Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

'ลุงตู่' ปลื้มกระทรวงเกษตรฯ หลังคุมการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) อยู่หมัด ส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียนที่ปลอดโรคนี้ และช่วยหนุนการส่งออกสุกรปี 63 พุ่ง 300% มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานผลการดำเนินงานการป้องกันการแพร่ระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือ African Swine Fever(ASF) ต่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงเกษตรฯและขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันจนสามารถป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดกับเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ปลอดโรคระบาดนี้เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ในขณะที่มี 34 ประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างมาก

โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ มีการยกระดับแผนปฏิบัติการป้องกันโรค ASF ให้เป็นวาระแห่งชาติ สนับสนุนงบกลาง วงเงิน 1,700 ล้านบาท และด้วยความสามารถในการรักษาความปลอดภัยในอุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรนี้ ทำให้สุกรไทยเป็นที่สนใจของตลาดต่างประเทศ ตัวเลขการส่งออกเฉพาะปี 2563 มีมูลค่าเกิน 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 300% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับใน 2564 รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลกภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา(โควิด-19) โดยยึดถือความร่วมมือด้านความปลอดภัยในอาหารเป็นหัวใจสำคัญ การส่งออกสินค้าปศุสัตว์ โดยเฉพาะ “สุกร” จะเป็น “สินค้าเรือธง” เพราะชื่อเสียงด้านการป้องกันโรคของไทยเป็นที่รับรู้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่าการส่งออกที่จะมีเพิ่มขึ้นนี้ ไม่ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนในประเทศ เพราะปริมาณการผลิตสุกรขุนของไทยในปัจจุบัน อยู่ที่ 55,000 ตัวต่อวัน ขณะที่การบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 50,000 ตัวต่อวัน การผลิตจึงเพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ สำหรับผลผลิตส่วนเกินจะทำการส่งออกในรูปแบบสุกรขุน สุกรพันธุ์ ลูกสุกร ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ เป็นรายได้เข้าประเทศอย่างมาก มีคณะกรรมการดูแล ประกอบด้วย 5 หน่วยงานคือ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมพัฒนาธุรกิจสุกรไทย และสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์

ส่วนเรื่องข้อติดขัดการส่งออกสุกรไปยังกัมพูชาเมื่อเร็วๆ นี้ ทางกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกได้หารือร่วมกันจนได้แนวทางการเจรจากับทางการกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ปัญหาได้รับการคลี่คลายแล้ว การส่งออกสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 วันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

วันนี้เมื่อ 253 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเป็นวันขึ้นปราบดาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี หลังจากรวบรวมผู้คนกลับไปกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาจากพม่าได้ภายในเวลา 7 เดือน พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมากและยากที่จะฟื้นฟู จึงทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบรี แล้วทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 นี้เอง

 

พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว และทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 15 ปี ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงทำนุบำรุงศาสนา และทรงส่งเสริมให้ผู้คนแต่งหนังสือ เนื่องจากหนังสือไทยอันมีค่าถูกพม่าเผาไปจนเกือบหมด นอกจากนี้ยังอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ที่เมืองหลวงอีกด้วย

 

ด้วยทรงเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาติไทย ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้ประกาศเอาวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน และถวายสมัญญานามว่า ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ ในวันนี้นอกจากผู้คนจะได้ถวายสักการะ ณ อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณวงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรีในปัจจุบัน ยังถือเป็นการได้ย้อนรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมกษัตริย์ไทย ที่ทรงสร้างชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น และรอดพ้นจากผองภัยมาจนถึงทุกวันนี้

 

 

  

 

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางสภาคองเกรซสหรัฐเพิ่งลงมติอนุมัติเงินเยียวยากู้วิกฤติ Covid-19 รอบล่าสุดเพิ่มอีก 9 แสนล้านเหรียญ หรือประมาณ 27 ล้านล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากพิษ Covid-19 ที่ทำเศรษฐกิจตกต่ำ เจ็บยาวกันข้ามปีไปจนถึงปีหน้า

ซึ่งงบช่วยเหลือล่าสุดของสหรัฐก้อนนี้ จะเป็นเงินสดช่วยเหลือค่าครองชีพให้ชาวสหรัฐคนละ 600 เหรียญ + เงินช่วยเหลือแรงงานที่ว่างงานอีกสัปดาห์ละ 300 เหรียญ เป็นระยะเวลา 11 สัปดาห์

และยังอัดฉีดกองทุนสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก ที่เรียกว่า Paycheck Protection Program ที่สนับสนุนเงินกู้ให้กับ SME ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 รวมถึงเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้เช่าบ้านที่กำลังจะถูกไล่ที่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าอีกด้วย

หากรวมกับเงินเยียวยา Covid-19 ที่รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติงบออกมาก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมีนาคม ภายใต้โปรเจค CARES Act และเงินทุนสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน Covid-19 อื่นๆอีก เท่ากับว่าในปีนี้สหรัฐได้อนุมัติงบประมาณเยียวยา Covid-19 ไปแล้วเกือบ 4 ล้านล้านเหรียญ!!!

งบประมาณก้อนนี้ใหญ่ขนาดไหน?

นิตยสาร Time ได้สรุปว่า งบประมาณก้อนใหญ่นี้ เทียบได้กับมูลค่าทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีของบราซิล ออสเตรเลีย และ เม็กซิโก รวมกัน และมากกว่า Recovery Act 2009 กองทุนฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของสหรัฐ ที่เป็นผลพวงของวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ถึง 4 เท่า

แต่ถึงจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ครอบคลุมเงินช่วยเหลือชาวสหรัฐหลายล้านคนทั่วประเทศขนาดนี้ แต่โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ณ เวลานี้ กลับขู่ว่าเขาจะไม่ยอมเซ็น

เพราะงบก้อนใหญ่เกินไปหรือ?

เปล่า ไม่ใช่! แต่ทรัมพ์บอกว่า ควรได้งบก้อนใหญ่กว่านี้อีก และคนอเมริกันควรได้รับเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 2,000 เหรียญ ไม่ใช่แค่ 600 เงินไม่พอครับ กลับไปประชุมกันใหม่!

หากมองว่าสหรัฐอัดฉีดงบประมาณอย่างโหด เหมือนโกรธใครมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขาลงในช่วง Covid-19 แต่หากเทียบกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาแล้ว เงินเยียวยาทั้งหมดที่ทุ่มลงมาให้ตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของ GDP ใน 1 ปีของสหรัฐ

และหากมองเทียบในแง่มุมนี้ จะพบว่ามีหลายประเทศที่ยอมทุ่มงบประมาณมหาศาลยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีแรงพยุงเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นจากยุค Covid-19 ไปให้ได้

ประเทศที่นำโด่งออกมาเป็นที่ 1 ในตอนนี้คือญี่ปุ่น ที่เพิ่งอนุมัติงบประมาณเพิ่มอีกกว่า 7 แสนล้านเหรียญเพื่อสกัดการระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19 ในประเทศ ไม่รวมกับงบที่เพิ่งอนุมัติไปแล้วก่อนหน้านี้กว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญเมื่อตอนต้นปี ทำให้ญี่ปุ่นอนุมัติงบเยียวยา Covid-19 ไปแล้วไม่น้อยกว่า 42% ของ GDP

ประเทศสโลเวเนียมาเป็นอันดับ 2 ที่เจียดงบแล้ว กว่า 24.5% ของ GDP ในประเทศในการเยียวยาแก้ปัญหา Covid-19 ที่แจกเงินช่วยเหลือทั้งผู้เกษียณอายุ เงินช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา คนว่างงาน ครอบครัวที่มีบุตรตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ปล่อยเงินกู้เพิ่มให้ภาคธุรกิจและอื่น ๆ

ส่วนประเทศอื่นในยุโรป ทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ และเยอรมัน ต่างควักทุนเยียวยา Covid-19 กันเกิน 20% ของ GDP ไปแล้วทั้งสิ้น

สหรัฐเพิ่งตามมาที่อันดับ 6 ด้วยมูลค่า 18.3% ของ GDP

มิน่า ที่โดนัลด์ ทรัมพ์ ของเราจะไม่ปลื้ม ด้วยนโยบาย America First ที่ต้องเป็นที่ 1 ทุกเรื่อง

ศาตราจารย์ Ceyhun Elgin อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ให้ความเห็นว่า ปริมาณของเม็ดเงินเยียวยา Covid-19 นั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาว่า จะบริหารจัดการงบประมาณอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และตรงจุดที่สุด เพราะจำนวนงบประมาณไม่ได้การันตีว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลหรือไม่

โดยศาตราจารย์ Elgin เสริมว่าสาระสำคัญอยู่ที่การเข้าถึงตลาดภาคแรงงานให้อยู่รอด ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะ และโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศด้วย ที่มีความแตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องท้าทายของผู้ที่กำหนดนโยบายในการใช้เงินเยียวยาก้อนโตเพื่อปั๊มหัวใจกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้

ส่วนประเทศไทยก็ออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากพิษ Covid-19 ด้วยงบประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP ที่มีแผนช่วยเหลือออกมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งจ่ายเงินช่วยเหลือแรงงาน 5,000 บาท จำนวน 3 เดือน มาตรการลดหย่อนภาษี ชิมชอปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน หรือล่าสุด โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น


แหล่งข่าว

https://time.com/5923840/us-pandemic-relief-bill-december/

https://www.aljazeera.com/economy/2020/12/8/japan-announces-708-bn-in-fresh-stimulus-as-covid-cases-rise

https://news.yahoo.com/trump-calls-900-billion-covid-155505344.html

https://seenews.com/news/slovenian-govt-adopts-seventh-anti-coronavirus-economic-stimulus-package-725657

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/thailand-passes-record-stimulus-package-to-combat-covid-19-12789232


เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

รองนายกรัฐมนตรี ‘สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์’ ยันเศรษฐกิจไทยไม่เจอผลกระทบมาก จากการระบาดโควิดรอบใหม่ มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 64 โตกว่า 4% หลังจากมีพัฒนาการวัคซีนโควิด

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการระบาดรอบใหม่ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไม่มากนัก เพราะสถานการณ์ยังอยู่ในวงจำกัดและรัฐบาลยังควบคุมสถานการณ์ได้และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้น

แม้จะมีการประเมินว่าการล็อคดาวน์จังหวัดสมุทรสาครจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ โดยมีการประเมินว่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจประมาณ 4 - 5 หมื่นล้านบาทนั้น ยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดประมาณ 12.6 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเท่าเดิมคืออยู่ที่ประมาณลบ 6% ตามการประเมินของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่วนในปี 64 มองว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้เกินกว่า 4% เนื่องจากเมื่อมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามาแล้วจะทำให้สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้ และในตอนนี้มีหลายประเทศที่ต้องการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย

ส่วนการทำงานยังต้องปรับแผนการขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจอย่างไรหรือไม่นั้น ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงเน้นในเรื่องของการลงทุนและการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยในเรื่องของงบประมาณมีวงเงินอยู่กว่า 3.2 ล้านล้านบาทก็จะช่วยในการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของการลงทุนจะเน้นเรื่องความร่วมมือให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการของรัฐ (พีพีพี) มากขึ้น

โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆที่จะมีความต่อเนื่องไปถึงปี 65 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง “แนวโน้มน่าจะดีกว่าคาด เดี๋ยวมีวัคซีนแล้วคนก็เดินทางได้ ต่างชาติที่เข้ามาก็ถือหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนมายืนยัน ครึ่งปีแรกแค่ประคับประคองไว้ ครึ่งปีหลังฟื้นแน่นอน”

มาตามนัด สื่อทำเนียบรัฐบาล ตั้ง "ฉายารัฐบาล" ปี 63

มาตามนัด สื่อทำเนียบรัฐบาล ตั้ง "ฉายารัฐบาล" ปี 63 "Veryกู้" ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ "ตู่ไม่รู้ล้ม" ส่วนพล.อ.ประวิตร ได้ "ป้อมไม่รู้โรย" รองนายกฯ วิษณุ ฉายา "ไฮเตอร์เซอร์วิส" ส่วน” หมอหนู-อนุทิน” ได้ฉายา "ทินเนอร์" ขณะที่ จุรินทร์ "เช้าสายบ่ายเคลม" ณัฏฐพล "หวีดดับ" และวาทะแห่งปีนายกฯ "ไม่ออก.. แล้วผมทำผิดอะไรหรือ"

การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติสืบต่อกันมา สะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานรัฐบาล โดยปราศจากอคติ โดย พร้อมมีมติตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2563 ร่วมกันดังนี้

ฉายารัฐบาล : VERY “กู้”

เปรียบเปรยการทำงานของรัฐบาล ที่ต้องกอบกู้วิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 กู้ชีวิตคนไทยให้อยู่รอดปลอดภัย แม้จะยังไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่ก็ยังดีกว่าหลายประเทศ แม้จะไม่ถึงขั้น very good ก็ตาม ขณะเดียวกัน ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องคนไทยที่ต้องแบกรับภาระหนี้สิน และ ภาวะตกงาน บางคนต้องจากโลกนี้ไปด้วยไม่อาจรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ มาบรรเทาปัญหา

ฉายา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) : ตู่ไม่รู้ล้ม

เป็นการล้อคำ “โด่ไม่รู้ล้ม” ชื่อยาดองชนิดหนึ่ง สรรพคุณคึกคัก กระปี้กระเปร่า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สะท้อนถึงการทำงาน ของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ว่าจะประสบปัญหา อุปสรรคการเมือง หรือ ชุมนุมขับไล่ถาโถม ก็ยังยืนหยัดฝ่าฟันอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี : ป้อมไม่รู้โรย

ล้อจากคำว่า บานไม่รู้โรย ด้วยภาพลักษณ์ของพี่ใหญ่ 3 ป. ในวัย 75 ปี ยังคงทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเคียงข้างน้องๆ ได้ แถมยังแผ่บารมีควบเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล เหมือนกับดอกไม้ แม้จะบานนานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้โรย ประกอบกับ วลีติดปากที่มักจะตอบคำถามสื่อมวลชน แทบทุกครั้งว่า ไม่รู้ ๆ อยู่เสมอ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี : ไฮเตอร์ เซอร์วิส

เป็นการยกคุณสมบัติเด่น ของนายวิษณุ ที่สามารถหาทางออก ปัญหาหนักอกของคนในรัฐบาลโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายได้อย่างเชี่ยวชาญ และ มักถูกวิจารณ์เรื่องความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เปรียบได้กับผลิตภัณฑ์ซักฟอกขาวยี่ห้อดัง ที่สามารถล้างคราบสกปรก ให้ขาวสะอาดหมดจดได้ แต่อาจทำให้เนื้อผ้าเสียหาย ขาดความสวยงาม คล้ายกับชื่อเสียงของรัฐบาลที่สึกกร่อนตามไปด้วย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข : ทินเนอร์

ด้วยชื่อ อนุทิน ซึ่งพ้องกับสาระเหยที่มี ทั้งคุณและโทษ ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หากสูดเดาเข้าไปมาก อาจทำลายระบบประสาท กระทบกระเทือนความรู้สึกนึกคิด คล้ายพฤติกรรมการใช้คำพูดที่ขาดความยั้งคิด ส่งผลลบต่อตัวเอง และ รัฐบาลโดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ จนเป็นประเด็นลดความน่าเชื่อถือของตนเอง เช่น โควิด..กระจอก ไล่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับประเทศหรือ ตอบโต้กับบุคลากรทางการแพทย์ จนเกิดกระแสต่อต้านหลายครั้ง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ : เช้าสายบ่ายเคลม สะท้อนการทำงานที่เห็นได้บ่อยครั้ง ว่ามักไม่ตรงต่อเวลา เข้าร่วมประชุมสายสม่ำเสมอ ส่วนในแง่การทำงานมักนิ่งเงียบเมื่อมีประเด็นที่ส่งผลลบต่อตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากเป็นเรื่องที่เป็นผลดีต่อคะแนนนิยมก็จะรีบเคลมผลงานดังกล่าวทันที

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง : ค้างคลัง

ยังคงไปไม่ถึงดวงดาว โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เปลี่ยนตัวว่าการไปถึง 2 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นคนนอกสายตา ถูกรั้งให้อยู่ได้แค่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น ทั้งที่ทุ่มเทให้กับพรรคอย่างมาก อีกทั้งยังออกตัวแรง แสดงออกชัดเจน ว่า”พร้อมมาก” ที่จะทำหน้าที่นี้ก็ตาม

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม : ศักดิ์สบายสายเขียว

ลือลั่นมากกับปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว และ อีกหลายโครงการ ที่ขัดแย้งกับหลายหน่วยงานแต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนเกื้อกูลอย่างดีจากนายกรัฐมนตรี โดยระยะหลังเรียกได้ว่า “ขึ้นหม้อ”ตามติดนายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด ส่วนการทำงานในพรรคภูมิใจไทย ก็อยู่อย่างไร้ความกังวลเพราะมีพี่ชายที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ คอยดูแลปัดเป่าทุกข์ภัยต่างๆ ให้

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม : พังPORN

สะท้อนการทำงานที่ล้มเหลว ในฐานะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานด้านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่ถูกนำมาใช้โจมตีรัฐบาลอย่างหนัก แม้จะเปิดศูนย์ anti-fake news แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และ ล่าสุดเกิดดราม่า หลังสั่งปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ปลุกใจเสือป่าชื่อดัง จนเกิดกระแสต่อต้านลุกลามบานปลาย

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ : หวีดดับ

ภาพลักษณ์แกนนำ กปปส. ยังคงเป็นภาพจำ ที่ไม่อาจลบเลือนได้ เช่นเดียวกับนกหวีดที่ถูกยกมาใช้เป็นสัญลักษณ์เปรียบเปรย ได้กำกับดูแลงานกระทรวงเกรดเอ แต่กลับไม่มีผลงานโดดเด่นปรากฎให้เห็น มีเพียงข่าวกระแสต่อต้านรายวัน หนักหน่วงที่สุด คือ ถูกกลุ่มนักเรียนนักศึกษา รวมตัวขับไล่

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน : แชมป์ไตรกีฬา

ไตรกีฬา ประกอบด้วย กีฬา 3 ชนิด คือ วิ่ง วายน้ำ และ ปั่นจักรยาน สะท้อนภาพลักษณ์ได้ครบถ้วนชัดเจน ในบุคลิกที่สื่อมวลชนประจักษ์ ทั้งในตำแหน่งรัฐมนตรี และ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ที่มีทั้งการวิ่งเต้น การเข้าหาผู้ใหญ่ และ การปลุกปั่นกระแส แม้จะถูกกล่าวหาว่า ลืมบุญคุณผู้ชักนำเข้าสู่การเมือง แต่ก็ไม่สนใจเสียงวิจารณ์ เดินหน้าจนสามารถคว้าตำแหน่งที่ต้องการได้สำเร็จ ทั้งที่เป็นนักการเมือง และ สส.สมัยแรกเท่านั้น

วาทะแห่งปี : “ไม่ออก.. แล้วผมทำผิดอะไรหรือ”

เป็นคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ตอบข้อสักถามสื่อมวลชน พร้อมกับบรรดาคณะรัฐมนตรีที่ยืนเรียงหน้าประกาศความเหนียวแน่น เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังกลุ่มผู้ชุมนุม ยื่นข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top