Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48906 ที่เกี่ยวข้อง

‘วินทร์ เลียววาริณ’ ยก ‘พล.อ.เปรม’ ต้นแบบผู้นำชาติ ไร้คำหวาน - ไม่ต้องพูดมาก - แต่ไม่มีทางก้มหัวให้ผู้รุกราน

(19 มิ.ย.68) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ไม่ทุกคน ไม่ทุกฝ่ายรัก พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้นำไทยทุกยุคหลังจากนั้นสามารถเรียนรู้จากท่านคือ การรู้จักเงียบ

ทว่าไม่มีใครเรียนรู้

นี่เป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของ พล.อ. เปรม ชาว Minimalist ทางการเมืองตัวจริง พูดน้อยที่สุด พูดเท่าที่จำเป็น เมื่อจำเป็นก็ลงมือเชือดนิ่ม ๆ จนท่านได้รับฉายาว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา

สิ่งหนึ่งที่ผมถามตัวเองเสมอก็คือ ทำไมผู้นำไทยยุคหลัง พล.อ. เปรมไม่รู้จักเรียนรู้คุณสมบัติข้อนี้ เพราะส่วนมากยิ่งพูดยิ่งโชว์โง่

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฝ่ายไทยพบว่าเวียดนามเคลื่อนกำลังทหารผิดปกติ เสนาธิการไทยรวมทั้ง พล.อ. เปรมอ่านออกว่าเวียดนามกำลังจะตีเขมร

ตอนนั้น เฮง สัมริน และฮุนเซน แกนนำเขมรแดงที่ถูกการเมืองภายในเล่นงาน ถูกคำสั่งฆ่าของพลพต หนีไปเวียดนาม แล้วตกลงกับเวียดนามให้ยกทัพมาโค่นล้มพลพต

ถ้าเวียดนามเข้าไปกำจัดเขมรแดง ชาวโลกก็ไม่ว่าอะไร เพราะพลพตโหด ฆ่าคนเป็นล้าน ปัญหาคือประเทศไทยมีเส้นพรมแดนติดเขมรถึงแปดร้อยกิโลเมตร ถ้าเวียดนามบุก ชาวเขมรหลายแสนคนจะอพยพเข้ามาที่ชายแดนไทย หรือเข้าเขตไทย เวียดนามอาจฉวยโอกาสนี้เข้ามาเปลี่ยนไทยเป็นคอมมิวนิสต์

แล้วก็จริงตามนั้น วันคริสต์มาสปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เวียดนามยกทัพเต็มอัตราศึกด้วยกำลังทหาร  ๑๕๐,๐๐๐ คน โค่นรัฐบาลเขมรแดงสำเร็จในสองอาทิตย์

เวียดนามใช้ เฮง สัมริน และฮุนเซนเป็นหมากรุกรานกัมพูชา โค่นรัฐบาลพลพต ตั้งรัฐบาลหุ่น People’s Republic of Kampuchea (PRK) เฮง สัมริน ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติประชาชนและผู้นำ ส่วนฮุนเซนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และในเวลาต่อมาก็เขี่ย เฮง สัมริน แล้วก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

เขมรพลันแตกแยกเป็นสี่ก๊ก ก๊กที่หนึ่งคือรัฐบาลกัมพูชาของ เฮง สัมริน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเวียดนาม ฐานอยู่ที่พนมกระวันและตะวันตกของพระตะบอง กำลังคนราวสี่หมื่นคน

ก๊กที่สองคือกลุ่มเขมรแดงของ พลพต และเขียว สัมพันธ์ มีกำลังราวสี่หมื่นคน ก๊กที่สามคือกลุ่มซอนซาน มีกำลังราวสี่พันคน ก๊กที่สี่คือกลุ่มสมเด็จนโรดม สีหนุ 

สามก๊กหลังรวมกันเรียกว่า Three United Resistance ต่อต้าน เฮง สัมริน และเป็นเป้าหมายการปราบปรามของเวียดนามกับ เฮง สัมริน 

ทัพเวียดนามและเขมร เฮง สัมริน กวาดล้างกลุ่มต่อต้าน ไล่ล่าเขมรแดงมาถึงชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย

ข่าวกรองบอกว่าเวียดนามเสนอความคิดแก่ พคท. ให้ยืมทหารเข้ายึด ๑๗ จังหวัดภาคอีสานของไทย แล้วประกาศเป็นรัฐใหม่

ค่ำวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๓ กำลังเวียดนามและ เฮง สัมริน ยกกำลังสองกองร้อย โจมตีค่ายอพยพที่ชายแดนอรัญประเทศพร้อมกัน ตีค่ายอพยพบ้านหนองจาน บ้านโนนหมากมุ่น อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี และอีกหลายหมู่บ้าน

ฝ่ายไทยทราบเรื่อง กำลังฝ่ายไทยที่คุ้มครองหมู่บ้านโนนหมากมุ่นบุกไปชิงพื้นที่คืน แต่ถูกฝ่ายเวียดนามถล่ม เสียชีวิตหลายคน

ทัพไทยยึดบ้านโนนหมากมุ่นคืนได้ในเวลา ๑๕.๔๕ น. ข้าศึกตายหลายสิบคน ทหารไทยตาย ๑๒ นาย แต่สามารถผลักดันกำลังเวียดนามออกไปในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๓

ห้าวันต่อมาคือ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พาคณะทูตานุทูตไปดูบริเวณชายแดนปราจีนบุรีและวัฒนานคร เห็นหมวกกะโล่และดาวแดง บอกว่าเป็นพวกเวียดนาม

ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถาม พล.อ. เปรมว่า “ทำไมทหารไทยรุกเข้าไปในเขตแดนเขมรถึงหกกิโลเมตร?”

พล.อ. เปรมตอบเรียบ ๆ ว่า “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร นอกจากเวียดนามจะรุกล้ำแผ่นดินไทย ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”

หน้าที่ทหารไทยคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน

วันหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้นำไทยได้รับรายงานว่า เวียดนามบุกเนิน ๕๐๐ - ช่องบก หลังจากนั้นยุทธการช่องบกก็ดำเนินไปข้ามปี

เดือนมีนาคม ๒๕๓๐ การรบทวีความรุนแรงขึ้น จนเมื่อทหารไทยบุกประชิด มันก็กลายเป็นการรบแบบตะลุมบอน ใช้ดาบปลายปืน เลือดอาบแผ่นดินไทย

ไทยรบกับข้าศึกมาตลอด จนถึงจุดหนึ่ง ไทยก็ใช้กลยุทธ์ทำสงครามจรยุทธ์ ใช้กำลังทหารพรานกลุ่มเล็กออกล่าพวกเวียดนามในตอนกลางคืน ลอบเข้าไปในเขตฐานของเวียดนาม ฆ่าดักกงเงียบ ๆ ด้วยมีด แล้วหวนกลับมาฐานตอนสาง

ทหารพรานขุดคูเข้าหาฐานศัตรู เหมือนตัวตุ่นดำดินไปหาศัตรูเงียบ ๆ แทรกซึมเข้าไปในแนวข้าศึก ซุ่มโจมตี ตอดเล็กตอดน้อยให้พวกเวียดนามอ่อนกำลังลง ไม่สู้โดยไม่จำเป็น ขนอาวุธตามมา จนเข้าไปใกล้แทบลมหายใจรดต้นคอ สองฝ่ายเห็นหน้ากัน การรบแบบประชิดทำให้ฝ่ายข้าศึกไม่อาจใช้ปืนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ชี้เป้าหมายให้แนวหลังกระหน่ำด้วยปืนใหญ่และเครื่องบินขับไล่จากกองบิน ๔ ตาคลี

การรบที่ช่องบกกินเวลานานตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๘ - ธันวาคม ๒๕๓๐ กองทัพไทยสูญเสียกำลังพล ๑๐๙ นาย บาดเจ็บ ๖๖๔ นาย

พ.ศ. ๒๕๓๒ เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาอย่างถาวร ปิดฉากการรบระหว่างไทยและเวียดนาม หลังจากเวียดนามคุกคามไทยมานานเกือบสิบปี

ประเทศไทยในยุคนั้นเป็นอีกห้วงเวลาหนึ่งที่หวุดหวิดเสียเมืองให้แก่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะกองทัพดำเนินนโยบายถูกจุด แผนการยุทธ์ถูกต้อง และทหารหาญพลีชีพเพื่อแผ่นดิน

ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา บทบาทของทหารบ่อยครั้งออกนอกลู่นอกทาง จนเกิดประโยคคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” แต่เมื่อเกิดวิกฤติร้ายแรงระดับสิ้นชาติ ทหารก็มีไว้เป็นรั้วแรกที่ต้านทานอริราชศัตรูด้วยเลือด

ช่วงเวลานั้นถ้าไม่มีนายทหารเสนาธิการระดับมันสมอง เช่น พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ และนายทหารเสนาธิการอีกหลายคนที่มองการณ์ไกล วางแผนการยุทธ์อย่างรอบคอบ เดินหมากการเมืองระหว่างประเทศอย่างชาญฉลาด รักษาสมดุลระหว่างอำนาจจีนและสหรัฐฯอย่างลงตัว วันนี้ประเทศไทยอาจจะอยู่ใต้ฟ้าดาวแดง

หลายคนร้องเพลงชาติไทยได้ แต่ไม่รู้ความหมายของประโยค "เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่"

และไม่เคยรู้จักคำพูดนี้ของ พล.อ. เปรม “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร... ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”

หน้าที่คนไทยทุกคนคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน ไม่ต้องพูดมาก ไม่มีทางก้มหัวให้ผู้รุกราน

นี่ก็คือบทเรียนที่ผู้นำรุ่นหลังไม่เคยเรียนรู้จากนักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา

21 มิถุนายน พ.ศ. 2526 วันก่อตั้งบริษัท ‘ชินวัตร คอมพิวเตอร์’ จุดเริ่มต้นอาณาจักรเทคโนโลยีของ 'ทักษิณ ชินวัตร'

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2526 นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้ก่อตั้งบริษัท “ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)” ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเพียง 20 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นธุรกิจด้านเทคโนโลยีและโทรคมนาคมในยุคที่ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ต่อมาในปี 2542 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเปลี่ยนชื่อเป็น “ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” หรือ “ชินคอร์ป” โดยขยายธุรกิจครอบคลุมทั้งการสื่อสารดาวเทียมผ่านบริษัทไทยคม, ธุรกิจโทรคมนาคมผ่านบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และธุรกิจสื่อ-โฆษณาอีกหลายแขนง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เมื่อครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ป 49% ให้กับเทมาเส็ก โฮลดิงส์ (Temasek Holdings) กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ มูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษี ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหนึ่งในชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่การรัฐประหารในเดือนกันยายนปีเดียวกัน

ปัจจุบัน 'ชินคอร์ป' ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'อินทัช โฮลดิ้งส์' (Intouch Holdings) และยังคงดำเนินธุรกิจในหลากหลายสาขา เช่น การสื่อสารโทรคมนาคมผ่าน AIS, ดาวเทียมผ่านไทยคม, ธุรกิจการเงิน และการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยบริษัทนี้ยังถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยยุคใหม่

นี่แหละสังคมไทย!! สังคมที่กฎหมายมักจะทำอะไรไม่ได้กับ ‘คนไม่ดีนอกคุก’

(19 มิ.ย. 68) นี่แหละสังคมไทย!! สังคมที่กฎหมายมักจะทำอะไรไม่ได้กับ ‘คนไม่ดีนอกคุก’ บางคน >> ‘เอิร์น วัดใหญ่’ บทเรียนชีวิต!! เปลี่ยน ‘ทรชน’ สู่ ‘สุจริตชน’ l CONTRIBUTOR EP.32

ติดตามเนื้อหาเต็มได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=BSMFXnao5CM&t=640s

22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 วันมรณภาพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระเกจิแห่งวัดระฆังฯ ผู้เปลี่ยนธรรมะให้เข้าถึงใจประชาชน

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มรณภาพบนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก เวลาเที่ยง ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ 20 ปี

สมเด็จโตสมภพในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ณ บ้านไก่จ้น บ้านท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จโตออกธุดงค์ตามป่าเขาเพื่อฝึกจิตอย่างต่อเนื่องถึง 15 ปี ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม และได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์องค์ที่ 5 และท่านยังเป็นผู้ค้นพบคัมภีร์ 'คาถาชินบัญชร' ซึ่งภายหลังกลายเป็นหนึ่งในบทสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยนิยมจนถึงปัจจุบัน

แม้มรณภาพไปนานกว่า 150 ปีแล้ว แต่ชื่อเสียงของสมเด็จโตยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวไทยในฐานะพระเกจิผู้มีปรีชาธรรมลึกซึ้ง มีเมตตาธรรม และเป็นสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ผู้ทรงธรรมที่ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาอย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะพระเครื่อง 'สมเด็จวัดระฆัง' ที่ท่านปลุกเสก ถือเป็นหนึ่งในเบญจภาคีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการพระเครื่องไทย

‘เพชรโกศล’ ทุบกำปั้นปินส์ ซิวแชมป์โลก IBF กลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 50 ในประวัติศาสตร์มวยไทย

(19 มิ.ย. 68) การแข่งขันชิงแชมป์โลกมวยสากล IBF รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท (108 ปอนด์) ที่ว่างลง จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ สังเวียนโอตะ เยเนอรัล ยิมเนเซียม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นการพบกันระหว่าง คริสเตียน อาราเนตา รองแชมป์โลกอันดับ 1 จากฟิลิปปินส์ กับ เพชรโกศล กรีนซึดะ นักชกไทยวัย 25 ปี ดีกรีแชมป์ OPBF

แม้เพชรโกศลจะโดนนับในยกที่ 3 จากหมัดสวนของอาราเนตา แต่จากยก 4 เป็นต้นไป นักชกไทยกลับมาเร่งเกม ใช้ความเร็วและการเข้าวงในอย่างชาญฉลาด ดักต่อยเข้าเป้าอย่างต่อเนื่อง ตลอด 12 ยก จนกรรมการให้คะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ 2-1 (115-112, 113-114, 116-111) คว้าเข็มขัดแชมป์โลกมาครองอย่างยิ่งใหญ่

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เพชรโกศล กลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 50 ของไทย ในประวัติศาสตร์วงการมวยสากลอาชีพ และถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการปลุกกระแสศรัทธามวยไทยบนเวทีโลก หลังจากช่วงที่ผ่านมาไทยห่างหายจากการได้แชมป์โลกไปช่วงหนึ่ง

หลังชก เพชรโกศลเปิดใจว่า “ผมขอขอบคุณแฟนมวยชาวไทยทุกคนที่ส่งแรงใจมาถึงโตเกียว นี่คือความฝันที่เป็นจริง” พร้อมย้ำว่า จะตั้งใจป้องกันแชมป์และพัฒนาฝีมือต่อไป เพื่อเป็นตัวแทนของคนไทยในเวทีระดับโลกอย่างภาคภูมิใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top