Tuesday, 17 June 2025
ค้นหา พบ 48860 ที่เกี่ยวข้อง

‘ฮุนเซน’ เดือด! ประกาศ ‘สนธิ’ คือศัตรูกัมพูชา ลั่นอย่ามาเย่อหยิ่ง ตนยังมีอำนาจ พร้อมเตือน ‘จตุพร’ เจียมตัวหน่อย เพราะเคยหนีมาหลบภัย

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.68) สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา รายงานว่า สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ส่งสารทางการเมืองถึงชาวกัมพูชา ไม่ให้หัวรุนแรงเหมือนกลุ่มคนไทยในกรุงเทพฯ ที่ถูกยุยงโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มเสื้อเหลือง และได้แนะนำให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงที่เข้าร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ใจเย็นกว่านี้หน่อย เพราะเคยไปขอหลบภัยกับสมเด็จฮุนเซนมาก่อน

สมเด็จฮุนเซนแถลงในสารพิเศษเมื่อเช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในการประชุมวุฒิสภาว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นศัตรูกับชาติกัมพูชา โดยมองว่าเขมรเป็นศัตรูตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จฮุนเซนเตือนว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รู้เลยหรือ ตอนนี้แม้ฮุนเซนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ฮุนเซนยังคงกุมอำนาจในกัมพูชาอย่างมั่นคง โปรดอย่าเข้าใจผิด ฮุนเซนยังไม่สูญเสียอำนาจ คุณต้องรู้จักตำแหน่งเดโชที่กษัตริย์มอบให้ อย่าเย่อหยิ่งกับกัมพูชาและดูถูกกัมพูชา”

สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่าเขาปกครองและมีส่วนสนับสนุนการปกครองกัมพูชามาเป็นเวลา 47 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ควรจะรู้ว่าเขาเป็นใครจริง ๆ

ฮุนเซนกล่าวอีกว่า “และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเคยลี้ภัยในกัมพูชาและตอนนี้ร่วมมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อยน้อง ตอนแรกคุณซึ่งเป็นคนเสื้อแดงวิ่งมาลี้ภัยที่นี่ ตอนนี้คุณเริ่มโจมตีกัมพูชา โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อย คุณรู้ถึงความสามารถของฮุนเซน คุณเคยลี้ภัยกับผม ผมให้คุณกิน ผมเคยเลี้ยงดูคุณ”

สมเด็จฮุนเซนยังตอบโต้ข้อเรียกร้องของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ว่าประเทศไทยควรโจมตีกัมพูชาและยึดนครวัดและแลกเปลี่ยนกับปราสาทพระวิหาร โดยบอกว่า “กัมพูชาไม่ใช่ของบริโภคง่าย ๆ คุณกำลังมองกัมพูชาผิด”

อิหร่านเตือนด่วน! สั่งอพยพประชาชน จ่อถล่มเป้าหมายในดินแดนที่อิสราเอลยึดครอง

หน่วยพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) ออกแถลงการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันจันทร์ (17 มิ.ย.) ประกาศเตรียมเปิดฉากโจมตีทางอากาศ 'อย่างแม่นยำ' ต่อเป้าหมายในดินแดนที่ถูกอิสราเอลยึดครอง พร้อมเตือนให้ประชาชนอพยพออกจากเมืองต่าง ๆ ทันที

คำเตือนระบุว่า “สิ่งอำนวยความสะดวก เมือง หรือศูนย์กลางใด ๆ ในดินแดนยึดครองจะถือเป็นเป้าหมายทางทหารที่ชอบธรรม” พร้อมระบุว่าเหตุโจมตีจะเริ่มขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ในรายงานเพิ่มเติม มีการเปิดเผยว่าหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของอิหร่านคือเมืองไฮฟา (Haifa) ซึ่งมีถังเก็บแอมโมเนียมไนเตรทขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หากถูกโจมตี อาจเกิดแรงระเบิดรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิด TNT จำนวนกว่า 3,500 ลูก

‘ลุงตู่’ ผู้เคยถูกปรามาสเป็นเพียง ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ แต่การตัดสินใจในวันนั้นทำให้ ‘การบินไทย’ ได้ฟื้นอีกครั้ง

(17 มิ.ย. 68) ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยส่งให้เข้าสู่ กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้การบินไทยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาล เพื่อฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ การตัดสินใจให้การบินไทย เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการโดยไม่เข้าสู่สถานะล้มละลายที่จะทำให้พนักงาน 20,000 คน ถูกลอยแพ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินการให้การบินไทยดำเนินการต่อได้ จึงให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองของศาลและเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ โดยศาลจะแต่งตั้งมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการการบินไทย

ในครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำว่า “ผมคาดหวังว่าเมื่อมีอาชีพเข้ามาบริหารจัดการแล้วการบินไทยจะกลับมาเป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นวิธีการเดียวที่การบินไทยจะประกอบกิจการต่อได้ พนักงานการบินไทยจะได้มีงานทำ การปรับโครงสร้างการบินไทยที่ควรสำเร็จมานานก็จะเกิดขึ้นได้ในการการเข้าสู่ระบบ นั่นคือการตัดสินใจของผมและเป็นสิ่งที่รัฐบาลยึดมั่นปฏิบัติกับการบินไทย”

หลังระยะเวลาผ่านไป 5 ปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ภายหลังประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ 
(1) การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 
(2) การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด 
(3) การมี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท (เดือน เมษายน ปี 2567 ถึง มีนาคม ปี 2568) ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ  และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน 
(4) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568  โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

แน่นอนว่า ความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ในครั้งนี้ส่วนสำคัญย่อมมาจากความร่วมแรงร่วมใจด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท อดทน และเสียสละของผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า อดีตพนักงาน และพนักงานปัจจุบันของบริษัทฯ ทุกคน ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ตลอดจนพัฒนาการต่างๆ ที่บริษัทฯ ดำเนินการผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปรามาสว่าเป็น ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ ไม่ยืนกรานที่จะนำการบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในวันนั้น การบินไทยก็คงกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายไปแล้ว และคงเป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสได้เชิดหัวเทคออฟอีกครั้ง...

ยูเครนเริ่มขายทรัพยากรชาติภายในประเทศ เปิดทางสหรัฐฯ ถือสิทธิ์ พัฒนาแหล่งแร่ Dobra

(17 มิ.ย. 68) รัฐบาลยูเครนเริ่มเดินหน้าเปิดประมูลพัฒนาแหล่งแร่ลิเทียม Dobra หนึ่งในแหล่งทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ในเขตโนโวยูเครนกา (Novo Ukrainskii) ภูมิภาคคิรอโวห์ราด (Kirovohrad) ห่างจากกรุงเคียฟราว 300 กิโลเมตร การดำเนินการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ลงนามกับสหรัฐฯ เมื่อ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนระหว่างสงคราม

ภายใต้ข้อตกลงนี้ รายได้จากการขุดแร่จะถูกแบ่งเท่า ๆ กันระหว่างรัฐบาลยูเครนและกองทุนร่วมทุนที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุน โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยูเครนหลังสงคราม พร้อมกับลดการพึ่งพาจีนในแร่ลิเทียมและแร่กลุ่มวิกฤตในตลาดโลก

ผู้ประมูลที่น่าจับตาได้แก่บริษัท TechMet ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้นบางส่วน และ โรนัลด์ ลอเดอร์ (Ronald S. Lauder) มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งคู่เตรียมยื่นข้อเสนอในรูปแบบสัญญาแบ่งผลผลิตระยะยาว ซึ่งจะมอบสิทธิ์การพัฒนาและปันผลให้แก่ทุกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่าการเร่งเปิดทรัพยากรธรรมชาติอาจเสี่ยงต่อปัญหาความโปร่งใส ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย และต้องอาศัยเวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถเริ่มการผลิตได้จริง เนื่องจากยูเครนยังต้องอัปเดตข้อมูลทางธรณีวิทยาและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากสงคราม

เรียกร้องประชาคมโลก จัดการรัฐบาล-ตระกูลผู้นำกัมพูชา หลังรายงานชี้ชัดมีเอี่ยวฟอกเงิน - อาชญากรรมข้ามชาติ

แถลงการณ์ในนามประชาชนไทย
ถึงประชาคมโลก

(17 มิ.ย. 68) เรื่อง การเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อรัฐบาลกัมพูชาและตระกูลผู้นำที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนไทยผู้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ความยุติธรรม และความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอใช้โอกาสนี้ในการส่งสารไปยังสหประชาชาติ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาคมโลก เพื่อแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของรัฐบาลกัมพูชาและเครือข่ายอำนาจที่ปกครองประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของตระกูลฮุน เซน และผู้ใกล้ชิด ได้สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมระดับโลก ทั้งในรูปของการฟอกเงินและสนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายผ่านบริษัทอย่าง Huione Group ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ และบริษัท Elliptic ที่วิเคราะห์บล็อกเชน พบว่า Huione Group และแอปพลิเคชัน Huione Pay ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการโอนเงินผิดกฎหมายจากขบวนการ แฮกเกอร์, กลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง การค้ามนุษย์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ใน Telegram ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการโฆษณาและติดต่อของเครือข่าย Huione มีการพบกลุ่มนายหน้าหลายร้อยกลุ่มที่เสนอ “บริการจัดหาแรงงาน” ซึ่งแท้จริงแล้วคือการบังคับคนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย ให้ทำงานเป็น สแกมเมอร์ในสภาพบังคับ และยังมีผู้หญิงจำนวนมากถูกนำไป Human Trafficking  เช่น ค้าประเวณี หรือ บังคับถ่ายทำภาพยนตร์ลามก

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดมาจากกลุ่มทุน(จีนเทาโพ้นทะเล) ที่หนีการปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะภายใต้นโยบายเข้มงวดของสี จิ้นผิง พวกเขาเลือกย้ายฐานมายังประเทศกัมพูชา ที่เปิดรับการลงทุนจีนโดยแทบไม่มีเงื่อนไข เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้จึงกลายเป็นแหล่งตั้งรกรากใหม่ของกิจกรรมผิดกฎหมาย ทั้งสแกม ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ โดยรัฐบาลกัมพูชาแห่งยอมผ่อนปรนเพื่อแลกกับรายได้ เหมือนภาพซ้ำของจีนโพ้นทะเลในอดีตที่ตั้งอั๊งยี่และค้าฝิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยุคนี้ซับซ้อนและอันตรายกว่าหลายเท่า

จากสถิติของ United Nations Inter-Agency Project on Human Trafficking (UNIAP) พบว่า การค้ามนุษย์จากต่างประเทศในกัมพูชา เพิ่มขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 400 เลยทีเดียว

งานวิจัย Behind Closed Doors: Debt-Bonded Sex Workers in Sihanoukville, Cambodia โดย ลาริสซา แซนดี (Larissa Sandy) ระบุว่า อาชญากรรมด้าน "กามารมณ์" คือรูปแบบการค้ามนุษย์อันดับ 1 ที่เกิดขึ้นใน เมืองสีหนุวิลล์

หญิงขายบริการจำนวนมากเป็น “โสเภณีขัดดอก” ที่ต้องใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทนตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว โดยไม่มีเสรีภาพหรือทางเลือกใดในการหลีกหนี

ระบบดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้สายตาของรัฐ ด้วยการเอื้อพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เครือข่ายนายทุนและอิทธิพลดำเนินการโดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง

นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่ในเครือบริษัทดังกล่าว เช่น ฮุน โต ลูกพี่ลูกน้องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ระดับภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชากลับไม่เพียงละเลย แต่ยังมีพฤติกรรมส่อว่าให้ ความคุ้มครองทางอ้อม แก่เครือข่ายเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาตของ Huione Group ในลักษณะที่เป็นการ “ปลดเปลื้องภาระทางกฎหมาย” มากกว่าการเอาผิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียงการเตรียมการ “ควบรวมบริษัท” มากกว่าการยุติกิจกรรมอาชญากรรม

ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับภายในประเทศ หากแต่ได้ขยายตัวเป็นพฤติกรรมของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกรณี การลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยทางการเมืองและถือสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตกลางกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 กรณีนี้ชี้ชัดถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม แม้จะอยู่ในต่างแดน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ คนร้ายได้หลบหนีเข้ากัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชากลับไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างจริงจัง สะท้อนท่าทีที่ไม่เพียงละเลยต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการสนับสนุนมือปืนและการก่อการร้ายทางการเมืองข้ามชาติอย่างชัดเจน

ล่าสุด รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อกล่าวโทษไทยในข้อพิพาทชายแดน โดยพยายามแสดงตนว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่ความจริงคือ ไทยไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ ตรงกันข้าม กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มยั่วยุ เช่น การขุดแนวรบในพื้นที่พิพาทซึ่งเป็นต้นเหตุของการปะทะ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงน่ากังวลว่าเป็นแผนยั่วยุเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโลกจากความเป็น “รัฐอาชญากรรม” ที่กัมพูชากำลังถูกมองว่าเป็นอยู่

ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อประชาคมโลกว่า แท้จริงแล้ว กัมพูชาควรอยู่ในฐานะ “โจทก์” หรือ “จำเลย” กันแน่
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้:

ประชาคมโลกตรวจสอบ และพิจารณาดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ กับผู้นำและเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติจากกัมพูชา โดยเฉพาะในระดับศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

ประเทศสมาชิกสหประชาชาติพิจารณามาตรการทางการทูตและการเงิน ต่อหน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และการค้าประเวณี

องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้ามาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานกับภาคประชาสังคมในภูมิภาคเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัย นักกิจกรรม และประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า หากละเลยพฤติกรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่โดยไม่ถูกตรวจสอบและลงโทษ ย่อมเป็นการเปิดทางให้ ความชั่วร้ายแฝงเร้นในคราบของรัฐเผด็จการดำรงอยู่ต่อไป และอาจลุกลามกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกในที่สุด ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์
ประชาชนไทยผู้รักสันติภาพและยืนหยัดต่อความยุติธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top