Wednesday, 30 April 2025
ค้นหา พบ 47762 ที่เกี่ยวข้อง

‘ปตท.’ ยืนยัน!! แผ่นดินไหวเมียนมา ไม่กระทบพลังงานไทย ตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติการทั้งระบบแล้ว ยังเดินเครื่องได้ตามปกติ

(29 มี.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ยืนยันเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ กลุ่ม ปตท. มั่นใจสามารถรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ

กลุ่ม ปตท. ได้ตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมด ตั้งแต่แท่นผลิตก๊าซธรรมชาติ ระบบรับส่งก๊าซธรรมชาติในทุกพื้นที่ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า คลังน้ำมันและคลังปิโตรเลียมทั่วประเทศ ตลอดจนสถานีบริการน้ำมันและสถานีบริการ NGV โดยได้รับยืนยันว่าสามารถเดินเครื่องดำเนินงานและให้บริการได้ตามปกติ และไม่ได้รับความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและส่งจ่ายพลังงาน

ทั้งนี้ ปตท. ให้ความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยง มีแผนบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความเสถียรของระบบพลังงานของประเทศ ปตท. จะติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงต่อไป

‘เอเชีย’ จ่อขึ้นแท่น ‘ผู้นำโลก’ ด้านเทคโนโลยีสีเขียวเกิดใหม่ หลายประเทศมุ่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

(29 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2025 ในมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน ระบุว่าเอเชียกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีใหม่อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีศักยภาพเป็นผู้นำด้านวัสดุแบตเตอรี่ขั้นสูง พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และอื่น ๆ ด้วยกำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนทางนโยบาย

รายงาน ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน : รายงานเอเชียและโลกประจำปี 2025-การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : เอเชียก้าวสู่เส้นทางสีเขียว’ (Sustainable Development: Asia and the World Annual Report 2025 -Addressing Climate Change: Asia Going Green) ของการประชุมฯ ได้เน้นย้ำความก้าวหน้าด้านพลังงานหมุนเวียนของภูมิภาคเอเชีย

ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตพลังงานใหม่จากพลังงานหมุนเวียนสูงถึงร้อยละ 85 ส่วนอินโดนีเซียและสิงคโปร์กำลังพยายามพัฒนาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ขณะเดียวกันจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง

จีนยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังเติบโตของเอเชีย โดยเอเชียครองส่วนแบ่งเกือบร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตพลังงานไฮโดรเจนทั่วโลก ส่วนกลุ่มปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย ต่างกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

ขณะประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนได้พัฒนายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติที่มีความครอบคลุมรอบด้าน เพื่อดำเนินการตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) และแผนการปรับตัวระดับประเทศ (NAP)

อย่างไรก็ดี แม้มีความก้าวหน้าอย่างมากและบางประเทศแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความยั่งยืน แต่อีกหลายประเทศยังคงต้องดำเนินงานอีกมากเพื่อบรรลุเป้าหมาย

บทบาทของเอเชียในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเอเชียเป็นบ้านหลังใหญ่ของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ราวครึ่งหนึ่งของโลก และครองส่วนแบ่งการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก

‘ในหลวง ร.10’ โปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ รับผู้บาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหวไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์

(29 มี.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยพสกนิกร โปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ทันที พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ทรงแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

การทรงรับผู้บาดเจ็บไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์นี้แสดงถึงพระเมตตาและความห่วงใยที่ทรงมีต่อพสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นการให้ความช่วยเหลือในด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ สร้างความปลาบปลื้มปิติแก่ประชาชน ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดหน่วยสงเคราะห์เคลื่อนที่เข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในบริเวณเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการพังถล่มของอาคาร สตง. 

ในเบื้องต้น มูลนิธิฯ ได้ให้การสนับสนุนแก่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยการจัดอาหารกล่องและน้ำดื่ม จำนวน 500 ชุด นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งเต็นท์อำนวยการ จำนวน 3 หลัง เพื่อใช้ในการรองรับผู้บาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว และสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในพื้นที่ การพระราชทานความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วนี้เป็นการแสดงถึงความห่วงใยและพระเมตตาที่ทรงมีต่อประชาชนในยามทุกข์ยาก

อีกหนึ่งอุปกรณ์ส่งข่าวสารที่ ‘ลุงตู่’ เคยเอ่ยถึง แถมทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แม้ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีประโยชน์อย่างยิ่งยามเกิดภัยพิบัติ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) เกิดแรงสั่นสะเทือนจนกระทบมาถึงฝั่งไทย ทำให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหาย เช่น บ้านเรือน ตึก อาคาร คอนโด มีรอยแตกร้าว หน้าต่างแตกเสียหาย สร้างความกังวลใจอย่างมาก และหวั่นเกิดเหตุซ้ำอีกระลอก

นอกจากนี้ เหตุการณ์อาคารกำลังก่อสร้างของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา ก็สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้พบเห็นและได้รับฟังข่าวไม่น้อย

คำถามที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเริ่มคลี่คลายคือ เหตุใดจึงไม่มีการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในเมียนมา เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมตัวอพยพได้ทัน

พอมานึก ๆ ดู นี่ก็ไม่ใช่คำถามที่แปลกใหม่อะไร เพราะเคยมีคนถามคำถามคล้าย ๆ แบบนี้มาแล้ว ในช่วงเกิดภัยพิบัติอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม เมื่อปี 65

ย้อนกลับไปตอนที่เกิดน้ำท่วมปี 65 หากใครยังจำกันได้ ตอนนั้นประเด็นเรื่อง ‘ทรานซิสเตอร์’ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนพูดถึงอย่างมาก โดยจุดเริ่มต้นก็มาจาก ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ หรือ ‘ลุงตู่’ นั่นเอง

โดยเรื่องมีอยู่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในขณะนั้น ได้กล่าวช่วงหนึ่งในการประชุมการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์เมื่อ 3 ต.ค. 65

โดยกล่าวถึงการกำหนดพื้นที่เป้าหมายเศรษฐกิจ พื้นที่สุขภาพที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลด้านสาธารณสุข ก็ต้องดูแลให้สามารถเข้าบริการได้ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการให้บริการไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์ ก็ต้องให้ใช้ได้นานที่สุด ถ้าระบบมันล่มไปทั้งหมด การสื่อสารแจ้งข้อมูลจะทำได้ลำบาก อาจจะต้องไปใช้ ‘วิทยุทรานซิสเตอร์’ ในการออกอากาศแจ้งเตือนประชาชนได้อีกทาง ซึ่งเคยใช้กันเมื่อปี 2554 เพราะตอนนั้นไฟฟ้าดับหมด ดังนั้นเราต้องเตรียมแผนตรงนี้ไว้ด้วยในกรณีที่อาจจะเกิดปัญหา

พลันที่มีคำว่า ‘วิทยุทรานซิสเตอร์’ หลุดออกมา ก็มีคนไทยกลุ่มหนึ่งจับตาและกล่าวว่านี่คือ ‘ความล้าหลัง’ และขำขันกันอย่างสนุก 

แต่กลับกันภายใต้ความขบขันนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาแบบผู้มีองค์ความรู้รอบด้านของผู้นำกับสถานการณ์ที่เป็นจริงได้อย่างสอดคล้องมากกว่า

แน่นอนว่าในบ้านเราตอนนี้ คนอาจจะติดภาพทรานซิสเตอร์ว่าโบราณ บ้านนอก แต่จริง ๆ แล้ว วิทยุพกพาที่รับสัญญาณจากอากาศที่ไม่ได้ใช้สัญญาณดาวเทียมหรืออินเทอร์เน็ต ซึ่งมีขายในท้องตลาด ก็ล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ทั้งหมดในการรับสัญญาณ AM/FM

โดยวิทยุทรานซิสเตอร์นั้นใช้ระบบคลื่นสั้น AM ลักษณะเดียวกับที่ใช้ในวิทยุสื่อสารทหาร การรับส่งสัญญาณทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่าคลื่น FM ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ลึกเข้าไปในป่าเขาก็รับสัญญาณได้หมด จึงเหมาะแก่การแจ้งเตือนภัยพิบัติ เพราะด้วยความที่สามารถใช้พลังงานถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นกระแสตรง (DC) โวลท์เตจต่ำ ไม่ต้องพะวงเรื่องการช็อตเมื่อเปียกน้ำ และเปลี่ยนถ่านทีหนึ่งก็อยู่ได้เป็นครึ่ง ๆ เดือน จึงเหมาะแก่การมีติดบ้าน ไว้รับข่าวสารยามน้ำท่วมหรือเกิดเหตุภัยพิบัติที่สุด

โชคดีของคนไทย ที่ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับมือได้ และคลี่คลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่า ผ่านแล้วก็ผ่านไป แต่ควรต้องนำกลับมาทบทวนและหารับมือดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

และแน่นอนว่าประเด็น ‘ทรานซิสเตอร์’ ที่เกิดขึ้นในสมัยของลุงตู่ ก็ไม่ควรเป็นเพียงแค่ความขบขัน เอามาหัวเราะกันสนุกปาก เพราะนี่คือหนึ่งในช่องทางกระจายข่าว เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ ในกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรง อินเทอร์เน็ตล่ม หรือสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีนั่นเอง

ตึกสร้างไม่เสร็จ ‘สาทร ยูนีค ทาวเวอร์’ อายุกว่า 35 ปี ตั้งตระหง่านกลางกรุง ไม่ถล่มแม้เกิดแผ่นดินไหว

(29 มี.ค. 67) จากกรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา ส่งผลกระทบถึงไทยหนักสุดในรอบ 100 ปี ทำอาคารหลายแห่งพังและได้รับความเสียหายนั้น

หลังเหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย ชาวเน็ตก็ได้แชร์ภาพตึก ‘สาทร ยูนีค ทาวเวอร์’ ตึกร้างกลางกรุงที่สร้างไม่เสร็จตั้งแต่ปี 2533 แต่พบว่าหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว โครงสร้างยังแข็งแรง 

สำหรับ ‘สาทร ยูนีค ทาวเวอร์’ เริ่มต้นโครงการในปี พ.ศ. 2533 ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังผู้สร้าง State Tower ตึกฝาแฝดอีกแห่งที่สำเร็จลุล่วง

โครงการวางแผนให้เป็นคอนโดมิเนียมหรูสูง 49 ชั้น (ไม่รวมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น) บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและถนนเจริญกรุง รวม 600 ยูนิต แต่ละห้องสามารถชมวิวแม่น้ำได้อย่างเต็มที่ สไตล์สถาปัตยกรรมคลาสสิกผสมโพสต์โมเดิร์น เสาโค้ง ระเบียงกรีก โดมด้านบนสุด เป็นที่ตั้งของเพนต์เฮาส์ราคาสูงสุดในโครงการ

แต่ด้วยภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ทำให้โครงการขาดแคลนเงินทุน ต้องหยุดก่อสร้างไปขณะที่ตัวอาคารสร้างเสร็จแล้วถึง 80-90% โดยเหลือเพียงการตกแต่งภายในและงานระบบพื้นฐาน

นับแต่นั้น ตึกแห่งนี้ก็กลายเป็น ‘Ghost Tower’ หรือ ‘ตึกร้างผีสิง’ ในสายตานักผจญภัยทั่วโลก ด้วยความสูง 185 เมตร และทำเลใจกลางเมือง จึงกลายเป็นจุดหมายของนักถ่ายภาพมุมสูง นักล่าท้าผี และนักสำรวจเมือง แม้ปัจจุบันจะมีมาตรการเข้มงวดไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป แต่ในอดีตก็มีผู้ลักลอบเข้าถึงตัวตึกเพื่อเก็บภาพวิวกรุงเทพฯ แบบ 360 องศา

ในปี 2560 ‘มิวเซียมสยาม’ ได้รับอนุญาตจัดนิทรรศการ ‘20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง’ ณ อาคารแห่งนี้ และยังมีภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ‘เพื่อน..ที่ระลึก’ โดย GDH เข้ามาถ่ายทำด้วย

แม้จะถูกปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่ปี 2540 แต่ตึก ‘สาทร ยูนีค’ ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความทรุดโทรมของโครงสร้างแม้แต่น้อย โครงสร้างยังคงแข็งแรง ทนทาน แม้ในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวระดับ 8.2 ริกเตอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน อาคารแห่งนี้ก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ต่างจากตึกยุคใหม่หลายแห่งที่ประสบปัญหา ทั้งร้าว ถล่ม หรือโครงสร้างไม่มั่นคงขณะก่อสร้าง สะท้อนถึงคุณภาพการก่อสร้างยุคก่อนต้มยำกุ้งที่แม้จะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าปัจจุบัน แต่กลับทนทานอย่างน่าทึ่ง

และล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพ ‘ตึกสาทร ยูนีค ทาวเวอร์’ พร้อมระบุข้อความว่า…

“ขายตึกสูง 49 ชั้น #ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา #ตึกสาธร ยูนิท

ที่ดิน 3.19 ไร่ ตึกยังสร้างไม่เสร็จ เจอ I.M.F. เสียก่อน อยู่ถนนเจริญกรุง ไม่โดนมรดกโลกปิดบังทัศนียภาพ ผู้ออกแบบสถาปนิก อ.รังสรร ถ้าสร้างเสร็จจะสวยดั่งรูปภาพแบบคอนโดที่หรูที่สุดในใจกลางเมือง มีสระว่ายน้ำรวมอยู่ด้วย ใกล้สถานี BTS ใกล้ห้างโรบินสัน ร.ร.แซงการิล่า หรือโอเร็นเต้ลริมแม่น้ำ สวยสุดแปลงที่เหลือ ขาย 4,000 ล้านบาท (สี่พันล้านบาท) ราคามาคุยกันได้คับ

ออกแบบรองรับแผ่นดินไหว โดยผู้เชี่ยวชาญ สถาปนิกมือหนึ่งของไทย และจากต่างประเทศ ขาย 4 พันล้านถ้วน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top