Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48881 ที่เกี่ยวข้อง

‘เต้-มงคลกิตติ์’ โพสต์แขวะ ‘เอนก’ หาเงินเข้าประเทศให้พอรายจ่าย ก่อนคิดจะไปดวงจันทร์ ย้ำ ‘อย่าบอกนะว่าจะกู้อีก’

จากกรณี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวเปิดโครงการ ‘วัคซีนเพื่อคนไทย’ และได้มีการเปิดเผยว่า “เร็วๆ นี้ไทยจะเป็นชาติที่ 5 ของเอเชีย ที่จะสามารถผลิตยานอวกาศและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 7 ปี และอาจมีการขอความร่วมมือและสนับสนุนจากประชาชนในการระดมทุน เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทย ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอีกแล้ว เราเป็นประเทศที่มีอนาคต มีโอกาส และมีความหวัง”

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเลยทีเดียวว่า ไทยสามารถสร้างยานอวกาศในเวลาเพียง 7 ปีได้จริงอย่างที่ เอนก กล่าวไว้จริงหรือ

ทันทีที่ข้อความดังกล่าวจาก เอนก ออกสื่อไปนั้น มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ก็ได้ออกมาโพสต์ ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวถึงกรณีนี้เช่นกัน โดยระบุว่า...

“ก่อนจะผลิตยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ หารายรับเข้าประเทศให้พอรายจ่ายก่อน หรือ ทำให้คนจนมีชีวิตขั้นพื้นฐานให้ปกติก่อน...อย่าบอกนะว่าจะกู้อีก”

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส หรือ KEX เคาะราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO แล้วที่ 28 บาทต่อหุ้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อท่วมท้น มากกว่า 23 เท่า คาดพร้อมเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 24 ธันวาคมนี้

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEX ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ประกาศราคาขายหุ้น IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น คาดพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 24 ธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์“ KEX” หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่า และประมาณ 10 เท่า จากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้

ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 

นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม และนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า KEX เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ที่ได้แสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 28.00 บาท โดยมีความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบัน

จึงมีการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่หุ้นละ 28.00 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ KEX ในฐานะผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ด้วยศักยภาพที่โดดเด่น และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง  

ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท และมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ด้วยจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง พร้อมศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง

ทั้งยังมีศักยภาพในการให้บริการ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วน โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัทฯ 

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (16 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 15 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,261 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 28 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,977 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 224 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติเ อังกฤษ 1 ราย ฝรั่งเศส 1 ราย อินเดีย 1 ราย บราซิล 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 319 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.29 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.17 แสน เสียชีวิต 19,111 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 34 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 86,618 ราย รักษาหายแล้ว 71,681 ราย เสียชีวิต 422 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.11 แสน ราย รักษาหายแล้ว 89,418 ราย เสียชีวิต 2,319 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.52 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.19 แสน ราย เสียชีวิต 8,812 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,341 ราย รักษาหายแล้ว 58,233 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,405 ราย รักษาหายแล้ว1,252 ราย เสียชีวิต 35 ราย

หลังจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 กำลังปะทุหนัก โดยบางพื้นที่ค่าฝุ่นทะลุ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ กทม. มีค่าฝุ่นอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก ทำให้ ‘พรรคเพื่อไทย’ ออกมาโจมตีถึงความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของรัฐ

อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “รัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ทั้งที่มีแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ที่รัฐบาลได้อนุมัติให้แผนดังกล่าวนี้ผ่านมติ ครม.ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ออกมาตรการแก้ปัญหาสวยหรู

แต่ไม่ตอบโจทย์แม้แต่น้อย ใช้งบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติในการจัดการปัญหานี้ มีการออกแผนเฉพาะกิจสวยหรู ทั้งการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมรายงานฝุ่นละออง หรือการใช้แอพพลิเคชั่นบัญชาการการดับไฟป่า ที่ควรจะเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

“แต่ตอนนี้เห็นเพียงผู้นำประเทศอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ออกมาบอกให้ประชาชนดูแลตัวเองทั้งที่เป็นหน้าที่ในการดูแลชีวิตและความปลอดภัยของพลเมืองในประเทศ จึงขอตั้งคำถามไปถึงรัฐบาลว่า คนไทยจะมีผู้นำประเทศไว้ทำไม ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์อยู่ ยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำในการมีชีวิตอยู่รอดของประชาชนให้กว้างขึ้น ประชาชนต้องดิ้นรนกันเอง

บางครอบครัวต้องยอมเป็นหนี้สินเพื่อซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีราคาสูง ซื้อหน้ากากอนามัยราคาแพงมาใช้ ในขณะที่หลายครอบครัว ต้องทนรับสภาพชะตากรรมชีวิต ไม่มีสิ่งป้องกันใด ๆ นอกจากหน้ากากอนามัยเก่า หรือบางคนไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อหน้ากากไว้ใช้ป้องกันตัวเอง”

อรุณี กล่าวอีกว่า "หมดแล้วเวลาที่รัฐบาลจะโยนบาปให้ประชาชน เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งมาอย่างยาวนานกว่า 6 ปี และผู้ว่าฯ กทม.ที่ คสช.แต่งตั้งมายังอยู่ในหน้าที่ แต่ไม่เคยแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ถนัดแต่ทำแบบผักชีโรยหน้า เอาละอองน้ำไปฉีดใกล้เครื่องวัดค่าฝุ่นละออง

แม้จะพยายามแก้ปัญหาก็ทำแบบวัวหายล้อมคอก อย่างมาตรการควบคุมจำกัดรถวิ่ง หรือตรวจจับควันดำที่ทำไม่จริงจัง หรือมาตรการควบคุมการก่อสร้าง อาคารและโครงการขนาดใหญ่ ที่ยังปล่อยปละละเลย ไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ จนอดสงสัยไม่ได้ว่างบประมาณที่รัฐบาลถืออยู่มีประชาชนอยู่ในนั้นหรือไม่

หรือรัฐบาลนี้ถนัดแต่ดำเนินคดีการเมืองอย่างเดียวจนไม่สนใจปัญหาคุณภาพชีวิตประชาชน ตอนนี้ประชาชนมีทางเลือกไม่กี่ทางว่าจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร จะตายเพราะเศรษฐกิจแย่ ตายเพราะโควิด-19 ตายเพราะฝุ่น หรือตายเพราะมีผู้นำอย่างพล.อ.ประยุทธ์กันแน่ พรรคเพื่อไทยจะขอทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เราจะทวงถามทั้งในสภาและถึงคณะกรรมาธิการต่าง ๆ จะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่นอน"

‘เพนกวิน พริษฐ์’ ออกมาโพสต์ปฏิเสธ ‘ผมเป็นสมาชิกของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มเยาวชนปลดแอก’ ย้ำยังสู้เพื่อประชาธิปไตย ไร้เงาเผด็จการ-ศักดินาแทรกแทรง

หลังกลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้ออกมาเสนอแนวคิดระบอบคอมมิวนิสต์ ดูจะทำให้แนวร่วมหลายฝ่ายเริ่มถอย รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่าง ‘เพนกวิน’

โดย พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ ‘เพนกวิน’ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ข้อความดังนี้

พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน

ผมขอชี้แจงกับทุกท่านว่าผมเป็นสมาชิกของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) และจุดยืนที่ปรากฏในเพจเยาวชนปลดแอกนั้น เป็นแนวทางของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเอง ไม่ใช่แนวทางของผม ไม่ใช่ของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และที่สำคัญ ไม่ใช่มติของราษฎร ผมยังคงยึดมั่นในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ไม่มีเผด็จการหรือศักดินาแทรกแซงครอบงำ เพื่อประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม และเพื่อประชาธิปไตยที่มีรัฐสวัสดิการโอบอุ้มชีวิตของทุกคน

การเสนออุดมการณ์ไม่ว่าจะแนวคิดใดมิใช่เรื่องผิดบาป ถือเป็นเสรีภาพของผู้เสนอ แต่ในเชิงการเคลื่อนไหวต่อสู้นั้น จะต้องประเมินให้ดีว่าแนวคิดที่จะเสนอนั้นสอดคล้องกับเจตจำนงของมวลชนหรือไม่ ในขณะที่เราตัดสินใจจะพังเพดานในเวทีธรรมศาสตร์ในวันที่ 10 สิงหาคมนั้น เราได้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าปัญหาของสถาบันฯ คือสิ่งที่อยู่ในใจของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้ ดังจะเห็นว่านับแต่การชุมนุมครั้งแรก เราเห็นป้ายกล่าวถึงปัญหาของสถาบันฯ ปรากฎอยู่ทุกแห่งหนในการชุมนุม เราจึงลุกขึ้นพูดเพื่อประกาศเจตจำนงของมวลชน เพราะถึงที่สุด การต่อสู้จะสำเร็จได้มิใช่ด้วยเจตจำนงของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะสำเร็จด้วยเจตจำนงร่วมของพี่น้องทุกท่าน

ในประเด็นเรื่องสามข้อหรือข้อเดียวนั้น เรายังยึดมั่นในข้อเสนอสามข้อซึ่งจะนำไปสู่การปฏิรูป แต่ตามธรรมชาติแล้ว การปฏิรูปจะเกิดขึ้นก็เมื่อชนชั้นนำยอมปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน หากชนชั้นนำไม่ยอมปรับตัวก็จะไม่เกิดการปฏิรูป และเมื่อไม่เกิดการปฏิรูปก็จะเกิดการปฏิวัติ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ทั่วโลก ดังนั้น ขณะนี้ ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นรถยนต์ก็เหมือนอยู่ที่สามแยก ทางหนึ่งเลี้ยวไปหาการปฏิรูป ทางหนึ่งเลี้ยวไปหาการปฏิวัติ ประชาราษฎรได้ขับรถมาถึงหน้าสามแยกแล้ว แต่จะเลี้ยวไปทางไหนนั้น สถาบันฯ และองคาพยพจะเป็นผู้ตัดสินใจ ถ้าเลือกปรับปรุงตัวรถก็เลี้ยวเข้าถนนปฏิรูปสามข้อ แต่ถ้ายังดื้อด้าน รถก็เลี้ยวเข้าทางปฏิวัติข้อเดียวก็เท่านั้น

จึงเรียนมาเพื่อแถลงไขเพนกวิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top