เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ
เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ
(19 มิ.ย. 68) ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ดร.ทิลัค โดชิ จากศูนย์วิจัยพลังงาน King Abdullah Petroleum Studies and Research Center ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประเมินว่าหากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรืออาจทะลุ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 10,950 บาท)
ด้าน ดร.คาซี โซฮัก นักเศรษฐศาสตร์พลังงาน ชี้ว่าหากย้อนดูปี 2008 ราคาน้ำมันเคยพุ่งสูงถึง 147 ดอลลาร์ โดยไม่มีความขัดแย้งใหญ่เกิดขึ้น ขณะที่ในปี 1973 ราคาน้ำมันเคยพุ่งขึ้นถึง 300% จากเหตุการณ์คว่ำบาตรน้ำมันระหว่างสงครามยมคิปปูร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดตอบสนองต่อความเสี่ยงทางการเมืองได้อย่างรุนแรงเพียงใด
มาร์ค อายูบ นักวิจัยนโยบายพลังงาน เสริมว่าแม้ไม่เกิดการปิดช่องแคบ แต่หากมีการโจมตีโครงสร้างน้ำมันของอิหร่าน ราคาน้ำมันก็อาจแตะระดับ 80–90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเฉพาะหากมีเป้าหมายที่แหล่งก๊าซสำคัญของอิสราเอล เช่น คาริช หรือ เลวีอาธาน ก็อาจทำให้ราคาขยับขึ้นอีก 5–10 ดอลลาร์
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า ราคาน้ำมันในระดับนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจเร่งให้ฝ่ายต่าง ๆ พยายามหาทางยุติสงครามโดยเร็ว เพื่อควบคุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดพลังงานโดยรวม
(19 มิ.ย. 68) - นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงต่อถ้อยคำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุระหว่างการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล” ก่อนจะชี้แจงภายหลังว่าเป็นเพียง “เทคนิคในการเจรจาทางการทูต”
“หากการกล่าวว่าทหารของชาติเป็นศัตรู คือเทคนิคในการเจรจา แล้วข้อเท็จจริงอยู่ตรงไหน? นี่ไม่ใช่แค่การบั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพ แต่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันหลักของประเทศอย่างร้ายแรง” นายสรรเพชญกล่าว
เขาย้ำว่า กองทัพภาคที่ 2 คือแนวหน้าสำคัญในการดูแลชายแดนและปกป้องอธิปไตยของชาติ การที่ผู้นำรัฐบาลเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความชอบธรรมของกองทัพไทยต่อหน้าผู้นำต่างชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
“นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดกับเพื่อนฝูงในร้านกาแฟ แต่พูดในฐานะผู้นำประเทศ ถ้อยคำที่ใช้จึงมีน้ำหนักและส่งผลสะเทือนกว้างไกล การอ้างว่าเป็นเทคนิคจึงไม่น่าเชื่อถือ และสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่อ่อนแออย่างยิ่ง”
นายสรรเพชญยังกล่าวว่า การใช้ถ้อยคำเช่นนี้ ไม่เพียงสะท้อนความไม่รอบคอบของผู้นำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติ และเสถียรภาพภายในประเทศเอง
“การเจรจาทางการทูตไม่ควรถูกแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของทหารไทย หากสิ่งที่เรียกว่า ‘เทคนิค’ คือการกล่าวหากองทัพของชาติว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลชุดนี้ควรทบทวนตัวเองอย่างจริงจังว่า ยังยืนอยู่ข้างประเทศหรือไม่”
ในช่วงท้าย นายสรรเพชญยังได้กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร โดยย้ำว่า “แม้คำพูดของรัฐบาลจะทำให้เสียขวัญ แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นและขอบคุณทุกท่านที่ยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินอย่างมั่นคงเสมอมา”
(19 มิ.ย. 68) ลีดเดอร์ชิพโพลล์ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “มุมมองต่อสถานการณ์ชายแดน (ไทย–กัมพูชา)” จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คนทั่วประเทศ ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่าง วันที่ 12–18 มิถุนายน 2568 โดยสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกห่วงกังวลของสังคมต่อความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนความไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนนี้
จากผลสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่จำนวนมากถึงร้อยละ 60.13 ระบุว่า “ไม่มีความเชื่อมั่นเลย” ว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะสามารถจัดการปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่อีกร้อย ละ 23.47 ก็ระบุว่า “ไม่ค่อยเชื่อมั่น” โดยมีเพียงส่วนน้อยคือร้อยละ 7.93 ที่ “ค่อนข้างเชื่อมั่น” และเพียงร้อยละ 1.07 เท่านั้นที่ “เชื่อมั่นสูง” ในศักยภาพของรัฐบาล ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเชิงภาวะผู้นำที่นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญท่ามกลางวิกฤตความมั่นคงระหว่างประเทศ
ในทางกลับกัน กองทัพไทยกลับได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากประชาชน โดยร้อยละ 59.73 ระบุว่ามี “ความเชื่อมั่นสูง” ว่ากองทัพจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ชายแดนในครั้งนี้ได้ ขณะที่อีกร้อยละ 30.27 “ค่อนข้างเชื่อมั่น” ซึ่งต่างจากความรู้สึกที่มีต่อฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน
ในประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหา ประชาชนร้อยละ 55.80 เสนอว่าไทยควรใช้การเจรจาทวิภาคีกับกัมพูชา ขณะที่ร้อยละ 27.93 สนับสนุนความร่วมมือผ่านกลไกอาเซียน และมีเพียงร้อยละ 6.87 ที่เห็นว่าควรยื่นเรื่องต่อศาลโลก (ICJ)
ประชาชนยังแสดงความห่วงใยต่อผลกระทบจากความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยร้อยละ 39.87 เห็นว่ามีผลกระทบ“มาก” ต่อการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว และร้อยละ 35.20 เห็นว่ากระทบ “พอสมควร” สอดคล้องกับข้อค้นพบที่ว่า ร้อยละ 68.73 ของประชาชนรับรู้ถึงการ “ปลุกกระแสชาตินิยม” จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ของประชาชนสองฝั่งชายแดน ร้อยละ 60.00 เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ “แน่นแฟ้นพอสมควร” อีกทั้งยังมีประชาชนถึงร้อยละ 41.33 ที่ต้องการให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยในกรณีพิพาทนี้ ในขณะที่อีกร้อยละ 38.20 เห็นว่าอาเซียนควรมีบทบาทเฉพาะเมื่อสถานการณ์รุนแรงเท่านั้น
สุดท้าย เมื่อประเมินความมั่นใจของประชาชนว่าไทยจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศในกรณีพิพาทชายแดน ครั้งนี้ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 36.27 “ค่อนข้างมั่นใจ” และร้อยละ 16.20 “มั่นใจสูง” ขณะที่อีกร้อยละ 29.53 “ไม่ค่อยมั่นใจ” และร้อยละ 11.00 “ไม่มีความมั่นใจเลย”
ผลสำรวจนี้ สะท้อนถึงความกังวลของสังคมอย่างมาก ความท้าทายของรัฐบาลในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนภายใต้สถานการณ์ที่มีทั้งความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ และความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลสำรวจของลีดเดอร์ชิพโพลล์ สะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างชัดเจน ขณะที่กองทัพกลับได้รับความ ไว้วางใจสูงกว่ามาก ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่อ่อนแอในวิกฤตการณ์นี้ ความไม่ไว้วางใจนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากคลิปเสียง สนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับสมเด็จฮุนเซนที่หลุดออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังอ่อนไหวทางการเมืองในทุกมิติ ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความชัดเจนของท่าทีรัฐบาลและความโปร่งใสในการเจรจาระหว่างประเทศ การที่ประชาชนส่วนใหญ่เสนอให้ใช้การเจรจาทวิภาคี สะท้อนความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสุขุมรอบคอบความท้าทายที่ซับซ้อนสำหรับผู้นำของนา ยกแพทองธาร โดยเฉพาะภาพลักษณ์และวุฒิภาวการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งกำลังส่งผลต่อความชอบธรรมของรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนจากความรู้สึกไม่มั่นใจของประชาชนต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ
(19 มิ.ย.68) กระทรวงการต่างประเทศ แถลง คลิปเสียงหลุดของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยจากฝ่ายกัมพูชา ทำลายความเชื่อใจระหว่างกันอย่างร้ายแรง
นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ตามที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาระหว่าง สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ของไทยจากฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณและมารยาทขั้นพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศที่ควรได้รับการยอมรับและให้เกียรติตามแนวปฏิบัติสากลของการดำเนินการระหว่างประเทศ
วันนี้กระทรวงการต่างประเทศ จึงทำหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าวผ่านช่องทางการทูต โดยได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมารับหนังสือดังกล่าว
ในเนื้อหาเป็นการแจ้งว่าการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง
การดำเนินการของฝ่ายไทย ซึ่งรวมถึงการตอบโต้ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามแนวทางการทูตกระทำโดยใช้วิจารณญาณ มีความรอบคอบ โปร่งใสและมีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลคนไทยในกัมพูชาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำอีกครั้ง ว่าเรื่องนี้เป็นการดำเนินการทางการทูตระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชนสองประเทศ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่ใช้การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย โดยมุ่งหวังเพื่อปลุกระดมความนิยมจากประชาชนและสร้างความแตกแยกให้กับสังคมของทั้งสองประเทศหรือประเทศอื่น ซึ่งแสดงถึงการไม่เคารพหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการกระทำเช่นนี้ไม่ควรได้รับการยอมรับและความไว้วางจากประชาคมระหว่างประเทศ