต้อนรับ จากนั้นเดินทางไปยังโรงแรม Ritz Carlton ซึ่งเป็นโรงแรมที่พักก่อนปฏิบัติภารกิจ

จากนั้นเวลา 09.00 น. ที่โรงแรม นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมโดยเมื่อเดินทางถึงบริเวณห้องโถงหน้าห้องประชุม เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้อนรับและถ่ายภาพร่วมกัน ก่อนเข้าร่วมประชุม

จากนั้น 11.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันโดยเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดลุ อะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำภายหลังการประชุมสุดยอด ASEAN-GCC Summit

จากนั้นเวลา 11.40 น. นายเศรษฐาเข้าเฝ้าเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุล อะซีซ อาล ซะอูด มกุฎ ราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

สำหรับประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับครั้งที่ 1 (ASEAN-GCC Summit) เป็นการประชุมครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์อาเซียน-GCC ที่มีมากกว่า 30 ปี การเข้าร่วมการประชุมของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในระดับสูงของไทยในการกระชับความสัมพันธ์กับ GCC และประเภทสมาชิกต่างๆ ของ GCC โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียที่ไทยเพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยกับกลุ่มประเทศ GCC ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงและแหล่งทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศ GCC รวม 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะโอกาสในด้านอาหาร พลังงาน และการท่องเที่ยว รวมถึง การพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การจัดทำ FTA-GCC และอาจเสนอให้พิจารณาจัดตั้ง อาเซียน GCC Business forum เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายและการไปมาหาสู่ของประชาชนในสองภูมิภาค ทั้งในเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

โดยการประชุมครั้งนี้ เห็นพ้องให้ผู้นำรับรองเอกสารผลลัพธ์จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอด อาเซียน GCC ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองฝ่ายในการกระชับความสัมพันธ์อาเซียน GCC ในความร่วมมือสาขาต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ในส่วนร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน GCC ค.ศ.2024-2028 เป็นเอกสารแผนงานระหว่างอาเซียนกับ GCC ระยะ 5 ปี 2024-2028 โครงการ กิจกรรมและแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่างๆ ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง การป้องกันและต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งและแนวคิดสุดโต่งนิยมความรุนแรง การค้าการลงทุน การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและสารสนเทศ การศึกษา ความเชื่อมโยง ข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน และการลดช่องว่างการพัฒนา

‘เจ้าชายซาอุฯ’ ประณาม ‘ฮามาส-อิสราเอล’ ล้วนเข่นฆ่าพลเรือน พร้อมย้ำ!! สงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

(21 ต.ค.66) สื่อต่างประเทศรายงานว่า เจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล (Prince Turki al-Faisal) สมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักการทูตที่ได้รับการยกย่อง ทรงออกมาประณามทั้งฮามาสและอิสราเอลว่าต่างเข่นฆ่าชีวิตพลเรือนด้วยกันทั้งสิ้น พร้อมย้ำว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

ความเห็นของเจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล เกี่ยวกับสงครามยิว-ฮามาสถือว่าเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาที่สุดจากสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ และอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าบรรดาผู้นำริยาดคิดเห็นอย่างไรกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ในนครฮิวสตันของสหรัฐฯ เจ้าชายตุรกีตรัสว่าการกระทำของกลุ่มฮามาสขัดต่อกฎของอิสลามที่ห้ามทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และผู้คนที่ถูกฮามาสสังหารหรือจับไปเป็นตัวประกันก็คือพลเรือนแทบทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายซึ่งทรงเป็นทั้งอดีตนักการทูตและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่มีความสุขุมลุ่มลึก ก็ทรงประณามฝ่ายอิสราเอลเช่นกันว่า “ทิ้งระเบิดใส่พลเรือนปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาแบบไม่เลือกหน้า อีกทั้งยังจับกุมพลเรือนทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ในเขตเวสต์แบงก์โดยไม่มีการแยกแยะ”

เจ้าชายตุรกียังทรงอ้างถึงวลี ‘การโจมตีที่ปราศจากการยั่วยุ’ (unprovoked attack) ที่สื่ออเมริกันชอบใช้เมื่อจะอ้างถึงการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยทรงตั้งคำถามว่า “สิ่งที่อิสราเอลได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์มา 75 ปี ยังต้องการการยั่วยุอะไรมากไปกว่านี้อีกหรือ?”

พระองค์ทรงย้ำว่า “ประชาชนที่ถูกกดขี่ยึดครองด้วยอำนาจทางทหาร ย่อมมีสิทธิ์ที่จะต่อต้านการยึดครอง” เจ้าชายยังทรงประณามพวกนักการเมืองตะวันตกที่ “ร่ำไห้เมื่อเห็นคนอิสราเอลถูกฆ่าโดยชาวปาเลสไตน์ แต่กลับไม่มีแม้แต่ท่าทีเห็นใจ เมื่อคนปาเลสไตน์ถูกฆ่าโดยอิสราเอล”

BBC ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของเจ้าชายตุรกีวัย 78 พรรษาถือเป็นการ ‘แหกคอก’ จากบรรดาชาติมุสลิม รวมถึงรัฐบาลซาอุฯ เองที่ยังไม่เคยแถลงประณามฮามาสมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณชนเช่นนี้โดยไม่ผ่านการปรึกษาหารือกับทางสำนักพระราชวังซาอุฯ ซึ่งมีเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารทรงกุมอำนาจในฐานะผู้ปกครองโดยพฤตินัยอยู่ในเวลานี้

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ได้ชื่นชอบพวกฮามาส และอันที่จริงแล้วดูเหมือนจะไม่มีรัฐบาลใดในภูมิภาคที่โอเคกับพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือบาห์เรน ที่ต่างมองว่าฮามาสและแบรนด์การปฏิวัติ ‘อิสลามเชิงการเมือง’ ของพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อระบบการปกครองแบบโลกวิสัย (secular rule)

อย่างไรก็ตาม ฮามาสยังคงมีสำนักงานการเมืองอยู่ในกาตาร์ และได้รับการสนับสนุนจาก ‘อิหร่าน’ ซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งและไม้เบื่อไม้เมากับซาอุดีอาระเบียมายาวนาน

‘ซาอุฯ’ เต็งหนึ่ง!! ขึ้นแท่นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 หลังคู่แข่งถอนเกลี้ยง รอคอนเฟิร์มผลอีกทีปลายปีหน้า

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 ‘ซาอุดีอาระเบีย’ ได้รับการยืนยันอย่างไม่เป็นทางการ ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 เรียบร้อย หลังบรรดาคู่เเข่งพาเหรดถอนตัวไปหมด

การเเข่งขันลูกหนังโลกในอีก 11 ปีข้างหน้าจะวนกลับมาเเข่งบนเเผ่นดินเอเชียอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ชาติเเดนน้ำมันเป็นตัวเต็งที่จะคว้าสิทธิ์อยู่เเล้ว เเต่ก็เเอบมีหลายชาติให้ความสนใจทั้ง อินโดนีเซีย รวมถึงไทยด้วย เเต่ทั้ง 2 ชาติก็เปลี่ยนใจหันไปหนุนซาอุฯ เเทน

ล่าสุดชาติที่ถูกมองว่ามีความพร้อมเเละน่าจะเป็นคู่เเข่งได้ดีที่สุดอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ก็ประกาศถอนตัวออกไปเช่นกัน ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงเเค่ซาอุดีอาระเบียชาติเดียว เท่ากับว่าพวกเขาจะรับสิทธิ์ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น ซาอุดีอาระเบียจะต้องยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเข้าไปให้ฟีฟ่าภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน นอกจากนั้น จะมีการตรวจสอบข้อบังคับของฟีฟ่าเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือความเท่าเทียมต่างๆ หลังจากปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นในครั้งล่าสุดที่ประเทศกาตาร์มาเเล้ว

ซาอุดีอาระเบียมีเวลาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2024 เพื่อยื่นข้อเสนอฉบับเต็มเเละยืนยันเรื่องสิทธิมนุษยชน หลังจากนั้นจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการภายในปลายปีหน้า

'รศ.ดร.วินัย' วิเคราะห์!! เหตุผลที่ 'ซาอุฯ' ยังไม่ถูกนับเป็นประเทศพัฒนา ภายใต้ห้วงเวลาสั่นคลอนอนาคต หากทรัพยากรน้ำมันหมดไป

(16 ธ.ค.66) รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ซาอุดีอาระเบีย' ระบุว่า...

ปีนี้ 2023 หรือ พ.ศ. 2566 นับถึงเดือนธันวาคม ผมเดินทางมาราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (KSA) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 หากนับรวมครั้งอื่นๆ ผมมีโอกาสเยี่ยมเยียน KSA มากกว่าสิบครั้งแล้ว แต่บอกตามตรงว่ายังรู้จักประเทศนี้ไม่ลึกซึ้งสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าประเทศนี้ระยะหลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายเป็นเช่นเดียวกับประเทศไทยนั่นคือการก้าวขึ้นสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed country) ซึ่งหมายถึงเวลานี้ KSA ที่แม้มีรายได้ต่อหัวประชากรต่อปีสูงถึง 21,069 USD มากกว่าที่กำหนดไว้สำหรับประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยู่ที่ 12,500 USD ทว่ายังไม่นับเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น

ความเป็นประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้นับกันแค่รายได้ต่อหัวประชากรต่อปี แต่นับแหล่งรายได้จากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี, การศึกษา, สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ทั่วถึง ความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาระหว่างเมืองและชนบท รวมถึงด้านเศรษฐกิจของประชากรที่ไม่กว้างมากนัก นับกันหลากหลายเช่นนี้ KSA จึงยังไม่ใช่ประเทศพัฒนาเนื่องจากรายได้ 85% มาจากการค้าน้ำมัน รายได้จากแหล่งอื่นยังไม่หลากหลาย ประเทศในตะวันออกกลางที่อาจนับเป็นประเทศพัฒนาแล้วมีเพียงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือ UAE ที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาแหล่งรายได้ด้านอื่นๆ นอกเหนือจากน้ำมัน

เพราะ KSA ยังไม่ใช่ประเทศพัฒนาแล้ว จึงทำให้ประเทศนี้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจสาขาต่างๆ เป็นการใหญ่กำหนดวิชั่น Saudi 2030 ผลักดันประเทศให้ก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ขจัดความเหลื่อมล้ำของประชากร เร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเห็นได้จากการให้สิทธิด้านการศึกษา การประกอบอาชีพของสตรีที่มีมากขึ้น ต้องไม่ลืมว่าสตรีคือครึ่งหนึ่งของทรัพยากรมนุษย์ที่ประเทศมีอยู่ การที่ UAE ได้รับการจัดเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม OECD ในปี 2023 ช่วยกระตุ้นให้ KSA เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตนเองมากขึ้นเพื่อตาม UAE ให้ทัน ประเทศอย่าง UAE พัฒนาโครงการอวกาศสำเร็จไปแล้ว มีเงินอย่างเดียวจึงไม่ช่วย ต้องใช้สมองและสองมือ ทั้ง work & wisdom เน้นกันอย่างนั้น โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ของประเทศทั้งด้านศาสนาและวัฒนธรรม

การบ้านใหญ่ของ KSA คือประเทศจะดำรงอยู่อย่างไรให้มาตรฐานการดำรงชีวิตของประชากรไม่สั่นคลอนในอนาคตที่ทรัพยากรน้ำมันหมดไปแล้ว การพัฒนาอุตสาหกรรม ธุรกิจ การค้า เพื่อโอกาสใหม่ๆ ของประเทศจึงต้องเร่งทำ สำคัญคือการพัฒนานวัตกรรม (innovation) การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ขึ้นในสังคม KSA กำลังมองโอกาสทางด้านนี้ และมหาวิทยาลัยคือ แหล่งสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นต้นน้ำของการพัฒนาทุกๆด้าน เป็นเหตุผลที่ทางกระทรวงการศึกษาของ KSA ส่งคนระดับรัฐมนตรีและทีมงานจากหลายมหาวิทยาลัยไปเยี่ยมเยียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล (ศวฮ.) เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อโอกาสในการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมและทีม ศวฮ.ต้องเดินทางมาเยือน KSA

‘ศอ.บต.’ นำทัพผู้ประกอบการชายแดนใต้ บินแสดงสินค้าถึงซาอุฯ เล็งขยายตลาดฮาลาลสู่ประเทศมุสลิม คาด ดึงเงินนักลงทุน 180 ลบ.

(17 ธ.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังที่ได้มอบแนวนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการส่งเสริมอาชีพ ล่าสุด ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ก็ได้เริ่มเดินหน้าสนับสนุนการสร้างอาชีพแล้ว โดยร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงริยาด หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) นำผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมงานแสดงสินค้า ‘Thailand Mega Fair 2023’ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13 -16 ธันวาคม 2566

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนกว่า 200 แบรนด์ ได้นำผลิตภัณฑ์ และสินค้าที่ผลิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความโดดเด่น และมีความต้องการสูงของกลุ่มประเทศมุสลิม มาจัดแสดง เช่น นมถั่วเหลือง 7 รสชาติ นมข้าวโพด นมแพะ นมโค 3 รสชาติ ผ้าคลุมผมสตรี รองเท้าแตะ สำหรับใช้ในการเดินไปประกอบศาสนกิจ น้ำหอมไม้กฤษณา และ น้ำผึ้งชันโรง โดยสินค้าที่นำไปจัดแสดง ได้รับผลตอบรับจากชาวซาอุดีอาระเบีย เป็นอย่างมาก ซึ่งมีผู้ประกอบการสามารถ Bussiness Macthing กับผู้ประกอบการในซาอุดีอาระเบียและกาตาร์ ได้จำนวน 2 บริษัท รวม 4 ผลิตภัณฑ์

โดยคาดการณ์ว่า จะสามารถสร้างมูลค่าจากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้กว่า 100 ล้านบาท ในระยะ 1 ปีข้างหน้า จึงถือว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า สามารถช่วยผู้ประกอบการให้มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น และเกิดการขยายตลาดการส่งออกสินค้าฮาลาลในประเทศโลกมุสลิมมากยิ่งขึ้น

“การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ไปแสดงสินค้าในต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออก และเพิ่มการจ้างงานในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งมีการคาดว่า การแสดงสินค้าในครั้งนี้ จะเกิดมูลค่าการค้า ประมาณ 25 ล้านบาท และจะเกิดการลงทุนเพิ่มเติม 180 ล้านบาท โดยก็จะทำให้เกิดการจ้างงานคนในพื้นที่เพิ่มเติม ทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 400 คน จึงถือว่า เป็นส่งเสริมอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างชัดเจน และในอนาคต ก็จะผลักดันการขยายตลาดการส่งออกไปสู่ประเทศซาอุดีอาระเบีย และประเทศโลกมุสลิมโดยตรง รวมถึงจะจัดตั้ง ‘Fatoni Halal One Stop Service’ จากเครือข่ายที่อยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบียด้วย เพื่อทำให้เกิดการส่งเสริมอาชีพและจ้างงานในพื้นที่มากขึ้น” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ขณะที่ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ได้ร่วมงานในครั้งนี้ ได้ขอบคุณรัฐบาล และ ศอ.บต. ที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการชายแดนใต้ มีโอกาสขยายการส่งออกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และประเทศโลกมุสลิมเพิ่มขึ้น เพราะการนำผู้ประกอบการไปแสดงสินค้า ก็เพื่อให้ธุรกิจในพื้นที่เติบโต ขยายตลาดส่งออก เพิ่มการจัดจำหน่าย โดยเท่ากับว่า จะสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น พร้อมลดจำนวนผู้ว่างงานของคนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นงาน ศอ.บต. ก็มีแผนงานนำผู้ประกอบการ ทั้ง 4 กลุ่ม กลับมาเป็นต้นแบบถอดบทเรียนและถ่ายทอดให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่อยากเข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยใช้วิธีต่อยอด เสริมความเข้มแข็ง เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยง ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้แก่ครัวเรือนยากจนในพื้นที่ชายแดนใต้ต่อไป

จับตา!! ‘ซาอุฯ’ เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ ความทะเยอทะยานสู่ผู้ชนะแห่งประเทศโลกใต้

(3 ม.ค.67) สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของซาอุดีอาระเบีย รายงานในวันอังคาร (2 ม.ค.) ว่าซาอุฯ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยก่อนเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ว่าประเทศของพวกเขาจะศึกษารายละเอียดต่างๆ ก่อนเข้าร่วมกลุ่มตามที่ตั้งใจไว้ในวันที่ 1 มกราคม และจะดำเนินการตัดสินใจอย่างเหมาะสม

มกุฎราชกุมารฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย บอกว่ากลุ่มบริกส์ เป็นประโยชน์และเป็นช่องทางที่สำคัญในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 

เดิมกลุ่ม BRICS ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ แต่ได้เพิ่มสมาชิกอีกเท่าตัว โดยที่ ซาอุดีอาระเบีย พร้อมด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ อิหร่าน และเอธิโอเปีย จะเข้าร่วมในฐานะสมาชิกใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป

การเข้าร่วมของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการขยายอิทธิพลของจีนภายในซาอุดีอาระเบีย

แม้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐฯ แต่ซาอุดีอาระเบียกำลังเดินตามเส้นทางของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากความกังวลว่า วอชิงตันมีความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงในอ่าวอาหรับน้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมา

จีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย ส่งเสียงเรียกร้องให้ขยายขอบเขตของ BRICS ให้กลายมาเป็นตัวถ่วงดุลตะวันตก

การรับสมาชิกเพิ่มเติมของ BRICS ถือเป็นการขยายความความทะเยอทะยานของทางกลุ่ม ที่ประกาศว่าจะกลายมาเป็นผู้ชนะแห่งประเทศโลกใต้ แม้อาร์เจนตินาส่งสัญญาณเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะไม่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมกลุ่ม 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top