Wednesday, 30 April 2025
ค้นหา พบ 47762 ที่เกี่ยวข้อง

‘สุกฤษฏิ์ชัย ปชป.’ แสดงความเสียใจเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมา-ไทย ชี้!! หากมีระบบแจ้งเตือน Real Time จะช่วยลดความสูญเสียได้

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค. 68 ว่า…

มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งถือว่ารุนแรงมาก มีแรงสั่นสะเทือนถึงประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะทางพื้นที่ภาคเหนือภาคกลางและกรุงเทพมหานคร อันนำมาซึ่งความสูญเสียและมีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เป็นจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงต้องขอแสดงความเสียใจ และขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน 

เหนือสิ่งอื่นใด ช่วงสภาวะวิกฤติในทุกเหตุการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้อมูล ข่าวสาร และการเตือนภัยอย่างเป็นทางการจากทางภาครัฐ ที่รัฐต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบ อาทิ แถลงการณ์ ข้อความสั้น (SMS Alert) เพื่อสร้างการรับรู้ไปในทิศทางเดียวกัน ลดความตื่นตระหนก ลดความโกลาหลในสังคม ลดการรับรู้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างถูกต้อง แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการดำเนินการจากทางรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ผมเองเคยเสนอแนวคิดเตือนภัยผ่านข้อความสั้น (SMS Alert) ไปแล้วเมื่อ ตุลาคม 2566 และเข้าใจว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบดิจิทัลในปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการไปมากกว่าในขณะนั้นแล้ว เป็นเรื่องง่ายและดำเนินการได้ทันที แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ที่จะนำมาใช้ให้บริการประชาชน”

ระบบเตือนภัยอย่างง่ายนี้ ยังอาจปรับใช้กับการเตือนภัยทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ ไฟป่า น้ำท่วม น้ำหลาก ดินถล่ม สึนามิ หรือ อุบัติเหตุร้ายแรง รถชน ไฟไหม้ เป็นต้น ซึ่งใช้ได้ทั้งในเชิงเฉพาะพื้นที่และภาพรวม อีกทั้งสามารถอัปเดตสถานการณ์แบบ Real Time ได้ทุกขณะ มีต้นทุนต่ำ เข้าถึงประชาชนโดยตรงได้อย่างดี

จากเหตุการณ์นี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจต้องทบทวน เร่งรัดและจัดให้มีระบบ สื่อและช่องทางการเตือนภัยอย่างเป็นระบบในทุกภัยที่อาจมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และนำเทคโนโลยี ระบบดิจิทัลมาใช้ให้เกิดผลสูงสุด รวมถึงนำมาประยุกต์ใช้กับการอนุรักษ์และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย

‘อว.’ ร่วมกับ ‘มจพ.’ ประยุกต์ใช้ ‘เทคโนโลยี’ ในยามเกิดวิกฤติ ส่ง ‘iRAP Robot-ยานไร้คนขับ’ ช่วยผู้ประสบภัยตึกถล่ม

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ตนได้สั่งการให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) นำทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Robot มจพ. แชมป์โลก 10 สมัย เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ กรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง โครงการอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ในระหว่างก่อสร้าง บริเวณ ถ.กำแพงเพชร เขตจตุจักร กทม. เกิดถล่มลงมา ทำให้มีผู้บาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมาก

น.ส.ศุภมาส กล่าวต่อว่า ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP Robot มจพ. ควบคุมโดย รศ.ดร.กิตติชัย ธนทรัพย์สิน คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. จะนำหุ่นยนต์ฯ สำรวจภารกิจในพื้นที่อาคารถล่มร่วมกับเจ้าหน้าที่จากภาครัฐและภาคเอกชน โดยนำหุ่นยนต์สำรวจ จำนวน 3 ตัว เข้าร่วมภารกิจในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติซ้ำซ้อน มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยกู้ภัย และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงผู้ประสบภัยในสถานการณ์วิกฤติ ได้แก่…

หุ่นยนต์สำรวจเพื่อการกู้ภัยและหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็ก ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถสร้างแผนที่สามมิติของพื้นที่ และเคลื่อนที่ผ่านสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน เช่น อาคารที่ถล่มหรือพื้นที่จำกัดการเข้าถึง ข้อมูลที่หุ่นยนต์เก็บรวบรวมได้จะช่วยให้หน่วยกู้ภัยสามารถประเมินสถานการณ์และวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

หุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็ก มีจุดเด่นที่ความคล่องตัวสูง เหมาะสำหรับการเข้าถึงพื้นที่แคบหรือซอกมุมต่าง ๆ พร้อมติดตั้งเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดระดับออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปปฏิบัติงาน 

ในขณะที่ หุ่นยนต์สำรวจเพื่อการกู้ภัย มาพร้อมแขนกลสำหรับหยิบจับหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของ และมีความสามารถในการเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ต่างระดับ รวมถึงการขึ้นบันไดได้อย่างมีเสถียรภาพ พร้อมทั้งติดตั้งเซนเซอร์วัดอุณหภูมิเพื่อใช้ประเมินสภาวะความร้อนในพื้นที่ปฏิบัติงาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการวางแผนและตัดสินใจของเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ร่วมปฏิบัติงาน

น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวง อว.จะนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) จำนวน 2 ตัว เพื่อสนับสนุนภารกิจการสำรวจในครั้งนี้ด้วย โดยอากาศยานไร้คนขับ DJI Mavic 3 Enterprise ซึ่งเป็นโดรนที่มีศักยภาพสูง มีกล้องที่ให้ความละเอียดสูงและฟังก์ชันการซูมระยะไกล เพื่อใช้ในการสำรวจขอบเขตของความเสียหายจากแผ่นดินไหว ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจะถูกนำไปใช้วิเคราะห์เพื่อค้นหาผู้ประสบภัย และสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเสียหายของโครงสร้างอาคาร รวมถึงแนวทางการบูรณะและซ่อมแซมต่อไป

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มุ่งมั่นในการประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤต และพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง และร่วมกันส่งกำลังใจให้กับทุกท่านที่ประสบภัยในครั้งนี้

สำหรับหน่วยงานหรือองค์กรใดต้องการให้ มจพ. นำหุ่นยนต์กู้ภัยเข้าไปให้ความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่ รศ.ดร.กิตติชัย ธนทรัพย์สิน คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. โทร. 096-829-5353 และ ผศ.ดร.จิรพันธ์ อินเทียม ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสนับสนุนเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. โทร.099-023-6920

เปิดภาพ ‘เจดีย์มิงกุน’ ในเมียนมา ‘ก่อน-หลัง’ เกิดแผ่นดินไหว บางส่วนพังถล่มลงมาและมีรอยแตกร้าวเป็นวงกว้าง

(29 มี.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจดีย์มิงกุน หรือ Hsinbyume Pagoda หนึ่งในโบราณสถานสำคัญและสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมศักดิ์สิทธิ์ของเมียนมา ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68)

ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังเหตุการณ์เผยให้เห็นโครงสร้างอันงดงามของเจดีย์สีขาวบริสุทธิ์ที่เคยตั้งตระหง่าน บัดนี้บางส่วนพังถล่มลงมาและมีรอยแตกร้าวเป็นวงกว้าง

สำหรับเมืองมิงกุน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังและศูนย์รวมโบราณสถานของเมียนมา ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแรงสั่นสะเทือน ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเข้าสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด พร้อมวางแผนบูรณะฟื้นฟูเพื่อปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมไม่ให้สูญสิ้น

ประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวต่างแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาและองค์กรด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศร่วมมือกันฟื้นฟูเจดีย์มิงกุนให้กลับมางดงามดังเดิม

ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยจากประเทศจีนและรัสเซียได้เดินทางถึงพื้นที่ประสบภัยในประเทศพม่าเป็นสองชาติแรก หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อวานนี้ โดยล่าสุดทางการพม่ารายงานยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 178 ราย บาดเจ็บกว่า 800 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคารจำนวนมาก

ในจำนวนนี้รวมถึงโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งที่พังถล่มลงมา โดยมีเด็กและครูจำนวนกว่า 60 รายที่ยังไม่ทราบชะตากรรม ขณะนี้ทีมกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาและให้ความช่วยเหลือท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนและโครงสร้างอาคารที่ยังเสี่ยงถล่มซ้ำ

นอกจากนี้ จีนและรัสเซียยังได้ส่งทั้งบุคลากรและอุปกรณ์กู้ภัยพิเศษเข้าพื้นที่ทันทีที่ได้รับการร้องขอจากรัฐบาลพม่า โดยถือเป็นความร่วมมือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาวิกฤต

‘เจ้าของสวนมะละกอ’ โอด!! โดนขโมยผลผลิตกว่า 1 ตันยามวิกาล แจ้งตำรวจแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เกรงถูกขโมยซ้ำ

(29 มี.ค. 68) ข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งจาก น.ส.พันทิพ ทิพย์กองลาส ว่าได้มีโจรลักลอบเข้ามาขโมยมะละกอในสวนที่ปลูกไว้ หมู่ที่ 4 ตำบลทรายขาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนี้

“หนูลงทุน ลงแรงปลูกมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ไว้เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ในพื้นที่ ม.4 ตำบลทรายขาว มะละกอกำลังออกผลผลิต และเริ่มสุกทยอยเก็บขาย ซึ่งผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด” น.ส.พันทิพ กล่าว

น.ส.พันทิพ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ได้มีคนร้ายแอบเข้ามาขโมยมะละกอไปจำนวนมาก ประมาณ 1 ตัน เพราะกลางคืนไม่มีคนเฝ้า ตนเองจะพักอยู่ที่บ้านในตลาดหัวไทร กลางคืนจะไม่มีคนเฝ้า

หลังเข้าไปดูตอนเช้าพบว่า มะละกอหายไปจากต้นจำนวนมาก จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หัวไทร เพื่อให้ตำรวจติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งตนได้ให้รายละเอียดกับตำรวจไปหมดแล้ว ตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร

“ก่อนหน้านี้กล้องวงจรปิดก็โดนทุบหมด เพิ่งติดตั้งใหม่ เมื่อวันสองวันก่อนก็มีรถไถนาเข้ามาดูลาดเลา จึงน่าสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายที่ขโมยมะละกอ และจ้องจะขโมยมะพร้าว”

รายงานข่าวแจ้งว่า พื้นที่อำเภอหัวไทรมีลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ขโมยแทงปาล์มในสวนคนอื่น ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า ยาเสพติดก็ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า

“เข้าใจว่า คนร้ายน่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติด ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีรายได้จากการทำมาหากินปกติ จึงต้องหาช่องทางขโมยของคนอื่นไปขาย แล้วนำเงินไปซื้อยาเสพติด”

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าคดีลักเล็กขโมยน้อยส่วนใหญ่ตำรวจจะไม่ตั้งใจทำคดี ไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ จึงทำให้คนร้ายได้ใจ เหิมเกริม ขยายวงการปฏิบัติการออกไปเรื่อย ๆ ถามว่า ตำรวจ สภ.หัวไทรพอจะรู้ไหมว่า วัยรุ่นกลุ่มไหนร่วมก่อเหตุในลักษณะนี้อยู่บ้าง ซึ่งตำรวจก็มีสายสืบ มีสายตำรวจอยู่มากมาย ไม่น่าจะรอดพ้นสายตาตำรวจไปได้ แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคดีไม่มีความคืบหน้า คดีโจรขึ้นบ้านอดีต ผอ.กองช่าง อบต.หัวไทร ขโมยทรัพย์สินกลางวันแสก ๆ คดีก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้ง ๆ ที่มีสืบจังหวัดลงมาร่วมสืบด้วยแล้ว ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

แหล่งข่าวในหัวไทร กล่าวฝากไปยัง ผกก.หัวไทร สารวัตรสืบ สภ.หัวไทร แสดงฝีมือจับกุมโจรลักมะละกอให้ได้ จะได้เห็นกันว่า ตำรวจมีฝีมือ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

‘ก.ยุติธรรม’ จับมือ ‘พันธมิตรจีน’ จัด ‘สัมมนาด้านกฎหมายฯ’ ผลักดันความร่วมมือทางกฎหมายมิติใหม่ ระหว่าง 2 ประเทศ

เมื่อวันที่ (27 มี.ค. 68) กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ สมาคมการค้าวิสาหกิจจีน-ไทย บริษัทสำนักงานกฎหมาย ดีทีแอล จำกัด และสมาคมพันธมิตรกฎหมายไทย-จีน จัดสัมมนาความร่วมมือด้านกฎหมายไทย-จีน ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อผลักดันความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างสองประเทศให้เกิดมิติใหม่ในการสร้างโอกาสและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อวิสาหกิจจีนและไทย ในการร่วมมือกันขยายการลงทุนและสร้างมิตรภาพทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างไทยและจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของทั้งสองประเทศ เนื่องในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน จึงผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมและองค์กรภาคธุรกิจของจีน จัดงาน ‘สัมมนาความร่วมมือด้านกฎหมายไทย-จีน ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน’ เพื่อเสริมสร้างโอกาสใหม่ในการร่วมมือกันในด้านกฎหมาย สนับสนุนการลงทุน และสร้างแนวทางที่เป็นธรรมสำหรับนักลงทุนจีนและไทย 

นายสื่อ ต้าถัว ประธานสมาคมพันธมิตรกฎหมายไทย-จีน และประธานบริษัท สำนักงานกฎหมาย ดีทีแอล จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยและจีนมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากันมาอย่างยาวนาน ซึ่งนับเป็นเวลา 50 ปีแห่งความร่วมมือในหลากหลายมิติ รวมถึงการขยายการลงทุนที่ช่วยเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้กับทั้งสองประเทศ

การสัมมนาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือช่วยเหลือให้การทำธุรกิจของวิสาหกิจจีนในประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่น โดยให้ความสำคัญกับการระงับข้อพิพาททางเลือกเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา เช่น การประนอมข้อพิพาท ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจของจีนและไทยเป็นไปอย่างสันติและยั่งยืน

ภายในงานยังมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสถาบันอนุญาโตตุลาการของไทย กับ สถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศนครกวางโจว ประเทศจีน และบริษัท สำนักงานกฎหมาย ดีทีแอล จำกัด และระหว่างสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน-ไทย กับ ศูนย์ระงับข้อพิพาททางเลือกระหว่างประเทศไทย-จีน (TCIAC) เพื่อกระชับความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย และเผชิญปัญหาทางกฎหมายหรือข้อพิพาททางธุรกิจ 

นอกจากนี้ ยังมีการจัด Forum หัวข้อ ‘การแก้ไขข้อพิพาททางการค้าอย่างมีประสิทธิผลสำหรับวิสาหกิจจีนในประเทศไทย’ โดยมีตัวแทนจากภาคธุรกิจจีนและตัวแทนจากทนายเข้าร่วมให้มุมมองเชิงลึก พร้อมการบรรยายในหัวข้อ ‘กลยุทธ์การป้องกันและรับมือความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของยุโรปและสหรัฐฯ สำหรับวิสาหกิจการผลิตจีนในประเทศไทย’ โดยตัวแทนจาก บริษัทสำนักงานกฎหมาย ดีทีแอล จำกัด และ ‘การไกล่เกลี่ยและการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ กลไกสันติวิธีเพื่อมิตรภาพไทย-จีน’ โดยรองผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ

การสัมมนาครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี โดยมีวิสาหกิจจีนเข้าร่วมมากกว่า 300 ราย รวมถึงทนายความและนักกฎหมายจากทั้งประเทศไทยและจีนกว่า 100 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตไปพร้อมกันบนพื้นฐานของกฎหมายที่มั่นคงและเป็นธรรม เพื่อให้การลงทุนจีน-ไทยดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top