Friday, 4 July 2025
ค้นหา พบ 49178 ที่เกี่ยวข้อง

‘มาดามแป้ง’ ขอบคุณสโมสรไทยลีก นักกีฬา ทีมงานผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ทีมทุกคน ที่ร่วมลุยศึกอาเซียน คัพ 2024 แม้จะจบแค่รองแชมป์

(5 ม.ค.68) นางนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Madam Pang - มาดามแป้ง - นวลพรรณ ล่ำซำ’ หลังจากทัพช้างศึก พลาดท่าพ่ายให้กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ทีมชาติเวียดนาม 2-3 (สกอร์รวมสองนัด 3-5) จบด้วยการเป็นรองแชมป์อาเซียน คัพ 2024 โดยระบุว่า

“Thank You สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ขอขอบคุณสโมสรไทยลีก นักกีฬา ทีมงานผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ทีมทุกคน ที่พยายามและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทำหน้าที่ในนามทีมชาติไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรี ในศึกฟุตบอล Asean Mitsubishi Electric Cup 2024

ขอน้อมรับทุกคำติชมจากแฟนบอลผู้ปรารถนาดีทุกท่านจากหัวใจ และขอบคุณทุกกำลังใจผ่านทุกข้อความ ทุกช่องทาง”

'ทักษิณ' ดับกระแส ปลด 'พีระพันธุ์' พ้น ครม. ย้ำ เป็นคนตั้งใจทำงาน - คุยกันรู้เรื่อง เล็งรีดไขมันลดค่าไฟ

(6 ม.ค. 68) ‘ทักษิณ’ ยัน ไม่มีการปรับ ‘พีระพันธุ์’ ออกจากครม. บอกวันก่อนคุยกันเรื่องลดค่าไฟ คุยกันรู้เรื่อง เล็งเดินหน้าปรับลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาท

ที่จ.เชียงราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการปราศรัยหาเสียงเพื่อช่วยนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ถึงการลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยว่า ตนดูแล้วว่าสามารถรีดไขทันจากค่าไฟได้ และสามารถลดค่าไฟได้อีก ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ พิจารณาแล้วและจะเรียกทุกคน รวมถึงภาคเอกชน ประชุม เพื่อให้ทุกคนเต็มใจยอมรับกับการรีดไขมันครั้งนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกัน หากประชาชนจน เอกชนไม่มีรวย ถ้าอยากรวย ต้องให้ชาวบ้านหายจน ทั้งนี้ตนได้นั่งคุยกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงานแล้วเมื่อวันก่อนเพื่อหาทางช่วยกัน

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่านายพีระพันธุ์จะถูกปรับออกจากรัฐบาล นายทักษิณ กล่าวว่า  "อ๋อ ไม่มี คุยกันรู้เรื่องไม่มีอะไรเลย พีระพันธุ์เขาเป็นคนตั้งใจ รู้จักกันมานาน เคยมีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง"

เมื่อถามย้ำว่า น.ส.แพทองธาร เปรยเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี ในช่วงนี้ใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า "ไม่มีเลย วันนั้นคุยกัน เขาบอกว่า อิ๊งค์ ยังสบาย ๆ ถ้าทำงานกับ ครม. ชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี"

เมื่อถามว่ายังอยู่ยาวได้ใช่หรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ยังไม่มีเหตุปัจจัย

นายทักษิณ ยังกล่าวย้ำด้วยว่าในปี2568 รัฐบาลต้องทำงานอย่างหนัก โดยต้องมองโครงสร้างของปัญหาเศรษฐกิจ และเร่งแก้ไข เช่นเม็ดเงินที่ไม่ได้อยู่ในระบบ ทำให้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องพัฒนาคนในระบบเศรษฐกิจว่าจะส่งเสริมความรู้ความสามารถ ที่มีอยู่ รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

"เมื่อเม็ดเงินมีคนรองรับ ระบบไปได้ ก็ต้องทำพร้อม ๆ กัน พร้อมยอมรับว่าอาจจะต้องมีเรื่องของการใช้จ่ายภาครัฐเมกกะโปรเจคบ้าง โดยนายกฯกำลังเรียกประชุมหลายฝ่าย เพื่อที่จะตกผลึกในวิธีการทำงาน ให้บรรลุเป้าหมาย และต้องยอมรับว่ากลไกของรัฐปัจจุบัน เปลี่ยนไปจากเดิมอุ้ยอ้ายขึ้น และอำนาจไปอยู่กับราชการ ต้องอาศัยความร่วมมือ" นายทักษิณ กล่าว

ขณะที่ในช่วงกล่าวปราศรัยหาเสียงบนเวที นายทักษิณ กล่าวว่า เดิมตนไม่ค่อยเท่าไหร่กับการเมืองท้องถิ่นเพราะเคยเป็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองใหญ่ แต่เมื่อได้กลับมาก็มุ่งจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้ให้ประชาชน จึงอยากให้ประชาชนเลือกนางสลักจฤฎดิ์ให้เข้าไปทำงานประสานกับนายกรัฐมนตรี โดยในส่วนของรัฐบาลจะมีการจ่ายเงินให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศประมาณ 3 ล้านคน คนละ 10,000 บาทในวันที่ 29 ม.ค.นี้ ใช้งบประมาณ 30,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างการผ่อนบ้านและรถด้วย

อดีตนายกรัฐมนตรีที่พ้นโทษกลับประเทศไทยกล่าวต่อว่าตนไม่อยู่บ้านนานถึง 17-18 ปี เมื่อกลับมาพบว่าระบบที่เคยทำไว้เสียหายหมด จึงกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรและเห็นว่าการฟื้นเศรษฐกิจต่างจังหวัดสำคัญ ถ้าคนชนบทมีกินมีใช้เศรษฐกิจประเทศก็จะเดินหน้า เพราะทุกวันนี้ประชาชนไม่มีเงินใช้ ขาดสภาพคล่อง ร้านค้าปลีกต่างจังหวัดก็แย่ เพราะมีแต่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ เงินก็ไหลเข้าสู่ส่วนกลางหมด สินค้าเกษตรขายไม่ได้ ฯลฯ

ดังนั้นตนจึงตั้งใจแก้ปัญหาโดยพัฒนาในสิ่งที่ชาวบ้านเก่งอยู่แล้ว เช่น งานหัตถกรรม ดนตรี เกษตรกรรม ฯลฯ รัฐบาลจะนำมหาวิทยาลัยเชื่อมกับ อบจ.สร้างงานสร้างรายได้ จะมีการเจียระไนหาคนไทยที่เก่งๆ ทั่วประเทศ ทั้งที่มีบุคลิกเป็นนางแบบ ทำอาหารเก่ง เป็นนักศิลปะ มีฝีมือหัตถกรรม ฯลฯ สิ่งนี้เกิดขึ้นในปีนี้ ปี 2568 นี้ กลไกสำคัญอยู่ที่ อบจ. จึงขอให้เลือกนางสลักจฤฎดิ์เพื่อให้ค้นหาเพชรเม็ดงามในเชียงรายต่อไป

นายทักษิณกล่าวว่ายามว่างได้เข้าไปดูโซเชียลมีเดียได้เห็นบางคนชีวิตน่าจะเหลือน้อยลงไปทุกที เดี๋ยวก็จะแขวนคอตายแล้ว เพราะชีวิตมองโลกแย่หมด อีกไม่กี่วันตนจะเอาเชือกไปให้มัน เพราะเช้าและสายก็ด่ารัฐบาลหมด มีอยู่แค่ 4-5 ตัว พวกนี้สงสัยอยากได้เชือก

อย่างไรก็ตาม เราจะทำในสิ่งสร้างสรรค์มากกว่าโดยใช้โซเชียลอย่างติ๊กต็อกมาขายของให้ชาวบ้าน โซเชียลจึงควรใช้ในทางสร้างสรรค์ แต่มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่เข้ามาแล้วก็ด่าอย่างเดียวทำไมไม่ด่าพ่อแม่มันบ้าง ตนจึงรู้สึกสมเพชเพราะลักษณะพวกนี้เหมือน "แตงไม่ขึ้นซ้าง" (แตงไม่เลื้อยขึ้นนั่งร้าน)

นายทักษิณยังกล่าวต่อด้วยว่า เมื่อครั้งตนยังไม่เล่นการเมืองก็สบายดีอยู่ กระทั่งปี 2536 ก็มีเงินถึง 6 หมื่นล้านแล้ว พอเล่นการเมืองจึงหมดไปเรื่อย ๆ พวกควายยังมาด่าตนอีก พ่อมึงไม่รู้หรือไง ตนรวยมาตั้งแต่ปี 2535-36 แล้ว ตนคิดแบบคนสมัยใหม่แต่คนรุ่นเก่ากลับด่าตนสารพัด มีอยู่คนบอกว่าตนสร้างความวุ่นวายเพราะแค้นตนมาตั้งแต่ปี 44 ที่บ้านของเขาหน่วยเลือกตั้งมี 450 คน เลือกเขาเพียงแค่ 47 คน ประชาชนยังไม่เลือกเลย

นายทักษิณกล่าวด้วยว่าตนได้ตั้งตำแหน่งให้ตัวเองคือ สทร.หมายถึง “เสือกทุกเรื่อง” เมื่อไปพบปัญหาที่ไหนก็จะส่งให้รัฐบาล พอดีมีนายกรัฐมนตรีที่เคยตามตนมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ขณะหาเสียงตอนตั้งพรรคไทยรักไทยก็ยังยืนดูตนอยู่ ตอนไปประชุมเอเปกที่ชิลีก็ไปด้วย ซึมซับการเมืองและรักพี่น้องประชาชน จึงเข้ามาทำงานทั้ง ๆ ที่เขาก็สบายอยู่แล้ว

“ผมจึงมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยโดยการนำของนายกฯ อุ๊งอิ๊งจะแก้ไขปัญหาประเทศได้ โดยตั้งเป้าว่าปี 2568 ทุกฝ่ายจะทำงานให้หนักและเศรษฐกิจดีขึ้น และปี 2569 เปรียบเหมือนเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ จากนั้นขอเวลาอีก 2 ปีหนี้ประเทศจะลดลง”

นายทักษิณกล่าวถึงเรื่องยาเสพติดว่าเกิดจากในเมียนมามีการสู้รบกัน บางกลุ่มจึงขายยาเสพติดเพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธและมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่แล้ว ดังนั้นในปี 2568 นี้จะจัดการให้เรียบ ส่วนเรื่องการพนันออนไลน์นั้นมีคนเข้าไปเล่นมากมาย บางครั้งหลายล้านคนซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคนเหล่านี้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีหรือไม่ ดังนั้นจึงถึงเวลาจะเอาสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมาบนดิน เพราะถ้าถูกกฎหมายจะเก็บภาษีได้ โกงไม่ได้ อายุต่ำกว่า 20 ปีเล่นไม่ได้ คนที่ติดงอมแงมก็ส่งให้หมอบำบัดได้

“ปัญหายาเสพติด คอลเซ็นเตอร์ การผูกขาด ต้องเอาให้เกลี้ยงหมด”

นายทักษิณพูดถึงเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าว่าในปี 2568 นี้จะต้องเอาตัวเลขการใช้ไฟให้เหลือเลข 3 ดูแล้วน่าจะให้ถึง 3.70 น่าจะได้ ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กผฟ.) เป็นองค์กรผลิตไฟฟ้าเพื่อขายเอากำไรส่วนหนึ่ง และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และเอกชน ก็จะนำมาจ่ายต่อสุดท้ายประชาชนก็ตายกันพอดี จึงต้องแก้ไขปัญหาและยืนยันให้ค่าไฟฟ้าลดลง เมื่อนั้นสินค้าอื่นๆ ก็จะลดลงตาม เพราะธุรกิจย่อมหวังผลกำไรแต่ไม่ใช่ได้กำไรแล้วอยู่อย่างสุขสบาย สุดท้ายขอให้ประชาชนได้เลือกนางสลักจฤฎดิ์เป็นนายก อบจ.เชียงราย และไปบอกคนอื่นๆ ว่าตนขอให้ช่วยเลือกด้วย

ม็อบหนุน-ต้านยุนซอกยอล ชุมนุมกลางโซลแม้อากาศหนาวจัด

(6 ม.ค. 68) ผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านประธานาธิบดียุนซอกยอล ของเกาหลีใต้ รวมตัวชุมนุมในเช้าวันนี้ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด หิมะตกหนัก และสภาพถนนเปียกชื้นในกรุงโซล  

ชาวเกาหลีใต้นับหมื่นคนฝ่าหิมะตกหนักในวันอาทิตย์นี้ (5 ม.ค.) เพื่อแสดงจุดยืนทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านการควบคุมตัวนายยุน ซ็อกยอล ซึ่งถูกถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่เขาประกาศกฎอัยการศึกโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ  

ผู้ชุมนุมจำนวนมากต้องใช้ผ้าห่มฟอยล์เพื่อเพิ่มความอบอุ่น โดยกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านได้ชุมนุมกันในจุดต่าง ๆ บนถนนใกล้เคียงในย่านฮันนัม กรุงโซล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักประธานาธิบดี ที่นายยุนยังพำนักอยู่ระหว่างกระบวนการถอดถอนจากตำแหน่ง เนื่องจากกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567  

การชุมนุมบางส่วนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนในพื้นที่ดาวน์ทาวน์ของกรุงโซล ก่อนจะมีการเคลื่อนไหวต่อในเช้าวันนี้ใกล้บ้านพักประธานาธิบดี โดยสภาพอากาศในพื้นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -5 องศาเซลเซียส และมีหิมะหนากว่า 5 เซนติเมตรในบางเขต ทางการจึงได้ออกคำเตือนเรื่องหิมะตกหนัก  

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ต้องระงับความพยายามในการจับกุมตัวนายยุน หลังเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่สอบสวนกับหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี ซึ่งยืดเยื้อหลายชั่วโมง  

อย่างไรก็ตาม ทีมสอบสวนระบุว่าจะพิจารณาขั้นตอนดำเนินการต่อไป โดยหมายจับที่ออกให้มีกำหนดหมดอายุในวันจันทร์นี้  

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังศาลอนุมัติหมายจับนายยุนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเขาปฏิเสธหมายเรียกสอบปากคำถึงสามครั้ง ซึ่งทำให้ยุนซอกยอล มีแนวโน้มเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุมในระหว่างดำรงตำแหน่ง  

เมื่อช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านนายยุนได้ปิดถนน 8 เลน ส่งผลให้การจราจรติดขัดทั้งสองฝั่ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเรียงแถวเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนนายยุนได้จัดการชุมนุมใกล้เคียงในจุดอื่น ๆ ของพื้นที่เดียวกัน

จีนยืนยัน 'HMPV'ไม่ใช่โรคใหม่ แจงพบป่วยเพิ่มจริง แต่ไม่น่ากังวล

(6 ม.ค. 68) ทางการจีนรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสฮิวแมนเมตานิวโมไวรัส (HMPV) เพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2024 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสชนิดใหม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขย้ำว่า HMPV เป็นโรคทางเดินหายใจที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นภัยคุกคามใหม่

เจิ้ง ลี่ชู นักวิจัยจากสถาบันไวรัสวิทยาแห่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจีน (China CDC) อธิบายว่า HMPV เป็นไวรัสที่พบมานานกว่า 60 ปี แต่เพิ่งถูกนักวิทยาศาสตร์ระบุในช่วงต้นปี 2000 เนื่องจากลักษณะการเจริญเติบโตที่ช้าและอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง

“สำหรับคนส่วนใหญ่ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์” เจิ้งกล่าว

หร่วน เจิ้งซ่าง รองหัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลซินหัว เซี่ยงไฮ้ เตือนว่าไม่ควรวินิจฉัยโรคเองจากอาการ เช่น ไข้หรือวิงเวียนศีรษะ เพราะอาการของ HMPV คล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไอ คัดจมูก อ่อนเพลีย หรือไข้สูง

ถัง หลานฟาง หัวหน้าแผนกโรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเด็กแห่งมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง กล่าวว่ากลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากมีไข้สูงต่อเนื่อง ซึมเศร้า ไอมาก หรือหายใจถี่ ควรรีบพบแพทย์ทันที

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัส HMPV โดยเฉพาะ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด

ในอินเดีย ดร.อตุล โกเอล อธิบดีกรมบริการสุขภาพ ยืนยันว่าไม่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในฤดูหนาวนี้ โรงพยาบาลในอินเดียพร้อมรับมือการเพิ่มขึ้นของโรคทางเดินหายใจตามฤดูกาล

ขณะที่ในมาเลเซีย มีรายงานผู้ติดเชื้อ HMPV จำนวน 327 รายในปี 2024 เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียแนะนำให้ประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่แออัดหรือปิด

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขย้ำว่า แม้ HMPV จะไม่ใช่ไวรัสใหม่ แต่ประชาชนควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในวงกว้าง

ยักษ์ธุรกิจการศึกษาจีน ขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด หลังซื้อหุ้นเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ไม่ทำกำไรตามคาด

(6 ม.ค. 68) เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2024 บริษัทการศึกษาเอกชนยักษ์ใหญ่ของจีน "อวี่หัว เอ็ดดูเคชัน" (Yuhua Education) ได้ประกาศขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดในไทย มูลค่า 240 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 1,060 ล้านบาท) เพื่อใช้ในการชำระหนี้จากหุ้นกู้แปลงสภาพที่ค้างชำระ

อวี่หัว เอ็ดดูเคชัน (China YuHua) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเจิ้งโจว ดำเนินธุรกิจโรงเรียน 9 แห่งในจีน โดยบริหารงานโดยพ่อลูกตระกูลหลี่ - หลี่ กวงอวี่ และหลี่ ฮว่า

การขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดในครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท หลังจากเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่ทวีความรุนแรง

การตัดสินใจขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรธุรกิจและการโรงแรมทั้งระดับปริญญาตรีและโท เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทซื้อมหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อ 5 ปีก่อนในราคาที่สูงกว่ามูลค่าเดิมถึง 120 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

โดย China YuHua ยักษ์ธุรกิจการศึกษาจากจีนเข้าซื้อมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด 2019 โดยได้เข้าถือหุ้นใหญ่ประมาณ 49% สำหรับมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ดในประเทศไทย ประกอบด้วย วิทยาเขตพระรามเก้า, ศูนย์การศึกษาอโศกแคมปัส และวิทยาเขตหัวหิน มีนักศึกษาราว 5,000-6,000 คน ซึ่งเดิมเป็นของเครือลอรีเอท (Laureate International Universities) โดยทางการจีนได้ส่งทีมผู้บริหารจากจีนคุมการบริหารของมหาวิทยาลัยแบบเบ็ดเสร็จ

อย่างไรก็ตาม ไม่ชัดเจนถึงรายละเอียดถึงเหตุผลการข่ายมหาวิทยาลยดังกล่าว แต่รายงานข่าวระบุว่า มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดสร้างรายได้สุทธิ 31.66 ล้านบาทในปีการศึกษา 2023-2024 แต่เนื่องจากรายได้ที่ไม่สูงมาก การขายในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของอวี่หัวมากนัก

อวี่หัวมีหนี้สินจากหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกในปี 2019 มูลค่า 2.088 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งมีกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2024 การขายมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดจึงช่วยลดภาระหนี้บางส่วนได้ แต่บริษัทยังคงต้องการการปรับโครงสร้างทางการเงินเพิ่มเติม

แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านการเงิน อวี่หัวยังคงตั้งเป้าหมายในการขยายธุรกิจการศึกษาในระดับสากล โดยมีแผนจะดำเนินกิจการต่อไปเมื่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทมีความมั่นคงขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top