Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48881 ที่เกี่ยวข้อง

16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ทรงได้รับการทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญทอง จากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4

สำหรับวันนี้ในแวดวงกีฬาของประเทศไทยแล้ว ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น ‘วันกีฬาแห่งชาติ’ แต่ที่มาของวันพิเศษวันนี้ คงต้องย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อกว่า 53 ปีมาแล้ว

 

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 (หรือชื่อในปัจจุบันคือ กีฬาซีเกมส์) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ร่วมกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งนับเป็นหน้าประวัติศาสตร์ทางการกีฬาอันสำคัญยิ่งของประเทศไทย

 

กล่าวถึงเรือใบที่ทรงใช้แข่งขันในครั้งนั้น เป็นเรือใบที่ทรงต่อขึ้นเอง พระราชทานชื่อว่า ‘นวฤกษ์’ โดยส่วนพระองค์ทรงโปรดการเล่นเรือใบ และกีฬาประเภทอื่นๆ อีกหลายชนิด อาทิ สกี แบดมินตัน เทนนิส รวมทั้งยังทรงให้ความสำคัญต่อการซ้อมและการมีวินัยเป็นอย่างมาก

 

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วันกีฬาแห่งชาติ" นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

การเล่นกีฬานอกจากให้ทำให้สุขภาพแข็งแรง ยังฝึกให้มีระเบียบ วินัย ตลอดจนมีความวิริยะ อดทน เพราะการหมั่นฝึกซ้อมด้วยความอดทน จะนำชัยชนะมาครองได้ในท้ายที่สุด

 

 

'รัสเซีย-จีน' เตรียมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางทหาร ข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน? และหากว่าเป็นเรื่องจริง ใครได้รับผลกระทบบ้าง?

เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือหนาหูออกมาจากที่ประชุมยุทธศาสตร์ในเครมลินว่า วลาดิเมียร์ ปูตินมีความคิดที่จะจับมือเป็นพันธมิตรด้านการทหารกับจีน เพื่อสร้างแสนยานุภาพคานอำนาจของสหรัฐ และชาติพันธมิตร NATO หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรหนักจากพันธมิตรชาติตะวันตก

แหล่งข่าวรัสเซียเปิดเผยว่า ปูตินออกความเห็นกลางที่ประชุมในเรื่องนี้ไว้ว่า ถึงแม้ตอนนี้รัสเซียจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกับกองทัพจีนในตอนนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎี เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้

ถ้าเปิดแง้มๆมาแบบนี้ ก็แสดงว่าการผนึกพันธมิตรการทหารร่วมกันระหว่างรัสเซีย - จีน มีโอกาสเป็นไปได้ถ้าจำเป็นจริง ๆ

และการผนึกกำลังร่วม รัสเซีย-จีน ก็จะสร้างความกังวลให้กับประเทศในแถบยุโรปไม่น้อย อาจลามมาถึงย่านเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะเขตพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ที่จะทำให้เกิดบรรยากาศมาคุ ตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะหากมองในแง่กองกำลังทหาร ถึงแม้รัสเซีย และ จีน จะไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลก แต่จากการจัดอันดับของ US News สื่อข่าวของสหรัฐ ให้รัสเซียเป็นเบอร์ 2 ส่วนจีนตามมาไม่ห่างเป็นเบอร์ 3 ถ้าเบอร์ 2 กับ เบอร์ 3 รวมกันได้จริง ก็ยากที่จะต่อกร

แต่คำถามคือ รัสเซีย - จีน กลายเป็นพันธมิตรเนื้อแท้ต่อกันได้จริง ก็อาจเขย่าบัลลังก์ชาติมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่คิดจะร่วมมือกันตั้งแต่แรก ก็อาจเข้าตำรา หมี - มังกร อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ถึงแม้ว่าทั้ง 2 ประเทศจะดูเหมือนเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันในแง่เศรษฐกิจ การค้า และมีเมกาโปรเจคท่อก๊าซไซบีเรียส่งตรงถึงจีนที่มีความยาวเกือบ 4,000 กิโลเมตร กับสัมปทานน้ำมัน 30 ปีที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านเหรียญ และที่สำคัญคือ ใช้เงินหยวน-รูเบิล เป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขาย

ในแง่การทหาร ดูผิวเผินก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เนื่องจากทางรัสเซียมีการแชร์เทคโนโลยีข้อมูลด้านอาวุธกับจีน ส่วนจีนก็สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ SU-35 และขีปนาวุธรุ่นล่าสุด S-400 จากรัสเซีย การซ้อมรบร่วมกันก็มีอย่างต่อเนื่อง เวลาเจอหน้ากันระหว่าง 2 ผู้นำ ปูติน - สี่ จิ้นผิง ในเวทีโลกก็แลดูชื่นมื่น

แต่การผสานเป็นพันธมิตรด้านการทหารจนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างหมีขาว และมังกรแดงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

เพราะการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นขนาดนั้น มันก็ต้องไปด้วยกันได้ทุกเรื่อง และแสดงจุดยืนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่คุยกันหลังบ้านทีหลัง ดังเช่น นโยบายของกลุ่ม NATO EU หรือ Five Eyes แต่เรายังไม่เห็นภาพนั้นชัดเจนระหว่าง รัสเซีย - จีน ไม่ว่าจะเป็นกรณีการผนวกไครเมีย จีนก็ไม่ได้ยืนข้างรัสเซีย ส่วนข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ทางรัสเซียก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

แถมรัสเซียยังเปิดดีลซื้อขายอาวุธกับอินเดียในช่วงที่จีนและอินเดียมีข้อพิพาทกันอย่างรุนแรงในเขตอัคไซชิน บริเวณรอยต่อชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ที่จีนมองว่าเป็นการหักหลังของรัสเซีย และความไม่พอใจของชาวจีนก็ลามไปถึงงานฉลองครบรอบ 160 ปีกรุงวลาดิวอสต็อค เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ชาวเน็ตจีนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงว่า เมืองวลาดิวอสต็อคนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ถูกกองทัพรัสเซียมาแอบยึดไปตอนช่วงสงครามฝิ่นต่างหาก

เรื่องการผนึกกำลังกันระหว่างรัสเซีย - จีน เคยมีกระแสมานานแล้ว ที่เคยทำให้บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐหัวเราะหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะลึก ๆ แล้ว 2 ประเทศนี้ไม่เคยไว้ใจกัน ถ้าคบค้าซื้อขายกันตรง ๆ แบบหมูไป ไก่มา ก็พอได้ แต่ถ้าจะให้ร่วมหัวจมท้าย แบบไปไหนไปกันนั้นยากที่จะเกิดขึ้น

ลองคิดดูว่า มีหรือที่รัสเซียจะยอมเอากระดูกมาแขวนคอ ด้วยการออกเรือรบมาช่วยจีนยันกับเรือรบสหรัฐในย่านทะเลจีนใต้ แล้วเรื่องอะไรที่จีนจะยอมส่งทหารสนับสนุนรัสเซียในประเทศบ้านแตกอย่างซีเรียให้ขาดทุนเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แต่ในทางกลับกัน ออสเตรเลียยอมควักเงิน ออกทุนส่งทหารไปหนุนกองทัพสหรัฐในสงครามอาฟกานิสถาน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

แม้แต่มองในแง่พันธมิตรด้านการค้า ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่รัสเซียก็ไม่อยากพึ่งพาจีนมากจนสุดตัว เพราะหากใครที่ได้ลองทำธุรกิจ ซื้อขายกับจีนก็คงพอรู้อยู่ในความละเอียดถี่ถ้วน (เขี้ยว) และคงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะเอาเศรษฐกิจของตัวเองไปผูกกับจีนจนกระทั่งกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะอาจนำมาซึ่งข้อต่อรองที่ไม่พึงประสงค์ในภายหลัง

ดังนั้นการกำเนิดพันธมิตรกู้โลก รัสเซีย - จีน จึงไม่ต่างจากความเห็นของปูตินในที่ประชุมยุทธศาสตร์เรื่องการผสานกองทัพระหว่างรัสเซีย-จีน เป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริงคงต้องเหลือไว้เป็นแผนสุดท้ายที่สิ้นสุดทางเลือกแล้วจริง ๆ

แต่หลังจากที่รัสเซียโดนสหรัฐ และ EU เล่นงานอ่วมตั้งแต่ประเด็นการผนวกดินแดนไครเมียในปี 2014 กับจีนที่โดนสหรัฐบี้หนักเรื่องสงครามการค้าในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ และหากทีท่าอันเป็นปฏิปักษ์แบบสุดขั้วของสหรัฐต่อ รัสเซีย และ จีน ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามยังคงดำเนินอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า การผนึกพันธมิตรผิดฝาระหว่าง รัสเซีย - จีน อาจไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียว ดังคำพูดที่ว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร

ในเมื่อโลกนี้ไม่เคยมีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น


แหล่งข่าว

https://www.themoscowtimes.com/2020/12/02/is-putin-really-considering-a-military-alliance-with-china-a72207

https://apnews.com/article/beijing-moscow-foreign-policy-russia-vladimir-putin-1d4b112d2fe8cb66192c5225f4d614c4

https://www.usnews.com/news/best-countries/power-rankings

https://thediplomat.com/2020/08/is-putins-russia-seeking-a-new-balance-between-china-and-the-west/

https://indianexpress.com/article/explained/explained-why-160-year-old-vladivostok-has-a-chinese-connection-6493278/

https://www.reuters.com/article/us-ukraine-crisis-china-idUSKBN1520AN

ยุทธศาสตร์ของสปป.ลาว ในการพลิกฟื้น หลีกพ้นความยากจน ใช้ลักษณะภูมิประเทศนำสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาคด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการก่อสร้างเขื่อนจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้เพื่อนบ้าน

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

หม้อไฟลูกแรก ที่เขื่อนน้ำงึมขนาดใหญ่ ส่งขายให้ประเทศไทย เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดในปี พ.ศ.2514 

หลายปีผ่านไปกับยุทธศาสตร์ของสปป.ลาว แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ท้วงติงจากการสร้างเขื่อนอาจส่งผลต่อความเสียหายทั้งสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนและสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่ ลาวร้อยเขื่อน ก็ได้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ... ให้บรรลุยุทธศาสตร์ของชาติลาว ที่จะพลิกฟื้นความเป็นอยู่ของชาวลาว ทั้งประเทศ

วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2563 เป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีวันชาติลาว เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำอีก 13 เขื่อนจะส่งกระแสไฟฟ้าในปีนี้ ตามรายงานของ ข่าวจากแผนกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SERD) ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB)

ทำให้สปป.ลาว มีเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ทั้งหมด 90 แห่งและจะมีกำลังการผลิตรวม 10,704 เมกะวัตต์ เวลาผ่านไป ดูเหมือนไม่นานนัก ..ลาวมีเขื่อน 90 เขื่อนแล้วหรือนี่

สปป. ลาว มีการส่งออกกระแสไฟไปแล้วเกือบ 7,000 เมกะวัตต์

โดยส่งออกไปยังประเทศไทยเกือบ 6,000 เมกะวัตต์ ตามด้วยเวียดนาม 570 เมกะวัตต์ กัมพูชา 20 เมกะวัตต์ และเมียนมาร์ 10 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะส่งออกมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้สปป. ลาวยังขายไฟฟ้าให้กับ ASEAN Grid (100 MW) ผ่านไทยและมาเลเซีย และคาดว่าจะส่งออกได้ 300 เมกะวัตต์ภายในปีหน้า

ปัจจุบัน 95% ของครอบครัวในประเทศลาว มีไฟฟ้าเข้าถึง 93% ของหมู่บ้านทั้งหมดมีไฟฟ้าใช้ และ 100% มีไฟฟ้าใช้ครบสำหรับเมืองใหญ่ของแต่ละแขวง

ซึ่ง ADB ร่วมกับภาคเอกชน เป็นหุ้นส่วนภาคีการพัฒนาและ รัฐบาลลาวได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคพลังงาน ภายใต้แผนปฏิบัติการภาคเอกชนของ ADB เป็นรายงาน ในจดหมายข่าว SERD ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2563

ในที่สุด สปป.ลาว ก็ใกล้บรรลุยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็น ยุทธศาสตร์ชาติที่สำคัญและได้ดำเนินการต่อเนื่อง จากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ไม่ว่า ประเทศไทย จีน เกาหลี ในการสร้างหม้อไฟแห่งเอเชีย

สิ่งที่สปป.ลาวคำนึง นั่นคือ ความมั่นคงทางพลังงานและไฟฟ้า

เพราะอย่างไร ทุก ๆ ประเทศล้อมข้าง ผู้คนย่อมมากขึ้น ความต้องการย่อมมากขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ประเทศเหล่านั่น มีปัญหาการต่อต้านการสร้างพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลสภาพสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของผู้คน และการเมืองระหว่างประเทศ

ในที่สุด สปป.ลาว ใกล้บรรลุสู่ .. แบตเตอรี่แห่งเอเชีย

มั่นคง มั่นยืน ให้แก่ชาวลาวและเพื่อนบ้าน .. ดีใจนำเด้อ


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

ในยุคที่ระบบโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีสกิลด้านนี้ จึงเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ต้องเร่งดำเนินการ

ล่าสุดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโครงการฝึกอบรมต่อยอดในสายงาน Logistics Service Provider หลักสูตร การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเปิดการค้าเสรี และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้การค้าและการทำธุรกิจเป็นแบบไร้พรมแดน มีการแข่งขันสูง ซึ่งระบบโลจิสติกส์เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล

ถือว่าเป็นต้นทุนที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อความอยู่รอดและความก้าวหน้าของธุรกิจในปัจจุบัน หากมีการจัดการระบบโลจิสติกส์ที่ดี ผนวกเข้ากับแรงงานที่มีฝีมือมีการพัฒนาตนเองเพื่อยกระดับฝีมือให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของโลกจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้อย่างแน่นอน

รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายยกระดับฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพ

ซึ่ง กพร. ดำเนินงานภายใต้การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐซึ่งเป็นการขับเคลื่อนแรงงาน ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาศักยภาพแรงงานทุกระดับ ทั้งด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้มีผลิตภาพแรงงานสูง สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และก้าวทันเทคโนโลยี 4.0

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า กพร.ได้บูรณาการร่วมกับสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) โดยโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) จัดฝึกอบรมโครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ หลักสูตร การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ (Seafreight & Airfreight) จำนวน 3 รุ่น ๆ ละ 50 คน ระยะเวลาการฝึก 60 ชั่วโมง รุ่นที่ 1/2564 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 (อบรมเฉพาะวันอังคาร และวันพฤหัสบดี)

เป้าหมายเป็นบุคคลทั่วไปที่มีประสบการณ์การทำงานในสายงานโลจิสติกส์ ไม่ต่ำกว่า 2 ปี วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับ ธุรกิจผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เงื่อนไขและเอกสารที่ต้องใช้ในธุรกิจการขนส่ง การประกันภัยเกี่ยวกับการขนส่ง พิธีการศุลกากร การขนส่งทางทะเล และทางอากาศ การบรรจุและขนถ่ายสินค้า การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โลจิสติกส์และซัพพลายเชน ณ โรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) ผู้ผ่านการฝึกอบรมสามารถเข้ามาทำงานในสายงานโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าทั้งทางเรือและทางอากาศ และด่านศุลกากร

สำหรับผู้สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ของโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) http://www.itbslogistics.com/course/Training.html หรือโทรศัพท์ 0-2018-2800 ต่อ 8901-8902, 095-759-8058, 095-174-2589 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4

ค่ำคืนวันที่ 5 ธันวาคม เวทีการประกวดมิสลาว ใช้เวลามากพอสมควร ในการตัดสิน ผู้ที่จะคว้าตำแหน่ง นางสาวลาว 2020

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

และ ในที่สุด คณะกรรมการก็ตัดสินให้ นางบุนพะสอน จินนี่ คว้ามงไปครอง ... เป็นคนที่ 11 โดย นางวินะดา พิสาลาด นางสาวลาว 2019 จากแขวงหลวงพระบาง ร่วมส่งมอบตำแหน่งและสวม มงกุฎ ในค่ำคืนนั้น ซึ่งได้จัดขึ้น ที่ โรงแรมแลนด์มาร์คแม่โขง นครหลวงเวียงจันทน์

รางวัลที่ได้รับในประกวดครั้งนี้ มงกุฏเพชร มูลค่า 70 ล้านกีบ จากร้านทองคำพูวง สายสะพาย พร้อมเงินสด 30 ล้านกีบ ทองคำ 2 บาท ทุนการศึกษา 300 ล้านกีบและ ตัวเธอจะปฎิบัติหน้าที่ต่อจาก นางวินะดา นางสาวลาวปีก่อน

ในความงามแบบแม่หญิงลาว ซึ่งเธอเคยโพสต์ไว้ว่า

" เอกลักษณ์ที่มีมา หญิงลาวขอรักษาไว้ "

" ...เป็น เวทีความฝันของน้อง ทั้งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้แม่หญิงลาว แสดงความสามารถและศักยภาพของตัวเองออกมา .."

และนับแต่นี้ เธอจะได้สืบสานในตำแหน่งนางสาวลาว ในแบบฉบับของ หญิงลาว ตามที่ตั้งใจ

ซึ่งในการประกวดนางสาวลาว ไม่มีการประกวดชุดว่ายน้ำโชว์สัดส่วน เน้นในเสน่ห์ของการรักษาวัฒนธรรมการแต่งกายแบบลาว ต่างจากการประกวดในเวทีสากล ซึ่งการประกวดในสปป.ลาว เริ่มมีการอนุญาติให้ประกวดในชุดว่ายน้ำ ในการประกวดมิสยูนิเวิร์สลาว มิสแกรนด์ลาว และมิสเวิลด์ลาว ด้วยรูปแบบของเวทีในระดับสากล

จาก โปรไฟล์บนเฟสบุ๊ค www.facebook.com/jinny.bounphasone

..Be Real, stay true.. แสดงถึงตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจน

เธอ เป็น สาวงามจากนครหลวงเวียงจันทน์ สวย เก่ง ครบ สมมง ไม่ธรรมดา

จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัย Beijing International Studies University และ

กำลังศึกษาชั้นปีที่สอง ในระดับปริญญาโทธุรกิจระหว่างประเทศ University of International Business and Economics ที่ปักกิ่ง

พักอาศัยอยู่ที่บ้านดงป่าลาน เมืองสีสัตตะนาก นครหลวงเวียงจันทน์

จินนี่ ในวันประกวด ML4 อายุ 24 ปี สูง 169 ซม. ในสัดส่วน 32-24-35

ชุดชนเผ่า ที่เธอสวมใส่ ในวันประกวดและโปรโมท เป็น ชุด ชนเผ่าโลมา

ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าอาข่าที่อาศัยอยู่ใน แขวง พงสาลี ..

มีภาษาพูดภาษาเดียวในส่วนภาษาจีน - ทิเบต

ลักษณะของการแต่งตัว :

- กระโปรงผ้าฝ้ายมีเอกลักษณ์ที่สวยงาม

- เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำช่วงอกถึงขา

- สวมผ้าคลุมศีรษะและเสื้อชั้นในที่ขา

- ประดับด้วยลูกปัดและเครื่องเงินสวยงาม

ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เธอเคยถ่ายแบบสำหรับภาพบนปฎิทินของร้านทองคำแห่งหนึ่งใน สปป.ลาว และ ได้เข้าเรียนการเดินแบบและบุคลิกภาพ

รวมทั้ง เข้าประกวดเวทีแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในเวที Kids and Young Model Contest ที่จัดโดย Centerstage Laos .

เธอได้เข้ารอบ หกคนสุดท้าย ..และ น้องจินนี่ ก็เข้าสมัครประกวดนางสาวลาว 2020 จนในที่สุด คณะกรรมการก็ตัดสินให้ จินนี่ สวมมงกุฎ ในแบบฉบับแม่หญิงลาว เป็นคนที่ 11 45 ปี วันชาติลาว ....

หลังจาก ได้รับตำแหน่ง นางสาวลาว 2020 จินนี่ ได้โพสต์ขอบคุณไว้ว่า

” ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากที่ได้รับเลือกให้เป็นมิสลาว 2020 และ

ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนจากทุกๆทาง รวมถึงส่งเสริมให้ฉันเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับตำแหน่งนางสาวลาวในที่สุด

ขอบคุณกองประกวด นางสาวลาว ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้ทำตามความฝันและพิสูจน์ตัวเองบนเวทีที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ .... "

..Be Real, stay true..

เวที "นางสาวลาว" หลังเปลี่ยนจาก "เวทีนางสาวอาภรณ์ลาว" ได้จัดมา 10 ปี เว้นไปหนึ่งปี 2014 มีนางสาวลาว 10 คน ดังนี้

ปี 2009 ไพลินดา พิลาวัน นครหลวงเวียงจันทน์

ปี 2010 มาไลทิบ สิงสาหะนาด แขวงบ่อแก้ว

ปี 2011 ทิดาลัด วงสิลิ นครหลวงเวียงจันทน์

ปี 2012 คริสตินา ลาดชะสิมมา นครหลวงเวียงจันทน์

ปี 2013 วิไลลัก จันทะวง แขวงไซยะบุลี

ปี 2015 สุติลัก อินทะวง นครหลวงเวียงจันทน์

ปี 2016 บุดสะบา แสงปัน แขวงไซยะบุลี

ปี 2017 ดวงพะไท เมกสีทอง นครหลวงเวียงจันทน์

ปี 2018 สุดทิดา อานุสิน แขวงสะหวันนะเขต

ปี 2019 วะนิดา พิสาลาด แขวงหลวงพระบาง


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top