Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48900 ที่เกี่ยวข้อง

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการรายงานถึงงานวิจัยของเด็กไทยในกรุงลอนดอน ที่ทำการวิจัยโดยใช้ ‘ขนไก่’ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร มาแปรรูปทำอาหารรสชาติระดับมิชลินสตาร์

โดยตามรายงานระบุว่า เด็กไทยดังกล่าวชื่อ ‘ศรวุฒิ กิตติบัณฑร’ อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโทสาขา Material Futuresในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังหาทุนเพื่อเดินหน้าทำวิจัยหาวิธีการแปรรูปส่วนประกอบสารอาหารที่พบใน ‘ขนไก่’ มาทำเป็นผงที่สามารถนำไปผลิตเป็นอาหารแท่งโปรตีนแบบไร้ไขมันที่กินได้

ศรวุฒิ เล่าว่า “ขนไก่มีโปรตีน และหากสามารถนำโปรตีนเหล่านี้มาทำอาหารให้ชาวโลกได้ จะช่วยลดขยะลงได้มาก โดยปัจจุบันในภูมิภาคยุโรปที่เดียวมีการทิ้งขนไก่จำนวนมากถึง 2.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคสัตว์ปีกเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าจะมีขยะขนไก่มากกว่าในยุโรปถึง 30%

สำหรับขนไก่ที่ศรวุฒินำไปแปรรูปเป็นอาหารต้นแบบนั้น มีทั้งสเต็ก และนักเก็ตไก่ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้ทดลองชิม ที่สัมผัสได้ถึงความซับซ้อน และไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหารใดๆ ได้ แต่เมื่ออาหารตัวอย่างถูกนำไปปรุง เช่น สเต็ก ก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าราวกับเป็นอาหารจาก ‘ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์’ กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าไอเดียขนไก่แปรรูปนี้ เป็นอีกการต่อยอดแนวคิดแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจที่กำลังได้รับการศึกษาวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ มีเนื้อที่ผลิตจากโปรตีนพืชสำหรับกลุ่มวีแกนออกมากันบ้าง

อย่างไรก็ตาม อาหารจากขนไก่ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอาหารจากสัตว์ คนกินมังสวิรัติหรือทานเจ อาจศีลขาดได้...


ที่มา:

https://www.huffpost.com/entry/chicken-feathers-food-source_n_5fda3666c5b610200986d053?fbclid=IwAR19NVebfdMUm_irXy4u55Gh6JnpVygLMYWdBg9sPCS_Lk8RbGVQ0CoWF9E

หลังจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้มีการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ลงทะเบียนเต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การลงทะเบียนในเฟส 2 นี้ว่า ระบบจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกตัดสิทธิ์ให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ในเฟสต่อไป หรือ ‘เฟส 3’ ว่า จะมีต่อหรือไม่ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า อาจจะเป็นไปได้ แต่ต้องพิจารณาอีกครั้งทั้งในด้านงบประมาณ, สถานการณ์โควิด-19 และสถานะการเงินการคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการคนละครึ่ง ได้มีประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่าเป็นแนวคิดของใคร โดยนายกรัฐมนตรี ให้คำตอบว่า “โครงการคนละครึ่งเป็นแนวคิดของตน เป็นคนคิดนโยบายและหลักการ จากนั้นก็ให้คณะทำงานนำไปสานต่อ”

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ชี้ “3 เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่” ทั้งการแพทย์แม่นยำ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ หนุนไทยสู่การเป็น Medical Hub เต็มรูปแบบ

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤติการระบาดของ Covid-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ไทยได้แสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพด้านการแพทย์ ตอกย้ำความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มการจ้างงานและดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังส่งผลบวกเชื่อมโยงไปยังหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้อีกมาก โดยองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเป็น Medical Hub ของไทย คือ 1.) ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ (Medical Service Hub)

2.) ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)

3.) ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ (Product Hub)

และ 4.) ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)

"เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บริการทางการแพทย์ของไทย มีความพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมการเป็น Medical Hub สะท้อนจากความมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการรักษาจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ซึ่งหากผนวกเข้ากับเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการรักษาของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศที่มีวิทยาการด้านการแพทย์ชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป"

สำหรับเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ที่จะส่งเสริมให้ไทยเข้าใกล้ความฝันการเป็น Medical Hub ประกอบด้วย

1.) การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) หรือการแพทย์เฉพาะเจาะจง เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถนำข้อมูลทางพันธุกรรมมาใช้ในการตรวจวินิจฉัย การรักษา การเลือกใช้ยา การทำนายผลการรักษา เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึง 4.77 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ.2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.7%

2.) เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) หรือการแพทย์เชิงฟื้นฟู เป็นการแพทย์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการทดแทน การซ่อมเสริม การฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมถอยจากอายุที่มากขึ้น คาดว่าภายในปี พ.ศ.2564 จะมีมูลค่าในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากปี พ.ศ.2562 แตะระดับ 7.68 หมื่นล้านเหรียญฯ เติบโตเฉลี่ยถึง 19.8% ต่อปี และ

3.) เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ (Reproductive Medicine) เป็นการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อาทิ IVF, ICSI, IUI ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีมูลค่าตลาดโลกกว่า 2.29 หมื่นล้านเหรียญฯ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ การทำเด็กหลอดแก้ว โดยไทยมีชื่อเสียงด้านนี้อยู่พอสมควร

ปัจจุบันประเทศไทย ยังมีส่วนแบ่งตลาดในการให้บริการทางการแพทย์ทั้ง 3 ด้านนี้ไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาการแพทย์ทั้ง 3 ด้านดังกล่าวให้ทัดเทียมประเทศชั้นนำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการรักษา และใช้ประโยชน์จากความมีชื่อเสียงและการเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั่วโลก ในการดึงดูดเม็ดเงินจากการบริการด้านการแพทย์ให้เข้าสู่ประเทศมากขึ้น

ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์แล้ว ยังช่วยสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องอีกด้วย และคาดว่าจะช่วยผลักดันให้มูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยแตะระดับ 5 แสนล้านบาทในปี พ.ศ.2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.7%

กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศเตือนภัยพายุหิมะที่มีความรุนแรงสูงครอบคลุมถึง 14 รัฐในฝั่งด้านตะวันออกของประเทศ ที่รวมถึงรัฐใหญ่ อย่าง นิวยอร์ค เพนซิลวาเนีย นิวเจอร์ซี ซึ่งจะมีผลกระทบกับประชาชนมากกว่า 60 ล้านคน

ประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยานี้ ระบุว่าพายุหิมะครั้งนี้มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี กินพื้นในชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐตั้งแต่รัฐเมน ไปจนถึงรัฐจอร์เจีย ทำให้เกิดหิมะตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบางเมืองในรัฐเพนซิลวาเนีย และนิวยอร์คที่อาจพบหิมะสะสมหนาถึง 2 เมตร และแนะนำให้ประชาชนงดออกจากบ้านหากไม่จำเป็น และอาจเกิดไฟฟ้าดับได้ในบางพื้นที่อีกด้วย

พายุหิมะที่ถล่มหนักต่อเนื่องหลายวัน ก็ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมอย่างมาก และเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายจุด มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย เที่ยวบินถูกยกเลิก รถไฟระงับการให้บริการแล้วหลายเส้นทางตลอดชายฝั่งตะวันออก โรงเรียนประกาศหยุด ให้เรียนทางออนไลน์แทน

บิล เดอ บลาสิโอ นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์คออกคำสั่งเตือนภัยขั้นสูง งดเที่ยวเรือเฟอร์รี่ และ งดดินเนอร์กลางแจ้งในช่วงค่ำ

พายุหิมะยังทำให้ศูนย์บริการตรวจเชื้อ Covid-19 ต้องหยุดให้บริการในหลายรัฐ และยังส่งผลให้การจัดส่งวัคซีน Covid-19 ต้องล่าช้าออกไปอีกแม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่ ฟิล เมอร์ฟี ประกาศเตือนให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยออกจากบ้านตลอดเวลา แม้จะแค่ออกไปโกยหิมะหน้าบ้านก็ตาม

จึงกลายเป็นวิกฤติในวิกฤติ ที่ถล่มสหรัฐอเมริกาตลอดทั้งปี ที่อาจทำให้ชาวมะกันอาจหมดโอกาสฉลองปีใหม่กันที่ย่านไทม์สแควร์อย่างที่แล้วๆมา หรือจนกว่าจะสามารถควบคุม Covid-19 ในประเทศได้


แหล่งข่าว

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55343207

https://edition.cnn.com/2020/12/16/weather/east-coast-snow-storm-wednesday/index.html

https://www.usatoday.com/story/news/nation/2020/12/16/winter-storm-gail-snow-storm-could-dump-foot-nyc/3910558001/

Breaking News ไปทั่วโลก เมื่อ เอมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ประกาศว่าเขาติดเชื้อ Covid-19 เข้าแล้ว นับเป็นข่าวร้ายที่สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วยุโรป ที่กำลังผจญกับคลื่นการแพร่ระบาด Covid-19 รอบใหม่อันหนักหน่วงอยู่ในขณะนี้

มาครงแจ้งว่า จะต้องเข้าระเบียบขั้นตอนการกักตัวเป็นเวลา 7 วัน แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ผ่านทางออนไลน์ และยกเลิกกำหนดการประชุมทั้งใน และต่างประเทศทั้งหมด

ส่วนนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอง คาสเท็กซ์ ผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับตัวประธานาธิบดีมาครงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงโฆษกรัฐบาล ริชาร์ด เฟอร์รอง และ บริเจท มาครง สุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งฝรั่งเศส ก็จำเป็นต้องกักตัว 7 วันเพื่อเฝ้าดูอาการเช่นกัน

แต่ช้าก่อน! ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมาครงได้ไปพบปะผู้นำชาติสมาชิกยุโรปอีกหลายคน

เมื่อวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2020 เพิ่งจะพบนายกรัฐมนตรีโปรตุเกส นายอันโตนิโอ คอสต้า ก่อนหน้านั้นก็ไปพบกับนายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซ และประธานสภายุโรป ชาร์ล มิเชล

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าประธานาธิบดีมาครงติดเชื้อ Covid-19 ตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากภารกิจพบผู้นำต่างประเทศ และประชุมสภาที่ผ่านมา ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีมาครงยังไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป และยังเข้าร่วมประชุมทวิภาคีกับอังเกล่า มาร์เคิล ผู้นำเยอรมันอีกด้วย

ดังนั้นข่าวการติดเชื้อ Covid-19 ของประธานาธิบดีเอมานูเอล มาครง ไม่ได้สะเทือนแค่ในฝรั่งเศส แต่หนาวสะท้านไปทั้งภาคพื้นยุโรปทีเดียว


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/17/french-president-emmanuel-macron-tests-positive-for-coronavirus

https://m.dw.com/en/french-president-emmanuel-macron-tests-positive-for-covid/a-55970835

https://www.france24.com/en/europe/20201217-french-president-emmanuel-macron-has-tested-positive-for-covid-19


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top