Sunday, 11 May 2025
WORLD

‘ตุรกี’ ไฟเขียว!! เปิดทางให้ ‘สวีเดน’ ร่วมเป็นสมาชิกใหม่นาโต พร้อมเร่งหารือกรณี ‘ยูเครน’ ขอร่วมพันธมิตรท่ามกลางภาวะสงคราม

(11 ก.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกียินยอมที่จะส่งเรื่องการขอเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของสวีเดนเข้าสู่รัฐสภาตุรกีให้เร็วที่สุด ถือเป็นการสิ้นสุดประเด็นขัดแย้งที่สร้างความตึงเครียดให้กับนาโตนานหลายเดือน ขณะที่การสู้รบในประเทศยูเครนยังคงดำเนินต่อไป

ทั้งประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ได้ยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตอบสนองต่อการที่รัสเซียนำกำลังทหารเข้ารุกรานยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แม้ฟินแลนด์ได้รับการอนุมัติให้เข้าเป็นสมาชิกของนาโตเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทั้งประเทศตุรกีและฮังการียังคงขัดขวางการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน ซึ่งทางสวีเดนเองก็กำลังเดินหน้าเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตในการประชุมผู้นำชาติสมาชิกที่จัดขึ้นที่กรุงวิลนีอุส เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตกล่าวในการแถลงข่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้เห็นพ้องที่จะยื่นพิธีสารการเข้าเป็นสมาชิกของสวีเดนไปยังสมัชชาแห่งชาติให้เร็วที่สุด และทำงานกับสมัชชาแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อรับรองการให้สัตยาบัน”

ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีและนายอุล์ฟ คริสเตอซ็อน นายกรัฐมนตรีสวีเดนมีการหารือกันนานหลายชั่วโมงก่อนหน้าการประชุมผู้นำนาโตเพื่อหวังที่จะฝ่าทางตันในประเด็นดังกล่าวระหว่างทั้งสองชาติ หลังก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีกล่าวหาว่าสวีเดนไม่ได้พยายามมากพอที่จะจัดการกับสมาชิกพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (พีเคเค) ที่ตุรกี สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ จัดให้เป็นองค์กรก่อการร้าย

นายกรัฐมนตรีคริสเตอซ็อนของสวีเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “นี่คือวันที่ดีสำหรับสวีเดน” แถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยทั้งสวีเดนและตุรกีระบุว่า สวีเดนได้เน้นย้ำว่าจะไม่สนับสนุนกลุ่มชาวเคิร์ดและจะสนับสนุนความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ขณะที่แอร์โดอานกล่าวว่า “อียูควรที่จะเปิดทางให้กับการขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ก่อนที่รัฐสภาตุรกีจะอนุมัติการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน”

ก่อนหน้านี้ เสนาธิการของนายวิกเตอร์ ออร์บัน นายกรัฐมนตรีฮังการีได้กล่าวเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่าจะไม่ขัดขวางการให้สัตยาบันขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดนอีกต่อไป ทำให้การยินยอมของตุรกีจะเป็นการกำจัดอุปสรรคสุดท้ายในการเข้าร่วมนาโตของสวีเดน

นอกจากประเด็นเรื่องสวีเดนแล้ว บรรดาผู้นำของชาติสมาชิกนาโตเตรียมที่จะมีการหารือกันในการประชุมผู้นำที่กรุงวิลนีอุส เพื่อหวังที่จะก้าวข้ามความแบ่งแยกในเรื่องการที่ประเทศยูเครนขอเข้าเป็นสมาชิกของนาโตเช่นกัน โดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการพูดคุยกันถึงผลสะท้อนของการที่รัสเซียส่งกองทัพเข้ารุกรานยูเครน โดยบรรดาผู้นำชาติสมาชิกเตรียมที่จะอนุมัติแผนครอบคลุมที่ระบุว่า ชาติสมาชิกนาโตจะตอบสนองต่อการโจมตีของรัสเซียอย่างไร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นาโตมีการร่างแผนในลักษณะดังกล่าวขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามเย็น

ถึงแม้ว่าสมาชิกนาโตหลายคนเห็นพ้องกันว่า ยูเครนจะยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ ขณะที่ยังมีสงครามกับรัสเซีย แต่พวกเขายังคงเสียงแตกว่ายูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้เร็วที่สุด เมื่อใดหลังสิ้นสุดสงครามและภายใต้เงื่อนไขใด ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ได้กดดันให้นาโตกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนในแถลงการณ์ของที่ประชุม เพื่อที่ยูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้หลังสิ้นสุดสงครามกับรัสเซีย

บรรดานักการทูตระบุว่า การยืนยันว่ายูเครนมีตำแหน่งอันชอบธรรมในนาโต และจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกทันทีเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้อต่อการเข้าเป็นสมาชิก จะเป็นหนึ่งในข้อความที่จะมีการพูดคุยกันสำหรับแถลงการณ์ของที่ประชุม นอกจากนั้นแล้ว การเจรจาต่าง ๆ จะให้ความสำคัญไปที่เงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน และจะติดตามขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอย่างไร

การเผชิญหน้า 'จลาจล-ประท้วง-เสรีภาพ' ของผู้นำหนุ่ม ในยุค 'วิกฤติเศรษฐกิจ-โซเชียลกำหนดวิธีคิด' ให้ผู้คนลุกฮือ

ไม่นานมานี้ YouTube ช่อง 'Kim Property Live' ได้โพสต์คลิป เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ การประท้วง การจลาจล ในประเทศฝรั่งเศส โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ...

วันนี้จะมาชวนคุยเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส การประท้วง การจลาจล การต่อต้านและความไม่สงบ ภายใต้บริบทของประเทศคิดที่มีความหลากหลาย และสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์หรู ต่างๆ มากมาย ซึ่งวันนี้ต้องเผชิญความท้าทายจากอำนาจของประชาชนภายใต้อิทธิพลสื่อที่ผู้นำหนุ่มแห่งฝรั่งเศสกำลังปวดหัว

โดยเราต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับรากเหง้าและวัฒนธรรมการประท้วงของฝรั่งเศสกันก่อน ประเทศของเขามีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีค.ศ 1789 ซึ่งเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศส และนี่ก็คือเอกลักษณ์ของทางประเทศฝรั่งเศส ที่เกี่ยวกับ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ประเทศฝรั่งเศสมีการนัดกันหยุดงานและประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพลักษณ์ของประชากรในฝรั่งเศสเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และกล้าท้าทายต่ออำนาจ คนในฝรั่งเศสนั้นมีความรู้ มีการศึกษาค่อนข้างดี และก็ยังมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เยอะอีกด้วย อีกทั้งทางด้านสหภาพแรงงานก็เข้มแข็ง ทำให้เกิดการประท้วง ทั้งในฝั่งของคนทำงานและบริษัท จึงทำให้เราเห็นภาพที่วุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม ประเทศฝรั่งเศสนั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีสินค้าแบรนด์ดัง แบรนด์หรูที่โด่งดังไปทั่วโลกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลุยส์วิตตอง Hermes Chanel ยิปแซง Peugeot ยางมิชลิน ห้างคาร์ฟูร์ เครื่องสำอางลอรีอัล Ibis axa แต่ก็แทบจะไร้ค่า เมื่อเทียบกับพลังของผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีคิดแห่งเสรีภาพค้ำชู

กลับมาพูดกัน ในปัจจุบันของฝรั่งเศส มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์มันลุกลามกันมาตั้งแต่ เหตุการณ์เสื้อกั๊กเหลือง ที่คนประท้วงกันในเรื่องของนโยบาย โลกร้อน ขึ้นภาษีน้ำมัน ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ที่นโยบายเอื้อไปทางคนที่ร่ำรวย เพราะว่าประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง มาจากสายของการเงินธุรกิจ 

นอกจากนี้ตัวเขาก็ยังมีแนวคิดที่จะเลื่อนการเกษียณออกไปอีก 2 ปี เนื่องด้วยระบบบำนาญของฝรั่งเศส ดูแลประชาชนไม่ไหวแล้วประชาชนเริ่มที่จะแก่มากขึ้น เงินที่เข้ามาก็น้อย ดอกเบี้ยก็ต่ำ พอยืดเวลาเกษียณออกไปก็ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ เกิดการหยุดทำงานการประท้วงไปทั่วฝรั่งเศส (สำหรับคนไทยนั้นอาจจะตกใจแต่สำหรับคนฝรั่งเศสการ Strike หยุดงานการเดินขบวนการประท้วงนั้น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว)

ทว่า เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่มความร้อนแรงให้กับประเทศฝรั่งเศส ทั้งในเรื่องของการเมืองและเรื่องของสังคมนั่นก็คือ การที่ตำรวจท่านหนึ่ง ทำการวิสามัญวัยรุ่นอายุ 17 ปี ซึ่งน้องคนนี้ก็ได้มาจากแอฟริกาเหนือ (ก็ต้องบอกว่าในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติที่เยอะ มีผู้ที่อพยพเข้าเมืองมาเยอะ และถ้าดูจากแผนที่แล้วประเทศฝรั่งเศสนั้นจะอยู่ทางตอนบนของประเทศซีเรีย ตะวันออกกลาง) 

ฉะนั้นเมื่อมีผู้อพยพเข้ามากันเยอะ เพื่ออาศัยลี้ภัยสงคราม เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติก็เริ่มมีการก่อตัวให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้อพยพนั้นก็เติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) พอมีเหตุการณ์การวิสามัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นมา มีคนยิงพลุใส่ตำรวจ เผารถยนต์ของตำรวจ โดยล่าสุดมีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้ว ประมาณ 1,100 คนจากทั่วประเทศ และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 40,000 คนได้เข้าควบคุมสถานการณ์ 

แน่นอนว่า การประท้วงในครั้งนี้ ได้ท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ซึ่งก็ได้มีการเรียกประชุมฉุกเฉินและมีการขอให้ผู้ปกครองนั้นดูแลบุตรหลานให้ดี ให้อยู่กันแต่ในบ้าน ซึ่งทางฝ่ายค้าน ก็ได้ใส่ประธานาธิบดีมาครงทันทีว่าอ่อนแอ ควบคุมกฎหมายไม่ดีรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ไม่ได้

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ปวดหัวพอสมควร ปัญหาเก่าก็มีสะสมมาเยอะอยู่แล้ว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นไปถึง 6% ตอนนี้ก็ได้ลงมาอยู่ราวๆ 5% แล้ว ส่วนตัวเลข GDP นั้นถึงแม้จะไม่ติดลบแต่ก็ถือว่าแทบจะไม่โตเลย ตัวเลขอยู่ที่ 0.9% เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง ประชาชนก็ย่อมจะมีความกดดันสูงอยู่แล้วและเมื่อมีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมาอีก จุดเดือดนี้ ก็ได้แพร่ขยายออกไปได้ง่าย 

อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของท่านประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ได้มี Action ต่างๆ เพื่อจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรายได้ ค่าครองชีพ ได้มีการเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลกให้มาตั้งโรงงานที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะถ้าโรงงานการผลิตอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็จะเกิดการจ้างงานทำให้คนฝรั่งเศสนั้นมีงานทำเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งประธานาธิบดีมาครง ก็เคยจีบอีลอนมัสก์ ให้มาสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศฝรั่งเศส 

ขณะเดียวกัน ก็เคยชวนเจ้าสัวซีพีของไทยไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศส เพราะนโยบายหลักของประธานาธิบดีมาครงนั้น เน้นไปที่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้วที่จะเน้นในเรื่องนี้ เขาไม่อยากจะซื้อพลังงานจากทางด้านประเทศรัสเซีย แต่การขึ้นภาษีดีเซลนั้นก็ยังติดขัดกับพวกเสื้อกั๊กเหลืองอยู่ คนฝรั่งเศสไม่เอาด้วย เพราะว่ามองว่าเป็นการรังแกคนที่จน คนทางภาคเกษตรกรรมนั้นใช้พลังงานดีเซลที่เยอะ แล้วต่อมาเหตุการณ์จลาจลในประเทศฝรั่งเศสนั้นก็ได้ลุกลามไปยังประเทศเบลเยียม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เกิดการปล้นในเมืองโลซาน โดยยึดประเทศฝรั่งเศสเหมือนโมเดลในการประท้วงการเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนในหลายประเทศดูฝรั่งเศสเป็นตัวอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการประท้วงการจลาจลแบบนี้ มันก็ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจที่เปิดอยู่ก็ต้องปิดตัวลงไป จะทำการค้าการขายกันก็ไม่ได้ ทำให้เกิดการสูญเสีย ประมาณ 1 billion Euro หรือว่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร ซึ่งก็คล้ายคลึงกับบ้านเราถ้าเกิดการประท้วงปิดห้างกันการค้าการขายระบบเศรษฐกิจของบ้านเราก็เสียหาย นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวเพราะว่าคนไม่กล้ามาท่องเที่ยวกัน ทำให้เกิดการกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศสมากขึ้นไปอีก เพราะฝรั่งเศสนั้นก็เป็นประเทศที่เน้นการท่องเที่ยว ของที่เป็นแบรนด์เนมของที่เป็นแฟชันสัญลักษณ์ของความหรูหรา จนรัฐบาลของฝรั่งเศสจะต้องมาการันตีให้ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ถึงตรงนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีแนวคิดทางด้านการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มีความเข้มแข็งของประชาชน มีความเข้มแข็งของสหภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองค่อนข้างสูง แต่อีกด้านหนึ่งก็มักทำให้เกิดการประท้วงการจลาจล ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงหลัง Social Media ก็มีผลอย่างมากต่อการนำมาซึ่งความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่เดินขบวนกันแบบสันติ แต่ปัจจุบันก็ได้ รุนแรง จนเกินต้านจากการปลุกปั่นในออนไลน์

‘ผู้นำกบฏวากเนอร์’ เข้าพบ ‘ประธานาธิบปูติน’ หลังก่อกบฏ พร้อมกล่าวสาบาน จะขอจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซีย

(11 ก.ค. 66) นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำผู้นำกลุ่มกบฏวากเนอร์ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เพียง 5 วันหลังจากก่อเหตุกบฏที่กินเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยนายพริโกซินได้ประกาศความจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซียในขณะเข้าพบปูตินอีกด้วย

นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า การพบกันของปูตินและพริโกซินเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวของนายพริโกซินเท่านั้น แต่ยังมีผู้บัญชาการจากกลุ่มวากเนอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพริโกซินด้วย

เปสคอฟกล่าวว่า ผู้บัญชาการของวากเนอร์ได้พูดถึงมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเน้นย้ำว่าพวกเขาถือเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน และเป็นทหารของประมุขแห่งรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ทั้งนี้ การยืนยันว่าปูตินได้พบกับนายพริโกซินซึ่งเป็นผู้นำทัพวากเนอร์ บุกไปยังกรุงมอสโกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีกลาโหมถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

พริโกซินไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการหารือที่เกิดขึ้น และขณะนี้ชะตากรรมของเขาก็ยังไม่ชัดเจน โดยการประกาศดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีการเจรจาเบื้องหลังอยู่มากมายในที่ลับ และพริโกซินยังคงถูกดำเนินคดีในความผิดทางการเงินหรือข้อหาอื่น ๆ ต่อไป

ชาวแอฟริกาใต้สุดตื่นเต้น!! หิมะตกครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังแนวปะทะอากาศ เย็นพัดผ่าน ทำอุณหภูมิลดฮวบทั่วเมือง

(11 ก.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแอฟริกาใต้ ระบุว่า เราได้เห็นสภาพอากาศเช่นนี้ เมื่อปี 2012 โดยมีรายงานหิมะตกทั่วพื้นที่ทางตอนใต้ของจังหวัดเกาเต็ง ที่มีโจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองเอก และคาดว่าจะยังคงมีหิมะตกตลอดทั้งวัน ซึ่งรวมถึงพื้นที่สูงของจังหวัดอีสเทิร์นเคป และ จังหวัดควาซูลู-นาทาล ที่อาจทำให้ถนนหลายสายต้องปิดการจราจรด้วย

ทั้งนี้ โจฮันเนสเบิร์ก ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงมากกว่า 1,700 เมตร (5,600 ฟุต) และอยู่ในจุดสูงสุดของฤดูหนาวในซีกโลกใต้ อย่างไรก็ดี การมีหิมะตกในเมืองนี้ยังคงเกิดขึ้นได้ยาก ก่อนหน้านี้เคยเกิดหิมะตกในปี 2012 และ ปี 1996

ทั้งนี้ อุณหภูมิที่เย็นยะเยือกยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้คนที่อาศัยตามท้องถนน ในประเทศที่ความยากจนยังปกคลุมเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ยังคาดว่า ทะเลที่มีคลื่นรุนแรงและลมกระโชกแรง จะก่ออันตรายต่อเรือขนาดเล็กตรงชายฝั่งทางตะวันออกของแอฟริกาใต้ด้วย

‘อดีตผู้สื่อข่าวสายวัง’ เล่ามุมมองความรัก ‘เจ้าชายวิลเลียม-เจ้าหญิงเคท’ ชี้ ฝ่ายหญิงเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่เจ้าชาย 'ไม่เคยมี' ในชีวิตราชวงศ์

(10 ก.ค. 66) คู่สามีภรรยาที่มีชาติกำเนิดแตกต่างกันมาก บางครั้งความต่างที่หลายคนมองว่าอาจเป็น ‘อุปสรรค’ กลับกลายเป็นการ ‘เติมเต็ม‘ ให้กัน เหมือนที่ ‘เจนนี บอนด์’ อดีตผู้สื่อข่าวสายราชวงศ์ของสำนักข่าวบีบีซี มองคู่ของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ หรือ เคท มิดเดิลตัน พระชายา ว่า ฝ่ายหญิงซึ่งมาจากสามัญชนได้เข้ามาเติมเต็ม ให้ทุกสิ่งที่เจ้าชายวิลเลียม ไม่เคยมีในชีวิตราชวงศ์ของพระองค์

บอนด์ ในวัย 72 ปี ให้ความเห็นว่า ทั้งเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี พระอนุชา พระโอรสทั้ง 2 ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร กับ เจ้าหญิงไดอานา อดีตพระชายา ซึ่งสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี 2540 ต่างเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีความแข็งแรงทางอารมณ์ อย่างที่รู้กันว่าชีวิตคู่ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กับ เจ้าหญิงไดอานา ไม่ได้ราบรื่นและลงเอยด้วยการหย่า ก่อนเจ้าหญิงไดอานาจะประสบอุบัติเหตุ กระทั่งสิ้นพระชนม์

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เคทได้ให้ทุกสิ่งที่เจ้าชายวิลเลียมไม่เคยได้ในชีวิตครอบครัวของพระองค์เอง ทั้งความรัก การเป็นคู่ชีวิตที่ผูกพันลึกซึ้ง มิตรภาพที่มีรากฐานแข็งแรง ความหลงใหล การเคารพซึ่งกันและกัน และยังขยายไปถึงความสัมพันธ์ที่ลงตัว มีความสุขกับพ่อตาแม่ยาย” บอนด์ให้สัมภาษณ์นิตยสารโอเค

อดีตนักข่าวของบีบีซี เล่าว่าทั้ง ไมเคิล และ แคโรล มิดเดิลตัน พ่อแม่ของเคท มิดเดิลตัน หรือ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ต่างรักเจ้าชายวิลเลียม และปฎิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว “เจ้าชายวิลเลียมสามารถผ่อนคลายเมื่ออยู่กับไมเคิลและแคโรล สามารถไว้ใจบุคคลทั้งสอง และสามารถเป็นตัวของพระองค์เองในแบบที่ทรงสามารถทำได้กับคนอื่นเพียงไม่กี่คน”

เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายา ทรงรู้จัก และพบรักกันตั้งแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ ในสกอตแลนด์ เคยเลิกคบเป็นแฟนกันไประยะหนึ่ง ก่อนจะหวนกลับมาคบกันใหม่ และประกาศหมั้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนปี 2553 จากนั้นทรงเข้าพิธีเสกสมรสเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2544 

เป็นเวลา 12 ปีแล้ว ที่ทั้งสองพระองค์ทรงครองชีวิตคู่ ช่วยกันเลี้ยงดูพระโอรส พระธิดาทั้ง 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายจอร์จ พระโอรสองค์โต พระชันษา 9 ปี เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระชันษา 8 ปี และเจ้าชายหลุยส์ พระชันษา 5 ปี เติบโตอย่างมีความสุข เป็นที่รักที่เอ็นดูของแฟนคลับราชวงศ์อังกฤษทั่วโลก

ระหว่างให้สัมภาษณ์นิตยสารดัง ‘เจนนี บอนด์’ มองว่า “ทุกวันนี้เจ้าชายวิลเลียมทรงใกล้ชิดกับพระบิดามากขึ้น แต่ฉันคิดว่าสุภาพสตรีอีกคนที่ช่วยให้เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นผู้ชายเหมือนที่ทรงเป็นอยู่ ก็คือควีนเอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จย่าของพระองค์ที่สิ้นพระชนม์จากไปแล้ว ซึ่งเจ้าชายวิลเลียมเคยบอกอยู่เสมอว่า เป็นผู้ที่อยู่ในชีวิตของพระองค์ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด และเศร้าที่สุดในชีวิต”

'อีลอน มัสก์' เผย Starlink ต้องถือสิทธิ์เจ้าของกิจการในไต้หวัน 100%  แลกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแบบเร่งด่วน เพื่อทำสงครามกับจีน

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารเบอร์ต้นๆ ของโลก การจะเจรจาเรื่องธุรกิจใดสักอย่าง จึงย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้วสำหรับ อีลอน มัสก์ ที่ตอนนี้ดูแลกิจการยักษ์ใหญ่ ทั้ง Tesla, SpaceX และล่าสุดกับระบบอินเตอร์เนตดาวเทียม Starlink ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ 

โดยไม่นานมานี้ อีลอน มัสก์ ได้นำเสนอไอเดียให้รัฐบาลไต้หวัน พิจารณาดาวเทียม Starlink เป็นระบบ Backup สำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตสำรอง กันการโจมตีจากจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้ไต้หวันมั่นใจว่าการสื่อสาร และ ส่งผ่านข้อมูลสำคัญในประเทศยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ติดขัดแม้จะมีความพยายามตัดระบบเคเบิลพื้นฐานจนได้รับความเสียหาย

ข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เกิดขึ้นหลังจากที่สายเคเบิลใต้ทะเล 'ไต้หวัน-มัทสุ' ทั้ง 2 เส้น ที่ลากผ่านใกล้พรมแดนทางทะเลระหว่างจีน และ ไต้หวันถูกตัดขาด โดยเรือประมงจีนลำหนึ่ง และเรือขนส่งจีนอีกลำหนึ่ง เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทางไต้หวันตั้งข้อสงสัยว่าจีนจงใจแล่นเรือผ่านเพื่อตัดเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลของไต้หวัน ทำให้ชาวไต้หวันกว่า 14,000 คน ได้รับผลกระทบ ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ 

จากเหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การพิจารณาในการพัฒนาระบบอินเตอร์เนตดาวเทียมเป็นกรณีเร่งด่วน ไว้เป็นแผนสำรองเตรียมรับมือกับจีน 

โดยก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลไต้หวันได้ริเริ่มโครงการระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของตัวเองตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2565) โดยเล็งเห็นตัวอย่างจากสงครามในยูเครน ที่ระบบสื่อสารออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศจะขาดไม่ได้ และต้องการให้มีเน็ตเวิร์กสำรองในยามสงคราม เช่นเดียวกับโมเดล Starlink ในยูเครน 

แต่ด้วยเหตุการณ์สายเคเบิลใต้ทะลขาดที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลไต้หวันเห็นว่า แผนพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมเป็นสิ่งที่รอไม่ได้อีกต่อไป และอาจต้องพึ่งพาบริการของ Starlink ที่มีดาวเทียมเครือข่ายพร้อมใช้ และเปิดให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดถึง 7 ทวีป รวมถึง แอนตาร์กติกา ด้วย 

ทว่า ด้วยความเป็นคนไม่ธรรมดาของ อีลอน มัสก์ ก็ได้ใช้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนออย่างเด็ดขาดมายังรัฐบาลไต้หวันว่า Starlink ต้องเป็นเจ้าของกิจการในระบบที่ไต้หวัน 100% เท่านั้น หากไม่แล้ว ก็จะล้มเลิกข้อตกลงทั้งหมด 

ทั้งนี้หากย้อนไปช่วงปี 2019 สื่อไต้หวันได้รายงานว่า อีลอน มัสก์ เริ่มนำเสนอธุรกิจอินทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ให้กับรัฐบาลไต้หวันมาแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตามกฎหมายของไต้หวันระบุว่า ธุรกิจโทรคมนาคมที่ต้องร่วมค้ากับบริษัทต่างชาติ จำเป็นต้องมีบริษัทไต้หวันถือหุ้นส่วนอย่างน้อย 51% 

แต่เมื่ออีลอน มัสก์ ยืนยันว่า Starlink ต้องการดำเนินธุรกิจในไต้หวัน ด้วยสิทธิ์การเป็นเจ้าของกิจการ 100% เท่านั้น โดยอีลอน มัสก์ ยืนยันว่าเป็นโมเดลธุรกิจของ Starlink ที่ทำในทุกประเทศทั่วโลก นั่นก็หมายความว่า หากรัฐบาลไต้หวันต้องการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ Starlink ก็ต้องแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้กับธุรกิจของอีลอน มัสก์

นี่ถือเป็นเงื่อนไขที่ไม่ง่ายทั้งสำหรับ รัฐบาลไต้หวัน และ ธุรกิจ Starlink เอง และปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความต้องการระบบดาวเทียม แต่อยู่ที่เงื่อนเวลาว่าทางไต้หวันรอได้หรือไม่ ที่ต้องรับมือกับความกดดันจากจีน 

เพราะตอนนี้ ไต้หวันก็กำลังพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมร่วมกับ OneWeb บริษัทของอังกฤษ และมีการทดลองใช้ในบางพื้นที่บ้างแล้ว แต่อาจต้องรอเวลาอีก 2-3 ปี ในการเปิดให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ได้ 

ขณะเดียวกัน หากไต้หวันรอไม่ได้แล้ว เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีน ไม่น่าไว้วางใจ Starlink อาจเป็นคำตอบที่เร็วที่สุดในเวลานี้ ที่ต้องแลกกับอธิปไตยเหนือสิทธิ์การควบคุมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ

ก็ต้องยอมรับว่า การสร้างความกดดัน หวั่นไหว สั่นประสาท ในลักษณะนี้ อีลอน เจ้าของ Twitter คนปัจจุบัน เขาปั่นเก่งนักแล...

‘ริกกี้ โคลเล’ หญิงข้ามเพศ คว้ามงกุฎ ‘มิสเนเธอร์แลนด์ 2023’ จุดกระแสด้านลบในโลกโซเชียล เกรง ‘หญิงแท้’ ถูกแย่งโอกาส

กลายเป็นกระแสวิจารณ์อย่างหนัก เมื่อหญิงข้ามเพศคว้าตำแหน่งผู้หญิงที่สวยที่สุดในเนเธอร์แลนด์ประจำปี 2023 สร้างความไม่พอใจในสื่อสังคมออนไลน์ของเนเธอร์แลนด์ หลายคนมองว่าการคว้าตำแหน่งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ‘หญิงแท้’ กำลังโดนแย่งโอกาส

‘ริกกี้ โคลเล’ วัย 22 ปี คว้าตำแหน่ง มิสเนเธอร์แลนด์ เอาชนะหญิงสาว 9 คน ในการประกวดเมื่อวันที่เสาร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคนเนเธอแลนด์ส่วนหนึ่งกลับไม่พอใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึง อีวา วลาดิงเกอร์โบร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวซ้ายจัดที่แสดงความเห็นว่า “ผู้ชายเพิ่งคว้ารางวัล ‘มิสเนเธอร์แลนด์’ ปี 2023…ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว” เธอกล่าว

ก่อนหน้านี้ ริกกี้ โคลเล คือ หญิงข้ามเพศคนแรกที่ได้เข้าร่วมในรายการโทรทัศน์ ‘Holland’s Next Top Model’ ในปี 2018 และเป็นคนข้ามเพศคนที่ 2 ที่เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส โดยคนแรกมาจากสเปนในปี 2018 มิสยูนิเวิร์สอนุญาตให้ผู้เข้าประกวดข้ามเพศมาตั้งแต่ปี 2012

คณะกรรมการมิสเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “โคลเลมีสตอรี่ที่แข็งแกร่ง และภารกิจที่ชัดเจน” และเสริมว่าพวกเขา “เชื่อมั่นว่าองค์กร จะสนุกกับการทำงานเธอ”

โคลเล โพสต์ใน Instagram ระบุ “ฉันทำแล้ว!!!!!” และ “ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ฉันต้องเรียกตัวเองว่า @missnederland 2023 มันเป็นการเดินทางเพื่อการเรียนรู้ และเป็นความสวยงาม ปีของฉันจะล้มเหลวไม่ได้แล้ว ต้องทำให้ชุมชนของฉันภูมิใจและแสดงให้เห็นว่าสามารถทำได้”

แต่กระแสการเลือกบุคคลข้ามเพศให้เป็น มิสเนเธอร์แลนด์ กลับสร้างกระแสถกเถียงในชุมชนออนไลน์ของเนเธอร์แลนด์มากมาย

ชาว Twitter คนหนึ่งเยาะเย้ยชัยชนะของ โคลเล และเรียกเธอว่าเป็น ‘มิสเตอร์ เนเธอร์แลนด์’ หลายโพสต์อิโมจิหน้าตัวตลกบนทวีตของพวกเขาเพื่อรายงานข่าว

“เนเธอร์แลนด์เป็นบ้านของผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก” ชาวเนเธอร์แลนด์อีกคนบอก 

นอกจากนี้ยังมีคนแสดงความคิดเห็นว่า “ท่ามกลางสาวงามเหล่านี้ พวกเขาเพิ่งเสนอชื่อผู้ชายข้ามเพศให้เป็นมิสเนเธอร์แลนด์ 2023 ผู้ชายที่เคยมีอวัยวะเพศควรถูกตัดสิทธิ์จากการประกวดนางงามหญิงคนใด และมันบ้ามาก ๆ ถ้าฉันจะถูกเกลียดและโดนด่า เพียงแค่เพราะพูดความจริงพวกนี้"

ยังมีคนที่เปรียบเทียบภาพของมิสเนเธอร์แลนด์ กับสาวงามที่ได้ตำแหน่งรอง ๆ ว่าถ้าไม่คิดว่าใครเป็นหญิงแท้ ใครเป็นหญิงข้ามเพศ สาวงามหลาย ๆ คนก็สวยกว่ามิสเนเธอร์แลนด์ คนล่าสุดมาก ๆ

‘นายกฯ เนเธอร์แลนด์’ ประกาศยุบสภาฯ-ลาออกสายฟ้าแลบ หลังปัญหา ‘ผู้ลี้ภัย’ ล้นทะลัก ทำระบบสวัสดิการประเทศพัง

(9 ก.ค. 66) ปัญหาผู้ลี้ภัยในยุโรปพ่นพิษ ทำนายกฯ เนเธอร์แลนด์ต้องยุบสภาฯ ลาออก

ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัยในยุโรปกำลังกัดเซาะความแข็งแกร่งของรัฐบาล ในประชาคมยุโรปไปเรื่อยๆ เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ แต่ที่เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะปะทุก่อนใคร จนเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรี 3 สมัย อย่าง ‘มาร์ค รัทเทอ’ ต้องประกาศยุบสภาฯ และลาออกฟ้าผ่า

สาเหตุเกิดจากความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่คัดค้านนโยบายจำกัดผู้อพยพต่อปี เพราะปัญหาผู้ลี้ภัยล้นทะลัก ที่รอเข้าประเทศหลายล้านคน ส่วนใหญ่ลี้ภัยจากแอฟริกาเหนือและชาวยูเครน

โดย มาร์ค รัทเทอ มองว่าถ้าไม่ตั้งโควตารับผู้อพยพต่อปี เนเธอร์แลนด์อาจต้องรับผู้ลี้ภัยถึงหลักสิบล้านคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่อาจส่งผลเสียต่อระบบสวัสดิการสังคมในประเทศ

แต่เมื่อ 2 ใน 4 ของพรรคร่วมรัฐบาลคัดค้านนโยบายนี้ มาร์ค รัทเทอ จึงต้องยุบสภาฯ ขอลาออก เพื่อเลือกตั้งใหม่

และความขัดแย้งในเรื่องนโยบายผู้อพยพ กำลังเป็นปัญหาในหลายประเทศในยุโรป ที่อาจส่งผลให้เกิดการพลิกขั้วของรัฐบาล อย่างเช่นในอิตาลีมาแล้ว

วิเคราะห์!! สหรัฐฯ ขอกลับเข้ายูเนสโก หวั่น!! จีนสยายอิทธิพลแทนที่

(9 ก.ค. 66) รายการ ‘คุยผ่าโลก’ ได้เชิญ ‘อาจารย์สุดาทิพย์ จารุจินดา-อินทร’ มาพูดถึงนัยยะสำคัญในการกลับมาเป็นสมาชิกองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการถอนตัวออกจากยูเนสโกมาแล้วถึง 2 ครั้ง กลับมาครั้งนี้จะมีความหมายอย่างไร มาฟังกันเลย…

“เหตุผลที่ทำให้อเมริกาทนไม่ได้ เพราะจีนแผ่ขยายอำนาจ ซึ่งหากจะให้เปรียบเปรยก็เหมือนกับว่า แม้แต่สนามหญ้าหน้าสำนักงานยูเนสโก จีนก็บลัฟเป็นเจ้าภาพ ฮุบเข้าไปขยายอาณาเขตไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ถือเป็นการสู้กัน เพราะยูเนสโก มีทั้งด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษาวัฒนธรรม ซอฟต์พาวเวอร์ และตัววิทยาศาสตร์ 

"ทั้งนี้ ในส่วนของสหรัฐฯ นั้น ได้มีการถอนตัวมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกมาจากการที่ ‘ยูเนสโก’ รับ ‘ปาเลสไตน์’ เข้ามาเป็นสมาชิกในสหประชาชาติ (UN) แม้เขาจะไม่ได้เป็น Full Member แต่ในส่วนยูเนสโกรับเป็น Full Member เลย ทำให้อเมริกาเดือดมาก รวมทั้งอิสราเอลก็โกรธมากเช่นกัน จึงทำให้อิสราเอลและอเมริกาถอนตัวทั้งคู่ อันนี้คือสาเหตุของการถอนตัวครั้งแรก แต่ในที่สุดภายหลังก็ได้ผันตัวกลับเข้าไป ส่วนอีกครั้งหนึ่งในสมัย ‘ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ได้มีคำสั่งให้ถอนออกมาจาก ‘ทีพีพี’ และอเมริกาแทบจะถอนตัวจาก NATO และถอดยูเนสโกตามมาติดๆ

"ทว่า ตอนนี้ ‘จีน’ กับ ‘อเมริกา’ กำลังขับเคี่ยวกันในเรื่องเทคโนโลยี หรือ AI ซึ่งตรงนี้จะเป็นการได้ประโยชน์จากยูเนสโกที่จะส่งผลต่อประเทศจีน ทำให้อเมริกาปล่อยให้จีนแผ่บทบาทนี้ไม่ได้ จึงทำให้ต้องยอมเข้าไป ‘ยูเนสโก’ อีกครั้งหนึ่ง และล่าสุดเพิ่งมีการลงมติไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีทั้งหมด 132 เสียง ที่เห็นชอบ แต่ก็มีอีก 10 ประเทศที่ออกเสียงคัดค้าน ซึ่ง 1 ในนั้นมี ‘อินโดนีเซีย’ อีกด้วย ทำให้เรื่องนี้น่าติดตามต่อไป โดยมีเวทียูเนสโกอีกหนึ่งพื้นที่ในการสู้รบกัน"

ปังไม่ไหว!! ‘ทีมลูกยางญี่ปุ่น’ โชว์ลุคใส่ ‘กางเกงช้าง’ ของไทย หลังสู้ศึกเนชันส์ลีก 2023 ได้ใจแฟนกีฬาไทยเต็มๆ

(9 ก.ค. 66) วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น ไม่ตกเทรน ‘ใส่กางเกงช้าง’ โชว์เอกลักษณ์ความเป็นไทย ช่วงลุยศึกเนชันส์ลีก 2023 สัปดาห์ที่ 3

นอกจากวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่นจะเป็นทีมที่มีแฟนกีฬาชาวไทยเชียร์และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ขณะที่วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น ก็ได้รับความสนใจไม่ต่างกัน 

ล่าสุด เคนทาโร ทากาฮาชิ บอลเร็ววัย 28 ปี ของทีมญี่ปุ่น (เบอร์ 10) โพสต์ลงอินสตาแกรมส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพที่เจ้าตัวและเพื่อนนักตบลูกยางทีมญี่ปุ่น ‘ใส่กางเกงช้าง’ ที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมในประเทศไทย พร้อมกับข้อความระบุว่า ขอบคุณมากสำหรับการสนับสนุนและทุกคนที่สนับสนุนเราจากญี่ปุ่น #ของขวัญที่ดี

หลังจากนั้นก็มีแฟนกีฬาชาวไทย เข้าไปแสดงความคิดเห็นและอยากให้วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น มีโอกาสเดินทางมาแข่งที่ประเทศไทยบ้าง 

สำหรับทีมวอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น กำลังทำการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก 2023 รอบแรก สัปดาห์ที่ 3 ประเทศฟิลิปปินส์ โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงอยู่อันดับ 1 ของตาราง แข่ง 11 นัด ชนะ 10 แพ้ 1 นัด มี 27 คะแนน

ดาวดวงใหม่แห่ง 'ลาสเวกัส' ใต้สถาปัตย์ฯ ทรงกลมสุดยิ่งใหญ่ เสริมความแกร่ง 'อุตฯ ท่องเที่ยว-บริการ' สหรัฐฯ ไม่แผ่ว

เมื่อไม่นานมานี้ MSG Sphere มีเจ้าของคือบริษัท Madison Square Garden (MSG) ในนิวยอร์ก ที่ทุ่มงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) ออกแบบโดย Populous สตูดิโอสถาปัตยกรรมจากรัฐมิสซูรี ตั้งตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้าของลาสเวกัส ดูคล้ายยานอวกาศขนาดมหึมา สีดำและดูลึกลับ จนกระทั่งตกกลางคืน แสงจะเรืองรองผ่องอำไพเหมือนลอยละล่องอยู่ในอวกาศ

อัครสถานบันเทิงและศูนย์กิจกรรมนานาชาติแห่งอนาคตนี้ จะใช้เป็นที่จัดงานดนตรี แสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาลภาพยนตร์ การจัดฉายภาพยนตร์จริงๆ และการแข่งขันกีฬาบางประเภท ด้วยหน้าจอสูงเกือบ 80 เมตร จากพื้นจรดเพดาน ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำและดำดิ่งไปในภาพยนตร์ได้มากกว่าเคย อีกทั้งลำโพงกว่า 160,000 ตัว ที่กระจายอยู่รอบๆ จะทำให้ไม่ว่าใครจะนั่งแถวบนหรือล่างก็ตามก็สามารถรับฟังเสียงที่มีคุณภาพได้ไม่แตกต่างกัน

ดาวดวงใหม่ของลาสเวกัส มีความจุ 20,000 คน รวมที่นั่ง 17,600 ที่นั่ง และรองรับพื้นที่ยืนอีก 2,400 คน โดย U2 วงดนตรีร็อกระดับตำนานสัญชาติไอริชจากเมืองดับลิน ถูกกำหนดให้เป็นวงแรกที่แสดงคอนเสิร์ตที่นี่ เมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2566

Guy Barnett รองประธานอาวุโสของ MSG Sphere ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจอแอลอีดีที่เป็นเอกลักษณ์นี้ว่า “Exosphere เป็นมากกว่าหน้าจอหรือป้ายโฆษณา แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชีวิต และไม่เหมือนกับจออื่นๆ ที่มีอยู่ในโลก โดยประกอบด้วยจุดประมาณ 1.2 ล้านจุด ซึ่งแต่ละจุดมีไฟแอลอีดี 48 ดวง ที่สามารถแสดงสีต่างๆ ได้มากถึง 256 ล้านสี”

“Exosphere ของ MSG Sphere เปรียบเสมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ 360 องศา สำหรับใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของแบรนด์สู่สายตาคนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะลาสเวกัสเท่านั้น เพราะประสบการณ์พิเศษที่เราสร้างขึ้นจะไร้ขีดจำกัด และโลกจะรับรู้ถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของ Exosphere” David Hopkinson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ MSG Sports กล่าว

“การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นด้วยกราฟิก Hello World ตามมาด้วยแอนิเมชั่นที่โดดเด่นมากมายตั้งแต่ดอกไม้ไฟสีสันสดใสและฉากใต้น้ำ ไปจนถึงภาพของดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าและพื้นผิวดวงจันทร์ ทำให้ผู้คนเห็นถึงพลังที่น่าหลงใหลของ Exosphere และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้สำหรับศิลปิน พันธมิตร และแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ชมในรูปแบบใหม่ๆ โดยนอกเหนือจากเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ภายนอกโครงสร้างนี้จะมีการประดับไฟทุกคืนด้วยภาพเคลื่อนไหวและภาพอื่นๆ ที่ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา รวมถึงผู้คนที่อยู่ในรัศมีที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งบางครั้งก็เชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญๆ ตัวอย่างเช่น มันสามารถแปลงร่างเป็นฟักทองยักษ์ในวันฮาโลวีนและลูกแก้วหิมะในวันคริสต์มาส เป็นต้น”

สำหรับ ‘ลาสเวกัส’ เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกในด้านอุตสาหกรรมบันเทิงและการบริการที่มีชีวิตชีวา ต่อไปนี้คือจุดแข็งและบทบาทสำคัญของลาสเวกัส ซึ่ง MSG Sphere จะมีส่วนสำคัญในการเติมเต็มและตอกย้ำความแข็งแกร่งของ Sin City แห่งนี้ ในการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก และรักษาความโดดเด่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้มาเยือนต่อไป

>> การท่องเที่ยวและการบริการ : ลาสเวกัสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี โดยโรงแรม รีสอร์ต คาสิโน และสถานบันเทิงระดับโลกมีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ความสามารถของเมืองในการจัดหาตัวเลือกความบันเทิงที่หลากหลาย รวมถึงการแสดงดนตรี คอนเสิร์ต กิจกรรมกีฬา และการประชุม ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักเดินทางเพื่อที่ต้องการอรรถประโยชน์ทั้งในด้านการพักผ่อน ความสนุกสนาน และการทำธุรกิจ

>> อุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง : ลาสเวกัสมีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง โดยเป็นที่ตั้งของคาสิโนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของจีดีพีของรัฐเนวาดา ชื่อเสียงอันโด่งดังในฐานะเมืองหลวงคาสิโนโลก รวมถึงศักยภาพและความสามารถในการนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ลาสเวกัสมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว

>> การประชุมและงานแสดงสินค้า : ลาสเวกัสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม งานแสดงสินค้า และกิจกรรมองค์กรต่างๆ จำนวนมากตลอดทั้งปี สิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์การประชุมที่กว้างขวางของเมือง เช่น ศูนย์การประชุมลาสเวกัส ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์และการประชุมทางธุรกิจขนาดใหญ่ งานเหล่านี้ดึงดูดอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ส่งเสริมธุรกิจและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

>> การจ้างงานและการสร้างงาน : ภาคการท่องเที่ยวและการบริการในลาสเวกัสเป็นนายจ้างที่สำคัญโดยจัดหางานให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งในสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ในหลากหลายตำแหน่งงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรม ตัวแทนจำหน่าย ผู้ให้ความบันเทิง ผู้จัดงาน และอื่นๆ อีกมากมาย โอกาสการจ้างงานที่สร้างขึ้นจากคาสิโนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนกว่า 315,000 ชีวิต

>> อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง : การเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของลาสเวกัสได้นำไปสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่แข็งแกร่ง เกิดการลงทุนที่สำคัญในโครงการที่อยู่อาศัย การค้าปลีก และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จำนวนมาก

>> การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ : ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาสเวกัสได้พยายามทำให้เศรษฐกิจมีความหลากหลายนอกเหนือจากการการพึ่งพาคาสิโนและการท่องเที่ยว ด้วยการพยายามดึงดูดธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ พลังงานหมุนเวียน และโลจิสติกส์ การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยลดการพึ่งพาเพียงอุตสาหกรรมเดียวและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของลาสเวกัสในระยะยาว

สหรัฐฯ ยืนยันส่ง 'ระเบิดพวง' ให้ยูเครนไล่ยึดดินแดนคืน ด้าน 'ไบเดน' ให้เหตุผล เพราะกระสุนในยูเครนกำลังจะหมด

(9 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราทนไม่ได้ หากยูเครนไม่มีกระสุนปืนใหญ่มากเพียงพอในการปกป้องตนเอง โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันก่อน (7 ก.ค.) ยืนยันตามข่าวที่ปรากฏในสื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งระเบิดพวง (cluster munitions) ให้แก่ยูเครน เป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครน มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 28,000 ล้านบาท

ซัลลิแวน ย้ำว่า การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะต้องทำ สหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้ยูเครนอยู่ในสภาพป้องกันตัวเองไม่ได้ ก่อนการตัดสินใจนี้ สหรัฐฯ ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรหลายประเทศ และบางประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาออสโล สนับสนุนการตัดสินใจนี้ 

ซัลลิแวน ยืนยันด้วยว่า ทางยูเครนได้รับประกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่า จะใช้ระเบิดพวงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และจะลดอันตรายที่จะเกิดกับพลเรือนให้น้อยที่สุด และจะไม่ใช้ในดินแดนต่างชาติ จะใช้ปกป้องประเทศเท่านั้น

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวปกป้องการตัดสินใจส่งระเบิดพวงให้ยูเครนว่า "กระสุนในยูเครนกำลังจะหมด" ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ถามว่าเหตุผลใดสหรัฐฯ จึงตัดสินใจจะส่งระเบิดพวงให้แก่ยูเครน

สหรัฐฯ หวังว่า ระเบิดพวงจะช่วยยูเครนสามารถยึดดินแดนที่ถูกยึดไปในความขัดแย้งกับรัสเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 กลับคืนมาได้

อย่างไรก็ตาม ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ยอมรับว่า พลเรือนมีความเสี่ยงจะได้รับอันตรายจากการตกค้างของระเบิดพวงที่ไม่ระเบิด 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศไทย ระเบิดพวง หรือ Cluster Munitions ถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง (Convention on Cluster Munitions: CCM) เป็นระเบิดที่บรรจุลูกระเบิดขนาดเล็กไว้ภายในจำนวนมาก สามารถทิ้งลงจากเครื่องบิน หรือยิงโดยปืนใหญ่ จะระเบิดกลางอากาศ เพื่อปล่อยลูกระเบิดย่อยให้กระจายเป็นวงกว้าง มีอัตราการไม่ระเบิดสูง ทำให้ลูกระเบิดขนาดเล็กตกค้างบนพื้นดิน ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้ในภายหลัง

‘คนไทยในต่างแดน’ เผย ยุคเสื่อมโทรมของซานฟรานซิสโก  จากเมืองน่าอยู่สู่แดนสวรรค์ของเหล่า ‘อาชญากรรม-คนไร้บ้าน’

เมื่อไม่นานมานี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘มัสลา สนศิริ’ หรือที่ในโลกโซเชียลรู้จักกันในชื่อ ‘คุณมอร์ส’ เจ้าของช่องยูทูบ ‘MOSSALA101’ ที่มียอดผู้ติดตามในช่องยูทูบมากกว่า 951,000 คน โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่คุณมอร์สทำนั้น คือการบอกเล่าและตีแผ่เรื่องราวหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องอาหาร การใช้ชีวิต แฟชัน รวมถึงอาชีพของคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

ล่าสุด คุณมอร์สได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในช่องยูทูบของเธอ เกี่ยวกับการได้พูดคุยกับคนไทยในเมืองซานฟรานซิสโก โดย ‘คุณกอล์ฟ’ 1 ในคนไทยที่ได้มาทำธุรกิจเปิดร้านอาหารอยู่ในซานฟรานซิสโกนั้น ได้เล่าว่า ตนนั้นเป็นพาร์ทเนอร์ของร้าน ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกมากว่า 17 ปีแล้ว และได้เคยย้ายไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่รัฐเท็กซัส 1 ปี แต่สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเหมือนเดิม โดยคุณกอล์ฟได้เล่าว่า…

“เมื่อก่อนนี้ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่ สวยงาม ดูสะอาด และสามารถเดินเที่ยวได้ทุกๆ ที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะ ‘อาชญากรรม’ ที่เกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกตอนนี้นั้นมีเยอะมาก เนื่องจากที่นี่เคยออกกฎหมายฉบับหนึ่งว่า หากราคามูลค่าของค่าเสียหายนั้น ไม่เกิน 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตำรวจจะไม่สนใจหรือทำอะไรทั้งนั้น”

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้อาชญากรรมในซานฟรานซิสโกนั้นพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง จนเมืองที่เคยสวยงาม มีสภาพที่เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไร้ความระเบียบ และเป็นอันตรายต่อชีวิต รวมถึงทรัพย์ของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนชีวิตนักท่องเที่ยวเองด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่า ทางร้านอาหารของคุณกอล์ฟเคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “ร้านโดนทุบปีละ 4 ครั้ง มีคนเข้ามาขโมยของในร้าน หรือบางครั้งก็มีลูกค้าที่กินแล้วไม่จ่ายเงิน และเหตุการณ์ล่าสุดคือ ไปซื้อของแล้วถูกปล้น ซึ่งในตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังจะขับรถออกไป ก็มีคนมาเปิดประตูรถออก เพราะเราไม่ได้ล็อกรถ และเขาก็กระชากขโมยเอากระเป๋าไป โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้ตั้งตัว” 

เมื่อถามว่า เมืองซานฟรานซิสโกยังน่าอยู่หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “เอาตรงๆ เลยนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ในตัวเมืองของซานฟรานซิสโกนั้น ไม่น่าอยู่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่คิดว่าร้านค้า การขายสินค้า รวมถึงกิจการต่างๆ อาจจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ แต่คงจะต้องตกต่ำจนจมดิ่งให้สุดก่อน ถึงจะกลับมาดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 10-20 ปีเลยก็ได้” 

นอกจากนี้ คุณกอล์ฟ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบ จากความเสื่อมโทรมของตัวเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งทำให้กิจการร้านอาหารของเขานั้นต้องเผชิญวิกฤตอย่างหนัก เพราะยอดขายอาหารตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยเดิมที่เริ่มย้ายออกจากตัวเมืองกันมากยิ่งขึ้น เพราะทนกับความเสื่อมโทรม และอาชญากรรมที่พุ่งสูงไม่ไหวอีกต่อไป

“โดยปกติแล้ว ยอดขายอาหารของร้านเราในเมืองซานฟรานซิสโกนั้นไม่เคยแพ้ใคร เรามีร้านอาหารอยู่ทั้งหมด 2 ร้าน คือ ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ กับ ‘Son & Garden San Francisco’ ซึ่งปกติแล้วยอดขายของเราจะสูงที่สุดตลอด ถึงแม้จะว่าร้านอาหารของเราจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ยอดขายก็ยังคงถือว่าสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้ยอดขายของเรานั้นดิ่งพสุธามาก” 

คุณกอล์ฟ ยังเล่าต่อว่า ตนนั้นมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกก็จริง แต่บ้านที่อาศัยอยู่จริงๆ นั้น ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘เมืองปาซิฟิกา’ (Pacifica) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากซานฟรานซิสโก และเมืองปาซิฟิกานั้นยังเป็นเมืองที่กำจัด ‘กลุ่มคนไร้บ้าน’ (Homeless) อีกด้วย หากพบเจอที่ไหน กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกนำชื่อออกจากระบบของเมืองทันที ในขณะที่เมืองซานฟรานซิสโกไม่มีมาตรการเหล่านี้

“บางครั้งเราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้โหดร้ายนะ แต่ว่ามันไม่เหมาะสมจริงๆ อย่างเช่น ปล่อยปะละเลย หรืออ้าแขนรับสำหรับเรื่องพวกนี้มากจนเกินไป มันจะทำให้คนเป็นง่อย ไม่รู้จักทำมาหากิน ขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดอย่างนี้ ในขณะที่พวกเราเป็นคนต่างเชื้อชาติที่ต้องจากบ้านจากเมืองมา ต้องมาทำงานสู้ฟัดกันฟัน ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ล้างจาน หั่นผัก ทำทุกอย่าง หรือต้องส่งเสียตัวเองเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างเราสู้จนสุดใจ แต่คนพวกนี้ดันไม่ทำอะไรเลย และยังได้รับเงินช่วยเหลือ หรือช่วยในเรื่องของความเป็นอยู่อย่างดีจากรัฐบาล แต่ก็ยังก่ออาชญากรรม ซึ่งเมื่อถูกจับได้ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัว เพื่ออะไร? สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราลำบากมากจริงๆ” คุณกอล์ฟ กล่าวทิ้งท้าย

บัตรคอนเสิร์ต 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ในสิงคโปร์ขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ ส่วนราคาเที่ยวบิน-ที่พักพุ่ง!! ด้านนักเศรษฐศาสตร์หวั่นเกิด 'เงินเฟ้อ'

(8 ก.ค.66) บัตรคอนเสิร์ตของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ นักร้องสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเตรียมมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 6 รอบในเดือนมีนาคมปีหน้า จำหน่ายหมดแล้ว หลังเปิดขาย 2 วัน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้อง และนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน เตรียมลัดฟ้าบินมาเปิดคอนเสิร์ต ‘ดิ อีราส์ ทัวร์’ (The Eras Tour) ที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ 6 รอบ ในวันที่ 2-4 และ 7-9 มีนาคม ปี 2024

โดย เออีจี พรีเซนต์ส เอเชีย (AEG Presents Asia) ผู้จัดคอนเสิร์ต เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า บัตรเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตดังกล่าว “จำหน่ายหมดแล้ว” หลังจากเปิดขายรอบพรีเซลเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) และรอบทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับโค้ดกดบัตรเมื่อวานนี้ (7 ก.ค.)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แฟนๆบางส่วนในสิงคโปร์ ตั้งแคมป์ปักหลักต่อคิวนานข้ามวัน บริเวณด้านหน้าที่ทำการไปรษณีย์สิงคโปร์สาขาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อรอซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยนักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 22 ปี รายหนึ่งเปิดเผยว่า มาต่อแถวตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธ หลังจากพลาดบัตรรอบพรีเซล จึงตัดสินใจรีบมาตั้งแคมป์ที่จุดจำหน่ายบัตร เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ตั๋ว

สิงคโปร์เป็นจุดหมายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักร้องสาวชาวอเมริกันรายนี้จะมาเปิดการแสดงสดเป็นเวลา 6 คืนต่อหน้าแฟนๆ ที่โชคดีกว่า 3 แสนคน แต่ ‘สวิฟตี้’ จำนวนมากทั่วภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 500 ล้านคน พลาดโอกาสสุดพิเศษนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการคอนเสิร์ตและความบันเทิงที่พุ่งสูงหลังวิกฤตโรคระบาด และอุปสงค์ที่พุ่งสูง ทำให้ราคาบัตร

คอนฯ ปรับตัวขึ้นสูงตาม จนนักเศรษฐศาสตร์บางคนเรียกปรากฏการณ์เงินเฟ้อลักษณะนี้ว่า ‘สวิฟต์เฟลชัน’ (Swiftflation)

ขณะที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์ถูกตั้งคำถามว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้จะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า ราคาเที่ยวบินและโรงแรมทั่วเกาะพุ่งสูงขึ้นมากในสัปดาห์ที่ ‘เทย์เลอร์’ จะมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 

เผยกิจวัตร 'เศรษฐีวัย 45' ช่วยสตาฟร่างกายไว้แค่ 18 ถ่ายเลือดจากลูกชายและกินมื้อสุดท้ายของวันไม่เกิน 11 โมง

(7 ก.ค. 66) ไวรัลชาวโลก ‘ไบรอัน จอห์นสัน’ เศรษฐีวัย 45 ปี ที่มีร่างกายเหมือนเด็กอายุ 18 ปี ด้วยวิธีการอันสุดโต่งและราคาสูงถึง 70 ล้านบาทต่อปี

การมีสุขภาพที่ดี หรืออ่อนเยาว์กว่าวัย คงเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนต้องการ หลาย ๆ คนจึงมีวิธีการดูแลสุขภาพของตัวเอง และบางวิธีก็ชวนตะลึงสุด ๆ เช่นที่สำนักข่าว nypost ได้รายงานเรื่องราวของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง ที่ดูแลสุขภาพและร่างกายของตัวเองดีมาก ซึ่งต้องจ่ายกว่า 2 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 70 ล้านบาท)

ชายคนนี้ชื่อว่า ‘ไบรอัน จอห์นสัน’ เจ้าพ่อด้านเทคโนโลยี วัย 45 ปี เขาต้องการให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา เลยทุ่มเททุกอย่างเพื่อดูแลมัน

เขากลายเป็นที่ฮือฮาในสังคมออนไลน์ หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันสุดโต่งของเขาซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้อวัยวะสำคัญทั้งหมด คือ สมอง ตับ ไต ฟัน ผิวหนัง ผม องคชาต และไส้ตรง ทำงานเหมือนเดิม ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ตอนนี้มีสภาพร่างกายเหมือนคนอายุ 18

กิจวัตรประจำวันที่ราคาแพงและสุดโต่งของ ไบรอัน นั้นมีมากมายหลายข้อ แต่ที่คนให้ความฮือฮาและสนใจอย่างมากคือ 1.เขากินอาหารมื้อสุดท้ายของวัน ไม่เกิน 11 โมง และ 2. เขาทำการถ่ายเลือดจากลูกชายวัย 17 ปี

นอกจากนี้ยังมีกิจวัตรอื่น ๆ ได้แก่
-รับประทานอาหารวีแกนที่ให้พลังงานรวม 1,977 แคลอรีต่อวัน
-ดื่มน้ำผักที่ผสมครีเอทีนและคอลลาเจนเปปไทด์
-รับประทานอาหารเสริมมากกว่า 100 รายการต่อวัน
-ออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
-กำลังกายแบบเข้มข้น 3 ครั้งต่อสัปดาห์
-เข้านอนเร็ว และตื่นตี 5 ทุกวัน
-แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน บ้วนปากด้วยทีทรีออยล์และเจลต้านอนุมูลอิสระ
-ก่อนนอน จะสวมแว่นตาที่ป้องกันแสงสีน้ำเงินเป็นเวลาสองชั่วโมง
-ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกส่วนในทุกเดือน

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ อาจไม่ต้องทำแบบสุดโต่ง หรือเหมือนกับชายมหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ เพราะร่างกายก็ย่อมเป็นไปตามอายุขัย เราคงไม่สามรถยื้อมันได้ตลอดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top