Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48889 ที่เกี่ยวข้อง

17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 วันทดลองเครื่องบินลำแรกของโลก

ใครเลยจะคิดกันล่ะครับ ว่ามนุษย์ที่มีสองมือ สองขา และใช้ชีวิตเดินบนผืนดินมาตลอด แต่แล้ววันหนึ่ง พวกเราก็สามารถ ‘บินได้ดั่งนก’

ใช่แล้ว, เรากำลังพูดถึง ‘เจ้านกเหล็ก’ หรือ ‘เครื่องบิน’ พาหนะที่ทำให้มนุษย์บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้สำเร็จ และวันนี้เมื่อ 117 ปีก่อน หรือวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 ถือเป็นวันที่เครื่องบินสามารถลอยขึ้นสู่กลางอากาศได้เป็นหนแรก

มันเป็นฝีมือของ วิลเบอร์ ไรต์ และ ออร์วิล ไรต์ สองพี่น้องตระกูลไรต์ ที่ได้ทำการทดลองนำสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า เครื่องบิน  บินขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้แรกเริ่มมันจะลอยตัวอยู่กลางอากาศที่ความสูงราว 800 ฟุต กับเวลาที่บินอยู่ได้ราว 12 วินาที แต่นั่นก็คือความสำเร็จในเบื้องต้น ที่มันถูกต่อยอดมาจากความฝันของพวกเขาที่อยากบินขึ้นไปท้องฟ้าให้จงได้

ผ่านจากวันนั้นมาถึงปี ค.ศ. 1908 พวกเขาก็สามารถพัฒนาเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการออกแบบให้มีที่นั่งโดยสาร มีเครื่องยนตร์ขนาด 20 แรงม้า บินได้ระยะไกลถึง 56 กม./ชม. กระทั่งหนึ่งปีให้หลังจากนั้น คือในปี ค.ศ. 1909 ออร์วิล ไรต์ ก็สามารถขับเครื่องบินผ่านช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ พร้อมกับทำการจดสิทธิบัตร และถูกบันทึกไว้ว่า เป็นผู้พัฒนาเครื่องบินลำแรกของโลกนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาเพียง 100 ปีเศษๆ แต่ถึงวันนี้ วิวัฒนาการของเครื่องบินมาไกลจากจุดเริ่มต้นเป็นอย่างมาก ถ้านักประดิษฐ์ทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู วันนี้พวกเขาคงอดที่จะภูมิใจกับการบุกเบิกของตัวเองไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก แต่มันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างให้ผู้คนในโลกนี้เชื่อมต่อกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ประเทศที่เลือกที่จะไม่ปิดล็อคดาวน์ประเทศอย่างเข้มงวด อย่างประเทศสวีเดน มีข้อมูลว่าอยู่ในมีการปล่อยให้ผู้ติดเชื้อสูงอายุเสียชีวิตโดยไม่มีการเข้ารับการรักษาเลย

คุณจูเลียน่า ได้แสดงภาพถ่ายคุณอาของเธอที่ถ่ายก่อนที่จะเสียชีวิตไปด้วยโรคโควิด "ถ้าคุณอาได้รับการรักษาที่ถูกต้อง น่าจะยังโอกาสที่่จะมีชีวิตอยู่ต่อ" คุณจูเลียน่าให้สัมภาษณ์กับนักข่าว TBS

หลังจากที่ตรวจพบการติดเชื้อ คุณอาของคุณจูเลียน่า "คุณโมเสส" อายุ 72 ปี ได้ถูกส่งตัวไปสถานที่พักคนชรา ในเดือนเมษายนปีนี้ และได้เสียชีวิตหลังจากนับจากตรวจพบการติดเชื้อโควิดเพียง 4 วัน

"คุณหมอบอกว่า ผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทางโรงพยาบาลจะไม่ทำการรักษา" เป็นคำตอบจากคุณหมอที่ให้เธอ หลังจากคุณอาของเธอเสียชีวิต เธอถึงกับเสียใจร้องไห้จนนอนไม่หลับในวันนั้น และคิดขึ้นได้ว่า "นี่ไม่ใช่เพราะโควิด" ที่ทำให้คุณอาของเธอต้องจากไป

"นี่คือวิธีรับมือที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ที่มีโอกาสเป็นต่อไปเรื่อย ๆ" คนของรัฐบาลสวีเดนแถลงการ โดยการรับมือแบบนี้ ได้รับการสนับสนุนจากประชากรถึง 70%

"รัฐบาลอื่นในยุโรปใช้วิธีไม่ถูกต้อง วิธีของสวีเดนแน่นอนว่ามีความเสี่ยง แต่การล็อคดาวน์นั้น ทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหาไม่ใช่หรือ" ประชาชนในเมืองสต็อกโฮมกล่าว

แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 7,300 คนนั้น มีเกือบถึง 90% เป็นผู้สูงอายุ และสถานที่พักคนชราก็ไม่มีมาตรการรับมือต่อการติดโรคอย่างถูกวิธี ซึ่งดร.เทคเนลผู้ที่เป็นคนดูแลนโยบายการรับมือต่อโรคโควิทก็ยอมรับกับความจริงนี้

คุณจูเลียน่ายังให้ข้อมูลอีกว่า ก่อนที่คุณอาของเธอจะเสียชีวิต เธอได้ใช้โทรศัพท์แบบเห็นหน้าเพื่อดูสภาพของคุณอาของเธอ พบว่ามาตรการรับมือของสถานที่พักคนชรานั้นหละหลวมมาก

"เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้หน้ากากหรือถุงมือใด ๆ สัมผัสกับผู้ป่วยเลย"

นอกจากนี้แล้ว ทางด้านสถานที่พักคนชรายังเปลี่ยนการรักษา เป็นการบรรเทาอาการด้วยมอร์ฟีนโดยไม่มีการปรึกษาครอบครัวของเธอด้วย

"สถานที่พักคนชราใช้วิธีรักษาแบบบรรเทาอาการอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณอาเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น" คุณจูเลียน่ากล่าว

ไม่ใช่แค่กรณีของคุณโมเสสเท่านั้น "สถานที่พักคนชราไม่มีการตรวจสภาพของผู้ป่วยอย่างถี่ถ้วน และให้การรักษาแบบบรรเทาอาการโดยไม่แจ้งทางครอบครัวให้รับทราบ มีให้เห็นหลายเคส" ศจ.ยินเวย์ กุฟสตาฟซอน หมอผู้เชี่ยวชาญด้านคนชรากล่าว

การที่คุณจูเลียน่าออกมาสัมภาษณ์เช่นนี้ต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ว่าผู้สูงอายุของสวีเดนกำลังถูกทอดทิ้ง

"สิ่งที่ทำให้รู้สึกโกรธที่สุดคือทางรัฐบาลรับทราบเรื่องนี้อยู่เต็มอก แต่ยังคงให้ผู้สูงอายุเป็นเหยื่อสังเวยอยู่" ไม่ใช่แค่คุณอาของฉันเท่านั้น ยังมีผู้สูงอายุคนอื่นๆ ที่ประสบเหตุเหมือนกันอีกมากมาย" คุณจูเลียน่าทิ้งท้าย


บทความข่าว : https://news.tbs.co.jp/newseye/tbs_newseye4150148.htm?1608044107001

ศาลอาญาในกรุงโตเกียวได้ตัดสินพิพากษาประหารชีวิตนาย ทาคาฮิโระ ชิราอิชิ หนุ่มวัย 30 ปี ชาวเมืองซามะ ชานกรุงโตเกียว ในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อถึง 9 คนภายในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน

ศาลอาญาในกรุงโตเกียวได้ตัดสินพิพากษาประหารชีวิตนาย ทาคาฮิโระ ชิราอิชิ หนุ่มวัย 30 ปี ชาวเมืองซามะ ชานกรุงโตเกียว ในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อถึง 9 คนภายในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่สิงหาคม – ตุลาคม 2017 โดยการวางยา ชิงทรัพย์ ข่มขืน แล้วจัดการสังหารเหยื่อด้วยการรัดคอ และหั่นศพเก็บเอาไว้ภายในห้องพักของเขาเอง

คดีนี้ได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่นอย่างมาก บางส่วนพร้อมใจเดินทางมาเพื่อร่วมฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมากกว่า 400 คนในขณะที่ห้องรับฟังคำพิพากษามีเพียง 16 ที่นั่งเท่านั้น และคดีนี้นับเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สยองขวัญที่สุดครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น

ต้นเรื่องของคดีฆาตกรรมนี้ ก็มีเบื้องหลังที่เขย่าศีลธรรมสังคมญี่ปุ่นไม่น้อย เนื่องจากนายชิราอิชิ ฆาตกร มีวิธีหาเหยื่อง่ายๆ โดยการใช้ทวิตเตอร์ที่พูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โดยเขาจะเลือกเหยื่อที่หมายตาเป็นหญิงสาว ในช่วงอายุตั้งแต่ 15 – 26 ปี ที่มีปัญหาคับข้องใจ และเลือกที่จะหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย

หลังจากที่คุยกันผ่านทวิตเตอร์ได้สักพัก เขาก็จะล่อหลอกให้เหยื่อมาพบที่บ้าน โดยอ้างว่าเขาจะช่วยให้เหยื่อสามารถหลุดพ้นจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบสุข และบางครั้งยังหลอกว่า ตัวเขายินดีจะฆ่าตัวตายตามไปด้วยกันในภายหลังอีกด้วย

และในช่วงเวลา 3 เดือนที่นายชิราอิชิเปิดทวิตเตอร์คุยเรื่องฆ่าตัวตาย เขาได้ลวงหญิงสาวมาสังหารถึง 8 คน ที่ล้วนแต่เป็นเด็กสาววัยรุ่น วัยมหาวิทยาลัยแทบทั้งสิ้น มีเพียงรายที่ 9 เท่านั้นที่เป็นชายหนุ่ม ซึ่งเป็นพี่ชายของเหยื่อ 1 รายของนายชิราอิชิ ที่ได้ตามรอยน้องสาวที่หายตัวไปจากข้อความในทวิตเตอร์ จนมาถึงบ้านของชิราอิชิ เลยถูกสังหารเพื่อปิดปาก

แต่แล้วตำรวจก็ได้ตามรอยทวิตเตอร์มาจนเจอบ้านของนายชิราอิชิ เช่นเดียวกัน และได้ขอตรวจค้นบ้านของชิราอิชิที่เป็นเพียงอพาร์ตเม้นท์เล็ก ๆ พื้นที่เพียง 13.5 ตารางเมตร และก็พบหลักฐานอันน่าตกใจ เป็นศีรษะมนุษย์ในตู้แช่ 9 หัว และโครงกระดูกกว่า 240 ชิ้นในกล่องแช่เย็น ทั้ง ๆที่เจ้าตัวก็ยังนอนอยู่ในห้องพักตามปกติ

เมื่อหลักฐานถูกเปิดเผย สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และได้เรียกชื่อสถานที่เกิดเหตุเป็น "บ้านพักสยองขวัญแห่งเมืองซามะ"

หลังจากที่มีการไต่สวน นายชิราอิชิ รับสารภาพในทุกคดีที่เขาก่อไว้ และเล่าว่าแรงจูงใจทั้งหมดเริ่มต้นจากความต้องการเงิน เหยื่อรายแรกเป็นสาววัย 23 ปี ที่เขาเพียงต้องการมอมยา ข่มขืน และรีดไถ่เงินก้อนโตจากเหยื่อ แต่ต่อมาหญิงสาวกลับมาทวงเงินเขาพร้อมขู่ที่จะแจ้งตำรวจข้อหากรรโชกทรัพย์ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าเธอทิ้ง และหั่นศพในห้องน้ำ โดยการแยกชิ้นส่วน เนื้อหนัง เครื่องใน แล้วทิ้งลงในถุงขยะให้เทศบาลมาเก็บไป ส่วนศีรษะ และโครงกระดูกเขาจำเป็นต้องเก็บเอาไปเพื่ออำพรางคดีไม่ให้ถูกจับได้ และเขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กับเหยื่อทั้งหมด จนกระทั่งถูกจับตัวได้ในที่สุด

หลังจากที่รวบรวมหลักฐาน และพิจารณาคดีมานานกว่า 3 ปี ศาลอาญาเมืองโตเกียวได้ตัดสินประหารชีวิตนายทาคาฮิโระ ชิราอิชิ ด้วยการแขวนคอ ซึ่งนายชิราอิชิก็เหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง และยอมรับโทษทัณฑ์สูงสุดโดยไม่ขอสู้คดีต่อ

และจากคดีของนายชิราอิชิ ทำให้สังคมญี่ปุ่นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่า ควรที่จะปล่อยให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายกันอย่างเปิดเผยในโลกโซเชียล หรือเว็บบอร์ดสาธารณะอีกหรือไม่

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง เมื่อหลายปีก่อน กลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมักเป็นผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ และการเงิน ไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน

แต่ปัจจุบัน อัตราการฆ่าตัวตายในวัยหนุ่มสาวกลับเพิ่มสูงขึ้น ด้วยสภาพสังคมที่มีความกดดันสูง เศรษฐกิจตกต่ำ และความโดดเดี่ยวที่เป็นเหตุผลที่หนุ่ม สาวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเลือกที่จะจบชีวิตก่อนเวลาอันควร ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงวัยสำคัญ ที่จะเป็นกำลังของชาติ

อีกทั้งสังคมโซเชียลที่เปิดกว้าง ในการพูดคุยกันในเรื่องการฆ่าตัวตายที่ทำให้อาชญากรสบช่องทางในการก่อคดีกับผู้ที่สิ้นหวังในชีวิตอย่างเช่นคดีนี้ ที่ทำให้สังคมญี่ปุ่นต้องกลับมาคิดทบทวนวิธีการที่จะแก้ปัญหาเยียวยาคนในครอบครัวอย่างไร เพื่อที่จะไม่เกิดเหตุเศร้าเช่นนี้


แหล่งข่าว

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/japan-serial-killer-who-baited-suicidal-people-using-twitter-sentenced-to-death

https://www.bbc.com/news/world-asia-55313161

https://english.kyodonews.net/news/2020/12/f319bac1961f-urgent-japans-twitter-killer-sentenced-to-death-over-2017-serial-murders.html

กรุงย่างกุ้ง สหภาพเมียนมา คือเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงประเทศมานานแสนนานหลายชั่วอายุคน ในอดีตกรุงย่างกุ้งคือศุนย์กลางที่คนในภูมิภาคต้องไปหาหมอเนื่องจากเป็นศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ย่างกุ้งคือศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคในหลายด้าน แม่น้ำย่างกุ้ง แม่น้ำ Hlaing โอบล้อมนครย่างกุ้งแห่งนี้และมีท่าเรือสำคัญที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปถึงยุโรป เช่นสกอตแลนด์ หรือ อัมสเตอร์ดัมส์ของเนเธอร์แลนด์ ทำให้ความเจริญของย่างกุ้งเมื่อ 60 ปีก่อนมีสูงมาก

ท่านผู้อ่านไม่ต้องสงสัยกันนะครับว่ายาหม่อง ก็กำเนิดจากเมียนมานี่แหละ ถึงได้เรียกขานว่ายาหม่องกัน โดยมีจุดเริ่มต้นจาก Tiger Hill ที่ผลิตยาหม่องตราเสือมาให้เราได้ใช้กันมานาน ถามว่า Tiger Hill อยู่ที่ไหน คำตอบก็คือตรงบริเวนห้องอาหารของโรงแรม Chatrium ในนครย่างกุ้งนี่หละครับ

ในยุคสมัยของท่านลีกวนยู อดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสิงคโปร์ ซึ่งถูกมาเลเซียเตะออกมาตั้งประเทศก็ใช้ตัวอย่างการสร้างชาติจากการมาดูเมียนมาหรือพม่าในสมัยนั้นหละครับ เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างบ้านแปลงเมือง ยุคสมัยนี้กลับกันครับ รัฐบาลเมียนมาต้องวิ่งกลับไปดูต้นแบบของสิงคโปร์ซะแล้ว และสิงคโปร์ก็ร่างพิมพ์เขียวให้เมียนมาได้ใช้เป็นแบบแผนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

จุดพลุเรียกน้ำย่อยกันไว้อย่างนี้หละครับ แล้วค่อยกลับมาดูกันในตอนหน้าว่า ปี 2020 เกิดอะไรบ้างในเมียนมา และอะไรจะเป็นภาพสำหรับปี 2021 ให้เราได้ติดตามกันต่อไป เจซูทินบาเด ขอบคุณที่ติดตามนะครับ อยากฟังเรื่องใดในอาเซียน แจ้งกันเข้ามานะครับ


จิรวัฒน์

ผู้บุกเบิกการตลาด อินโดจีน พม่า อาเซียนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ตั้งแต่ยุคที่อาเซียนยังไม่ได้รวมตัวกัน เอาประสบการณ์ตรงมาเล่าแบ่งปัน ในวันที่โควิด - 19 ล็อคประตูเพื่อนบ้าน เรายิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้น

กระทรวงพาณิชย์ มอบของขวัญส่งท้ายปี ด้วยการเปิดเข้าศูนย์บริการ-ให้คำปรึกษา อัญมณีฟรี!! เอาใจคนรักเครื่องประดับตัวจริง!!

วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มอบสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยเปิดให้บริการให้ ‘คำปรึกษา’ และ ‘ตรวจสอบ’ อัญมณี-เครื่องประดับเบื้องต้น (Verbal) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

พร้อมทั้งเอาใจผู้รักอัญมณีด้วยการเปิดให้เข้าใช้บริการศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองของสถาบันฟรี ทั้ง ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่วันนี้ - 15 มกราคม 2564 ณ อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สอบถาม 02 - 634 - 4999 ต่อ 635 - 642


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top