Wednesday, 18 June 2025
ค้นหา พบ 48873 ที่เกี่ยวข้อง

รัสเซีย ส่งคืนร่างทหารยูเครน 6,060 ราย สวนทางยูเครน ส่งคืนให้รัสเซียเพียงแค่ 78 ราย

(18 มิ.ย.68) สื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า ทางการยูเครนได้รับร่างของทหารที่เสียชีวิตในสงครามรัสเซีย-ยูเครน อีก 1,245 ร่าง เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นการส่งมอบร่างผู้เสียชีวิตรอบสุดท้ายตามที่ตกลงไว้ในการเจรจาที่อิสตันบูล ประเทศทูร์เคีย

ขณะที่ทางด้าน วลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้นำคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายรัสเซีย เผยว่า รัสเซียได้ส่งคืนร่างทหารยูเครน 6,060 นาย และยูเครนได้ส่งร่างทหารรัสเซียกลับคืนมา 78 ราย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การแลกเปลี่ยนร่างทหารที่เสียชีวิตครั้งนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่สื่อตะวันตก และ ยูเครน อ้างว่าทหารรัสเซีย เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ยูเครนไม่สามารถนำมาแลกกันในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ทำได้เพียงการส่งคืน 78 ร่างเท่านั้น

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'สุดซอย' บุกรง. ลอบซุกขยะพิษ 8 พันตัน ปฏิบัติการชักปลั๊กทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญ

‘เอกนัฏ’ ทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญปราจีนบุรี พบลอบประกอบกิจการ ซุกขยะพิษ-วัตถุอันตรายกว่า 8,000 ตัน ปล่อยเช่าที่ตั้งโกดังแบบผิด กม.รัวๆ แจ้งความดำเนินคดีเด็ดขาด พร้อมชงเรื่อง 'ดีเอสไอ' รับเป็นคดีพิเศษ

(18 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัท เซ็ตเมทอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 301 หมู่ที่ 3 ตำบลกรอกสมบูรณ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะ เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง ซึ่งก่อนหน้านี้โรงงานถูกคำสั่งให้ปิดปรับปรุงชั่วคราว เนื่องจากประกอบกิจการไม่ตรงตามใบอนุญาต แต่มีรายงานว่ายังคงลักลอบประกอบกิจการ จึงให้ทีมสุดซอยเข้าตรวจสอบ 

“จากการตรวจสอบภายในบริษัท เซ็ตเมทอลฯ พบการกระทำความผิดหลายกรณี ทั้งลักลอบประกอบกิจการเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ครอบครองวัตถุที่เข้าข่ายวัตถุอันตรายถึงกว่า 8 พันตัน ทั้งยังมีพฤติกรรมตั้งตนเป็นนิคมศูนย์เหรียญ ซึ่งได้สั่งให้ปิดกิจการและดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทันที” นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า ภายในพื้นที่ บริษัท เซ็ตเมทอลฯ ที่มีนางจันจิรา สุขสถิต และนายหยู-ลี่ หยาง จดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัทฯ มีการแบ่งโกดังรวม 7 หลัง ทั้งส่วนที่มีใบอนุญาตโรงงานและส่วนที่ไม่พบใบอนุญาต ขณะเข้าตรวจสอบ พบว่ามีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ซึ่งถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งระงับกิจการชั่วคราว และพบเศษสายไฟ ชิ้นส่วนระบบไฟฟ้ารถยนต์ เศษโลหะปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน ถือเป็นการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีข้อมูลด้วยว่า มีรถบรรทุกขนย้ายเศษอิเล็กทรอนิกส์เข้า-ออกโรงงานเฉลี่ยเดือนละกว่า 230 คัน 

“ตามลักษณะถือเป็นนิคมศูนย์เหรียญอย่างชัดเจน มีการแบ่งพื้นที่ให้เอกชน 7 ราย ซึ่งเป็นชาวจีนและชาวไต้หวัน เช่าประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งดำเนินคดีในข้อหาประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต, การขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมให้มีการยึดอายัดของกลางทั้งหมดไว้” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

บริษัท เซ็ตเมทอลฯ มีการเช่าพื้นที่ของ บริษัท พีทีเอส โกลเด้น เมทัล จำกัด ที่ไม่ได้มีการประกอบกิจการแล้ว จัดแบ่งเป็น 2 ส่วน ให้ชาวจีน 2 บริษัทเช่าช่วงเพื่อประกอบกิจการคัดแยกเศษโลหะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ไม่ได้รับอนุญาต ได้แก่ เศษโลหะ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า เศษสายไฟ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน สอจ.ปราจีนบุรี ได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนในส่วนขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำการยึดอายัดเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และกากของเสียไว้ทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการและครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และเนื่องจากทั้ง 2 พื้นที่มีการครอบครองวัตถุอันตรายเกิน 50 ตัน ซึ่งเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ที่จะนำส่งไปให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อพิจารณาต่อไป 

“ขณะนี้ ทีมสุดซอย ได้สรุปข้อมูลการพิจารณาทบทวนการออกใบอนุญาตโรงงานประเภทรีไซเคิลที่อาจจะมีมากเกินความจำเป็น และเพื่อเป็นการกำจัดและป้องกันการสร้างอาณาจักรศูนย์เหรียญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพกับชุมชนและประเทศไทย” นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

'ชาวกัมพูชา' ชุมนุมแสดงพลังกลางกรุงพนมเปญ ย้ำจุดยืนรักษาดินแดน - ต่อต้านผู้รุกราน

(18 มิ.ย.68) กระทรวงข้อมูลข่าวสารฯกัมพูชา ได้ถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊ก "ក្រសួងព័ត៌មាន - Ministry of Information" ที่มีผู้ติดตาม 1.4 ล้านคน เผยแพร่ภาพของพลเมืองชาวกัมพูชาได้ออกมาแสดงพลังรักชาติ พร้อมสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลในการป้องดินแดนกัมพูชา โดยประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมพากันโบกธงชาติกัมพูชา พร้อมถือรูป 'สมเด็จฮุน เซน' และรูปนายกรัฐมนตรี 'ฮุน มาเนต' รวมพลังเต็มพื้นที่ชุมนุม ย้ำจุดยืนต่อต้านผู้รุกรานดินแดน

ด้าน สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ภาพระบุข้อความว่า เป็นการมีส่วนร่วมของชาวกัมพูชา ในการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืน กัมพูชาไม่ต้องการดินแดนของผู้อื่นแม้แต่ 1 มิลลิเมตร แต่จะปกป้องดินแดนกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ใครมาล่วงล้ำแม้เพียง 1 มิลลิเมตร เช่นกัน

ส่วนทางสำนักข่าวท้องถิ่นได้รายงานว่า นายฮุน มาณี ลูกชายของฮุนเซน จะเป็นผู้นำในการเดินขบวนในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกองทัพ และส่งเสริมความรักชาติ ในกรุงพนมเปญ

รัชกาลที่ 4 ทรงแต่งตั้งพระนโรดมเป็น ’กษัตริย์เขมร’ พร้อมตั้งชื่อให้เลือก - ให้อยู่ในกรอบของสยามไม่ใช่เอกราช

รู้หรือไม่? 'กรุงเทพฯ' เป็นคนตั้ง 'กษัตริย์เขมร'
เรื่องนี้ไม่ใช่เล่าเล่น ๆ นะครับ มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนจากสมัย รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงสยาม ที่พระองค์ทรง ตั้งองค์พระนโรดม ให้เป็น 'เจ้ากรุงกัมพูชา' แต่ต้องเป็นกษัตริย์ที่ อยู่ในบังคับบัญชา ของกรุงเทพฯ เท่านั้น ในเอกสารราชการเขียนไว้ชัดว่า...

> “ให้มีอำนาจอิศริยศ เป็นอธิบดีบ้านเมืองฝ่ายเขมรทั้งปวง บรรดาที่องค์สมเด็จพระหริรักษารามมหาอิศราธิบดีผู้พระบิดา ได้ครอบครองเป็นใหญ่ใต้บังคับบัญชา…”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ พระนโรดมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เขมรแทนพ่อ แต่จะทำอะไรก็ต้องอยู่ใต้คำสั่งหรืออนุญาตจากกรุงเทพฯ จะตั้งขุนนาง จะตั้งข้าราชการในเมืองไหนก็ได้ แต่ต้องรักษาน้ำใจและแสดงความนอบน้อมต่อพระมหากษัตริย์ไทยและเพื่อให้เป็นทางการ พระเจ้าแผ่นดินไทยยังเขียนพระนามเต็ม ๆ มาให้พระนโรดมเลือกเอง 2 แบบ (ชื่อยาวมาก ขนาดพระยังเลือกได้เองว่าอยากใช้ชื่อไหน!) หนึ่งในชื่อที่ส่งไปให้เลือกมีความว่า:

> “องค์สมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวดารคุณ สารสุนทรฤทธิ์ มหิศวราธิบดี... พระเจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี พระปรีชาวิเศษ”

แล้วก็มีบทสอนคุณอีกยาวเหยียดให้ปกครองคนเขมรให้ดี อย่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน รู้จักแยกแยะเรื่องของบ้านเมืองให้อยู่รอด อย่าให้เสียการปกครอง แล้วก็ให้ซื่อสัตย์กับกรุงเทพฯ เหมือนที่พ่อเขาทำมาก่อน

ที่สำคัญ ตอนท้ายของเอกสารยังมีคำอวยพรว่า ขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทวดาทั้งหลายคุ้มครองพระนโรดมให้มีความสุขด้วย

สรุปสั้น ๆ แบบชาวบ้าน กษัตริย์เขมรไม่ได้ขึ้นมาเองนะ กรุงเทพฯ ตั้งให้เขมรเคยเป็นเมืองในบังคับของสยาม มีเจ้าเมืองก็ต้องขอกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งพระนโรดมขึ้นเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา พร้อมตั้งชื่อให้เลือก และ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของสยาม ไม่ใช่เอกราช

บทความนี้ไม่ได้จะไปดูถูกใครนะครับ แต่เขียนเพื่อให้เข้าใจตาม หลักฐานราชการโบราณ ที่มีอยู่จริง เราไม่ได้ใส่สีตีไข่ แค่เล่าให้เข้าใจง่ายว่าในอดีตใครเป็นใคร ใครตั้งใคร และใครอยู่ใต้อำนาจใคร

‘อ.เจษฎา‘ แชร์ข่าวเก่าย้อนวิกฤตการบินไทยขาดทุนหนัก ชี้ชัด เหตุผลหลักเข้าฟื้นฟูกิจการเพราะรัฐบาลประยุทธ์ทำเจ๊งเอง

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า...

ในวันที่การบินไทย ต่อสู้อย่างหนัก จนฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ ... จนศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการการบินไทยแล้ว

ก็มีคนโพสต์ทวงคุณความดีของ ประยุทธ์ ที่เป็นคนอนุมัติให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย หลังจากอัดฉีดเงินช่วยเหลือมาหลายทีมากแล้ว

เลยเอาข่าวเก่ามาให้อ่านกัน ว่าทำไมตอนนั้น รัฐบาลประยุทธ์ถึงต้องให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนขอฟื้นฟูกิจการ หึๆๆ

พร้อมทั้งได้แชร์ข่าวจาก mgronline ที่ระบุว่า
"ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การบินไทยก็เดินเข้าสู่ปากเหวของความหายนะอย่างต่อเนื่องโดยขาดทุนติดต่อกันสามปี ในปี ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ และ ๒๕๕๘ จำนวน ๑๒,๐๔๗ ล้านบาท ๑๕,๖๑๒ ล้านบาท และ ๑๓,๐๖๘ ล้านบาท ตามลำดับ 

และแม้ว่าในปี ๒๕๕๙ จะมีกำไรเล็กน้อย ๑๕ ล้านบาท แต่ก็หวนกลับสู่ภาวะการขาดทุนอย่างมหาศาลอีกครั้งในปี ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๐๗๒ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๑ ขาดทุนเพิ่มเป็น ๑๑,๖๐๕ ล้านบาท และในปี ๒๕๖๒ ขาดทุนถึง ๑๒,๐๔๐ ล้านบาท

หากนำผลการประกอบการของการบินไทยพิจารณาร่วมกับกลุ่มอำนาจที่บริหารประเทศ ภาพที่เราเห็นคือ ในปี ๒๕๕๗ ถึง ๒๕๖๒ เป็นยุคที่ #คสช.ครองอำนาจและมี “#พลเอกประยุทธ์ #จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี การบินไทยขาดทุนรวม ๕๔,๓๘๒ ล้านบาท

ส่วนในปี ๒๕๕๑ ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ เป็นยุคที่รัฐบาลกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ขาดทุนรวม ๒๗,๑๙๗ ล้านบาท ขณะที่ระหว่างปี ๒๔๕๒ ถึง ๒๕๕๔ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับกำไรรวม ๑๑,๘๙๑ ล้านบาท

ภาพหนึ่งที่เราเห็นคือ รัฐบาลเผด็จการทหาร และรัฐบาลเลือกตั้งของกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ที่มีองค์ประกอบของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองสูงมีความสัมพันธ์กับภาวะการขาดทุนของการบินไทยทั้งคู่ เพียงแต่สมัยที่รัฐบาลเผด็จการทหารบริหารประเทศ ดูเหมือนว่าการบินไทยขาดทุนสูงกว่ารัฐบาลกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ประมาณ 2 เท่า"

(จนคณะรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจลงมติให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นขอฟื้นฟูกิจการภายใต้ พ.ร.บ. ล้มละลาย ปี 2563 ) 

(ข่าวจาก https://mgronline.com/daily/detail/9630000050799 )


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top