Tuesday, 7 May 2024
กรุงเทพมหานคร

กรุงเทพฯ ติดโผ!! 10 อันดับเมืองท่องเที่ยวถูกค้นหา ‘มากที่สุดในโลก’ ปี 2023

จากผลการสำรวจและจัดอันดับ 10 เมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางมีผู้คนค้นหามากที่สุดในโลก ประจำปี 2566 (Top 10 Most Searched Destinations Of 2023) จัดทำโดย eDreams Odigeo บริษัทด้านการเดินทางรายใหญ่ของโลก พบว่า ‘กรุงเทพมหานคร’ เมืองหลวงของประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 4 รองจาก ลอนดอน ปารีส และนิวยอร์ก

ทางเว็บไซต์ Traveloffpath (https://www.traveloffpath.com/these-are-the-top-10-most-searched-destinations-of-the-year-according-to-new-report/) ระบุว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ยังคงตอกย้ำการเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่สุดในทวีปเอเชีย โดดเด่นด้วยการผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะตัวระหว่าง วัดโบราณ ตลาดที่คึกคัก รวมไปถึงทิวทัศน์อันเงียบสงบ สามารถมอบประสบการณ์ให้แก่นักท่องเที่ยวเสมือนการชมภาพยนตร์ ซึ่งยากจะเลียนแบบได้ในช่วงพักร้อนของเมืองในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังมีสถานที่มหัศจรรย์ทางประวัติศาสตร์อย่าง พระบรมมหาราชวัง และวัดอรุณราชวราราม ซึ่งล้วนได้รับการเติมเต็มอย่างสวยงามด้วยวิถีชีวิตความเป็นเมืองบนท้องถนน พร้อมด้วยตลาดน้ำ และถนนข้าวสารที่มีชีวิตชีวา

ผลการจัดอันดับนี้เป็นการย้ำถึงศักยภาพของไทย ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ 

‘ดร.เอ้’ แนะ!! กทม.สำรวจ-ประเมินตึกสูงนับหมื่นแห่ง หวั่น!! แผ่นดินไหวส่งผลกระทบ ชี้!! ความเสียหายจะหนักหนา

(17 พ.ย. 66) ศาสตราจารย์ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอ้ สุชัชวีร์’ ระบุว่า…

ภัยแผ่นดินไหว อันตรายจริง กทม.มีความเสี่ยง!!

แผ่นดินไหวที่เมียนมา สะเทือนถึงกรุงเทพ ตึกเก่าหลายหมื่น เสี่ยงจริง กทม.ต้องมีมาตราการสำรวจ และประเมินความแข็งแรงของอาคารในกรุงเทพ อย่างจริงจัง

อย่าทำเป็นเล่น หากอาคารถล่ม ความสูญเสีย ประเมินค่ามิได้ เป็นห่วงครับ
#แผ่นดินไหว

‘สว.วีระศักดิ์’ เผยความรู้สึก หลังพา นทท.ตาบอดทัวร์กรุงเทพฯ ปลื้มใจ!! คนไทยหลายคนหยิบยื่นน้ำใจ-ต้อนรับกันอย่างอบอุ่น

(21 พ.ย. 66) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘นักท่องเที่ยวยุโรปตาบอดกับปากคลองตลาด’ ระบุว่า…

วันก่อน

ในกิจกรรมที่คุณนัตตี้ ด้วยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำคณะนักท่องเที่ยวตาบอดจากยุโรป 10 คนที่ซื้อตั๋วซื้อทัวร์เดินทางมาไทยและกำลังจะออกไปเที่ยวที่ปากคลองตลาด ตลาดดอกไม้ชื่อดังของกรุงเทพ

ผมจึงอาสาเดินทางไปทำหน้าที่ผู้ช่วยไกด์กิตติมศักดิ์ รับคณะเดินทางจากด้านหลังตลาด ซึ่งจะมีพื้นที่ให้รถตู้ 3 คันจอดส่งผู้โดยสารตาบอดลงรวมตัวกันใต้เงาอาคารได้อย่างสะดวก และปลอดภัย

การพาเดินเข้าตลาดจากด้านหลังจะมีคนน้อยกว่า สามารถพาเดินผ่านช่องต่าง ๆ ผ่านชั้นวางชั้นแขวนดอกไม้สารพัดอย่าง 

เดินลึกเข้าไปเจอเข่งตะกร้าหลายใบใส่ใบเตย เราจึงหยุดให้แขกต่างชาติของเราได้สูดกลิ่นของใบเตย (pandan leaf) ที่พ่อค้ามัดรวมไว้รอจำหน่าย ใบเตยใช้ต้มทำเครื่องดื่ม ใช้คั้นเอาน้ำไปผสมในอาหารและของหวาน ทำขนม สรรพคุณของใบเตยช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ดื่มดับกระหาย คลายอ่อนเพลีย 

ผอ.นรินท์ ทิจะยัง จากสำนักงานใหญ่ททท. ซึ่งมาสังเกตการณ์ด้วย รู้เทคนิค จึงเดินจ้ำล่วงหน้าไปกระซิบบอกพ่อค้าแม่ค้าให้ทราบว่า นี่คือกลุ่มนักท่องเที่ยวพิเศษ สายตามองไม่เห็น และตั้งใจมาขอเยี่ยมสัมผัสกับตลาดที่นี่ พ่อค้าแม่ค้ายิ้มพยักหน้ารับทราบ

ว่าแล้วพ่อค้าก็ยื่นช่อกล้วยไม้มาให้ผมส่งให้แหม่มชาวอังกฤษผมทองที่ตาบอดสนิทได้สัมผัส เธอยิ้มตื่นเต้นดีใจ

กล้วยไม้อาจดูเป็นพืชพื้น ๆ ของบ้านเรา แต่กับชาวตะวันตกเมืองหนาว เขาจะตื่นเต้นกับกล้วยไม้กัน ถือเป็นพืชหายาก ในยุโรปมีราคาแพงเพราะต้องเอาขึ้นเครื่องบินส่งเข้าไปจำหน่าย

เราเดินผ่านแผงขายกระทง แม่ค้าสาวอายุน้อยยิ้มรับ พยักหน้าอนุญาต ผมจึงหยิบกระทงขึ้นมาให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตาบอดของเราได้สัมผัสกระทง ทุกคนต่างลูบคลำกระทงด้วยความสนใจ แม่ค้าฝากผมแปลว่ากระทงนี้ประดิษฐ์จากต้นข้าวโพดแห้ง และอธิบายประกอบเพิ่มถึงประเพณีลอยกระทงปลายฤดูฝนของเรา ที่น้ำจะเต็มตามตลิ่ง แขกต่างชาติอมยิ้มนึกภาพตามด้วยความสุข

การใช้กระทงวัสดุธรรมชาติเหล่านี้นับว่าได้ประโยชน์หลายต่อ ในแง่ที่เก็บขึ้นจากน้ำได้ง่าย และอย่างน้อยก็ดีกว่าจะถูกจุดไฟเผาทิ้งในไร่ที่ปลูกให้กลายเป็นฝุ่นควันรบกวนสิ่งแวดล้อมเปล่า ๆ

แม่ค้าอีกฝั่งใจดี ยื่นพวงมาลัยแช่น้ำแข็งพวงเล็ก ๆ ให้นักท่องเที่ยวตาบอดได้ดมกลิ่นมะลิ (jasmine) หอมสดชื่น 

เราเลยขอซื้อมาลัยมะลิพวงเล็ก ๆ แจกให้ทั้งคณะได้ติดข้อมือไป อยากถือดมไปนานแค่ไหนก็ได้ แม่ค้าติดราคาไว้แค่พวงละ 10 บาท แต่แม่ค้าบอกว่าขอไม่รับเงิน แต่เรายืนยันว่าไม่ขอรบกวน แค่อนุญาตให้คณะได้ยืนมุงบังหน้าร้านนานอย่างนี้ก็ขอบคุณยิ่งแล้ว

ที่จริงสรรพคุณของดอกมะลิที่คนไม่ค่อยทราบคือ มะลิที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงในการปลูกนั้น สามารถใช้เป็นยาสารพัดได้ตามตำรา ทั้งบำรุงครรภ์ สมานแผล แก้ไข้ แก้ท้องเสีย กลิ่นของมะลิมีผลช่วยคลายเครียด

ผ่านไปเจอโต๊ะที่วางขายกุหลาบห่อใหญ่ ๆ หลาย ๆ มัด แม่ค้าชี้ไปที่ถุงพลาสติกใบใกล้ ๆ เรา เราจึงยกถุงมาส่อง มันเป็นดอกกุหลาบตูมล้วน ๆ จึงส่งถุงให้นักท่องเที่ยวของเราได้พากันสูดดมกลิ่นกุหลาบที่แม่ค้าเด็ดไว้สำหรับแยกจำหน่าย 

ผู้ซื้อบางกลุ่มนำกุหลาบตูมพวกนี้ไปสกัดน้ำมันหอมระเหย บางกลุ่มนำไปทำชากุหลาบ บางกลุ่มนำไปผสมในยาแผนโบราณ รักษาสิว สมานแผล งานวิจัยบอกว่ากุหลาบมีสารต้านอนุมูลอิสระ

สักพักเดินไปเห็นถุงที่เต็มไปด้วยดอกจำปี คงมีไว้ร้อยกับมาลัย เราเลยพาแขกของเราลองดม ดอกจำปี(champaka) ซึ่งให้กลิ่นหอมกรุ่นปะทะจมูกจัง ๆ นักท่องเที่ยวต่างชาติสื่อสารส่งเสียงกันเองไปมาให้ลั่นไปหมด เพราะจมูกเค้าคงไม่คุ้นกับกลิ่นใหม่นี้   

ผมซื้อยกถุงขนาดเล็กมาแจกให้ทุกคนมีดอกจำปีสดไว้ติดในกระเป๋าสะพาย เวลากลับเข้านั่งในรถจะได้มีกลิ่นหอม ๆ เย็น ๆ ในรถต่อ ราคาไม่แพงเลย 40 บาท ได้มาน่าจะเกือบร้อยดอก!!

นักท่องเที่ยวของเรายังตื่นเต้นที่ได้สัมผัส ลูบคลำ ผลแก้วมังกร (dragon fruit) ซึ่งคนไทยนิยมทานหลังมื้ออาหาร มีคุณสมบัติ ช่วยลดท้องผูก บำรุงฟันและกระดูก คลายร้อน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

นักท่องเที่ยวถามผมว่าแก้วมังกรมีสีอะไร ผมตอบว่าสีชมพู เธอยิ่งสนใจใหญ่

แม่ค้าผลไม้อมยิ้มอย่างเมตตา ว่าแล้วแม่ค้าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปนักท่องเที่ยวตาบอดเก็บไว้เป็นที่ระลึก

จากนั้นเราถามหาร้านขายดอกบัว แม่ค้าชี้ส่งไปที่แผงดอกบัว เราซื้อบัวสัตตบงกชมา 3 ห่อ แบ่งให้หนุ่ม ๆ สาว ๆ ตาบอดได้ถือเดินชมตลาดต่อ

แขกชาวต่างชาติหลาย ๆ คนที่ก็มาเดินตลาดสนใจถามผมว่าทำไมจึงนิยมนำดอกบัวไปบูชาพระ คำตอบที่ผมให้ไปก็คือ ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของจิตบริสุทธิ์ เพราะแม้บัวจะงอกมาจากใต้ตมใต้โคลน แต่เมื่อขึ้นชูรับแสงสว่างเหนือน้ำแล้ว เราจะไม่เจอเศษโคลนติดขึ้นมาด้วย และแม้จะมีเศษตมใด ๆ กระเด็นมาเปื้อนในภายหลัง เพียงไม่นานผิวของดอกบัวก็จะทำให้สิ่งปนเปื้อนร่วงหลุดออกไปได้เอง เป็นดั่งความบริสุทธิ์แห่งศีล สมาธิและปัญญา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง

แขกต่างชาติพยักหน้ากันหงึกหงัก จากนั้นก็เล่าให้เราฟังเรื่องกรรม (karma) แบ่งเป็นกรรมดีกรรมชั่ว ซึ่งพวกเขาก็เชื่ออย่างนั้นหลายคน

จะว่าไป การพานักท่องเที่ยวต่างชาติเดินตลาดสดของไทย ช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงความหลากหลายทางชีวภาพต่าง ๆ ในไทย ช่วยสร้างหัวข้อการสนทนาซักถาม แถมช่วยให้เรื่องพื้น ๆ ของชาวบ้าน กลายเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดีของชาวต่างชาติที่จะไปเล่าต่อในต่างแดน

สำหรับคนตาบอดแล้ว ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น การใช้นิ้วลูบสัมผัสของนุ่ม ๆ เย็น ๆ มือ ช่วยให้เขาตื่นตัวรับรู้และสดชื่น ตลาดสดของไทยเป็นแหล่งเดินเที่ยวที่ชาวต่างชาติชื่นชอบได้เสมอ เพราะได้รับรู้ว่าของสด ของท้องถิ่น และอาหารพื้นที่ของที่นั่น มีอะไรเป็นส่วนผสม และแน่นอนว่าแตกต่างจากบ้านเขามาก

การนำผู้พิการทางการมองเห็นเดินในสถานที่ทั่วไปนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือให้คนตาบอดจับไหล่เรา เขาจะสามารถเดินตามได้ปลอดภัย เพราะว่าเราจะบิดหรือยกขึ้นลงโดยไม่ทำให้คนตาบอดสับสน ต่างจากการจูงข้อมือ ซึ่งบิดไปมาสร้างความงุนงงให้ผู้ถูกจูงที่ตามองไม่เห็นได้บางตำราบอกว่าให้เค้าใช้มือทาบกลางหลังเราก็ได้เช่นกัน

แต่นั่นคือเหมาะสำหรับอัตราหนึ่งต่อหนึ่งคือตาดีหนึ่งคนนำคนตาบอดหนึ่งคน หรือจะแตะหลังหรือจับไหล่เดินตามกันเป็นแถวก็ได้  

แต่ในกรณีนี้ 2 สาวนักท่องเที่ยวตาบอดจากสโลวีเนียขอเดินคล้องแขนผมทั้งสองฝั่ง บวกกับอีกคนเป็นสาวอังกฤษซึ่งแม้สายตาจะไม่บอดสนิท เธอรับรู้แสงและรับสีได้แต่จะไม่เห็นเส้นรอบรูป กล่าวคือเห็นเพียงเบลอ ๆ มัว ๆ เธอจึงขอเลือกที่จะใช้มือเกาะเป้สะพายหลังของคนตาบอดด้านหน้าแล้วขยับตามก็เพียงพอ ทั้งสามอยากได้ยินการอธิบายเรื่องดอกไม้ผลไม้ต่าง ๆ ได้โดยใกล้ชิดด้วยความสนใจ

แขกตาบอดของเราทุกคนถือไม้เท้าขาวที่พับเก็บหดสั้นได้ รวมทั้งเมื่อยืดออก จะมีลูกกลิ้งพลาสติกสีขาวที่สุดปลายเพื่อใช้ถูกวาดไปข้างหน้า ทำให้คนตาบอดรับรู้สภาพผิวพื้นที่กำลังจะผ่านเข้าไป ว่าขรุขระ เปลี่ยนแปลงระดับ หรือมีร่องหรือไม่ สีขาวของลูกกลิ้งช่วยให้คนตาดีมองเห็นได้ง่ายขึ้นว่า มีไม้เท้าของคนตาบอดกำลังกวาดไปมา จะได้ระวังระยะให้กันและกันได้

การพานักท่องเที่ยวตาบอดชาวยุโรปเดินเที่ยวปากคลองตลาดและซื้อดอกบัวไปบูชาหลวงพ่อพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนที่วัดโพธิ์คราวนี้ สร้างความชื่นใจให้ทั้งคนตาบอด และคนตาดีที่ได้พบเห็น

ผมแอบเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลายต่อหลายคนที่เราเดินผ่านไป

นักท่องเที่ยวปกติที่เป็นชาวต่างชาติต่างก็พลอยปลื้มใจ ที่เค้าเห็นประเทศไทยมีศักยภาพในการดูแลและให้บริการนำเที่ยวแก่แขกต่างประเทศที่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้องน้ำ ที่จอดส่ง ทางลาด และบุคลากรที่พยายามเข้าใจและรู้จักการให้บริการ

สำหรับผมแล้ว การที่คนตาบอดตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน ซื้อทัวร์ จองที่พัก แล้วออกเดินทางข้ามทวีปมาเยือนเรา แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่เขามีให้สังคมเราอย่างสำคัญยิ่ง

เขาได้เอาสวัสดิภาพ และความปลอดภัยในทุกด้านมาวางไว้ในมือของสังคมเรา 

ประเทศไทยประกาศนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (tourism for all)  การที่เรารับนักท่องเที่ยวพิการได้ ย่อมแม่นยำวางใจได้ว่า เราจะรับกลุ่มอื่น ๆ ได้  

มีสิ่งที่เรายังควรปรับปรุงให้ดีกว่านี้ได้อีกเยอะ และเมื่อปรับปรุงให้ถูกต้อง ดี มีมาตรฐานแล้ว คนไทยของเราทุกคนก็จะสะดวก และได้ใช้กันถ้วนทั่วเช่นกัน

ในโลกเรามีคนพิการกว่า 600 ล้านคน (ข้อมูลขององค์การท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ UNWTO) และโลกกำลังมีประชากรสูงอายุเพิ่มเร็วมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

รวมทั้งไทยด้วย

นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ไม่ใช่กลุ่มที่จะไปเมาอาละวาด ทะเลาะกัน ไม่ใช่กลุ่มที่จะเที่ยวเขียนกำแพงทำความเลอะเทอะ ไม่ยุ่งกับการเสพสารเสพติดใด ๆ แน่ มีเพียงปัญหาว่าพวกเขาจะนำเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต ไปให้รางวัลสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ แก่ตัวเองได้ที่ไหน ที่จะมีเอกลักษณ์ หลากหลาย สะอาด ปลอดภัย เข้าใจเขา ทำให้เข้าถึงได้ และเท่าเทียม

วันนี้ นักท่องเที่ยวคณะนี้เดินทางต่อ ออกจากกรุงเทพไปแล้ว และกำลังมุ่งไปอยุธยา เชียงใหม่ พะเยา แล้วจะบินลงใต้ไปพัทลุง ตรัง และจบการเดินทางท่องเที่ยวที่สนามบินภูเก็ต ทริปนี้ของพวกเขายาว 10 วันในไทย จะได้ทำทั้งสัมผัสกับช้าง นั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สานตะกร้า นั่งสมาธิ ทานอาหารท้องถิ่น และแม้แต่เดินชายหาด นวดแผนไทย ทำกลอง และตีกลองหนังของไทย

อีกไม่นาน พวกเขาก็จะบินกลับยุโรปและอเมริกา กลับบ้านไปเล่าถึงในสิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึง ‘ความงาม’ ที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทยให้โลกรอบตัวของพวกเขาได้รับรู้

ผมมั่นใจว่าพวกเขาแต่ละคน จะได้รับเชิญให้ไปขึ้นเวทีกล่าวเล่าประสบการณ์ชีวิตตามที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ

ผมต้องขอขอบคุณผู้ทำแพคเกจทัวร์ ขอบคุณทีมสนับสนุน ขอบคุณคนขับรถตู้ ที่ช่วยดูแลแขกพิเศษเหล่านี้อย่างมีความรู้ ผ่านการฝึกกันมา ขอบคุณในน้ำใจของพ่อค้าแม่ค้า คนขนของ คนเข็นผักและเพื่อนนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่น ๆ ที่เมื่อเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวตาบอดของเรา ทุกคนจะเอื้อเฟื้อ หลีกทางให้บ้าง หรืออนุญาตให้เราหยิบสินค้าของร้านของเขามาให้แขกของพวกเราได้สัมผัส แล้วส่งยิ้มอย่างอบอุ่นให้

นี่แหละครับ ความน่ารักของสังคมที่เห็น ‘ใจ’ กันและกัน แม้ไม่ต้องส่งเสียงอะไรออกมาเลยก็ตาม

นี่คือสังคมที่จะพัฒนาได้ด้วย ‘สปริตที่ยั่งยืน’

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

สมาชิกวุฒิสภา
อดีตเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

‘กทม.-มูฟมี’ เปิดหลักสูตร ‘พนง.ขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้า’ รุกพัฒนาทักษะ - หวังผลิตแรงงานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

(30 พ.ย. 66) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงข่าวเปิดตัวหลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ ระหว่าง กทม.กับ บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ระหว่าง บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด กับ กทม. โดยมีผู้บริหารสำนักพัฒนาสังคม ผู้บริหารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ร่วมลงนาม

นายศานนท์ กล่าวว่า กทม.มีโรงเรียนฝึกอาชีพ และศูนย์ฝึกอาชีพ รวมแล้วกว่า 20 แห่ง มีความตั้งใจที่จะ Re skills, Up skills ปัจจุบันแรงงานขาดตลาด แต่โรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ กทม.ยังเป็นหลักสูตรเดิมๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุมาเรียนเป็นงานอดิเรก ก็ต้องมาดูบทบาทของโรงเรียนฝึกอาชีพเราว่าจะเป็นอย่างไร

นายศานนท์ กล่าวว่า การร่วมมือกับมูฟมี เป็นความตั้งใจเอาอุตสาหกรรมที่ขาดแรงงานมาเป็นโจทย์ ให้กับโรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ ที่ผ่านมา กทม.ได้ร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย อบรมหลักสูตรพนักงานโรงแรม เพื่อป้อนเข้าสู่โรงแรมที่ขาดแรงงาน ต่อมา กทม.ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี อบรมหลักสูตรผู้บริบาลผู้สูงอายุ (Caregiver)

นายศานนท์ กล่าวว่า ทางมูฟมียังขาดคนขับจำนวนมากกว่า 1,000 คน ถ้าสามารถเทรนคนเข้าสู่ระบบได้ก็จะดีมาก จึงได้เกิดความร่วมมือนี้ขึ้น ตนมองว่ามีอีก 2 เรื่องสำคัญของมูฟมี คือ เป็นทางออกของอนาคต เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอน และการดำรงอัตลักษณ์ของประเทศเราไว้ ซึ่งเป็นรูปแบบรถตุ๊กๆ เชื่อว่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา

“วันนี้เป็นอีกหนึ่งการต่อยอด ทางมูฟมีได้ทำในหลายเขตเป็นรถ Feeder ช่วยการเดินทางเส้นเลือดฝอย แก้ปัญหาการขนส่งสาธารณะในเมือง อย่างที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติเคยพูดไว้ว่าเส้นเลือดใหญ่รถไฟฟ้าดีแล้ว แต่พอจะเข้าบ้านยังต้องใช้การเดิน การขี่จักรยาน นั่งวินมอเตอร์ไซต์” นายศานนท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำหลักสูตร เป็นหลักสูตร 30 ชั่วโมง โดยเรียนที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง 1) จำนวน 2 วัน (12 ชั่วโมง) และฝึกภาคปฏิบัติที่มูฟมี จำนวน 3 วัน (18 ชั่วโมง) เมื่อเรียนจบแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนฝึกอาชีพ กทม. และมูฟมี

เมื่อได้ใบประกาศนียบัตรแล้วสามารถเข้าทำงานกับบริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด หากมีคุณสมบัติครบตามที่บริษัทกำหนด ทั้งแบบประจำ รายได้ 19,000 - 22,000 บาท/เดือน ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองทันที รับสิทธิประกันสังคม หรือพาร์ทไทม์ รายได้เฉลี่ย 27,000 บาท/เดือน

ผู้สนใจสมัครผ่านระบบ Google Form ได้ถึงวันที่ 14 ธ.ค.66 รายงานตัวสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ธ.ค. 66 เวลา 09.00 น. เปิดการเรียนการสอน วันที่ 18 - 22 ธ.ค. 66 เรียนวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-247-9496 ปัจจุบันมีผู้สมัครเรียนแล้ว 161 คน

‘กทม.’ คลุกฝุ่น!! แดงทุกเขต ‘ลาดพร้าว’ หนักสุด ส่วนภาพรวมทั้งประเทศเกินมาตรฐาน 37 จังหวัด

(13 ธ.ค.66) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า-GISTDA รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมง ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชัน ‘เช็กฝุ่น’ พบ 4 จังหวัดของประเทศไทยมีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพระดับสีแดง สูงสุดอยู่ที่ สมุทรสาคร ตามด้วย นครปฐม นนทบุรี กทม. ขณะที่อีก 33 จังหวัดเกินค่ามาตรฐานระดับสีส้มที่เริ่มส่งผลต่อสุขภาพ

ในขณะที่ กรุงเทพมหานคร พบค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานในระดับสีแดงทุกเขต สูงสุดที่ ลาดพร้าว หลักสี่ หนองแขม จตุจักร ดินแดง ดอนเมือง ห้วยขวาง บางกอกใหญ่ ทวีวัฒนา บางซื่อ เป็นต้น

แอปพลิเคชัน ‘เช็กฝุ่น’ ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พบว่าหลายพื้นที่ยังคงมีค่าคุณภาพอากาศที่เกินค่ามาตรฐานในระดับสีส้มไปจนถึงสีแดง ทั้งนี้ ข้อมูลบนแอปฯ ‘เช็กฝุ่น’ มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูล PM2.5 แบบรายชั่วโมงเพิ่มเติมผ่านแอปฯ ‘เช็กฝุ่น’

‘ชัชชาติ’ ชี้ ‘ร้านอาหารปิ้งย่าง’ ทำค่าฝุ่นหนาแน่นเฉพาะจุด เร่งหามาตรการควบคุม

(13 ธ.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงมาตรการควบคุมและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพฯ แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดก็เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้เกิดจากรถยนต์เท่านั้น กทม.จึงพยายามทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ เตรียมร่วมกับกระทรวงพลังงาน ทำโครงการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองรถยนต์ โดยให้ส่วนลดเป็นแรงจูงใจสำหรับรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งาน 7 ปีขึ้นไป เพราะควันรถเป็นส่วนหนึ่งที่ปล่อย PM 2.5 เนื่องจากเผาไหม้ไม่หมด ซึ่งรถประเภทนี้มีกว่า 1 ล้านคันที่วิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ

“เราไม่สามารถไปบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ จึงร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องทำโครงการนี้ขึ้น และหาความร่วมมือจากเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุน จุดหมายคือให้ PM 2.5 ลดลง” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติกล่าวเพิ่มว่า รวมถึงองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ได้ประสานให้กรมการขนส่งทางบก เข้าไปตรวจควันดำของรถ ขสมก.ถึงอู่รถเมล์ ทั้งนี้การตรวจวัดค่าควันดำ ถึงแม้จะไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ปล่อยฝุ่น PM 2.5 

นอกจากนี้การเกิดฝุ่น PM 2.5 ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การเผาชีวมวล การควบคุมรถที่เข้าไซต์ก่อสร้าง ปัจจุบันนี้หากตรวจเจอรถควันดำในไซต์ก่อสร้างใดก็จะสั่งปิดไซต์งาน 3 วัน การตรวจสอบโรงงาน ซึ่งยังคงต้องทำอย่างเข้มข้นถึงแม้ในกรุงเทพฯ จะมีโรงงานไม่มากก็ตาม รวมทั้งฝุ่นที่ค้างอยู่ในอากาศซึ่งมาจากรถยนต์ที่ปล่อยออกมา ทำให้ในบางวันที่เป็นวันหยุดหรือไม่มีการจราจรที่คับคั่ง ก็ทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้นได้

“อีกเรื่องที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่คือ ร้านจำหน่ายอาหารประเภทปิ้งย่าง อาจไม่ได้มีผลในภาพรวม แต่มีผลเฉพาะพื้นที่ทำให้มีค่าฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นขึ้น หลังจากนี้ก็ต้องไปดูว่าต้องมีที่ดักควันหรือไม่ ไม่ได้ห้ามปิ้งย่างแต่ต้องมีตัวดูด หรือเก็บควันก่อนปล่อยออกมาไม่ใช่ปล่อยอิสระ เพราะหากช่วงที่อากาศปิดก็จะทำให้ค่า PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น” นายชัชชาติกล่าว

‘กทม.’ ผุด ‘ห้องเรียนปลอดฝุ่น’ ชั้นอนุบาลไปแล้ว 43% พร้อมสั่งเข้มห้ามโรงเรียนให้เด็กเข้าแถวในวันค่าฝุ่นพุ่ง

(18 ธ.ค.66) ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยความคืบหน้าการทำห้องเรียนปลอดฝุ่นสำหรับห้องเรียนอนุบาล ของ กทม. ภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 26/2566 ว่า ห้องเรียนปลอดฝุ่น ต้องทำให้เป็นระบบปิดก่อน โดยมีจำนวนห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,743 ห้อง เป็นห้องเรียนที่มีเครื่องปรับอากาศ 162 โรงเรียน 758 ห้อง คิดเป็น 43.5% ไม่มีเครื่องปรับอากาศ 267 โรงเรียน 985 ห้อง คิดเป็น 56.5% ทั้งนี้ให้แต่ละสำนักงานเขตคุยว่ามีใครที่จะเป็นผู้สนับสนุนการทำห้องเรียนปลอดฝุ่นในลักษณะ CSR ได้บ้าง

นายศานนท์ กล่าวว่า รวมถึงให้ความรู้ควบคู่กันไป เพราะยังมีบางโรงเรียนที่ให้เด็กเข้าแถวตอนค่าฝุ่นสีส้ม ซึ่งทำไม่ได้ สำนักงานเขตจะต้องมีการรายงานให้กับผู้บริหารทุกเช้า โดยให้ถ่ายรูปส่งมาว่าแต่ละโรงเรียนมีมาตรการอย่างไร ทั้งนี้ต้องให้กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว หรือป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เข้าไปอยู่ห้องประชุมที่มีการทำห้องเรียนปลอดฝุ่นแล้ว

นายศานนท์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ผอ.โรงเรียนมีอำนาจในการสั่งหยุดโรงเรียน เมื่อมีค่าฝุ่นระดับสูงติดต่อกันหลายวัน นอกจากนี้จะบรรจุในหลักสูตร เป็นภัยพิบัติศึกษา ที่มีเรื่องน้ำท่วม อุบัติเหตุ ไฟไหม้ ให้เด็กๆมีความตื่นตัวในการใช้ชีวิตในเมือง

ทั้งนี้ สำนักการศึกษาได้รายงานในที่ประชุมฯ ว่าในปีการศึกษา 2567 จะสามารถทำห้องเรียนปลอดฝุ่นสำหรับห้องเรียนอนุบาล เพิ่มเติมได้อีก 191 ห้อง ตามงบประมาณ ปี 2567 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดหาเครื่องฟอกตามกระบวนการ e – bidding อย่างไรตามในส่วน 985 ห้องเรียนที่เหลือนั้น สำนักงานเขตจะเร่งรัดมีการปรับปรุงกาพภาพของห้องเรียนให้เป็นระบบปิด จัดหาเครื่องปรับอากาศส่วนที่มีความจำเป็นน้อยมาใช้ในห้องปลอดฝุ่น และประสานภาคเอกชนสนับสนุนเครื่องปรับอากาศต่อไป

‘กรณ์’ ชี้ ‘ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ’ เอื้อทุนอสังหาริมทรัพย์ วอนชาวกรุงตื่นรู้สู้ไปด้วยกัน ไม่ต้องหวังผู้มีอำนาจมาช่วย

(27 ธ.ค.66) ว่าด้วยผังเมืองกรุงเทพฯ…ในยุคที่ผู้มีอำนาจทั้งสองล้วนมาจากอาชีพสร้างคอนโด และท่านผู้ว่าฯ ยังได้แต่งตั้งนักพัฒนาอสังหาฯ มาเป็นทั้งรองผู้ว่าฯ และที่ปรึกษาที่ยังสามารถสลับร่างไปมาในการบริหารจัดการ ทำธุรกิจอสังหาฯ ควบคู่หน้าที่ทางราชการไปได้อย่างน่าฉงน  

ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางกทม.ได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นประชาชน เรื่อง การร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) ในส่วนพื้นที่กรุงเทพฯใต้ ณ สำนักงานเขตคลองเตย 

ประชาชนชาวกรุงเทพฯ รู้เรื่องนี้กันน้อยมาก และถึงรู้ว่ามีงานนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจว่ามีความสำคัญต่ออนาคตความเป็นอยู่ของเราอย่างไร

ซึ่งคำตอบคือสำคัญมาก!!

ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีการเปลี่ยนโซนการใช้พื้นที่รอบข้างบ้านคุณ จากโซนอยู่อาศัยเป็นโซนพาณิชย์ก็ได้

ซึ่งจากที่ได้รับฟังและติดตามที่คณะผู้จัดทำได้บรรยายมา ผมมีความเห็นว่าแทบทุกการปรับเปลี่ยนที่สำคัญที่ทางกทม.เสนอ ล้วนมีเจตนาปรับเพื่อช่วยสนับสนุนกิจการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น!! 

ผมขอยกตัวอย่าง 2 ข้อเสนอ ของทาง กทม.ดังนี้

1. กทม. จะเพิ่มขนาดถนนรอง โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงระบบรถไฟฟ้า และช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งฟังไม่ขึ้น เพราะจากพิกัดบริเวณที่กำหนดให้ถนนแทรกขยาย ผ่าชุมชนเข้าไปบางพื้นที่นั้น ทำให้ผมเชื่อว่าวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อกำจัดอุปสรรคในการสร้างตึกสูงเพิ่มเติมเข้าไปในย่านชุมชนที่มีถนนเล็กซอยแคบ (ปัจจุบันหลายโครงการติดเงื่อนไขระยะความกว้างของซอย) 

กทม. ได้ขีดเส้นวางแนวการตัดขยายถนนไว้ถึง 148 สาย ความยาวกว่า 600 กม. หากตรงนี้ผ่านได้ จะนำไปสู่การรุกคืบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เข้าไปในหลายชุมชน หลายซอย ทั่วเมือง (โดยที่การขยายให้ถนนกว้างกว่า 10 ม. ซึ่งมีผลมากต่อการสร้างตึกสูง จะไม่ต้องมาจากการเวนคืนด้วยซ้ำ แต่จะเป็นการให้เอกชนร่นพื้นที่ตนเอง พูดง่ายๆ คือประโยชน์สาธารณะแทบไม่มี)

2. กทม. เสนอมาตรการ ‘FAR. Bonus’ คือ การเพิ่มสิทธิก่อสร้างอาคารให้สามารถเพิ่ม ‘อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน’ (FAR.-Floor Area Ratio) ได้ถึง 20% จากเดิม แลกกับการอุทิศบางสิ่งที่ กทม. กำหนดว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไป เช่น สวนหย่อมบนหลังคาตึก, สวนแนวตั้ง, การจัดให้มีพื้นที่ว่าง หรือเจียดพื้นที่เสมือนสาธารณะบางส่วนของโครงการ เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ ฯลฯ ที่ล้วนเป็นมาตรการที่ประโยชน์สาธารณะน้อย แต่ประโยชน์ของผู้ประกอบการมีมูลค่ามหาศาล ที่สุดมาตรการนี้จะทำให้เกิดโครงการลูบหน้าปะจมูกเพื่อเป็นข้ออ้างสิทธิสร้างตึกให้ใหญ่ขึ้น จะเปิดช่องการใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ และการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย ที่จะควบคู่ตามมาจากวิถีปฏิบัติที่เห็นกันต่อเนื่องมาในเรื่องการขาดการกำกับ ตรวจสอบ การบังคับใช้กม.ไปจนถึงการลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง

เรื่องทั้งหมดนี้คนกรุงเทพฯ ต้องสู้เองนะครับ อย่าหวังผู้มีอำนาจมาช่วย เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านผู้ว่าฯ หรือแม้แต่ท่านนายกฯ ทั้งสองท่านจะเก่งจะดีอย่างไรก็ตาม ผมก็ยังกังวลว่า ที่สุดแล้วท่านจะเข้าข้างบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ผมหวังจากใจว่าประเมินทั้งสองท่านผิดในกรณีนี้) 

ท่านทั้งสอง ล้วนมาจากอาชีพสร้างคอนโด และท่านผู้ว่าฯ ยังได้แต่งตั้งนักพัฒนาอสังหาฯ มาเป็นทั้งรองผู้ว่าฯ และที่ปรึกษา ที่ยังสามารถสลับร่างไปมาในการบริหารจัดการ ทำธุรกิจอสังหาฯ ควบคู่หน้าที่ทางราชการไปได้อย่างน่าฉงน  

ผมจึงคิดว่าชาวกรุงเทพฯ วางใจไม่ได้ ต้องสู้ร่วมกันครับ

‘อรรถวิชช์’ ซัด!! ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ ฟังนายทุนมากกว่าประชาชน  ไม่ทำผังเมืองเฉพาะ ปล่อยทุนอสังหาฯ ล่าซอยเล็ก ผุดตึกใหม่ไม่เลิก

(7 ม.ค. 67) จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชน เกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4) ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่าบรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียด หลังจากที่ กทม. เปิดให้ประชาชนซักถามในประเด็นต่างๆ โดยประชาชนมีความเห็นไปในทางไม่เห็นด้วยกับร่างผังเมืองฉบับดังกล่าว

ทั้งนี้ หนึ่งในเสียงที่พูดแทนประชาชนในวันนั้นได้อย่างดุเดือดมาจากเสียงของ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีต สส.กทม.เขตจตุจักร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า...

“จากที่มาร่วมสังเกตการณ์ พบว่าสีที่กำหนดในผังเมืองต่างๆ เป็นการกำหนดที่เอื้อกลุ่มนายทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หรือไม่ และการรับฟังความเห็นประชาชนที่กำหนดไว้ก็ให้เวลาน้อยเกินไป ทำให้เนื้อหาในผังเมืองที่จะต้องทำผังเมืองเฉพาะ ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงลงไปได้เลย”

“ขอยกตัวอย่างเขตจตุจักรและพญาไท ซึ่งเป็นเขตที่ตนคุ้นเคยนั้น ถนนส่วนมากในตรอกซอกซอยมีความกว้าง 6 เมตร แต่ในความจริงทั้งสองข้างทางมีกระถางต้นไม้วางเรียงเป็นแนวยาวตลอดช่วง ทำให้ความกว้างถนนเหลือเพียง 4.5 เมตรเท่านั้น แต่บริเวณนี้มีการอนุญาตให้สร้างตึกได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้ามา การวัดพื้นที่จะวัดแบบกำแพงชนกำแพง ไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งการจะห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมรอบข้างได้ ก็คือ การระบุลงไปในผังเมืองนั่นเอง

หรือย่านถนนพหลโยธิน แถวซอยราชครู และ ซอยสายลม ย่านนี้มีรถไฟฟ้าผ่าน ก็มีข่าวลือว่า จะมีการขยายถนนด้านหลังตรอกซอกซอยเหล่านี้ เพื่อรองรับโครงการพัฒนาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เจ้าหนึ่ง ทั้งๆ ที่ซอยมีขนาดเล็ก… ปัญหาทั้งสองนี้ มีปัญหาทุกพื้นที่ เพราะบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีความต้องการพื้นที่เหล่านี้ ทำให้เวลาทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงไม่สะท้อนข้อเท็จจริง ซึ่งการจะทำผังเมืองเฉพาะ กทม.ต้องลงมาฟังเสียงประชาชนให้ครบถ้วน”

“อีกปัญหาหนึ่งคือ ทางลัดต่างๆ ยกตัวอย่างแถวคลองเปรมประชากรที่มาคู่กับรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต หากกำหนดให้ทำสะพานเล็กข้ามสันเขื่อนคอลงเปรมประชากร การจราจรจะสามารถไหลไปสู่เขตหลักสี่ ทุ่งสองห้อง ไปเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดงทุ่งสองห้องได้ แต่ปัจจุบันไม่มีการดำเนินการ หรือเขตจอมทองที่มีถนนราชพฤกษ์ บริเวณ ซอยเอกชัย 30 และ เอกชัย 33 ซึ่งสามารถทำทางลัดทะลุได้ แต่ กทม.กลับมาแผนก่อสร้างถนนขนาดใหญ่ ถนนสายใหม่ เชื่อมถนนสุขสวัสดิ์-เพชรเกษม-กาญจนาภิเษกแทน และชาวบ้านไม่เอาโครงการนี้”

นายอรรถวิชช์ กล่าวอีกด้วยว่า “สุดท้ายความเป็นเมืองซับน้ำของกรุงเทพฯ ก็จะหายไป จากการขยายพื้นที่สร้างบ้านจัดสรรและที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น” พร้อมตั้งคำถามอีกว่า “บางจุด ยกตัวอย่างเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ทำไมยกเป็นเขตสงวนได้? จริงๆ แล้วพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ควรจะต้องประกาศเป็นเขตสงวนแล้ว ไม่เช่นนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ จะผุดโครงการใหม่ๆยัดในซอยเล็กๆ อีก”

“กทม.ควรขยายเวลารับฟังประชาชนมากกว่านี้ เพราะถ้าไม่ขยายเวลาออกไป กทม.จะไม่รับทราบข้อมูลจากประชาชน แต่จะได้ข้อมูลแต่จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์” นายอรรถวิชช์ ทิ้งท้าย

'ดร.เอ้' แนะ!! กทม. ควรสั่งปิดโรงเรียนเด็กเล็ก ชี้!! ฝุ่นพิษครองเมือง เร่งกวดขันต้นตอเสียที

(19 ม.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' โดยระบุว่า...

"แดง แดง แดง ทั้งกทม." ฝุ่นพิษครองเมือง กทม. ต้องแจ้งเตือน และ เข้มงวดกับต้นตอ

ดร.เอ้ กล่าวว่า ตนเองไอหนักมากตั้งแต่เช้า โทรหาหมอเพื่อนกัน เขาบอกว่า ฝุ่นพิษ PM2.5 วิกฤตแล้ว คนไข้โรคทางเดินหายใจ คิวเต็มรพ. หมอเครียดมาก ผมห่วงใยเพื่อนๆ และลูกๆ นะครับ เพราะจะใส่หน้ากาก N95 ทั้งวันก็หายใจไม่สะดวก จะซื้อเครื่องฟอกอากาศ ก็ไม่ได้ผลมากนัก เฮ้อ...ไม่รู้จะทำไงดี ครอบครัวคนกทม. เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตที่นี่... กรุงเทพเรา อากาศหายใจ ไม่ได้แล้วหรือ เรามาถึงจุดนี้ได้ไง? ใครก็รู้ว่า ต้นกำเนิดฝุ่นมาจากการขนส่ง หนักที่สุด ซึ่งมันแก้ได้

ดร.เอ้ กล่าวว่า สิ่งที่ กทม. ต้องทำเร่งด่วน เป็นอันดับแรก คือ การแจ้งเตือนผู้ปกครอง เพราะวันนี้โรงเรียนเด็กเล็กควรปิด และต้องมีรายงานฝุ่น ขึ้นป้าย LED ที่มีอยู่เต็ม กทม. แจ้งให้ประชาชนระวังตัวใส่หน้ากาก ป้องกันตนเอง และลูกๆ

อันดับสอง รถขนส่งที่ปล่อยฝุ่นพิษ ส่วนใหญ่ไปส่งของ ที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้น กทม. มีอำนาจตรวจจับ และบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าของสถานที่ก่อสร้างไร้ความรับผิดชอบได้ทันที ให้เขากวดขันกับรถที่ปล่อยฝุ่น เข้า-ออก เพราะเขากลัวถูกพักการก่อสร้าง ซึ่งเสียหายมาก ใครก็กลัว ทุกเมืองทั่วโลก ทำแบบนี้

ทั้งนี้ ดร.เอ้ ยังเชื่อ เรายังแก้ปัญหามลพิษได้ หากผู้นำมุ่งมั่น จริงจัง ดุดัน มากพอ กับการสู้กับต้นกำเนิดฝุ่น ที่วันนี้ยังปล่อยทำร้ายคนกทม. ทุกวันๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top