Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

Toyota เตรียมปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ แม้ประธานใหญ่จะเคย ‘ซัด’ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน ‘สร้างมลพิษ’

ช่วงหลังๆ ที่ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Toyota ออกมาพูดในเวทีต่างๆ นั้น ม้กจะได้เห็นวิวาทะเชิงตำหนินโยบายห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

อีกทั้งยังบอกอีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนสร้างมลพิษมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงจากแหล่งที่มาของไฟฟ้าในบางพื้นที่ ล้วนมาจากก๊าซ และถ่านหิน ดังนั้นรัฐบาลทุกประเทศต้องกลับไปทบทวนว่าการใช้นโยบายลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่หากนำสมมติฐานดังกล่าวมาวิเคราะห์จะพบว่า เรื่องดังกล่าวไม่จริง เพราะแหล่งที่มาของไฟฟ้ามีหลากหลาย และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปล่อยมลพิษออกมามากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ยังขับเคลื่อนนโยบายลักษณะนี้ต่อไป โอกาสที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์จะล่มสลายก็มีสูง นอกจากนี้ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ายังราคาค่อนข้างสูง การผลักดันให้ผู้บริโภคไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ

แต่จนแล้วจนรอด ข้ออ้างต่างๆ นานา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ Toyota ตกขบวนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยตอนนี้ก็เริ่มเห็นการกลืนน้ำลายและพ่นน้ำลายออกมาในเวลาเดียวกันของ Toyota เลยก็ว่าได้ เนื่องจากล่าสุดทางToyota ก็ได้ปล่อยโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกมาให้คนได้รับรู้ถึงการยืนในสนามรถไฟฟ้าของพี่ใหญ่แห่งวงการยานยนต์

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับชื่อรุ่น แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของ Toyota จะมาในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ Ultracompact Car มีทั้งหมด 2 ที่นั่ง ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion วิ่งได้ราว 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม โดยปรับปรุงเพื่อเหมาะสมกับการวิ่งบนภูเขา รวมถึงในเมือง

ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นดังกล่าวยังออกแบบให้เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มผู้สูงอายุที่ปกติจะขับรถยนต์ขนาดเล็กกลุ่ม Kei Car เดินทางไปที่ต่างๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับรถยนต์เป็นครั้งแรก โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเริ่มทำตลาดในปี 2021 ราคาราว 1.6-1.7 ล้านเยน (ราว 4.5 แสนบาท) เน้นทำตลาดในระดับองค์กร และหน่วยงานรัฐก่อน ส่วนการทำตลาดในกลุ่มบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2022

สำหรับเป้าหมายในเบื้องต้น Toyota นั้น ได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 100 คันกับกลุ่มลูกค้าองค์กร และหน่วยงานรัฐ ซึ่งหากมองจากการออกมาเปิดตัวครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะ Toyota ถูกกดดันจากหน่วยงานภาครัฐที่อยากให้ Toyota พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กรูปแบบใหม่มาทดแทนรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้น้ำมัน สอดรับกับแผนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อยากให้มีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ที่หลังๆ เริ่มถูกจีนเข้าไปจับจองในหลายๆ ตลาดทั่วโลก รวมถึง Tesla ที่มีมูลค่าบริษัทแซง Toyota ไปอย่างน่าเจ็บใจ

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ Toyota หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากนั้น น่าจะมาจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในหลายๆ มลรัฐของสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎเกณฑ์ในเรื่องของมลพิษจนกลายเป็นแนวคิดต้นทางในการทบทวนมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์ไปทั่วโลก รวมถึงจีนเองก็พยายามในการผลักดันให้เพิ่มจำนวนการใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าทางประธาน Toyota ก็คงจะยังไม่ทิ้งและจะยังมุ่งเน้นไปยังกลุ่มรถยนต์สาย Hybrid และ Fuel-Cell อยู่เหมือนเดิม

อ้างอิง: Nikkei Asia / Toyota

กมธ. การพาณิชย์ แนะรัฐนำบทเรียนราคาหน้ากาก-เจล-แอลกอฮอล์ พุ่งเป็นบทเรียน หลังประชาชนเริ่มเป็นห่วงสินค้าขาดตลาด และราคาอาจพุ่งเว่อร์

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และ ถุงมือยาง ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตามที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเป็นห่วงมานั้น

เบื้องต้น กมธ.ได้ติดตามสถานการณ์โดยทั่วไปยังเป็นปกติ รัฐบาลดูแลได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าเหล่านี้ยังมีจำหน่ายภายในประเทศอย่างเพียงพอ ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คอยควบคุมปริมาณ รวมไปถึงราคาสินค้าทั้ง 3 อย่าง โดยนำประสบการณ์จากการแพร่ระบาดในรอบแรก ทั้งการเฝ้าติดตาม ลงโทษอย่างเฉียบขาด กับผู้กักตุน และขายเกินราคา เป็นต้น มาใช้สำหรับบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบปัญหาขาดแคลนสินค้า หรือขายเกินราคาควบคุม ก็สามารถร้องเรียนผ่านกรมการค้าภายใน หรือกมธ.พาณิชย์ ได้ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติเมื่อใด กมธ.ก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันที

ก.กระทรวงดิจิทัลฯ กางข้อมูลมือโพสต์ข่าวปลอมอันดับ 1 ในรอบเกือบปีที่ผ่านมา พบกว่า 7.8 แสนคน แถมแชร์ต่ออีก 28 ล้านคน ส่วนแชมป์แชร์ข่าวเท็จ และปั้นข่าวลวงอยู่ในวัย 19-34 ปี สัดส่วน ชาย – หญิง สูสีครึ่งต่อครึ่ง

รายงานข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) ระบุว่าจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวบรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 18 ธ.ค. 63 เกี่ยวกับพฤติกรรมการโพสต์และแชร์ข่าวปลอม ของชาวโซเชียลในไทย พบว่า มีจำนวนผู้โพสต์ข่าวปลอม 787,055 คน และผู้แชร์ข่าวปลอม 28,519,534 คน

ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า ประชาชนในช่วงอายุ 25-34 ปี มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเผยแพร่ข่าวปลอมมากสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 48.8% ส่วนกลุ่มอายุอันดับรองลงมา ได้แก่ 18-24 ปี, 35-44 ปี, 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ โดยแบ่งกลุ่มตามเพศของพฤติกรรมเผยแพร่ข่าวปลอม มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ผู้ชาย 51.8% และผู้หญิง 48.2%

ขณะที่ อายุของผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม กลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังนำเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 48.9% ตามมาด้วย อายุ 18-24 ปี, 35-44 ปี , 45-54 ปี และ 55-64 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 53.0% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 47.0%

ในด้านพฤติกรรมการแชร์ข่าวปลอม พบว่าอายุของผู้แชร์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม เกินครี่งหรือประมาณ 53.3% อยู่ใน18-24 ปี อันดับรองลงมา คือ อายุ 25-34 ปี คิดเป็น 41.7% ตามมาด้วย อายุ 45-54 ปี และอายุ 55-64 ปี โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่แชร์ข่าวปลอมเป็นผู้ชาย 49.4% ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 50.6%

หลังโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการกำหนดให้เปิดจองช่วง 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ต้องถูกยกเลิกไป จากเหตุสุดวิสัย ก็ดูเหมือนจะมีประชาชนจำนวนมากต้องการให้กลับมาเปิดโครงการนี้อีกครั้งในช่วงปีใหม่

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ จะมีการเปิดให้ผู้ได้รับสิทธิ ‘โครงการเราเที่ยวด้วยกัน’ โดยสามารถจองสิทธิห้องพัก จำนวน 1 ล้านสิทธิใหม่ที่ครม.อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเดิมกำหนดให้จองได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากพบพฤติกรรมต้องสงสัยของโรงแรมและร้านอาหารบางส่วนเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่มักง่ายและคิดสั้นที่ทำลงไปแบบนั้น แต่เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากต้องการใช้สิทธิ์จองห้องพักเพื่อใช้ในเทศกาลปีใหม่ จึงจะให้เปิดจองได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 ธันวาคม2563 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาโครงการ ‘เที่ยวไทยวัยเก๋า’ ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เที่ยววันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ มีเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายว่าต้องมีการเดินทาง 2 คนขึ้นไปในวันอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี โดยใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยว เดินทาง 3 วัน 2 คืนขึ้นไป รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน

‘จอมขวัญ’ แยกทางไทยรัฐทีวี สถานีต่อไปคือที่ใด?

ถามตรงๆ จะไม่ตรงอีกแล้ว เมื่อพิธีกรข่าวคนดัง ‘จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์’ เจ้าของรายการ ‘ถามตรงๆ กับจอมขวัญ’ ประกาศไม่ต่อสัญญากับ ‘ไทยรัฐทีวี’ โดยเบื้องต้นจะทำรายการจนถึงสิ้นปีนี้

 

หลังข่าวฮือฮานี้เผยแพร่ออกไป มีการจับตากันว่า พิธีกรคนดังจะย้ายขั้ว สลับข้าง ไปทางค่ายทีวีช่องไหน เสียงลือแรกคาดว่าจะย้ายซบ ‘ทีวีช่องวาไรตี้เกมโชว์’ ที่กำลังรุกหนักเรื่องข่าวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่วนอีกกระแส ลือว่าอาจย้ายซบรังเดิม นั่นคือ เนชั่นทีวี ที่ในวันนี้ ‘ทางสะดวก’ และน่าจะเป็นทางที่พิธีกรคนดังน่าจะ ‘ออกอาวุธ’ ได้ถนัดถนี่

 

หรือแม้แต่ทางเลือกที่เป็นไปได้อีกทาง นั่นคือ สร้างแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ซึ่งโมเดลแบบนี้ นักข่าวคนดังอย่าง ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ เคยทำมาแล้วกับสถานีข่าวออนไลน์ The Reporters นั่นเอง ซึ่งด้วยกระดูกงานที่แข็งโป้ก แถมด้วยพลังชื่อเสียงของจอมวัญเอง การตัดสินใจเลือกงานที่เรียกว่า ‘ทำเอง กินเอง’ ก็มีความเป็นไปได้สูง

 

โปรดจับตาดูการขยับตัวของพิธีกรข่าวคนดัง เพราะนี่คือทิศทางที่เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ อีกไม่นานได้รู้กัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top