Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48906 ที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้ารับฟังความคิดเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ป.วิ.อาญา' ต่อเนื่อง จัดเวทีเสวนาภาคใต้ ที่ภูเก็ต

(19 มิ.ย.68)เวลา 09.00 น. ณ ห้องบุตรน้ำเพชร หอประชุมชัยจินดา ตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดภูเก็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนา ทางวิชาการ หัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา (ร่างของ ส.ส.พรรคประชาชน) ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี พล.ต.ท. อิทธิพล อิทธิสารรณชัย  ผู้ช่วย ผบ.ตร.  พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8  พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน  ก.ร.ตร./อดีต ผบช.ภ.1 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช. และ ผบก.
ในสังกัด ภ.8 และ ภ.9 ร่วมงานเสวนา  

การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีที่ 3 ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องจากเวทีในภาคกลาง (ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จ.นครปฐม) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น) โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ภายในงาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ คุณอมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ อดีตผู้พิพากษา, ดร.รังสรรค์ คงทอง อาจารย์พิเศษ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 

คุณรุ่งนภา พุฒแก้ว ประธานสภาทนายความจังหวัดภูเก็ต, พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน อดีต ผบก.สส.ภ.8 และ พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ รอง ผบช.ภ.9 การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.8 และ ภ.9 ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ
 
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ระหว่างการหารือ มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสอบสวนมากขึ้น เช่น การให้ความเห็นชอบก่อนออกหมายเรียกหรือหมายจับ รวมถึงการกำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งหลายฝ่ายได้แสดงความห่วงกังวลว่า อาจก่อให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวนจากความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานของ พงส. อัยการ และศาล และส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย เช่น ขั้นตอนการออกหมายเรียก หมายจับ ซึ่งหากนำมาใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านสถานการณ์และความมั่นคง นอกจากนี้ในวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องของงบประมาณรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อจัดหาบุคลากร ทรัพยากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อรองรับภารกิจและกระบวนงานที่จะเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้        

ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การจะแก้ไขปัญหางานสอบสวนและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำสำนวน ระหว่างพนักงานสอบสวนและอัยการ อาจสามารถดำเนินการได้ผ่านการปรับปรุงรูปแบบการประสานงาน หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า  โดยไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข ป.วิ.อาญา เพราะการแก้ไข ป.วิ.อาญา ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทกลับจะทำให้ไปกระทบหลักการภาพใหญ่ของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น และส่งผลให้เกิดความล่าช้าจากการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อน และส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหาย    

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ เพื่อนำมาจัดทำเป็นข้อคิดเห็นอย่างเป็นทางการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไป

 

รับเงินชดเชย 5.1 พันล้าน คาดงวดแรกจ่าย ก.ค.68 กระทรวงอุตฯ ขอบคุณทุกฝ่ายเผาต่ำสุดซีซั่นนี้

(19 มิ.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/68 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีร้อยละ 100 ในอัตรา 69 บาทต่อตันอ้อย คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 5,175 ล้านบาท สำหรับเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จะได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ต้องเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกอ้อยไว้แล้วกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยคาดว่าจะสามารถโอนเงินรอบแรกภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลและสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ทำดีให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทางเลือกการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ

นายพงศ์พลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากได้มีการจัดทำแผนดำเนินงานเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างยั่งยืนและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาตัดอ้อยสดเพิ่มขึ้น 
ผ่านกลไกส่งเสริมการซื้อขายใบและยอดอ้อย เพื่อนำใบและยอดอ้อยไปผลิตไฟฟ้าขายให้กับภาครัฐ โดยเงินจะหมุนกลับไปหาเกษตรกรชาวไร่อ้อยอีกทางหนึ่ง และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน การผลิตอ้อยสดโดยไม่เผาเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับพลาสติกชีวภาพจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรไทย ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

“กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ขอขอบคุณเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในภาคการเกษตร ในฤดูการผลิตปี 2567/68 ลดการเผาอ้อยได้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่ร้อยละ 14.86 คาดว่าฤดูการผลิตปีหน้าเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลจะสามารถทำตัวเลขอ้อยเผาได้ลดลงกว่าปีนี้” นายพงศ์พลฯ กล่าวปิดท้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการฝึกครูฝึกยิงปืน เสริมเขี้ยวเล็บตำรวจด่านหน้า 3 สายงานทั่วประเทศ อบรมเข้ม 300 นาย ฝึกจริง ยิงจริง รับมือทุกสถานการณ์

(19 มิ.ย.68) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) , พล.ต.อ.ประจวบ  วงศฺสุข รอง ผบ.ตร.(ปป) , พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป1) มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม “ครูฝึก (ครู ก.) ทักษะยิงปืน” สำหรับข้าราชการตำรวจสายป้องกันปราบปราม สืบสวน และจราจรทั่วประเทศ ณ ศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจกลาง ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 20 มิถุนายน 2568 การอบรมแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก วันที่ 15 - 17 มิถุนายน 2568 เตรียมความพร้อมสำหรับครูฝึก มุ่งเน้นทั้งภาคทฤษฎี ความรู้ด้านอาวุธ และเทคนิคการฝึกอย่างปลอดภัย , ช่วงที่สอง วันที่ 18 - 20 มิถุนายน 2568 ฝึกอบรมครูฝึก (ครู ก.) จำนวน 300 นาย จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1 - 9 เพื่อเป็นกำลังหลักถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ตำรวจระดับพื้นที่ทั่วประเทศ

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวถึงที่มาของโครงการว่า จากสถานการณ์อาชญากรรมที่รุนแรงขึ้น คนร้ายมักมีพฤติกรรมต่อต้านการจับกุม และใช้อาวุธเป็นเครื่องมือก่อเหตุ ทำให้ตำรวจแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็นสายตรวจ สายสืบ หรือแม้แต่สายจราจร ต่างมีความเสี่ยงสูง จำเป็นต้องมีทักษะยุทธวิธีและการใช้อาวุธปืนที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ หลักสูตรฝึกอบรมจึงเข้มข้น ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้การใช้อาวุธปืนประจำกายให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง การวิเคราะห์ความเสี่ยง การบริหารพื้นที่ การจัดวางกำลัง รวมถึงการฝึกยิงกระสุนจริงในระยะต่าง ๆ ภายใต้มาตรการความปลอดภัยขั้นสูง พร้อมฝึกการจัดสนามยิงและควบคุมผู้ฝึกอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังใช้เทคนิค “การจำลองสถานการณ์” (Scenario-based training) เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในสนามจริง เป้าหมายสำคัญของโครงการคือการสร้าง “ครูฝึกต้นแบบ” ที่สามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดต่ออย่างมีมาตรฐาน ครอบคลุม และปลอดภัย โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างครูฝึกระดับกองบัญชาการ (ครู ก.) และระดับกองบังคับการ (ครู ข.) เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องทั่วทุกหน่วยในประเทศ

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า แม้ภารกิจจะแตกต่างกัน แต่เป้าหมายของตำรวจทุกนายคือความปลอดภัยของประชาชน การฝึกยุทธวิธีที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้การใช้อาวุธเป็นไปอย่างมืออาชีพ มีสติ มีวินัย ลดการสูญเสีย และเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเชื่อมั่นว่า โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการยกระดับศักยภาพตำรวจไทยทุกสายงาน พร้อมรับมือภัยคุกคามที่ซับซ้อน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนอย่างมั่นคงและยั่งยืน

‘กิตติรัตน์’ ยก นายกฯอิ๊งค์ จิตใจดีหวังคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเจรจา ผิดกับอดีตนายกฯเขมร และรองนายกฯไทย ที่หวังเพียงร่วม “ตีกิน”

‘กิตติรัตน์’ ยก นายกฯอิ๊งค์ จิตใจดีหวังคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเจรจา ผิดกับอดีตนายกฯเขมร และรองนายกฯไทย ที่หวังเพียงร่วม “ตีกิน”

กัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาต 2 เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ กล่าวหาละเมิดจรรยาบรรณ-ขัดข้อตกลงกับรัฐซ้ำซาก

เมื่อวันที่ (18 มิ.ย 68) กระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชาได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตสื่อออนไลน์ 2 แห่ง ได้แก่ fourpowers.asia และ sim-news.com โดยระบุว่าทั้งสองเว็บไซต์กระทำผิดร้ายแรง ฝ่าฝืนกฎหมายสื่อมวลชน และละเมิดข้อตกลงทางธุรกิจที่ได้ทำไว้กับรัฐ

คำสั่งดังกล่าวลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสาร นายเนตร ภัคตรา โดยให้เหตุผลว่า การเพิกถอนใบอนุญาตเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมกิจการสื่อ เพื่อรักษามาตรฐานและความน่าเชื่อถือของวงการข่าวสารในประเทศ

แม้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของเนื้อหาที่ละเมิด แต่กระทรวงชี้ว่า ทั้งสองเว็บไซต์มีพฤติกรรมผิดซ้ำซากและไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือนก่อนหน้า จึงจำเป็นต้องยุติการดำเนินงานอย่างถาวร

ทั้งนี้ สถานการณ์เสรีภาพสื่อในกัมพูชายังคงน่าเป็นห่วง โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ปิดหรือควบคุมสื่ออิสระหลายแห่ง พร้อมจำกัดการเข้าถึงสื่อจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังมีการใช้กฎหมายในลักษณะคุกคามสื่อและนักข่าว ซึ่งนำไปสู่การจัดอันดับเสรีภาพสื่อของกัมพูชาในระดับต่ำจากหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น Human Rights Watch, RSF และ Freedom House


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top